ค้นหา
รายการที่พบทั้งหมด 48,759 รายการ
สุไหงบารู
สุไหงบารู หรือคลองใหม่ (สุไหง=คลอง, บารู=ใหม่) เป็นชื่อคลองในแขวงเมืองปัตตานี ซึ่งขุดขึ้นตามบัญชาของพระยาวิชิตภักดีศรีสุรวังษารัตนาเขตประเทศราช (สุลต่านสุไลมานชารีฟุดดินหรือตนกูบอสู) ผู้ปกครองเมืองปัตตานีระหว่างพ.ศ.๒๔๓๓-๒๔๔๒ เพื่อใช้เป็นคลองลัดในการเดินทางในแม่น้ำปัตตานี มีจุดเริ่มต้นแยกจากแม่น้ำปัตตานีบริเวณบ้านปรีกี ตำบลกระโด อำเภอยะรัง จังหวัดปัตตานี และไปบรรจบกับแม่น้ำปัตตานีอีกครั้งในบริเวณรอยต่อตำบลยะรังและตำบลประจัน อำเภอยะรัง จังหวัดปัตตานี สามารถย่นระยะทางจากเดิมราว ๒๑ กิโลเมตร ให้เหลือเพียงประมาณ ๗ กิโลเมตร และแนวคลองขุดลัดแม่น้ำปัตตานีทั้งหมดอยู่ในดินแดนแขวงเมืองปัตตานี
.........................................................................................
การขุดคลองด้วยเหตุประหลาด
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ เสนาบดีกระทรวงมหาดไทย เสด็จตรวจราชการหัวเมืองปักษ์ใต้ พ.ศ.๒๔๓๙ เมื่อเสด็จมาถึงเมืองปัตตานีทรงบันทึกเรื่องราวของคลองแห่งนี้ไว้ว่า
“...มีคลองลัดซึ่งพระยาตานีได้ขุดด้วยเหตุอันปลาดแห่งหนึ่ง ด้วยแม่น้ำนี้ปลายน้ำมาแต่เมืองยะลา ไหลไปในเขตรแดนหนองจิก ก่อนแล้วจึงวกมาออกปากน้ำเมืองตานี สินค้าที่ล่องลงมาตามลำน้ำถึงพรมแดนเมืองหนองจิกๆ ตั้งเก็บภาษีผ่านเมืองตรงนั้น ครั้นเรือล่องเข้าพรมแดนเมืองตานีๆ เก็บอิกซ้ำ ๑ เปนที่ย่อท้อของพ่อค้าภากันไป ออกทางปากน้ำเมืองหนองจิกเปนอันมาก เพื่อเหตุที่จะหนีภาษีสองซ้ำ พระยาตานีจึงคิดขุดคลองลัดขึ้นในพรมแดนเมืองตานีไปทะลุออก ลำน้ำใหญ่เหนือพรมแดนเมืองหนองจิก กันให้เรือหลีกลงมาทางนี้ได้ แต่คลองนี้ยังตื้นเดินได้แต่ระดูน้ำ…”
...............................................................................................
ผลจากการขุดคลอง
๑.การขุดคลองสุไหงบารูทำให้พ่อค้าสามารถเดินทางตามลำน้ำปัตตานีโดยไม่ต้องวกเข้าไปในดินแดนของเมืองหนองจิก ทำให้เมืองปัตตานีมีรายได้จากการจัดเก็บภาษีขาเข้าขาออกมากขึ้น แต่ก็ทำให้รายได้จากการจัดเก็บภาษีขาเข้าขาออกของเมืองหนองจิกลดลง
๒.ทางราชการต้องวางแผนเปลี่ยนลักษณะการจัดเก็บภาษีขาเข้าขาออกใหม่เพื่อลดความซ้ำซ้อน และเหตุขัดแย้งระหว่างเมืองต่างๆ โดยวางแผนให้มีการจัดเก็บภาษีขาเข้าขาออกที่ปากน้ำหลัก ๔ แห่ง คือปากน้ำเมืองหนองจิก ปากน้ำเมืองตานี ปากน้ำเมืองสายบุรี และปากน้ำเมืองยะหริ่ง โดยให้ยกเลิกด่านตรวจเก็บภาษีตามพรมแดนรอยต่อเมืองต่างๆให้หมด
๓.การขุดคลองสุไหงบารูซึ่งเป็นคลองลัดส่งผลให้แม่น้ำปัตตานีเดิมที่ไหลผ่านเข้าไปในแดนเมืองหนองจิกแห้งขอด จนมีน้ำไม่พอหล่อเลี้ยงนาข้าวซึ่งเป็นผลผลิตหลักของเมืองหนองจิก นอกจากนี้ปริมาณน้ำจืดและตะกอนดินที่แม่น้ำปัตตานีเคยพัดพามามีปริมาณลดลงมากส่งผลให้เมืองหนองจิกเกิดปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งและการลุกล้ำเข้ามาของน้ำเค็มมาก
