ค้นหา
รายการที่พบทั้งหมด 48,759 รายการ
สำนักหอสมุดแห่งชาติ ขอเชิญร่วมโครงการอบรม เรื่อง "การบริหารจัดการข้อมูลส่วนบุคคลสำหรับห้องสมุดตามพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 (PDPA)" ในวันศุกร์ที่ 29 มีนาคม 2567 เวลา 08.30 - 14.30 น. ณ ห้องประชุมใหญ่ สำนักหอสมุดแห่งชาติ ผู้สนใจสามารถลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการ แบบ On-site ล่วงหน้าได้ ด้วยการสแกน QR Code หรือลงทะเบียนผ่านลิงก์ https://forms.gle/9mSGJVhTo9bfBtdT7 (*รับจำนวนจำกัด ปิดรับลงทะเบียนวันที่ 20 มีนาคม 2567 หรือหากมีผู้ลงทะเบียนเต็มจำนวนแล้ว) นอกจากนี้ยังสามารถรับชมได้ผ่านทาง Facebook live ของหอสมุดแห่งชาติ : National Library of Thailand ในวันและเวลาดังกล่าว
ชื่อโบราณวัตถุ : ภาชนะดินเผาเขียนสีรูปสัตว์แบบศิลปะ : สมัยก่อนประวัติศาสตร์ชนิด : ดินเผาขนาด : สูง 19.6 เซนติเมตร ปากกว้าง 16.5 เซนติเมตร อายุสมัย : วัฒนธรรมบ้านเชียงสมัยปลาย 2,300 - 1,800 ปีมาแล้วลักษณะ : ภาชนะดินเผาก้นกลม มีเชิง เขียนสีแดงเป็นลายรูปสัตว์ คล้ายสัตว์เลื้อยคลานสภาพ : ...ประวัติ : ...สถานที่จัดแสดง : พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ บ้านเชียง จังหวัดอุดรธานีแสดงภาพวัตถุหมุน คลิกที่นี่
http://www.virtualmuseum.finearts.go.th/banchiang/360/model/07/
ที่มา: http://www.virtualmuseum.finearts.go.th/banchiang
แนะนำฐานข้อมูล GALE PRIMARY SOURCESArchives Unbound เป็นแหล่งข้อมูลปฐมภูมิและเอกสารหายากกว่า 200 คอลเลกชัน โดยนางสาวณัฐธิดา สถาอุ่น นักศึกษาฝึกประสบการณ์วิชาชีพ หอสมุดแห่งชาติรัชมังคลาภิเษก เชียงใหม่
ชิ้นส่วนพุทธบัลลังก์
- ทวารวดี (พุทธศตวรรษที่ ๑๒ – ๑๖)
- หิน
- ขนาด กว้าง ๔๕ ซม. ยาว ๙๙ ซม.
พบที่วัดไทร อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม ประติมากรรมรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ปลายด้านขวาหักหายไป ปลายด้านซ้ายจำหลักเป็นรูปมกรกำลังคายรูปสัตว์ผสม หรือวยาลกะ มีเขาคล้ายเขาโคออกจากปาก วยาลกะยกเท้าหน้าทั้งคู่ขึ้นระดับไหล่ เท้าด้านซ้ายก้าวมาข้างหน้า เท้าหลังด้านขวาก้าวตามแผ่นหินที่เป็นส่วนลำตัวของมกร ประติมากรรมชิ้นนี้สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงมีพระอธิบายว่า เป็นชิ้นส่วนศิลาทับหลังเรือนแก้วของพระพุทธรูปนั่งห้อยพระบาทศิลาเขียวซึ่งปัจจุบันประดิษฐานอยู่ในวิหารน้อย วัดหน้าพระเมรุ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
แสดงภาพวัตถุหมุน คลิกที่นี่ https://smartmuseum-v2.finearts.go.th/3d_object/?obj=40187
ที่มา: https://smartmuseum.finearts.go.th
