ค้นหา
รายการที่พบทั้งหมด 48,771 รายการ
เลขทะเบียน : นพ.บ.99/ก/1ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 62 หน้า ; 4.5 x 55.5 ซ.ม. : ทองทึบ ; ไม้ประกับธรรมดา ชื่อชุด : มัดที่ 58 (154-159) ผูก 1 (2564)หัวเรื่อง : กจฺจายนมูล (พระมุลลกัจจายนนาม-ตัทธิต) --เอกสารโบราณ คัมภีร์ใบลาน พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม
เลขทะเบียน : นพ.บ.128/3กห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 52 หน้า ; 4.5 x 51 ซ.ม. : รักทึบ ; ไม้ประกับธรรมดา ชื่อชุด : มัดที่ 74 (267-274) ผูก 1 (2564)หัวเรื่อง : มูลตันไตย (มุลฺลตันไตย)--เอกสารโบราณ คัมภีร์ใบลาน พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม
เลขทะเบียน : นพ.บ.79/5ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 76 หน้า ; 5.9 x 56 ซ.ม. : ล่องรัก ; ไม้ประกับธรรมดา ชื่อชุด : มัดที่ 49 (71-77) ผูก 5 (2564)หัวเรื่อง : สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (พระสังคิณี-พระมหาปัฏฐาน)--เอกสารโบราณ คัมภีร์ใบลาน พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม
องค์ความรู้ เรื่อง “ยลพุทธศิลป์พื้นถิ่นพัทลุง” จัดทำข้อมูลโดยกลุ่มโบราณคดี สำนักศิลปากรที่ ๑๑ สงขลา
สตฺตปฺปกรณาภิธมฺมเทศนา (เทศนาสังคิณี-มหาปัฎฐาน)
เลขที่ ชบ.บ.3/1-3
เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)
ชื่อเรื่อง : พระพุทธเจ้าตรัสรู้อะไร
ชื่อผู้แต่ง : มงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว, พระบาทสมเด็จพระ
ปีที่พิมพ์ : 2502
สถานที่พิมพ์ : พระนคร
สำนักพิมพ์ : โรงพิมพ์รุ่งเรื่องรัตน์
จำนวนหน้า : 62 หน้า
สาระสังเขป : เรื่องพระพุทธเจ้าตรัสรู้อะไร พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชนิพนธ์ขึ้นเมื่อ พ.ศ.2466 เพื่ออธิบายให้พุทธศาสนิกชนเข้าใจโดยทั่วกันว่า พระพุทธเจ้าตรัสรู้ความจริงอันประเสริฐ 4 ประการ หรืออริยสัจสี่ ได้แก่ ทุกข์ เหตุแห่งทุกข์ ความดับแห่งทุกข์ และทางไปสู่ความดับทุกข์
วัดเสม็ดไม่ปรากฏเด่นชัดว่าสร้างในสมัยใด แต่จากรูปแบบสถาปัตยกรรมของอุโบสถและภาพจิตรกรรมฝาผนัง ทำให้สันนิษฐานได้ว่าน่าจะสร้างขึ้นในสมัยรัตนโกสินทร์รัชกาลที่๓-๔ อุโบสถของวัดเสม็ดเป็นอาคารก่ออิฐถือปูน หลังคาเครื่องไม้มุงกระเบื้องดินเผา รอบอาคารมีพาไล หน้าบันประดับปูนปั้นลายพันธุ์พฤกษา ภายในอุโบสถประดิษฐานพระประธานปางมารวิชัย มีการเขียนจิตรกรรมฝาผนังทั้ง ๔ ด้าน โดยดำเนินเรื่องแบบทักษิณาวัตร เป็นการดำเนินเรื่องโดยเวียนไปทางขวาอย่างเข็มนาฬิกา โดยเริ่มเรื่องจากห้องภาพทางด้านซ้ายของพระประทาน ผนังด้านหน้าพระประธานหรือผนังหุ้มกลองหน้า มีการแบ่งห้องภาพออกเป็น ๒ ส่วน โดยใช้ลายหน้ากระดานเป็นลายประจำยามก้านแย่งเป็นตัวคั่น คือ ๑.