ขึ้นด้วย
เรียบเรียงโดย นายสารัท ชลอสันติสกุล นักโบราณคดีชำนาญการ
กราฟฟิค นางสาวนันธ์ทิกา นิชรานนท์ เจ้าหน้าที่ทั่วไปกลุ่มโบราณคดี
สิงห์ : ผู้คุ้มครองศาสนสถานเมืองกำแพงเพชร
องค์ความรู้จากอุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชร
ทวารบาล หมายถึง นายประตูหรือผู้ปกปักรักษาประตู ไม่ให้สิ่งที่เป็นอันตรายหรือสิ่งชั่วร้ายผ่านไปสู่พื้นที่ด้านหลังบานประตูนั้นได้ ศาสนสถานเปรียบเสมือนที่ประทับแห่งเทพหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้นจึงต้องมีการสร้างรูปทวารบาลของศาสนสถานที่ดูน่าเกรงขามหรือทำให้เชื่อว่าป้องกันสิ่งที่ชั่วร้ายได้เพื่อเอาไว้คุ้มครองและอำนวยพรแก่ผู้มาสักการะให้รู้สึกปลอดภัยจากสิ่งชั่วร้าย จึงปรากฏการสร้างประติมากรรมรูปบุคคล และรูปสัตว์ชั้นสูงหรือสัตว์ที่เป็นมงคล บริเวณทางเข้าหรือประตูเพื่อเป็นทวารบาลในการปกป้องและคุ้มครองศาสนสถานแห่งต่าง ๆ
สิงห์ ความหมายตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตสถานพุทธศักราช ๒๕๕๔ หมายถึง สัตว์ในนิยาย ถือว่ามีความดุร้ายและมีกำลังมาก และมีที่มาจากสิงโตซึ่งเป็นสัตว์ในท้องถิ่นของประเทศอินเดีย เป็นตัวแทนของราชาแห่งสรรพสัตว์ทั้งหลาย สิงห์จึงเป็นสัญลักษณ์แห่งกษัตริย์ เมื่อพระพุทธเจ้านั้นเคยเป็นบุคคลในวรรณะกษัตริย์ สิงห์จึงถูกนำมาใช้เป็นสัญลักษณ์ในทางพระพุทธศาสนาอีกทางหนึ่ง ดังนั้นจึงปรากฏประติมากรรมรูปสิงห์ในฐานะทวารบาลบริเวณทางเข้าของศาสนสถาน ก่อนจะส่งต่อคติดังกล่าวไปยังจีนและเขมรในเวลาต่อมา ในพื้นที่ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ตามลักษณะทางสัตวภูมิศาสตร์ไม่ปรากฏสิงโตตามธรรมชาติ แต่รูปสิงห์นี้ก็ปรากฏอยู่ในลวดลายเครื่องประดับของเขมรตามแบบที่ได้รับมาจากอินเดีย ต่อมาประติมากรรมรูปสิงห์ลอยตัวของเขมรก็ปรากฏขึ้น และตั้งอยู่หน้าบันไดทางเข้า ณ ศาสนสถานหลายแห่ง เช่น ปราสาทหมู่กลางหลังที่ ๑ ที่สมโบร์ไพรกุก และปราสาทถมอดอบ รวมถึงทางเข้าของปราสาทหินพิมายในประเทศไทย
ที่เมืองกำแพงเพชรปรากฏประติมากรรมสิงห์ในฐานะทวารบาลบริเวณทางเข้าโบราณสถานหลายแห่ง เช่น โบราณสถานวัดช้างรอบ พบโกลนศิลาแลงประติมากรรมรูปสิงห์และด้านหลังสิงห์เป็นโกลนประติมากรรมรูปบุคคลบริเวณเชิงบันไดทางขึ้นลานประทักษิณของเจดีย์ประธาน