วันที่ 7 ธันวาคม 2566 เวลา 16.30 น. ร้อยเอกบุญยฤทธิ์ ฉายสุวรรณ ผู้อำนวยการสำนักศิลปากรที่ 2 สุพรรณบุรี พร้อมหัวหน้าส่วน หอสมุดแห่งชาติจังหวัดสุพรรณบุรี เฉลิมพระเกียรติ, พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สุพรรณบุรี และ หอจดหมายเหตุแห่งชาติจังหวัดสุพรรณบุรี เข้าร่วมพิธีเปิดโครงการเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์ ประจำปีงบประมาณ 2567 กิจกรรม : ปฏิบัติการสร้างสรรค์ (Workshop) ผลงานศิลปกรรมตามแนวคิด เรื่อง ในหลวงรัชกาลที่ 9 ของปวงชนชาวไทย ณ อาคารศูนย์การเรียนรู้ศิลปวัฒนธรรม วิทยาลัยช่างศิลป์ โดยมีนายธีรยุทธ์ จันทร์ดิษฐวงษ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดสุพรรณบุรี เป็นประธานในพิธีเปิด
นำเสนอสาระความรู้ และแนะนำเรื่องที่น่าสนใจจากหนังสืออนุสรณ์งานศพ พร้อมประวัติของผู้วายชนม์โดยสังเขป
วันนี้ #หอสมุดแห่งชาติรัชมังคลาภิเษก จันทบุรี ขอนำเสนอ เรื่อง #ประวัติสุนทรภู่ นิราศเมืองแกลง และประวัติเมืองแกลง หนังสือจัดพิมพ์เป็นอนุสรณ์ในงานฌาปนกิจศพ นางสำลี เกิดลาภผล ณ เมรุวัดมกุฏกษัตริยาราม เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2511
นางสำลี เกิดลาภผล เกิดเมื่อวันอังคาร เดือน 12 ปีเถาะ พ.ศ. 2423 ที่ตำบลทางเกวียน อำเภอแกลง จังหวัดระยอง เป็นบุตรสาวคนที่สองของขุนแพ่งกับนางมุก นางสำลีได้กำพร้าบิดามารดาตั้งแต่อายุยังน้อย จึงได้อาศัยอยู่กับน้าหญิง ซึ่งเป็นภรรยาของหลวงวิชิตภักดี ผู้พิพากษาประจำเมืองแกลงในขณะนั้น ต่อมาได้สมรสกับนายเห่ง เกิดลาภผล ผู้เป็นบุตรชายของนางเกียกับนายย่องติ้น แซ่หลิม และเป็นหลานของเจ้าสัวเช้า แซ่ตัน กับนางจ้อย แห่งบ้านตลาดบางกะจะ อำเภอเมือง จังหวัดจันทบุรี หลังจากสมรส มีบุตรและธิดา จำนวน 6 คน นางสำลีเป็นผู้เลื่อมใสยึดมั่นในพระพุทธศาสนาอย่างยิ่ง ได้บริจาคทรัพย์บำรุงวัด และจัดการอุปสมบทให้แก่ผู้ที่ไร้กำลังทรัพย์อยู่เสมอ นางสำลีได้ป่วยเป็นมะเร็งที่มดลูก และถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2510 รวมอายุได้ 77 ปี
#ประวัติสุนทรภู่ นี้ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ได้ทรงพระนิพนธ์ขึ้นเพื่อให้พิมพ์รวมกับเสภาเรื่องพระราชพงศาวดาร ซึ่งเป็นบทนิพนธ์ของสุนทรภู่ แจกในงานฉลองพระชันษา ครบ 60 เมื่อ พ.ศ. 2465 เป็นครั้งแรก ภายหลังได้มีการเพิ่มเติมเชิงอรรถ โดย นายธนิต อยู่โพธิ์ และชำระเพิ่มเติมโดยกรมศิลปากร หนังสือมีการจัดพิมพ์เผยแพร่อีกหลายครั้งเนื่องจากมีผู้สนใจในเรื่องราวของสุนทรภู่มาก เนื้อหาว่าด้วยเรื่องประวัติของสุนทรภู่ แบ่งออกเป็น 7 ตอน ได้แก่ ตอนก่อนรับราชการ ตอนรับราชการ ตอนออกบวช ตอนตกยาก ตอนสิ้นเคราะห์ หนังสือที่สุนทรภู่แต่ง และเกียรติคุณของสุนทรภู่
