ค้นหา
รายการที่พบทั้งหมด 48,759 รายการ
นานา...น่ารู้จากเอกสารจดหมายเหตุ เรื่อง เรื่องเล่าจากไมโครฟิล์ม ตอน การปฏิสังขรณ์พระพุทธไตรรัตนนายก (หลวงพ่อโต วัดพนัญเชิงวรวิหาร) ร.ศ.121
ชื่อผู้แต่ง จำนงค์ ทองประเสริฐ
ชื่อเรื่อง ปรัชญาตะวันตก : สมัยโบราณ
ครั้งที่พิมพ์ พิมพ์ครั้งที่ ๓
สถานที่พิมพ์ พระนคร
สำนักพิมพ์ แพร่พิทยา
ปีที่พิมพ์ ๒๕๑๔
จำนวนหน้า ๗๓๐ หน้า
หนังสือ ปรัชญาตะวันตก : สมัยโบราณ เล่มนี้ กล่าวถึงวิชาปรัชญาเริ่มตั้งแต่สมัยก่อนโสคราเตส
ยุคของโสคราเตสเป็นต้นมา มีจุดมุ่งหมายที่จะให้นักศึกษาได้ทราบถึงแนวทฤษฎีของความคิดในปัญหาต่างๆ
ที่จะวิเคราะห์ด้วยวิธีการของปรัชญา เนื่องจากวิชาปรัชญาเป็นวิชาที่สอนให้คนเรามีเหตุผล ใจกว้าง พร้อมที่
จะรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่นและพร้อมนำเอาความคิดเห็นต่าง ๆ เหล่านั้นมาประยุกต์ใช้กับชีวิตประจำวัน
ได้ตามความเหมาะสม
บวชลูกแก้วหรือปอยส่างลอง ประเพณีบวชลูกแก้วหรือที่ชาวไทใหญ่เรียกว่า ประเพณีปอยส่างลอง มักจัดขึ้นในช่วงเดือนมีนาคมถึงเดือนพฤษภาคม โดยจัดประมาณ ๓-๕ วัน เป็นประเพณีทางพุทธศาสนาที่จัดให้ลูกหลานเด็กผู้ชายที่มีเชื้อสายไทใหญ่อายุตั้งแต่ ๑๒ ปีขึ้นไป พบในจังหวัดแม่ฮ่องสอนและในจังหวัดเชียงใหม่บางอำเภอ ซึ่งคำว่าปอย หมายถึง งานหรือประเพณี คำว่า ส่าง แปลว่า น้อยหรือผู้บวชเป็นสามเณรแล้วลาสิกขา เป็นภาษาไทใหญ่ ส่วนคำว่า ลอง หรือ อลอง แปลว่า รัชทายาท ก่อนการจัดประเพณีปอยส่างล่อง เจ้าบ้านจะจัดทำกำหนดการเพื่อเชิญชาวบ้านหรือบุคคลที่สนิทคุ้นเคยกัน แล้วส่งคนไปบอกบุญตามบ้านต่าง ๆ เรียกว่า ตกเทียน โดยนำเทียนไปแจกและบอกกำหนดการ ผู้ที่ได้รับเชิญจะไปร่วมงานและนำของใช้หรือเงินไปช่วยเจ้าภาพตามกำลังศรัทธา เมื่อถึงวันงาน เริ่มด้วยการโกนผมของส่างลอง ให้เหลือแค่คิ้ว แต่งหน้า ทาปาก สวมใส่เครื่องประดับที่มีค่า เช่น สร้อยคอ กำไล แหวนและใช้ผ้าโพกศีรษะแบบชาวพม่า พร้อมเสื้อเชิงงอนปักดิ้นไหม นุ่งโจงกระเบนงดงาม คาดเอวด้วยเข็มขัดเงิน ผู้ที่เป็นพระอุปสมบทให้ส่างลอง เรียกว่า จองลอง และมีพี่เลี้ยงคอยปฏิบัติดูแลอย่างน้อยสามคน เรียก “ตะแปส่างลอง” ในวันแรกของงานซึ่งเริ่มพิธีในเวลาเช้ามืด โดยพี่เลี้ยงจะนำส่างลองไปซ่อน เพื่อเรียกเงินจากเจ้าภาพ เมื่อได้เงินแล้วจะนำส่างลองขี่ขึ้นคอแล้วแห่ในขบวนพิธี โดยนำม้าเปล่า ๑ ตัวเดินนำขบวน