ค้นหา

รายการที่พบทั้งหมด 48,748 รายการ


          พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร นับเป็นพิพิธภัณฑสถานสำหรับประชาชนแห่งแรกใน ประเทศไทย เป็นแหล่งเรียนรู้ตลอดชีวิตสำหรับประชาชนทุกเพศทุกวัย และเป็นแหล่งที่รวบรวมมรดกวัฒนธรรมของชาติไว้เป็นจำนวนมาก จึงมีโบราณวัตถุ ศิลปวัตถุที่มีความสำคัญจัดแสดงอยู่ภายในพระที่นั่ง และอาคารต่างๆ ที่หลายคนอาจยังไม่เคยได้ไปชมหรือสนใจเรียนรู้เพิ่มเติม ทางพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร จึงจัดกิจกรรม “นำชมวันอาทิตย์” เปิดรอบนำชมนิทรรศการ ห้องจัดแสดงต่าง ๆ ภายในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร สำหรับผู้สนใจเข้าชมพิพิธภัณฑ์ โดยมีภัณฑารักษ์และเจ้าหน้าที่พิพิธภัณฑ์ บรรยายนำชมทุกบ่ายวันอาทิตย์           ขอเชิญชวนผู้สนใจเข้าร่วมกิจกรรม “นำชมวันอาทิตย์” สามารถลงทะเบียน ณ บริเวณห้องจำหน่ายบัตร พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ในวันอาทิตย์ (เฉพาะช่วงเวลาที่จัดกิจกรรมเท่านั้น) โดยเปิดให้ลงทะเบียนร่วมกิจกรรมและแบ่งกลุ่ม ในเวลา ๑๓.๐๐ – ๑๓.๐๐ น. และเวลา ๑๓.๓๐ – ๑๕.๐๐ น. เริ่มกิจกรรมนำชม ทั้งนี้ กิจกรรมอาจมีการเปลี่ยนแปลง สามารถติดตามข่าวสาวได้ทางเฟสบุ๊ก Education National Museum Bangkok เที่ยวพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร หรือสอบถามเพิ่มเติม โทร. ๐ ๒๒๒๔ ๑๓๔๒ และ ๐ ๒๒๒๔ ๑๓๓๓



          อุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชร กำหนดจัดการบรรยายทางวิชาการ หัวข้อเรื่อง “การขุดค้นทางโบราณคดี บริเวณทิศตะวันออกเฉียงใต้ของเมืองกำเพงเพชร” ให้แก่นักเรียนและบุคลากรทางการศึกษาในท้องถิ่น ณ โรงเรียนกำแพงเพชรพิทยาคม อำเภอเมือง จังหวัดกำแพงเพชร ระหว่างเดือนสิงหาคม – กันยายน ๒๕๖๕ รวม ๕ ครั้ง กว่า ๒,๐๐๐ คน           กิจกรรมนี้จัดขึ้นเพื่อเผยแพร่ความรู้ทางวิชาการด้านประวัติศาสตร์ โบราณคดีกำแพงเพชร เป็นการปลูกฝังให้นักเรียนและบุคลากรทางการศึกษาได้ตระหนักในความสำคัญของมรดกทางศิลปวัฒนธรรมของชาติ ก่อให้เกิดจิตสำนึกในการดูแลรักษาให้คงอยู่ต่อไป ซึ่งการจัดการบรรยายทางวิชาการ เป็นส่วนหนึ่งในการดำเนินงานของอุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชรในฐานะที่เป็นแหล่งเรียนรู้และแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมอย่างยั่งยืน           กำหนดจัดการบรรยายทางวิชาการ รวมจำนวน ๕ ครั้ง ดังนี้           ครั้งที่ ๑ วันที่ ๑๕ สิงหาคม ๒๕๖๕ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๒ จำวน ๔๕๐ คน           ครั้งที่ ๒ วันที่ ๑๖ สิงหาคม ๒๕๖๕ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓ จำวน ๔๕๘ คน           ครั้งที่ ๓ วันที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๖๕ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๔ จำวน ๔๔๐ คน           ครั้งที่ ๔ วันที่ ๑ กันยายน ๒๕๖๕ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๕ จำวน ๔๕๑ คน           ครั้งที่ ๕ วันที่ ๒ กันยายน ๒๕๖๕ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๖ จำวน ๔๗๐ คน   สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่อุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชร โทร. ๐ ๕๕๘๕ ๔๗๓๖ - ๗ หรือติดตามข่าวสารกิจกรรมเพิ่มเติมได้ทางเฟสบุ๊ก อุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชร : Kamphaeng Phet Historical Park