#นิราศเมืองแกลง สุนทรภู่แต่งเมื่อราว พ.ศ. 2350 เมื่อครั้งเดินทางไปพบบิดาซึ่งบวชเป็นพระอยู่ที่บ้านกร่ำ เมืองแกลง จังหวัดระยอง เป็นนิราศเรื่องแรกที่สุนทรภู่แต่ง เพื่อบันทึกการเดินทางและแสดงความรู้สึกนึกคิดของตน พิเคราะห์จากเรื่องราวที่ปรากฏในนิราศ ประกอบกับศักราชปีเกิดของสุนทรภู่ ดูเหมือนเมื่อแต่งนิราศเรื่องนี้ อายุน่าจะราวสัก 20 ปี กล่าวในนิราศว่าสุนทรภู่มีศิษย์ติดตามไปด้วย 2 คน คือ นายน้อย และนายพุ่ม และมีนายแสงชาวเมืองระยองขอเดินทางร่วมไปด้วยและช่วยนำทางให้ สุนทรภู่ได้พรรณนาถึงความยากลำบากในการเดินทาง สภาพภูมิประเทศ และชีวิตของชาวบ้านที่ได้พบเห็น
ส่วน #ประวัติเมืองแกลง นั้น นางพัฒนี สุทธิสุวรรณ วิทยากรตรี แผนกอักษรศาสตร์และวรรณคดี กรมศิลปากร ได้ค้นคว้าและเรียบเรียงขึ้น โดยกล่าวถึงประวัติและความเป็นมาของเมืองแกลง จังหวัดระยอง โดยสังเขป
ผู้ที่สนใจสามารถอ่านเพิ่มเติมได้จาก http://digital.nlt.go.th/dlib/items/show/14923
หรือสแกนจาก QR Code เพื่ออ่านในรูปแบบ E-Book
บรรณานุกรม
ดำรงราชานุภาพ, สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยา. ประวัติสุนทรภู่. พระนคร: โรงพิมพ์ชวนพิมพ์, 2511.
วันที่ ๑๕-๑๗ กรกฎาคม ๒๕๖๗ นายเจษฎา ชีวะวิชวาลกุล รองอธิบดีกรมศิลปากร เข้าตรวจเยี่ยมหน่วยงานสังกัด และตรวจโบราณสถานในเขตพื้นที่รับผิดชอบสำนักศิลปากรที่ ๘ ขอนแก่น ดังนี้
- โบราณสถานวัดสนวนวารีพัฒนาราม อำเภอบ้านไผ่ จังหวัดขอนแก่น
- พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ขอนแก่น อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น
- อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท อำเภอบ้านผือ จังหวัดอุดรธานี
- พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ บ้านเชียง อำเภอหนองหาน จังหวัดอุดรธานี
- โบราณสถานสะพานขอม อำเภอเมืองสกลนคร จังหวัดสกลนคร
- การฉาย Projection Mapping พร้อมไฟประดับตกแต่ง ณ หอพิพิธภัณฑ์พื้นถิ่นล้านนา สัมผัสการเล่าเรื่องราวแห่งดนตรีและวัฒนธรรมของเชียงใหม่ ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ผ่านการฉาย Projection Mapping ขนาดใหญ่ ที่จะถ่ายทอดวิถีชีวิตและความงดงามของล้านนาไปสู่ทุกสายตา โดยใช้หอพิพิธภัณฑ์พื้นถิ่นล้านนาเป็นฉากสำหรับการนำเสนอประวัติศาสตร์ ความทรงจำ และเสียงดนตรีของเชียงใหม่ที่เชื่อมโยงอดีตสู่ปัจจุบันอย่างวิจิตรตระการตา
- ซุ้มไฟ Hop ณ ลานข่วงประตูท่าแพ ซุ้มไฟประดับอย่างยิ่งใหญ่อลังการ ความยาวกว่า ๑๕๐ เมตร สร้างขึ้นภายใต้แนวคิด “ล่องแม่ปิง” โดยได้รับแรงบันดาลใจมาจากอัตลักษณ์ของภาคเหนือไม่ว่าจะเป็นลายผ้าชาวเขาอาข่า,โคมตุงล้านนา,ร่มบ่อสร้าง และท่วงทำนองอันเป็นเอกลักษณ์ของบทเพลง อมตะที่ จรัล มโนเพ็ชร รังสรรค์ไว้ เพื่อเป็นเส้นทางแห่งความสว่างไสวและจุดถ่ายรูป ที่จะนำผู้คนเข้าสู่โลกแห่งศิลปะและดนตรี HOP Chiangmai Art & Music Festival
“สะพานดนตรี” Musical Bridge ณ สะพานขัวเหล็กการแสดงแสง สี และเสียงแบบอินเทอร์แอคทีฟที่มีเซนเซอร์จับการเคลื่อนไหว ทุกครั้งที่มีรถหรือผู้คนผ่านบนสะพาน แสงไฟจะสว่างไสว พร้อมกับโน้ตดนตรีที่บรรเลงออกมาเป็นบนเพลง “ล่องแม่ปิง” ในทำนองเปียโน สร้างบรรยากาศที่สนุกและมีชีวิตชีวาให้สะพานขัวเหล็กกลายเป็นเส้นทางแห่งเสียงเพลงและแสงสีที่เคลื่อนไหวตามจังหวะการเดินทาง
วัดคงคาราม
วัดคงคาราม ตั้งอยู่ที่ตำบลคลองตาคต อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี ตามประวัติระบุว่า ตั้งขึ้นในสมัยกรุงธนบุรี พ.ศ. ๒๓๒๐ โดยเจ้าเมืองรามัญ ๗ เมือง อันได้แก่ พระสมิงสิงหบุรินทร์ เมืองสิงห์ พระนินนะ ภูมินบดี เมืองลุ่มสุ่ม พระชินติฐบดี เมืองท่าตะกั่ว พระนิโครธาภิโยค เมืองไทรโยค พระปนัสติฐบดี เมืองท่าขนุน พระเสลภูมิบดี เมืองทองผาภูมิ และพระผลกติฐบดี เมืองท่ากระดาน พร้อมครอบครัวชาวมอญที่อพยพเข้ามาตั้งบ้านเรือนอยู่ริมแม่น้ำแม่กลอง ได้ร่วมกันบูรณะปฏิสังขรณ์วัดคงคารามขึ้นเพื่อใช้เป็นศูนย์กลางของสงฆ์รามัญนิกาย ต่อมาเป็นศูนย์รวมของชาวมอญในจังหวัดราชบุรีและจังหวัดใกล้เคียง ในปลายสมัยรัชกาลที่ ๒ พระยามหาโยธา (เจ่ง คชเสนี) ขุนนางไทยเชื้อสายมอญได้นิมนต์พระครูรามัญญาธิบดี พระราชาคณะฝ่ายรามัญนิกายมาเป็นเจ้าอาวาส วัดมีชื่อเรียกเป็นภาษามอญว่า “เภี้ยโต้” แปลว่า วัดกลาง วัดคงคารามเจริญรุ่งเรืองสูงสุดในสมัยรัชกาลที่ ๔ โดยเจ้าจอมมารดากลิ่นในรัชกาลที่ ๔ เป็นผู้อุปถัมภ์และได้ทูลเกล้าฯ ถวายเป็นพระอารามหลวง จึงทรงพระราชทานนามวัดว่า “วัดคงคาราม”
สิ่งสำคัญภายในวัด ได้แก่ พระอุโบสถ ซึ่งเขียนภาพจิตรกรรมฝาผนังโดยช่างสกุลกรุงเทพฯ ในช่วงปลายรัชกาลที่ ๓ เป็นรูปพระอดีตพุทธเจ้า ภาพเทพชุมนุม พุทธประวัติ และทศชาติชาดก โดยรอบพระอุโบสถมีเจดีย์แบบมอญจำนวน ๗ องค์ อันหมายถึงเมืองรามัญ ๗ เมือง นอกจากนี้ยังมีเรือนไม้สักทรงไทยขนาดใหญ่เป็นพิเศษที่มีงานสลักไม้อย่างวิจิตรที่บานหน้าต่าง คือ กุฏิเจ็ดห้อง และกุฏิเก้าห้อง
กรมศิลปากร ประกาศขึ้นทะเบียนโบราณสถานวัดคงคารามในราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๙๒ ตอนที่ ๑๓๖ วันที่ ๒๑ กรกฎาคม ๒๕๑๘
Wat Khongkharam
Wat Khongkharam is located in Khlong Ta Khot Subdistrict, Photharam District, Ratchaburi Province. The temple was established in 1777 during the Thon Buri period by the governors of seven Mon cities, namely, Phra Saming Singha Burin of Sing City, Phra Ninna Phuminabodi of Lumsum City, Phra Chintithabodi of Tha Takua City, Phra Nikhrothaphiyok of Sai Yok City,