ซึ่งถือกันว่าเป็นม้าสำหรับเจ้าเมืองขี่นำไปทำพิธีการกุศล ขบวนแห่ส่างลองจะบรรเลงด้วยฆ้อง ฉาบและกลอง และตะแปส่างลองจะเต้นตามจังหวะเพลงโยกส่ายไปมาเพื่อสร้างความสนุกครื้นเครง นำขบวนแห่ไปตามสถานที่สำคัญ เช่น ศาลหลักเมือง เจ้าอาวาสหรือญาติผู้ใหญ่ เพื่อรับศีลรับพร วันที่สองเรียกว่า วันแห่ครัวหลู่ หรือวันแห่เครื่องปัจจัยไทยทานถวายพระสงฆ์ ไปตามถนนต่าง ๆ ตะแปส่างลองต้องให้ส่างลองขี่คอ และใช้ร่มทาสีทอง หรือที่เรียกว่า ร่มทีคำ ถือบังแดด ห้ามไม่ให้เท้าแตะพื้น เปรียบเหมือนส่างลองเป็นรัชทายาท ช่วงเย็นมีพิธีคำขวัญและสวดคำขวัญ เพื่อให้เห็นถึงบุญคุณของบิดาและมารดา หลังจากนั้นผู้คนที่สนิทกันเข้ามาอวยพรและพบปะสังสรรค์กันที่บ้าน วันที่สามหรือวันหลู่ ถือเป็นวันที่สำคัญ เพราะเป็นวันที่จะต้องนำเครื่องไทยทานถวายแด่พระภิกษุสงฆ์ อาราธนาศีลและเปลี่ยนการแต่งกายจากชุดลำลองเป็นผ้าไตร เข้าเป็นสามเณรอย่างสมบูรณ์ มักบวชเป็นระยะเวลา ๑๕ วัน ไปจนถึง ๑ เดือนจึงจะสึกออกมา ประเพณีบวชลูกแก้วนี้ชาวไทใหญ่นิยมจัดขึ้นอย่างใหญ่โต บางคนใช้เงินที่สะสมไว้เป็นเวลาหลายปีเพื่อจัดงาน เพราะมีความเชื่อว่าเป็นงานพิธีซึ่งได้บุญกุศลที่ยิ่งใหญ่ต่อตนเองและคนในครอบครัว ปัจจุบันงานประเพณีบวชลูกแก้วหรือปอยส่างลอง ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกทางวัฒนธรรมประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๑ เพื่อเป็นหลักฐานสำคัญของชาติและส่งเสริมให้คนในชุมชนเกิดความภาคภูมิใจในวัฒนธรรมของตนและเป็นการปกป้องคุ้มครองมรดกทางวัฒนธรรม นำไปสู่ความเข้าใจและเห็นคุณค่าในความแตกต่างทางวัฒนธรรมทั้งในระดับประเทศและระดับสากลผู้เรียบเรียง : นางสาวอริสรา คงประเสริฐ นักจดหมายเหตุภาพ : ๑. หอจดหมายเหตุแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เชียงใหม่. ภาพชุดงานสมโภชเชียงใหม่ ๗๐๐ ปี.๒. หอจดหมายเหตุแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เชียงใหม่. ภาพชุดการประกวดภาพเก่าเกี่ยวกับจังหวัดลำพูน.๓. เชียงใหม่นิวส์.๒๕๖๒.งานประเพณีปอยส่างลอง มนต์เสน่ห์ของศิลปะประเพณี วัฒนธรรม อันล้ำค่าและยิ่งใหญ่ของชาวไทใหญ่ (online). https://www.chiangmainews.co.th/page/archives/936521/, สืบค้นเมื่อวันที่ ๑๙ มกราคม ๒๕๖๕.อ้างอิง : ๑. มณี พยอมยงค์. ๒๕๔๖. สารพจนานุกรมล้านนา. จ.เชียงใหม่: ดาวคอมพิวกราฟิก.๒. ธันวดี สุขประเสริฐ.