โบราณสถานวัดสิงห์ พบร่องรอยประติมากรรมรูปสิงห์และด้านหลังเป็นโกลนประติมากรรมรูปบุคคลตั้งเป็นคู่กัน บริเวณด้านหน้าชานชาลาของอุโบสถ และโบราณวัดพระนอนพบร่องรอยประติมากรรมรูปสิงห์จำนวน ๑ คู่ บริเวณบันไดต่อจากทางเข้าวัดด้านทิศใต้ แต่ไม่ปรากฏร่องรอยประติมากรรมของรูปบุคคลด้านหลังแบบที่พบในวัดช้างรอบและวัดสิงห์ แม้ว่าร่องรอยประติมากรรมสิงห์ที่พบที่วัดสิงห์และวัดพระนอนปรากฏสภาพที่ไม่สมบูรณ์นัก แต่พบหลักฐานจากภาพถ่ายเมื่อครั้งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จประพาสเมืองกำแพงเพชรเมื่อพุทธศักราช ๒๔๔๙ ปรากฏประติมากรรมรูปสิงห์ที่บริเวณดังกล่าวอย่างชัดเจน
นอกจากการพบประติมากรรมรูปสิงห์ในฐานะทวารบาลบริเวณทางเข้าของศาสนสถานแล้ว ที่เมืองกำแพงเพชรยังพบเจดีย์ทรงระฆังที่มีประติมากรรมสิงห์ล้อมที่ฐานเจดีย์พบที่วัดพระแก้ว ซึ่งเจดีย์รูปแบบดังกล่าวเป็นเจดีย์รูปแบบพิเศษพบที่กรุงศรีอยุธยา ๒ แห่ง คือเจดีย์ประธานวัดแม่นางปลื้มและเจดีย์ประธานวัดธรรมิกราช การประดับประติมากรรมรูปสิงห์ล้อมฐานเจดีย์ดังกล่าวนี้คงเทียบได้กับการทำรูปช้างล้อม กล่าวคือระเบียบในการประดับประติมากรรมรูปสัตว์ที่ฐานได้รับรูปแบบมาจากเจดีย์ช้างล้อมในศิลปะสุโขทัย แต่การประดับรูปสิงห์นั้นคงดัดแปลงเอามาจากศิลปะอยุธยาซึ่งได้รับอิทธิพลดังกล่าวมาจากศิลปะเขมร นอกจากนี้ที่โบราณสถานวัดอาวาสใหญ่ บริเวณฐานไพทีรูปตัวแอล (L) ที่รองรับเจดีย์บริวารจำนวน ๘ องค์ด้านบน ส่วนด้านทิศเหนือของวิหาร พบโกลนประติมากรรมรูปสิงห์ สันนิษฐานจากร่องรอยของสลักศิลาแลงที่ยื่นต่อออกมาจากฐานไพทีดังกล่าวน่าจะเป็นส่วนที่เคยรองรับประติมากรรมรูปสิงห์มาก่อน ซึ่งพบหลักฐานเฉพาะส่วนด้านทิศเหนือเท่านั้น และไม่พบสลักหรือโกลนประติมากรรมรูปสิงห์ที่ส่วนอื่นและฐานไพทีด้านทิศใต้แต่อย่างใด นอกจากนี้จากภาพถ่ายเมื่อปีพุทธศักราช ๒๔๔๙ ยังคงปรากฏประติมากรรมรูปสิงห์บริเวณชานชาลาหน้าวิหารในฐานะของทวารบาลอีกด้วย
จากรูปแบบการพบประติมากรรมรูปสิงห์ที่เมืองกำแพงเพชรทั้งส่วนที่เป็นประติมากรรมในฐานะทวารบาลและส่วนที่เป็นประติมากรรมล้อมฐานเจดีย์ จึงเป็นหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่าที่เมืองกำแพงเพชรมีคติความเชื่อเรื่องการสร้างทวารบาลเพื่อปกป้องศาสนสถาน โดยใช้สิงห์เพื่อแสดงให้เห็นถึงสัญลักษณ์ของความมีพลังอำนาจและความดุร้ายเพื่อคุ้มครองดูแลศาสนสถาน
เอกสารอ้างอิง
กรมศิลปากร. ทวารบาลผู้รักษาศาสนสถาน. พิมพ์ครั้งที่ ๒ .กรุงเทพฯ : บริษัท อัมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง), ๒๕๔๖.
สุรพล ดำริห์กุล. “เจดีย์ช้างล้อมและเจดีย์สิงห์ล้อมในกรุงศรีอยุธยา” .วารสารวิจิตรศิลป์. ปีที่ ๕ ฉบับที่ ๒ (กรกฎาคม – ธันวาคม ๒๕๕๗) หน้าที่ ๑๐๑ – ๑๓๑.
สำนักงานราชบัณฑิตยสภา. พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานพุทธศักราช ๒๕๕๔. กรุงเทพฯ : สำนักงานราชบัณฑิตยสภา, ๒๕๕๔.
หม่อมเจ้าสุภัทรดิศ ดิศกุล. ศิลปะขอม.กรุงเทพฯ : บริษัท อัมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง, ๒๕๔๗.