       พระพิมพ์ดินเผา รูปเหวัชระมณฑลและพระพุทธรูปลีลา        สมัยสุโขทัย พุทธศตวรรษที่ ๑๙-๒๐ (๖๐๐-๗๐๐ ปีมาแล้ว)        ได้มาจากวัดพระแก้ว อำเภอสรรคบุรี จังหวัดชัยนาท        ปัจจุบันจัดแสดง ณ ห้องสุโขทัย อาคารประพาสพิพิธภัณฑ์ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร        พระพิมพ์ดินเผา ทรงกลีบบัว กึ่งกลางเป็นรูปเหวัชระแปดเศียร สิบหกกร ประทับขัดสมาธิ ล้อมรอบด้วยพระโพธิ์สัตว์สี่องค์ (รายละเอียดค่อนข้างเลือน) ด้านบนเป็นพระพุทธรูปปางสมาธินาคปรก ด้านล่างเป็นพระพุทธรูปปางสมาธิ ๔ องค์ ประทับในซุ้ม ด้านหลังพระพิมพ์เป็นรูปพระพุทธรูปลีลา พระพักตร์รูปไข่ พระหัตถ์ขวายกขึ้นมาแนบพระอุระแสดงอภัยมุทรา (ปางประทานอภัย) พระหัตถ์ซ้ายแนบพระวรกาย พระบาทซ้ายยกขึ้นแสดงอิริยาบถลีลา         ด้านหน้าพระพิมพ์สันนิษฐานว่าหมายถึง “เหวัชระมณฑล” (Mandala of Hevajara) ซึ่งคําว่ามณฑลในภาษาสันสกฤตแปลว่า วงกลม เป็นสัญลักษณ์ของพุทธภาวะ หรือการบรรลุโพธิญาณ ในขณะที่พุทธศาสนามหายานตันตระ มณฑลเป็นจักรวาลที่สถิตของเทพเจ้าและพระโพธิ์สัตว์ บางพิธีกรรมมีการใช้ภาพวาดมณฑลเพื่อให้ผู้ทำพิธีและผู้ร่วมพิธีรู้สึกเชื่อมโยงกับเทพเจ้าได้อย่างลึกซึ้ง        ส่วนรูปพระลีลาด้านหลังพระพิมพ์นั้นเป็นการพิมพ์รูปอีกชิ้นแล้วนำมาประกบ ซึ่งพระพุทธรูปลีลาเป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของงานศิลปกรรมสุโขทัย และได้รับความนิยมอย่างมากในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๒๐         พระพิมพ์เหวัชระมณฑลชิ้นนี้ เป็นตัวอย่างงานของการผลิตซ้ำศิลปกรรมเขมร พุทธศตวรรษที่ ๑๘ (๘๐๐ ปีมาแล้ว) เนื่องจากเป็นช่วงเวลาที่พุทธศาสนามหายานมีความเจริญรุ่งเรือง ในวัฒนธรรมเขมรพบหลักฐานทางโบราณคดีที่เกี่ยวข้องกับเหวัชระทั้งงานจำหลักศิลารูปเหวัชระ เช่น ทับหลังรูปเหวัชระปราสาทบันทายฉมาร์ ประติมากรรมนูนต่ำรูปเหวัชระมณฑล บริเวณประตูผี เมืองนครธม เป็นต้น รวมทั้งพบประติมากรรมสัมฤทธิ์รูปเหวัชระหลายชิ้นและพระพิมพ์เหวัชระมณฑล         ในประเทศไทยพบประติมากรรมเหวัชระหลายชิ้นรวมถึง พระพิมพ์รูปเหวัชระ และเหวัชระมณฑลแพร่กระจายหลายพื้นที่ เช่น พระพิมพ์สัมฤทธิ์รูปเหวัชระมณฑลที่จังหวัดสุพรรณบุรี, อำเภอเมืองสิงห์บุรี จังหวัดสิงห์บุรี และที่โบราณสถานกู่ช้าง กู่ม้า อำเภอเมืองลำพูน จังหวัดลำพูน เป็นต้น        นอกจากนี้ยังพบ “แม่พิมพ์พระพิมพ์เหวัชระ” อยู่หลายแห่งด้วยเช่นกัน อาทิ แม่พิมพ์ดินเผารูปเหวัชระ ปราสาทหินพิมาย จังหวัดนครราชสีมา แม่พิมพ์ดินเผารูปเหวัชระ ปราสาทเมืองสิงห์ จังหวัดกาญจนบุรี ชิ้นส่วนดินเผาสำหรับหล่อประกบแม่พิมพ์รูปเหวัชระ พบที่บ้านบ่อโตนด ตำบลพระประโทน อำเภอเมืองนครปฐม จังหวัดนครปฐม         ดังนั้นการพบพระพิมพ์ดินเผารูปเหวัชระมณฑลชิ้นนี้ จึงสะท้อนว่าสังคมในพื้นที่ภาคกลางของประเทศไทยในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๑๙-๒๐ (๖๐๐-๗๐๐ ปีมาแล้ว) ยังคงให้ความสนใจและสืบทอดการสร้างพระพิมพ์รูปเหวัชระมณฑล ซึ่งในบางแหล่งเช่น กรุพระปรางค์วัดราชบูรณะ (สร้างขึ้นในรัชสมัยสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๒ พ.ศ. ๑๙๖๗-๑๙๙๑) ได้พบทั้งพระพิมพ์รูปเหวัชระมณฑลและแม่พิมพ์พระพิมพ์รูปเหวัชระมณฑลประดิษฐานภายในกรุ   อ้างอิง กรมศิลปากร. พระพิมพ์ : พระเครื่องเมืองไทย. นครปฐม: รุ่งศิลป์การพิมพ์, ๒๕๖๔. ชัญธิกา มนาปี. การศึกษาคติความเชื่อและรูปแบบเหวัชระที่พบในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้. วิทยานิพนธ์ศิลปศาสตร์มหาบัณฑิต (โบราณคดีสมัยประวัติศาสตร์). กรุงเทพฯ: บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร, ๒๕๕๘.