๒๕๕๘. “ประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย : ปอยส่างลอง.” ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) (online). https://www.sac.or.th/databases/rituals/detail.php?id=12, สืบค้นเมื่อวันที่ ๑๒ มกราคม ๒๕๖๕.๓. ปรมินทร์ นาระทะ. ๒๕๕๙. “ปอยส่างลองเวียงแหง เอกลักษณ์ชาวไทใหญ่” มหาวิทยาลัยแม่โจ้ (Online). https://erp.mju.ac.th/acticleDetail.aspx?qid=532, สืบค้นเมื่อวันที่ ๑๒ มกราคม ๒๕๖๔.๔. เชียงใหม่นิวส์. ๒๕๖๒. งานประเพณีปอยส่างลอง มนต์เสน่ห์ของศิลปะประเพณี วัฒนธรรม อันล้ำค่าและยิ่งใหญ่ของชาวไทใหญ่ (online). https://www.chiangmainews.co.th/page/archives/936521/ สืบค้นเมื่อวันที่ ๑๙ มกราคม ๒๕๖๕.
วันอาทิตย์ที่ ๑๕ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕ เวลา ๐๙.๔๓ น. สมเด็จพระกนิษฐาธิ ราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเปิดอุทยานประวัติศาสตร์สด๊กก๊อกธม ในการนี้ นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม นายกิตติพันธ์ พานสุวรรณ อธิบดีกรมศิลปากร พร้อมด้วยผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม ผู้บริหารกรมศิลปากร ข้าราชการ เจ้าหน้าที่กรมศิลปากร ประชาชนในพื้นที่ เฝ้าฯ รับเสด็จ ณ อุทยานประวัติศาสตร์สด๊กก๊อกธม อำเภอโคกสูง จังหวัดสระแก้ว โอกาสนี้ ทรงกดปุ่มเปิดแพรคลุมป้ายอุทยานประวัติศาสตร์สด๊กก๊อกธม และทอดพระเนตรนิทรรศการภายในศูนย์บริการข้อมูล ซึ่งจัดแสดงเรื่องราวของปราสาทสด๊กก๊อกธม ความรู้เกี่ยวกับ “ปราสาท” สถาปัตยกรรมวัฒนธรรมเขมร เนื้อหาของจารึกสด๊กก๊อกธม รวมถึงการอนุรักษ์และบูรณะปราสาทสด๊กก๊อกธม ผ่านนิทรรศการสื่อผสม ทั้งป้ายคำบรรยาย หุ่นจำลองสามมิติ สื่อวีดีทัศน์ และการจัดแสดงโบราณวัตถุต่าง ๆ จากนั้นทรงประทับรถไฟฟ้าพระที่นั่ง เสด็จฯ ไปยังปราสาทสด๊กก๊อกธมทอดพระเนตรปราสาทสด๊กก๊อกธม ศาสนสถานในศาสนาฮินดูแบบไศวนิกาย ในรูปแบบศิลปะเขมรในประเทศไทยที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในภาคตะวันออกของประเทศไทย สร้างขึ้นเมื่อพุทธศักราช ๑๕๙๕ ตามพระราชบัญชาของพระเจ้าอุทยาทิตยวรมันที่ ๒ กษัตริย์เขมร เพื่อพระราชทานแด่ “พระกัมรเตงอัญศรีชเยนทรวรมัน” พระราชครูของพระองค์ ปราสาทสด๊กก๊อกธมนี้ เดิมชาวบ้านเรียกว่า ปราสาทเมืองพร้าว เนื่องจากเคยมีคนหลงเข้ามาใน บริเวณนี้และพบต้นมะพร้าว