Phra Panatsatithabodi of Tha Khanun City, Phra Selaphumbodi of Thong Pha Phum City, and Phra Pholkatithabodi of Tha Kradan City, along with Mon people who resettled on the banks of Mae Klong River. The Mon governors and people restored Wat Khongkharam as the central temple for Buddhist monks of Ramanna Nikaya (Mon order). Later, the temple became the center for Mon people in Ratchaburi and neighboring provinces. In the late King Rama II’s reign, Phraya Mahayotha (Cheng Khotchaseni), a Thai lord of Mon ancestry, invited Phra Khru Ramanthibodi, a monk from Ramanna Nikaya, to be an abbot of the temple. The temple was called in Mon language “Phia To,” which means Wat Klang (the central temple). The glory of Wat Khongkharam reached its pinnacle in the reign of King Rama IV when Chao Chom Manda Klin, the King’s consort, became a patron of the temple and offered the temple to become
a royal temple. Thus, King Rama VI bestowed on the temple a new name “Wat Khongkharam.”
Important buildings in the monastery are the ordination hall, Mon-style chedis, and traditional Thai-style monk quarters. The ordination hall of Wat Khongkharam is famous for its mural paintings by Bangkok craftsmen during the late King Rama III’s reign. The murals illustrate Buddhas of the past, an assembly of devas (heavenly beings), Buddha’s life events, and some of the Jataka Tales (stories of the previous births of Buddha). The ordination hall is surrounded by seven Mon-style chedis, signifying the seven Mon cities. The temple’s traditional Thai-style monk quarters, the seven-room Kuti and nine-room Kuti, are made of teak wood and are special in their largeness and gorgeously carved wooden windows.
The Fine Arts Department announced the registration of Wat Khongkharam as an ancient monument in the Royal Gazette, Volume 92, Part 136, dated 21st July 1975.
ชื่อเรื่อง สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สงฺคิณี-มหาปฎฐาน)อย.บ. 95/4หมวดหมู่ พุทธศาสนาประเภทวัสดุ/มีเดีย คัมภีร์ใบลานลักษณะวัสดุ 56 หน้า : กว้าง 5 ซม. ยาว 54 ซม.บทคัดย่อ/บันทึก เป็นคัมภีร์ใบลาน ฉบับล่องชาด ไม้ประกับธรรมดา ได้รับจาก วัดประดู่ทรงธรรม จ.พระนครศรีอยุธยา
ชื่อเรื่อง สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สงฺคิณี-มหาปฎฐาน)
อย.บ. 128/4
หมวดหมู่ พุทธศาสนาประเภทวัสดุมีเดีย คัมภีร์ใบลานลักษณะวัสดุ 26 หน้า กว้าง 4.5 ซม. ยาว 58.5 ซม.
บทคัดย่อ/บันทึก เป็นคัมภีร์ใบลาน ฉบับทองทึบ ไม้ประกับธรรมดา ได้รับจาก จ.พระนครศรีอยุธยา