องค์ความรู้ทางวิชาการ เรื่อง แหล่งภาพเขียนสีในเขตวนอุทยาน ภูหัน ภูระงำ บ้านหูลิง หมู่ 2 ตำบลวังแสง อำเภอชนบท จังหวัดขอนแก่น ค้นคว้าและเรียบเรียง : นางสาวกุลวดี สมัครไทย นักโบราณคดีชำนาญการ , นายยุตเสวี ธีรรัฐ นักวิชาการวัฒนธรรม สำนักศิลปากรที่ 8 ขอนแก่น ARTWORK : นางสาวทรัพย์อนันต์ ซื่อสัตย์



ชื่อเรื่อง                               อาทิกมฺมปาลิ(ปาราชิกปาลิ)มหาวิยงฺคปาลิ(ปาราชิกัณฑ์) สพ.บ.                                  อย.บ.2/8ประเภทวัสดุมีเดีย                    คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่                               พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ                           42 หน้า กว้าง 5.5 ซม. ยาว 56 ซม.หัวเรื่อง                                 พุทธศาสนา          บทคัดย่อ/บันทึก          เป็นคัมภีร์ใบลาน เส้นจาร ฉบับทองทึบ ลานดิบ ร่องชาด ได้รับบริจาคมาจาก จ.พระนครศรีอยุธยา


-- องค์ความรู้จากเอกสารจดหมายเหตุ : เขตห้ามจับสัตว์น้ำ -- การกำหนดเขตห้ามจับสัตว์น้ำในกว๊านพะเยา มีหลักฐานหนึ่งปรากฏในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล รัชกาลที่ 8 และเป็นช่วงเวลาที่ทั่วโลกกำลังอยู่ในภาวะสงครามโลกครั้งที่ 2 หลักฐานนั้นคือ ประกาศของกระทรวงเกษตราธิการ " เรื่องกำหนดไห้ไช้เครื่องมือบางหย่างทำการจับสัตว์น้ำ พายไนบริเวณเขตไกล้เคียงที่หวงห้ามรักสาพืชพันธุ์ กว๊านพะเยา ไนท้องที่จังหวัดเชียงราย " (การสะกดคำ ณ ขณะนั้น) โดยมีสาระสำคัญสรุปได้ว่า เขตห้ามจับสัตว์น้ำในกว๊านพะเยามีพื้นที่ดังนี้ 1. ทิศเหนือ ตั้งแต่วัดศรีโคมคำ เรียบแนวถนนประชาธิปัตย์ จนถึงวัดรัตนจักรแก้ว (ฮองห้า) 2. ทิศใต้ ผ่านวัดสันนามูล ตำบลสันกว๊าน ไปสุดที่วัดจันตะราช ตำบลบ้านสันเวียงใหม่ 3. ทิศตะวันออก เริ่มจากวัดศรีโคมคำ ตัดข้ามกว๊านไปทางทิศใต้ จนจรดหมุดประมงที่กำหนดไว้ 4. ทิศตะวันตก นับแต่วัดจันตะราช ตำบลสันเวียงใหม่ ตัดเป็นเส้นตรงข้ามหมุดประมง ไปจนถึงวัดรัตนจักรแก้ว (ฮองห้า)  ท้ายประกาศยังระบุด้วยว่า " ห้ามมิไห้ผู้หนึ่งผู้ไดนำเอาเครื่องมือเข้าไปทำการจับสัตว์น้ำ เว้นแต่เครื่องมือ ลอบ, ไซ, จั๋ม (ยกยอ), สุ่ม, และเบ็ดต่างๆ ซึ่งอนุญาตไห้นำเข้าไปไช้เพื่อทำการจับสัตว์ไนเขตดังกล่าวนั้นได้ "  ชาวอำเภอพะเยา จังหวัดเชียงราย หรือแม้กระทั่งปัจจุบันก็ตาม ทราบดีว่า กว๊านพะเยามีสัตว์น้ำกับพันธุ์พืชน้ำจืดเศรษฐกิจที่พบบ่อย เช่น ปลาหมอเทศ ปลาหมอช้าง ปลาดุก ปลาช่อน ปลากระดี่ กุ้งฝอย บัว และสาหร่าย (ไม่นับรวมผักตบชวาเพราะเป็นวัชพืช) ฯลฯ ซึ่งทางการจำเป็นต้องกำหนดพื้นที่ห้ามจับ ห้ามเก็บ เพราะต้องการสร้างบริเวณอนุรักษ์ และโดยเฉพาะฤดูวางไข่มีผลต่อการขยายพันธุ์ ขยายปริมาณนับแต่อดีตเรื่อยมา น่าเสียดายที่หลักฐานเคยมีแผนที่แสดงขอบเขตหวงห้ามดังกล่าวแนบมาด้วย หากไม่ปรากฏในแฟ้มเอกสารจดหมายเหตุตั้งแต่แรก แต่อย่างไรก็ดี " ประกาสกะซวงกเสตราธิการ " ฉบับนี้ถือเป็นหลักฐานชั้นต้น สามารถยืนยันการเอาใจใส่ ดูแลรักษาระบบนิเวศของกว๊านพะเยามาอย่างต่อเนื่อง. . . ต่อเนื่องมาถึง 3 รัชกาลจนกระทั่งปัจจุบัน.ผู้เขียน : นายธานินทร์ ทิพยางค์ (นักจดหมายเหตุ หอจดหมายเหตุแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติฯ พะเยา)เอกสารอ้างอิง : หอจดหมายเหตุแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติฯ พะเยา. เอกสารสถานีประมงน้ำจืดจังหวัดพะเยา (2) กษ 1.1.1.1/1 เรื่องการบันทึกการปฏิบัติงานตำหรวดรักสาการณ์ สถานีประมงกว๊านพะเยาและคดีความต่างๆ [ 29 ส.ค. 2485 - 18 ก.ค. 2528 ].#จดหมายเหตุ #องค์ความรู้จากจากจดหมายเหตุ #หอจดหมายเหตุแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติฯพะเยา #เอกสารจดหมายเหตุ


ชื่อเรื่อง                                        สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม  (สงฺคิณี-มหาปฏฺฐาน) อย.บ.                                           54/7ประเภทวัดุ/มีเดีย                       คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่                                     พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ                              42 หน้า : กว้าง 5 ซม. ยาว 57 ซม.หัวเรื่อง                                        พุทธศาสนาบทคัดย่อ/บันทึก               เป็นคัมภีร์ใบลาน เส้นจาร ฉบับทองทึบ ไม้ประกับธรรมดา ได้รับบริจาคมาจาก จ.พระนครศรีอยุธยา


กมฺมฎฺฐานวิธิ (วิธีเจริญกัมมัฎฐาน) ชบ.บ 120/1 เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)


สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สงฺคิณี-มหาปฎฺฐาน) ชบ.บ 161/2 เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)


      ประติมากรรมดินเผารูปสิงห์ : ประติมากรรมประดับจุกภาชนะสมัยทวารวดี       ประติมากรรมดินเผารูปสิงห์จำนวน ๒ ชิ้น พบบริเวณเมืองโบราณอู่ทอง อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี จัดแสดงห้องอู่ทองศรีทวารวดี พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อู่ทอง       ชิ้นที่ ๑ ขนาดกว้าง ๓ เซนติเมตร สูง ๕.๗ เซนติเมตร สิงห์มีใบหน้ายาวรี ตากลมโตเบิกโพลง จมูกแบน รูจมูกใหญ่ แยกเขี้ยวยิงฟัน ใบหน้าดุร้าย มีแผงคอรูปสามเหลี่ยมซ้อนกัน ๒ ชั้น ตกแต่งด้วยเส้นขีด อยู่ในท่าหมอบบนฐานทรงกลมตกแต่งด้วยลายกลีบบัวหงาย บริเวณด้านข้างลำตัวทั้งสองด้านเจาะรูกลมทะลุถึงกัน อาจใช้สำหรับร้อยเชือก        ชิ้นที่ ๒ ขนาดกว้าง ๕ เซนติเมตร สูง ๘.๕ เซนติเมตร สิงห์มีใบหน้ากลม มีตากลมโตเบิกโพลง จมูกแบน รูจมูกใหญ่ แยกเขี้ยวยิงฟัน ใบหน้าดุร้าย มีแผงคอรูปสามเหลี่ยมซ้อนกัน ๓ ชั้นตกแต่งด้วยเส้นขีด อยู่ในท่านั่งบนฐานทรงกลมตกแต่งด้วยลายกลีบบัวหงาย ฐานส่วนล่างหักหายไป ระหว่างขาหน้าและขาหลังทั้งสองด้านเจาะรูกลมทะลุถึงกัน อาจใช้สำหรับร้อยเชือก       สิงห์เป็นสัตว์มงคลที่เป็นสัญลักษณ์แห่งความยิ่งใหญ่ สง่างาม แข็งแกร่งและกล้าหาญ เป็นสัญลักษณ์ของชนชั้นสูงที่มีอำนาจในการปกครองอย่างกษัตริย์หรือจักรพรรดิ ทั้งนี้ในคติความเชื่อทางด้านศาสนาพุทธ สิงห์เป็นสัญลักษณ์ที่แสดงถึงพระพุทธเจ้า เนื่องจากพระองค์ได้รับการขนานนามว่าเป็นสิงห์แห่งศากยวงศ์         ประติมากรรมรูปสิงห์พบมากในงานศิลปกรรมสมัยทวารวดี นอกจากประติมากรรมดินเผา ๒ ชิ้นนี้แล้ว ที่เมืองโบราณอู่ทองยังพบตราดินเผารูปสิงห์อีกหลายชิ้น และยังพบประติมากรรมรูปสิงห์สำริดด้วย นอกจากนี้ยังพบรูปสิงห์ที่เป็นประติมากรรมดินเผาและปูนปั้นประดับศาสนสถานตามแหล่งโบราณคดีสมัยทวารวดี เช่น เจดีย์จุลประโทนและพระประโทนเจดีย์ จังหวัดนครปฐม เขาคลังใน จังหวัดเพชรบูรณ์ บ้านโคกไม้เดน จังหวัดนครสวรรค์ ทุ่งเศรษฐี จังหวัดเพชรบุรี เป็นต้น       สันนิษฐานว่าประติมากรรมรูปสิงห์ทั้ง ๒ ชิ้นนี้เป็นประติมากรรมที่ประดับอยู่บนจุกดินเผา ซึ่งใช้อุดปากภาชนะประเภทปากแคบหรือขวดที่มีความสำคัญ อาจใช้สำหรับบรรจุของที่ใช้ในพิธีกรรมที่มีความเกี่ยวข้องกับศาสนา ความเชื่อ หรืออาจเป็นเครื่องใช้ของบุคคลชั้นสูงหรือชนชั้นปกครองก็เป็นได้ กำหนดอายุสมัยทวารวดี ราวพุทธศตวรรษที่ ๑๒ – ๑๔ หรือประมาณ ๑,๒๐๐ – ๑,๔๐๐ ปีมาแล้ว   เอกสารอ้างอิง กรมศิลปากร. โบราณคดีเมืองอู่ทอง. นนทบุรี : สหมิตรพริ้นติ้ง, ๒๕๔๕. ดวงกมล  อนันต์วัชรกุล. “คติความเชื่อเรื่องสัตว์ที่ปรากฏในวัฒนธรรมทวารวดี.” เอกสารการศึกษาเฉพาะบุคคลภาควิชาโบราณคดี คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร, ๒๕๕๔.


ชื่อเรื่อง                                        สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม  (สงฺคิณี-มหาปฏฺฐาน) อย.บ.                                           15/5ประเภทวัดุ/มีเดีย                          คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่                                     พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ                                38 หน้า : กว้าง 4.7 ซม. ยาว 56 ซม.หัวเรื่อง                                       พุทธศาสนาบทคัดย่อ/บันทึก               เป็นคัมภีร์ใบลาน เส้นจาร ฉบับทองทึบ ไม้ประกับธรรมดา ได้รับบริจาคมาจาก จ.พระนครศรีอยุธยา


black ribbon.