ต่อมามีการเรียกชื่อปราสาทเป็นภาษาเขมรว่า “สด๊กก๊อกธม” แปลว่า รกไปด้วย ต้นกกขนาดใหญ่ ปราสาทสด๊กก๊อกธมเป็นที่รู้จักครั้งแรกในพุทธศักราช ๒๔๔๔ โดยนายเอเตียน เอโมนิเยร์ นักวิชาการชาวฝรั่งเศสได้บรรยายถึงสภาพปราสาทไว้ในฐานะโบราณสถานที่มีความโดดเด่นที่สุดแห่งหนึ่งที่มนุษย์สร้างไว้ด้วยหิน และพบศิลาจารึกที่มีความสำคัญเหนือจารึกใด ๆ ในเขมรทั้งหมด ปราสาทสร้างด้วยหินทรายและศิลาแลง วางผังตามแนวแกนทิศตะวันออก – ตะวันตก มีทางเดินมุ่งเข้าสู่จุดศูนย์กลาง คือ ปราสาทประธาน คติการสร้างเป็นการจำลองเขาไกลาศ ที่ประทับของพระศิวะ กล่าวคือปราสาทประธาน เปรียบเสมือนเขาไกลาศ และทางดำเนินที่มุ่งเข้าหาปราสาทประธานเปรียบเสมือนสะพานที่เชื่อมระหว่างโลกมนุษย์กับสวรรค์ที่เป็นที่ประทับของเทพเจ้า กรมศิลปากรได้ประกาศขึ้นทะเบียนโบราณสถานปราสาทสด๊กก๊อกธมครั้งแรก เมื่อพุทธศักราช ๒๔๗๘ และกำหนดเขตพื้นที่โบราณสถาน ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๑๔ ตอนพิเศษ ๘๑ ง วันที่ ๑๕ กันยายน ๒๕๔๐ รวมพื้นที่โบราณสถาน ๖๔๑ ไร่ ๒ งาน ๘๒ ตารางวา ต่อมาพุทธศักราช ๒๕๓๘ - ๒๕๕๓ กรมศิลปากรได้ดำเนินโครงการอนุรักษ์และพัฒนาปราสาทสด๊กก๊อกธม โดยดำเนินงานทางโบราณคดี และบูรณะปราสาทด้วยวิธีอนัสติโลซิส ซึ่งเป็นวิธีประกอบรูปโบราณสถานขึ้นจากซากปรักหักพัง ให้กลับมามีสภาพที่รักษาความเป็นของแท้และดั้งเดิมให้ได้มากที่สุด จากนั้นได้ดำเนินการจัดสร้างศูนย์บริการข้อมูล และสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ สำหรับจัดตั้งเป็นอุทยานประวัติศาสตร์สด๊กก๊อกธม
กรมศิลปากร ขอเชิญชมครอบพระเศียรทองคำสมัยล้านนา อายุราวพุทธศตวรรษที่ 20 - 21 ที่ได้รับมอบจากครอบครัวชาวอเมริกัน จัดแสดงที่ห้องประวัติศาสตร์โบราณคดีล้านนา อาคารประพาสพิพิธภัณฑ์ ภายในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ผู้สนใจสามารถเข้าชมได้ทุกวันพุธ - วันอาทิตย์ เวลา 09.00 น. – 16.00 น. ปิดวันจันทร์ - วันอังคาร
ครอบครัว Cornell ชาวอเมริกัน มีความประสงค์ส่งมอบครอบพระเศียรพระพุทธรูป ทองคำ ที่บรรพบุรุษได้เก็บสะสมไว้กลับคืนสู่ประเทศไทย โดยประสานผ่านทาง ศ.ดร.ม.ล. ภัทรธร จิรประวัติ หนึ่งในคณะกรรมการติดตามโบราณวัตถุของไทยในต่างประเทศกลับคืนสู่ประเทศไทย กรมศิลปากร โดยสำนักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ นำเสนอที่ประชุมคณะอนุกรรมการด้านวิชาการและมีมติยืนยันขอรับมอบครอบพระเศียรดังกล่าว โดยมีสถานกงสุลใหญ่ ณ นครลอสแองเจลิส สหรัฐอเมริกา เป็นผู้แทนรับมอบและส่งกลับคืนประเทศไทยผ่านกรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ ถึงกรมศิลปากร เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 19 พฤษภาคม 2565