พุทธเจดีย์ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสร้าง. กรุงเทพฯ : กรมศิลปากร, 2519. หนังสือเรื่องพระพุทธเจดีย์ซึ่งพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสร้างนี้ เป็นหนังสือที่ให้ความรู้เกี่ยวกับวัตถุสถานต่าง ๆ เช่น วัด พระราชวัง พระที่นั่ง และสถานที่สำคัญอื่น ๆ
พ.ต.อ.สำราญ กลัดศิริ จัดพิมพ์ถวายในงานฉลองสมณศักดิ์ พระเทพเมธาจารย์ เจ้าอาวาศวัดโพธาราม นครสวรรค์ ๗ มีนาคม ๒๕๐๓
โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุชิ้นสำคัญของพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนครคีรีที่จะนำเสนอในครั้งนี้ ก็คือ โบราณวัตถุรูปผู้ชายแบกตะกร้า ลักษณะมีเชือกสะพายอยู่บนบ่าด้านขวายืนอยู่บนฐานกลม มือซ้ายจับตะกร้า มือขวาถือม้วนเชือก ขนาดสูง ๔๕ เซนติเมตร ฐานกว้าง ๑๙ เซนติเมตร วัสดุทำมาจากโลหะ เป็นของที่เก็บรักษาอยู่ที่พระที่นั่งเพชรภูมิไพโรจน์มาแต่เดิม ปัจจุบันจัดแสดงอยู่ที่ห้องพักผ่อนพระอิริยาบถ (พระที่นั่งเพชรภูมิไพโรจน์)
องค์ความรู้ทางวิชาการ
เรื่อง พัฒนาการทางวัฒนธรรมเมืองโบราณศรีฐาน
จากหลักฐานการสำรวจและขุดค้นทางโบราณคดี
โดย นางสาวทิพย์วรรณ วงศ์อัสสไพบูลย์
นักโบราณคดีชำนาญการ
สำนักศิลปากรที่ ๘ ขอนแก่น
ชื่อเรื่อง อาการวตฺตสุตฺต (อาการวัตตสูตร)
สพ.บ. 286/1ประเภทวัสดุมีเดีย คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่ พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ 22 หน้า กว้าง 5 ซ.ม. ยาว 56 ซ.ม. หัวเรื่อง พุทธศาสนา ชาดก เทศน์มหาชาติ คาถาพัน
บทคัดย่อ/บันทึก
เป็นคัมภีร์ใบลาน อักษรธรรมอีสาน ภาษาบาลี-ไทยอีสาน เส้นจาร ฉบับลานดิบ ได้รับบริจาคมาจากวัดบ้านหมี่ ต.บางปลาม้า อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี
เสด็จพระราชดำเนินทรงงานในพื้นที่ภาคเหนือ : ตอนที่ ๔ ลำพูนตลอดระยะเวลา ๗๐ ปี ที่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงครองสิริราชสมบัติ พระองค์เสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมราษฎรในพื้นที่ต่าง ๆ เพื่อรับทราบปัญหาและทรงหาแนวทางการแก้ไขปัญหาของประเทศชาติและประชาชน ทรงอุทิศพระวรกายบำเพ็ญพระราชกรณียกิจนานัปการในการพัฒนาประเทศเพื่อความผาสุก ความเจริญรุ่งเรือง และชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของพสกนิกรชาวไทย๑๓ ตุลาคม ๒๕๖๔ เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคตพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ในโอกาสนี้ ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตเชิญพระบรมฉายาลักษณ์พระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ที่เสด็จพระราชดำเนินทรงงานในพื้นที่จังหวัดลำพูน เพื่อน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดไม่ได้ ภาพ : หอจดหมายเหตุแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช.
ชื่อเรื่อง สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (วิภังค์-มหาปัฏฐาน)
สพ.บ. 307/2ประเภทวัสดุมีเดีย คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่ พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ 24 หน้า กว้าง 4.8 ซม. ยาว 57.2 ซม.หัวเรื่อง พุทธศาสนา
บทคัดย่อ/บันทึก เป็นคัมภีร์ใบลาน อักษรขอม ภาษาบาลี-ไทย เส้นจาร ฉบับทองทึบ-ล่องชาด ได้รับบริจาคมาจาก วัดบ้านหมี่ ต.บางปลาม้า อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี
วินยธรสิกฺขาปทวินิจฺฉย (วินยสิกฺขาปทวินิจฺเฉยฺย)
ชบ.บ.96/1-8
เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)
เลขทะเบียน : นพ.บ.310/3ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 46 หน้า ; 4 x 51.5 ซ.ม. : ล่องรัก ; ไม้ประกับธรรมดาชื่อชุด : มัดที่ 125 (302-305) ผูก 3 (2565)หัวเรื่อง : เทวทูตสุตฺต(เทวทูตสูตร)--เอกสารโบราณ คัมภีร์ใบลาน พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม