ค้นหา

รายการที่พบทั้งหมด 48,755 รายการ




สมาคมอิโคโมสไทย ขอเชิญร่วมการเสวนาทางวิชาการ หัวข้อ "(หยุด) รื้อ โบราณสถาน ศาลฎีกา (....)" โดยวิทยากร ประกอบด้วย นายสหวัฒน์ แน่นหนา อธิบดีกรมศิลปากร นายบวรเวท รุ่งรุจี ผู้ตรวจราชการกระทรวงวัฒนธรรม นางภารนี สวัสดิรักษ์ สมาคมนักผังเมืองไทย นางปองขวัญ สุขวัฒนา ลาซูส สมาคมสถาปนิกสยามฯ นางสาวมาลีภรณ์ คุ้มเกษม หัวหน้ากลุ่มนิติการ กรมศิลปากร ผศ.ดร.พีรศรี โพวาทอง คณะสถาปัตยกรรม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในวันเสาร์ที่ ๕ มกราคม ๒๕๕๖ เวลา ๑๓.๓๐ น. ณ ห้องประชุมอาคารดำรงราชานุภาพ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร   ผู้สนใจสามารถเข้าร่วมฟังได้ ติดต่อสำรองที่นั่งได้ที่ ฝ่ายเลขานุการ สมาคมอิโคโสไทย โทร. ๐ ๒๒๘๐ ๑๗๗๐


ขั้นตอนและวิธีการขออนุญาตนำโบราณวัตถุเข้ามาในราชอาณาจักร   โบราณวัตถุที่จะขออนุญาตนำเข้ามาในราชอาณาจักร มีหลักเกณฑ์ ดังนี้   ๑. ประเภทของโบราณวัตถุ   โบราณวัตถุที่ต้องขออนุญาตในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร ได้แก่ โบราณวัตถุที่มีแหล่งกำเนิดในต่างประเทศ ประเภทพระพุทธรูป เทวรูป หรือรูปเคารพในศาสนา และชิ้นส่วนหรือองค์ประกอบของโบราณสถานตามพิกัดอัตราอากรขาเข้า ประเภทที่ ๙๗๐๓.๐๐๙ แบ่งเป็น ๓ ประเภท คือ   ๑. พระพุทธรูป   ๒. เทวรูปหรือรูปเคารพในศาสนา   ๓. ชิ้นส่วนหรือองค์ประกอบของโบราณสถาน   ๒. วัตถุประสงค์ในการขอนำเข้ามาในราชอาณาจักร   ๑. นำมาจัดแสดงเพื่อการศึกษาและเผยแพร่ในประเทศไทยเป็นการชั่วคราว โดยมีกำหนดระยะเวลาในการจัดแสดง และส่งกลับไว้แน่นอน   ๒. เพื่อการสักการบูชา ในปริมาณไม่เกิน ๒ ชิ้น   ๓. เพื่อบริจาคให้แก่ส่วนราชการ หรือรัฐวิสาหกิจ   ๓. ระยะเวลาที่ขอนำเข้ามาในราชอาณาจักร   กรมศิลปากรจะได้พิจารณาอนุญาตเป็นกรณี ๆ ไป   ๔. ผู้ขออนุญาตนำโบราณวัตถุเข้ามาในราชอาณาจักรจะต้องปฏิบัติตามขั้นตอน ดังนี้   (๑) ผู้ขออนุญาตจะต้องไปซื้อแบบฟอร์มในการขออนุญาตนำเข้า (แบบ ข.๑ ข.๒ หรือ ข.๓ แล้วแต่กรณี) ที่กระทรวงพาณิชย์ สนามบินน้ำ จังหวัดนนทบุรี พร้อมกรอกรายละเอียดต่าง ๆ ตามแบบฟอร์ม   (๒) ผู้ขออนุญาตทำหนังสือถึงอธิบดีกรมศิลปากร โดยแจ้ง เรื่อง ขออนุญาตนำพระพุทธรูป หรือ เทวรูปหรือรูปเคารพในศาสนา หรือชิ้นส่วนหรือองค์ประกอบของโบราณสถาน หรือทั้งหมด เข้ามาในราชอาณาจักร โดยแจ้งรายละเอียด จำนวน ชนิด ขนาด (กว้าง, ยาว, สูง เป็นเซนติเมตร) ของโบราณวัตถุ และระบุสถานที่เก็บโบราณวัตถุที่นำเข้าพร้อมหมายเลข   โทรศัพท์ที่สามารถติดต่อได้   (๓) เอกสารแนบการขออนุญาตนำเข้าประกอบด้วย   ๑. สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน   ๒. สำเนาทะเบียนบ้าน   ๓. หลักฐานการซื้อขาย   ๔. ใบขนส่งสินค้า หรือ Invoice   ๕. ถ้าเป็นโบราณวัตถุจะต้องขอใบอนุญาตนำของออกจากประเทศนั้นๆ ด้วย   (๔) ภาพถ่ายโบราณวัตถุที่ขออนุญาตนำเข้าเฉพาะด้านหน้า โดยถ่ายภาพ ๑ ครั้ง อัดพร้อมกันจำนวน ๒ ใบ ขนาด ๓ x ๕ นิ้ว   (๕) ผู้ขออนุญาตจะต้องทำหนังสือขออนุญาตด่านศุลกากรเพื่อให้พนักงานเจ้าหน้าที่กรมศิลปากร เข้าตรวจพิสูจน์โบราณวัตถุในคลังตามระเบียบกรมศุลกากร   (๖) ผู้นำเข้าจะต้องจัดพาหนะ รับ – ส่ง พนักงานเจ้าหน้าที่กรมศิลปากร ไปตรวจพิสูจน์โบราณวัตถุนั้น ๆ   ๕. สถานที่ติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม   • สำนักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เลขที่ ๘๑/๑ ถนนศรีอยุธยา แขวงวชิระ เขตดุสิต กรุงเทพฯ ๑๐๓๐๐ โทรศัพท์ , โทรสาร ๐ ๒๖๒๘ ๕๐๓๓, ๐ ๒๒๘๑ ๖๗๖๖   • สำนักงานเลขานุการกรม กลุ่มนิติการ โทรศัพท์ ๐ ๒๒๒๒ ๔๕๖๖, ๐ ๒๒๒๕ ๘๙๕๘ โทรสาร ๐ ๒๒๒๖ ๑๗๕๑      