ครอบพระเศียรพระพุทธรูปล้านนา พุทธศตวรรษที่ 21 ขนาดกว้าง 14 เซนติเมตร สูง 30 เซนติเมตร น้ำหนัก 202.10 กรัม ผลการตรวจพิสูจน์ด้วยวิธีทางวิทยาศาสตร์ พบว่ามีส่วนประกอบคือ ทองคำ 85-95 % เงิน 8-11 % ทองแดง 1-2 % โลหะชนิดอื่น น้อยกว่า 1%
กรรมวิธีในการสร้างครอบพระเศียร ใช้การขึ้นรูปโดยการตี บุ ดุน แผ่นทองให้เป็นรูปร่างตามที่ต้องการ โดยรูปแบบที่ปรากฏ เป็นครอบพระเศียรที่มีรัศมีเป็นเปลวเพลิง เม็ดพระศกกลม เล็ก มีร่องรอยการฝังอัญมณีที่บริเวณเหนือพระนลาฏ พระรัศมีและขอบพระเศียรแสดงให้เห็นถึงความศรัทธาของพุทธศาสนิกชนที่ตกแต่งพระพุทธรูปให้งดงามด้วยอัญมณี และโลหะมีค่าถวายเป็นพุทธบูชา
กรมศิลปากรได้นำครอบพระเศียรทองคำสมัยล้านนา มาจัดแสดงให้ประชาชนทั่วไปชม ณ จัดแสดงที่ห้องประวัติศาสตร์โบราณคดีล้านนา อาคารประพาสพิพิธภัณฑ์ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร
วันศุกร์ที่ ๒๒ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕ เวลา ๐๙.๔๐ น. นายกิตติพันธ์ พานสุวรรณ อธิบดีกรมศิลปากรมอบช่อดอกไม้แสดงความยินดีกับ นายพนมบุตร จันทรโชติ รองอธิบดีกรมศิลปากร เนื่องในโอกาสดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวงวัฒนธรรม ณ ห้องประชุมใหญ่ สำนักหอสมุดแห่งชาติ กรมศิลปากร
ภาชนะรูปหมูป่า (เต้าปูน)
ภาชนะจากแหล่งเตาพนมดงเร็ก จังหวัดบุรีรัมย์ พุทธศตวรรษที่ ๑๗-๑๘
นายโยธิน-นางวิวรรณ ธาราหิรัญโชติ มอบให้เมื่อวันที่ ๒๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๔
ปัจจุบันจัดแสดง ณ ห้องลพบุรี อาคารมหาสุรสิงหนาท พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร
ภาชนะดินเผาเคลือบสีน้ำตาล รูปหมูป่ายืน ลักษณะลำตัวอ้วน หูสั้น จมูกยื่น ที่มุมปากมีเขี้ยวขนาดเล็ก ปรากฏร่องรอยการทาน้ำเคลือบสีน้ำตาล (brown-glazed) เฉพาะส่วนใบหน้ากับลำตัว บริเวณส่วนคอและลำตัวตกแต่งด้วยลายขูดขีดคล้ายลายเชือกทาบ ส่วนหลังหมูป่าเจาะเป็นช่องสำหรับบรรจุของไว้ภายใน สันนิษฐานว่าใช้สำหรับบรรจุปูนขาว
แรงบันดาลใจการทำภาชนะรูปหมูป่านั้น นอกจากหมูป่าเป็นสัตว์ที่อยู่ในพื้นที่และพบได้ทั่วไป หมูป่ายังเป็นสัตว์สัญลักษณ์ตามคติทางศาสนาพราหมณ์และพุทธ กล่าวคือ ในศาสนาพราหมณ์ หมูป่าเกี่ยวข้องกับพระนารายณ์โดยตรงกล่าวคือในการอวตารครั้งที่สาม (วราหาวตาร) เพื่อปราบยักษ์หิรัญ ส่วนในทางพุทธศาสนามหายาน หมูป่ายังเป็นสัญลักษณ์แทน “โมหะ” คือ ความเขลา ความดื้อดึง ทั้งนี้ศิลปกรรมวัฒนธรรมเขมรในประเทศไทยประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๖-๑๗ พบภาพสลักหมูป่าด้วยเช่นกัน อาทิ ทับหลังกรอบประตูทางทิศเหนือปรางค์หินแดง (ในระเบียงคดของปราสาทพิมาย) จังหวัดนครราชสีมา และทับหลังปราสาทศีรขรภูมิ จังหวัดสุรินทร์
ภาชนะรูปสัตว์ (zoomorphic pot) เป็นหนึ่งในรูปแบบของภาชนะที่ผลิตขึ้นจากแหล่งเตาในพื้นที่จังหวัดบุรีรัมย์ จากการสำรวจทางโบราณคดีพบว่ามีกลุ่มเตาเผามากกว่า ๔๐ แห่ง พบในเขตพื้นที่อำเภอบ้านกรวด อำเภอกระสัง อำเภอละหานทราย อำเภอลำปลายมาศ อำเภอเมืองบุรีรัมย์ อำเภอหนองกี่ และอำเภอสะตึก บางกลุ่มมีเตาเผา ๒-๓ เตา ซึ่งภาชนะรูปสัตว์นั้นทำขึ้นโดยเลียนแบบจากสัตว์ในธรรมชาติ อาทิ กบ กระต่าย ช้าง แมว กวาง จระเข้ เป็ด ปลา เต่า สุนัข ลิงและนกฮูก โดยปรับรูปร่างของสัตว์ให้เข้ากับลักษณะของภาชนะคือ ส่วนลำตัวพอง เจาะช่องที่ด้านบน แม้ว่าบางชิ้นจะแสดงถึงสัตว์ในนิยาย เช่น กินรี (ลักษณะเป็นภาชนะดินเผาเคลือบสีน้ำตาล มีรูปทรงส่วนศีรษะและอกเหมือนมนุษย์ ในขณะที่ปีกและเท้าเหมือนนก) หรือบางชิ้นทำขึ้นตามรูปแบบของเทวรูปในศาสนาพรามหณ์ เช่น พระพิฆเนศ พระศิวะ เป็นต้น
ส่วนน้ำเคลือบสีน้ำตาลที่ปรากฏบนภาชนะของแหล่งเตาพนมดงเร็กนั้น มีข้อสันนิษฐานว่า น้ำเคลือบน่าจะมีการผสมขี้เถ้าจากพืช* กับสนิมหรือออกไซต์ของแร่เหล็กเข้าด้วยกัน เมื่อทาน้ำเคลือบลงบนผิวภาชนะแล้วนำไปเข้าเตาเผา จะปรากฏสีน้ำเคลือบเป็นสีน้ำตาล
*มาจากต้นไม้รกฟ้า ลักษณะไม้ยืนต้นผลัดใบ เปลือกไม้มีลักษณะขรุขระสีเทาดำ เป็นต้นไม้ที่มีอยู่ทั่วไปในพื้นที่แหล่งเตาพนมดงเร็ก
อ้างอิง
ปริวรรต ธรรมาปรีชากร. พัฒนาการเครื่องถ้วยเขมรสมัยเมืองพระนคร. วิทยานิพนธ์ปรัชญาดุษฎีบัณฑิต(สาขาวิชาโบราณคดีสมัยประวัติศาสตร์ ภาควิชาโบราณคดี). กรุงเทพฯ: บัณฑิตวิยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร, ๒๕๕๒.
Dawn F. Rooney. Khmer Ceramics Beauty and Meaning. Bangkok: Riverbook, 2010.