 โบราณคดีแบบชุมชนร่วมรัฐที่วัดบางพระ เป็นกระบวนการอนุรักษ์อุโบสถเก่าของวัดบางพระระหว่างสำนักสิลปากรที่ 2 สุพรรณบุรี ร่วมกับวัดบางพระและชุมชนบางแก้วฟ้า ดดยพบว่า ปัจจัยสำคัญในการอนุรักษ์แบบมีส่วนร่วมนั้น นอกจากทางราชการต้องจริงใจและตอบสนองชุมชนท้องถิ่นอย่างทันท่วงทีแล้ว ชุมชนท้องถิ่นต้องมีกลุ่มผู้นำที่เข้าใจในงานอนุรักษ์โบราณสถาน และคนในท้องถิ่นพร้อมที่จะร่วมสนับสนุน นอกจากนี้ยังพบว่าอุโบสถหลังเก่าวัดบางพระที่เห็นอยู่ในปัจจุบันสร้างขึ้นในสมัยต้นรัตนดกสินทร์ ประมาณรัชกาลที่3 และซ่อมในสมัยรัชกาลที่ 4 โดยเป็นการสร้างทับอยู่บนซากอาคารหลังเดิมที่มีมาแล้วตั้งแต่สมัยอยุธยา






วันพฤหัสบดีที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๓ เวลา ๑๕.๐๐ - ๑๖.๐๐ น. นักเรียนและอาจารย์โรงเรียนบ้านดินดำเหล่าเสนใต้ อ.โนนคูณ จ.ศรีสะเกษ จำนวน ๑๑๐ คน เยี่ยมชมโบราณสถานปราสาทศีขรภูมิ อำเภอศีขรภูมิ จังหวัดสุรินทร์ โดยมีนายกรภัทร์ สุขใหญ่ พนักงานประจำพิพิธภัณฑ์ นำชมและให้การต้อนรับ



หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ ร.9 นครราชสีมา ร่วมกับ วิทยาลัยนาฏศิลปนครราชสีมา   จัดโครงการสัปดาห์อนุรักษ์มรดกไทย ประจำปี 2561   กิจกรรม "หัดนุ่งโจง ห่มสไบ ใส่ผ้าซิ่น"    วันที่ 5 เมษายน 2561   ณ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ ร.9 นครราชสีมา



ทรรศการชั่วคราวเรื่อง " ปูนปั้น "                     นิทรรศการเรื่อง " ปูนปั้น " เป็นนิทรรศการที่บอกเล่าเรื่องราวความเป็นมาเกี่ยวปูน ว่าแท้ที่จริงนั้นปูนไม่ใช่ของที่พึ่งเกิดขึ้นใหม่แต่เป็นสิ่งที่มีมาแล้วและสามารถสืบย้อนกลับไปได้หลายศตวรรษ  ปูนนั้นมีหลากหลายประเภท และมีชื่อเรียกแต่กต่างกันไป บ้างเรียกตามสี เช่น ปูนขาว ปูนแดง บ้างเรียกตามประเภทของงาน เช่น ปูนก่อ ปูนฉาบ และบ้างเรียกตามการผลิตปูน เช่น ปูนตำ ปูนหมัก เป็นต้น                         ในดินแดนที่เป็นประเทศไทยปัจจุบันมนุษย์รู้จักนำปูนมาใช้ในงานก่อสร้างเป็นเวลามากกว่าพันปีแล้ว โดยใช้เป็นวัสดุเชื่อมประสานหินหรืออิฐที่ใช้ในการก่อสร้างให้ติดกัน  ปูนที่ใช้คือ “ปูนขาว” (lime) ซึ่งได้จากการเผาวัตถุที่มีองค์ประกอบส่วนใหญ่เป็นแคลเซียมคาร์บอเนต (calcium carbonate) เช่น หินปูน หินอ่อน และเปลือกหอย เป็นต้น  หากนำปูนขาวไปใช้เป็นวัสดุเชื่อมยึดหินหรืออิฐให้ติดกันเพื่อก่อเป็นผนัง กำแพง หรือเพดานก็จะเรียกว่า “ปูนสอ” (Mortar)  แต่ถ้าใช้เป็นวัสดุฉาบหินหรืออิฐจะเรียกว่า “ปูนฉาบ” (plaster) และถ้าใช้ทำเป็นลวดลายหรือปั้นประดับตามอาคารจะเรียกว่า “ปูนปั้น” (stucco)  ทั้งนี้ในปูนสอและปูนฉาบจะมีองค์ประกอบที่สำคัญ ๒ ส่วน คือ ปูนขาวและทราย ขณะที่ในปูนปั้นจะมีองค์ประกอบ ๔ ส่วน คือ ปูนขาว ทราย เส้นใย และกาว                            ร่องรอยการใช้ปูนที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศไทยพบในสมัยทวารวดี ราวพุทธศตวรรษที่ ๑๒-๑๖ โดยพบการนำปูนขาวมาใช้งานสถาปัตยกรรมและศิลปกรรมควบคู่ไปกับการใช้ดินเผาอย่างแพร่หลาย ส่วนใหญ่เป็นงานปูนปั้นประดับอยู่ตามฐานของอาคารและเจดีย์ ซึ่งแม้จะอยู่ในสภาพไม่สมบูรณ์ แต่ก็ยังคงความงดงามและแสดงถึงเอกลักษณ์ของวัฒนธรรมทวารวดีได้อย่างชัดเจน เช่น ภาพปูนปั้นเล่าเรื่องที่ฐานเจดีย์จุลประโทน จังหวัดนครปฐม, ภาพปูนปั้นนักดนตรีหญิงที่โบราณสถานเมืองคูบัว จังหวัดราชบุรี, งานปูนปั้นประดับโบราณสถานที่วัดนครโกษา จังหวัดลพบุรี และงานปูนปั้นประดับโบราณสถานเขาคลังใน เมืองศรีเทพ จังหวัดเพชรบูรณ์ เป็นต้น                    ความนิยมการใช้ปูนขาวในงานก่อสร้างยังคงสืบเนื่องเรื่อยมาจนถึงในสมัยรัตนโกสินทร์ เช่น การใช้ปูนเป็นตัวฉาบและสออิฐในการก่อสร้างหมู่พระที่นั่งพระราชฐานชั้นใน พระบรมมหาราชวังและการปั้นปูนประดับกระเบื้องพระปรางค์วัดอรุณราชวราราม เป็นต้นกระทั่งในสมัยรัชกาลที่ ๔ จึงเริ่มมีการใช้ปูนซีเมนต์ในการก่อสร้าง โดยเป็นการใช้ปูนซีเมนต์ปอร์ตแลนด์นำเข้าสร้างสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่ เช่น สะพานพระจอมเกล้าข้ามแม่น้ำเพชรบุรี จังหวัดเพชรบุรี  ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ ๕ เริ่มมีการใช้ปูนซีเมนต์ปอร์ตแลนด์นำเข้ามากขึ้น เช่น ใช้เป็นส่วนประกอบของคอนกรีตในการเสริมฐานรากเดิมของพระอุโบสถวัดราชาธิวาส และใช้ทำโครงสร้างอาคารขนาดใหญ่อย่างพระที่นั่งอนันตสมาคม เป็นต้น                   กระทั่งในสมัยรัชกาลที่ ๖ จึงมีการตั้งโรงงานผลิตปูนซีเมนต์ปอร์ตแลนด์ขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศไทย เมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๖ ปัจจุบันรู้จักกันในชื่อบริษัทปูนซีเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) ทำให้มีการใช้ปูนซีเมนต์ในงานก่อสร้างมากกว่าเดิม เช่น ใช้สร้างพระที่นั่งเทวราชสภารมย์ในพระราชวังพญาไทสร้างหอประชุมโรงเรียนวชิราวุธวิทยาลัย และสร้างสะพานพระพุทธยอดฟ้าข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา เป็นต้นกระทั่งได้กลายเป็นที่นิยมใช้ในหมู่ประชาชนในเวลาต่อมา                  ปัจจุบันคนไทยนิยมใช้ปูนซีเมนต์ในการก่อสร้างอย่างแพร่หลาย เนื่องจากเป็นส่วนประกอบสำคัญของคอนกรีตซึ่งใช้เป็นโครงสร้างที่อยู่อาศัย อาคารสำนักงาน และสถาปัตยกรรมอื่นๆ อีกนับไม่ถ้วน ส่วนปูนขาวได้เปลี่ยนบทบาทเป็นวัสดุที่ใช้ในการอนุรักษ์โบราณสถาน เนื่องจากมีความยืดหยุ่นดีกว่าปูนซีเมนต์ หากแต่ก็ยังมีการใช้ในการทำปูนปั้นประดับตามศาสนสถานบางแห่งบ้าง   ว่าด้วยเรื่องปูนปั้น                 ปูนปั้นเป็นงานศิลปกรรมประเภทหนึ่งที่ได้จากการใช้ปูนผสมกับวัสดุต่างๆ แล้วปั้นเป็นลวดลายประดับสิ่งก่อสร้างให้เกิดความสวยงาม  จากหลักฐานทางโบราณคดีชี้ให้เห็นว่ามนุษย์ในพื้นที่ส่วนต่างๆ ของโลกรู้จักปั้นปูนประดับตกแต่งอาคารและศาสนสถานมาเป็นเวลานานแล้ว ไม่ว่าจะเป็นในอารยธรรมเมโสโปเตเมีย อารยธรรมกรีกอารยธรรมโรมัน และอารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุ เป็นต้น  สำหรับในประเทศไทยมนุษย์รู้จักปั้นปูนประดับอาคารมาอย่างน้อยตั้งแต่สมัยทวารวดี ราวพุทธศตวรรษที่ ๑๒-๑๖ ดังปรากฏหลักฐานปูนปั้นประดับศาสนสถานสมัยทวารวดีตามที่ต่างๆและยังเป็นที่นิยมเรื่อยมาทั้งในล้านนา สุโขทัย อยุธยา และรัตนโกสินทร์                 จากข้อมูลการศึกษาปูนปั้นโบราณทำให้ทราบว่า ปูนปั้นแต่ละแห่งมีส่วนผสมแตกต่างกันไป แต่หลักๆ จะประกอบด้วยส่วนผสมสำคัญ ๔ ส่วน คือ ปูนขาว ทราย เส้นใย และกาว  ส่วนผสมทั้งสี่นี้ช่างโบราณจะนำมาตำหรือโขลกรวมกันให้เป็นเนื้อเดียว และเรียกปูนที่ได้จากขั้นตอนนี้ว่า “ปูนตำ” หรือบางแห่งก็เรียก ปูนโขลก ปูนทิ่ม และปูนสดคุณสมบัติของปูนตำเป็นปูนที่มีความเหนียวและความแข็งแรง เนื่องจากมีเส้นใย กาว และเม็ดทรายผสมอยู่ หากแต่ก็มีความอ่อนตัวพอที่จะสามารถนำไปปั้นให้เป็นลวดลายต่างๆ ได้ ซึ่งเมื่อปูนที่ปั้นถูกอากาศก็จะทำปฏิกิริยากับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และกลายสภาพเป็นแคลเซียมคาร์บอเนตที่มีความแข็งแรงอีกครั้งหนึ่ง                  ปัจจุบันงานปูนปั้นในประเทศไทยยังคงมีผู้สืบทอดต่อกันมาในแต่ละสกุลช่าง แต่ที่เป็นที่รู้จักกันดีคือปูนปั้นสกุลช่างเพชรบุรีซึ่งสืบทอดต่อมาจากครูพิน อินฟ้าแสง โดยอาจารย์ทองร่วง เอมโอษฐ์ ศิลปินแห่งชาติ  กลุ่มช่างเหล่านี้จะมีบทบาททั้งในการซ่อมแซมอนุรักษ์ปูนปั้นโบราณ และการสร้างผลงานใหม่ประดับตามวัดวาอารามต่างๆ  ลวดลายปูนปั้นที่ได้นอกจากจะแสดงถึงความงดงามและถ่ายทอดเรื่องราวที่ผู้ปั้นต้องการสื่อสารแล้ว ยังสะท้อนถึงภูมิปัญญาที่สืบเนื่องต่อมาซึ่งมีคุณค่าทางวัฒนธรรมอย่างมากด้วย


          "บุ" หมายถึง การตี การแผ่ การกดทับ โดยการเอาโลหะที่มีลักษณะบางๆ ทำการหุ้มของบางสิ่งเข้าไว้ หรือการตีให้เข้ารูป การบุในเชิงช่างบุจึงหมายถึง การนำเอาโลหะชนิดใดชนิดหนึ่งมาตีแผ่ออกให้เป็นแผ่นบางๆ ตามขนาดที่ต้องการ แล้วนำไปหุ้มหรือปิดบนเค้าโครงของชิ้นงาน เพื่อปิดประดับเป็นผิวภายนอก ซึ่งบนแผ่นโลหะนั้นอาจจะมีการดุนลวดลาย เพื่อสร้างความสวยงามให้เกิดลายเป็นรอยนูนขึ้น           โลหะที่นิยมใช้ ได้แก่ ทองคำ เป็นโลหะสีเหลืองสุกปลั่ง มีเนื้ออ่อน มีความเหนียว เงิน เป็นโลหะสีขาว เนื้อค่อนข้าง่อน ทองแดง เป็นโลหะแดง เนื้ออ่อน มีความเหนียวยืดหยุ่น บุให้เป็นแผ่นบางและรีดเป็นเส้นลวดได้ง่าย ทองเหลือง เป็นโลหะสีเหลือง ที่เกิดจากการผสมระหว่างทองแดงและสังกะสี มีคุณสมบัติคล้ายทองแดง แต่มีความแข็งแรงกว่า


black ribbon.