พระบารมีปกเกล้าชาวอุบล ๒
เมื่อครั้งพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงเสด็จเยี่ยมพสกนิกรชาวอุบลฯ ครั้งแรก ระหว่างวันที่ ๑๖ - ๑๙ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๔๙๘ นั้น
สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงฉลองพระองค์ด้วยซิ่นยกไหมเงินลายดอกพิกุล ที่ชาวอุบลฯ ทอถวาย ทรงตรัสกับชาวอุบลฯ ที่เฝ้ารับเสด็จว่า "นุ่งผ้าซิ่นของชาวอุบลฯ ให้คนอุบลฯ เขาดู"
โดยการทอผ้าซิ่นยกไหมเงินไหมคำ คงมีการทอต่อเนื่องมาตั้งแต่รัซกาลที่ ๕ จนกระทั่งถึงมีเหตุการณ์สำคัญ คือ เมื่อวันที่ ๒๘ เมษายน พ.ศ. ๒๔๙๓ ชาวอุบลฯ ได้ร่วมใจทูลเกล้าฯ ถวายผ้ายกไหมเงินลายดอกแก้ว (ดอกพิกุล) สีเม็ดมะปราง เชิงรูปนกยูงรำแพนสีขาวนวล เนื่องในพระราชพิธีราชาภิเษกสมรสของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง
ผ้าซิ่นผืนนี้ทอที่บ้านของหมี่นวิชิตอักษร โดยคุณยายสงวนศักดิ์ คูณผล เป็นผู้เริ่มต้นทอ และยังมีช่างทอฝีมือดีอีกหลายคน มาร่วมกันทอ คุณพ่อสุวิชช คูณผล (๒๕๔๗) บุตรของคุณยายสงวนศักดิ์ คูณผล เล่าว่า "ช่างทอผ้าที่มาร่วมกันทอครั้งนั้น เท่าที่จำได้มี นางอรพินท์ ไชยกาล ส.ส.อุบลฯ นางรักษ์ ทรัพยานนท์ ภรรยาพระพรพิทักษ์
สาธารณสุขมณฑลอุบลฯ ในอดีต นางปรียา ถิระกิจ ครูใหญ่โรงเรียนวิไลวัฒนา นางกสิน ศรีทานันท์ ภรรยาครูเฉลิม ศรีทานันท์ ครูโรงเรียนเบ็ญจะมะมหาราช นางทองเมี้ยน โมฬีชาติ ภรรยานายสุเมธ โมฬีชาติ ครูใหญ่
โรงเรียนอุบลวิทยาคม, นางคำหมั้น สันฑมาศ และนางบุญมี สุขประสงค์ และได้มีช่างถ่ายรูปจากร้านโปกวงไปถ่ายภาพไว้เป็นหลักฐาน และส่งไปลงหนังสือพิมพ์ พิมพ์ไทยรายวันด้วย"
ต่อมาภายหลังเมื่อการทอผ้าในเขตตัวเมืองอุบลราชธานีหมดไปตามความเปลี่ยนแปลงของยุคสมัย จึงทำให้ผ้ายกเมืองอุบลฯ ขาดช่วงการสืบทอดไปอย่างน่าเสียดาย คงเหลือไว้แต่ผ้าโบราณบางผืน ที่เก็บรักษาไว้ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อุบลราชธานี สำหรับการศึกษาค้นคว้าและฟื้นฟูขึ้นมาใหม่ในอนาคต
อ้างอิง
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อุบลราชธานี, กรมศิลปากร. ผ้าทอเมืองอุบลราชธานีศรีวนาลัย.กรุงเทพฯ : เรือนแก้วการพิมพ์, ๒๕๖๑.
ชื่อเรื่อง อาทิกมฺมปาลิ(ปาราชิกปาลิ)มหาวิยงฺคปาลิ(ปาราชิกัณฑ์)
สพ.บ. อย.บ.2/2ประเภทวัสดุมีเดีย คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่ พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ 46 หน้า กว้าง 5 ซม. ยาว 54 ซม.หัวเรื่อง พุทธศาสนา
บทคัดย่อ/บันทึก เป็นคัมภีร์ใบลาน เส้นจาร ฉบับทองทึบ ลานดิบ ร่องชาด ได้รับบริจาคมาจาก จ.พระนครศรีอยุธยา
ชื่อเรื่อง สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สงฺคิณี-มหาปฏฺฐาน) อย.บ. 54/1ประเภทวัดุ/มีเดีย คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่ พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ 34 หน้า : กว้าง 5 ซม. ยาว 57 ซม.หัวเรื่อง พุทธศาสนาบทคัดย่อ/บันทึก เป็นคัมภีร์ใบลาน เส้นจาร ฉบับทองทึบ ไม้ประกับธรรมดา ได้รับบริจาคมาจาก จ.พระนครศรีอยุธยา