ห้องภาพบริเวณผนังเหนือบานประตู มีการสลักรอยพระบาทลงรักปิดทองเป็นรอยลึกลงไปจากระดับผนัง อยู่บริเวณด้านบนกึ่งกลางผนัง ท่ามกลางภาพจิตรกรรมที่บอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับความอุตสาหะ พยายามของผู้คนทุกหมู่เหล่า ไม่ว่าจะเป็น ภิกษุ ฆราวาส ตลอดจนเหล่าเทวดา บนสวรรค์ที่ต่างก็เดินทางดั้นด้นมาเพื่อนมัสการรอยพระบาท ซึ่งเปรียบเสมือนเป็นตัวแทนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ประดิษฐานไว้บนยอดเขาแห่งนี้ โดยการผสมผสานระหว่างประติมากรรมและจิตรกรรมได้อย่างลงตัว ๒.ห้องภาพระหว่างบานประตู เขียนเรื่องวิกขายิตกอสุภ ซึ่งเป็นหนึ่งในเรื่องของพระอสุภกรรมฐาน อันเป็นเรื่องเกี่ยวกับการปลงและพิจารณาร่างกายของซากศพที่ถูกสัตว์ยื้อแย่งกัดกิน (โดยเป็นห้องภาพที่เรียงต่อจากผนังระหว่างบานหน้าต่างด้านซ้ายของพระประธาน) ภาพที่ ๑ ผนังเหนือบานประตูด้านหน้าพระประธาน ภาพที่ ๒ ห้องภาพระหว่างบานประตูด้านหน้าพระประธาน ผนังด้านหลังพระประธานหรือผนังหุ้มกลองหลัง มีการแบ่งห้องภาพเช่นเดียวกับผนังด้านหน้าพระประธาน มีการใช้ลายหน้ากระดานแบ่งคั่น เช่นเดียวกัน โดยผนังด้านบนเขียนเรื่องไตรภูมิ ผนังด้านล่าง ผนังบริเวณฐานชุกชี เขียนเป็นภาพนรก สัตว์เปรตภาพที่ ๓ ผนังด้านหลังพระประธานหรือผนังหุ้มกลองหลัง ผนังด้านซ้ายและด้านขวาของพระประธาน มีการเขียนและจัดวางภาพ โดยใช้ลายหน้ากระดานคั่น แบ่งภาพจิตรกรรมออกเป็นสองส่วน ในลักษณะเช่นเดียวกันกับผนังด้านหน้าและด้านหลังพระประธาน คือ ภาพจิตรกรรมเหนือบานหน้าต่าง และภาพจิตรกรรมระหว่างบานหน้าต่าง ภาพจิตรกรรมเหนือบานหน้าต่างนั้นเป็นภาพ เทพเทวดา พระภิกษุ นักสิทธิวิทยาธร มาชุมนุมกัน มีลายหน้ากระดานลักษณะเป็นลายประจำยามก้านแย่ง แบ่งออกเป็นชั้นๆ จำนวน ๓ ชั้น และชั้นบนสุดเขียนเส้นสินเทาคั่นเพียงชั้นเดียว และทุกตัวภาพทุกชั้นหันไปทางพระประธาน ประหนึ่งเป็นการแสดงการนมัสการสักการะบูชาองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยมีรายละเอียดที่แตกต่างกันไปในแต่ละชั้น ดังนี้ ชั้นแรก ชั้นเทพชุมนุม เป็นชั้นที่ถัดขึ้นมาจากลายหน้ากระดานที่คั่นระหว่างห้องภาพเหนือบานหน้าต่างและห้องภาพระหว่างบานหน้าต่าง เป็นชั้นที่มีการเขียนตัวภาพ เทวดา ยักษ์ ลิง ครุฑ ลงไปบนพื้นหลังสีน้ำตาล โดยแต่ละตัวภาพ มีทิพยดอกไม้ (ลักษณะของดอกไม้ที่จัดวางเป็นทรงพุ่มก้านยาวคล้ายตาลปัตร) เป็นตัวคั่น เหนือลายหน้ากระดานชั้นที่ ๒ และ ๓ ขึ้นไป เป็นภาพพระภิกษุถวายอัญชลี นั่งเรียงเป็นแถวในลักษณะภาพซ้ำอย่างเป็นระเบียบ ในชั้นที่ ๒ นี้ใช้พื้นหลังเป็นสีน้ำเงิน ส่วนชั้นที่ ๓ ใช้พื้นหลังเป็นสีน้ำตาล เหนือขึ้นไปจากภิกษุในชั้นที่ ๓ มีการใช้เส้นสินเทาเขียนแบ่งห้องภาพระหว่างชั้นที่ ๓ และ ๔ โดยพื้นที่ของชั้นที่ ๔ นี้เริ่มจากเส้นสินเทาจรดเพดาน เขียนแสดงภาพบรรยากาศของท้องฟ้า และก้อนเมฆ มีนักสิทธิวิทยาธรในมือถือมวลดอกไม้บุปผาชาติ เพื่อนำมานมัสการองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ภาพที่ ๔ ภาพจิตรกรรมเหนือบานหน้าต่างผนังด้านซ้ายและด้านขวาของพระประธาน ส่วนบริเวณผนังระหว่างบานหน้าต่างทางด้านซ้ายและขวาของพระประธาน เขียนบรรยายเรื่องพระอสุภกรรมฐาน โดยแต่ละห้องจะมีการเขียนภาพการปลง สังขารหรือการพิจารณาซากศพที่แตกต่างกัน ซึ่งเป็นการเขียนภาพบรรยายลักษณะพระภิกษุกำลังปลงและพิจารณาซากศพ โดยความหมายของคำว่าอสุภกรรมฐานแยกออกเป็น ๒ คำคือคำว่า อสุภ แปลว่า ไม่สวย ไม่งาม กรรมฐาน แปลว่า ตั้งอารมณ์ไว้ให้เป็นการเป็นงาน รวมได้ความว่า ตั้งอารมณ์เป็นการงานในอารมณ์ที่เห็นว่าไม่มีอะไรสวยสด งดงาม มีแต่ความสกปรกโสโครก น่าเกลียด อสุภกรรมฐานนี้เป็นเครื่องกำจัดราคะ ทำให้เกิดความเบื่อหน่าย คลายรัก ยึดถือร่างกาย คลายความหลงรูป หลงสวย หลงงาม หลงได้ภาพที่ ๕ ผนังระหว่างบานหน้าต่างทางด้านซ้ายและขวาของพระประธาน เขียนบรรยายเรื่องพระอสุภกรรมฐาน--------------------------------------------------------ผู้เขียน : นางสาววรรัก นวลวิไลลักษณ์ (นายช่างศิลปกรรมชำนาญงาน) สำนักศิลปากรที่ ๕ ปราจีนบุรี--------------------------------------------------------
วีดีทัศน์เชิดชูเกียรติศิลปินอาวุโส ชุด "ถึงครูผู้ให้" นำเสนอ“ครูผู้เป็นแรงบันดาลใจ” : นายสิทธิพร สระโพธิ์ทองกลุ่มจิตรกรรม สำนักช่างสิบหมู่ กรมศิลปากร ร่วมเขียนภาพเชิดชูเกียรติศิลปินอาวุโส นายศักย ขุนพลพิทักษ์ เพื่อจัดแสดงในนิทรรศการเชิดชูเกียรติศิลปินอาวุโส ประจำปี ๒๕๖๔ระหว่างวันที่ ๒๓ เมษายน - ๓๐ มิถุนายน ๒๕๖๔ณ อาคารนิทรรศการ ๔ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หอศิลป
โบราณสถานกู่พราหมณ์จำศีล มีปราสาทประธาน 3 หลัง เรียงกันตามแนวแกนทิศเหนือ-ใต้ ตั้งอยู่บนฐานเดียวกัน ปราสาททั้ง 3 หลัง มีประตูทางเข้าเฉพาะด้านทิศตะวันออก ทางด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือและทิศตะวันออกเฉียงใต้มีบรรณาลัยตั้งอยู่ ศาสนสถานถูกล้อมรอบด้วยกำแพงแก้ว และคูน้ำเว้นทางเข้าตามแนวแกนทิศด้านทิศตะวันออก-ตะวันตก ใช้วัสดุศิลาแลงและหินทราย ทั้งนี้ ปรากฏภาพสลักทับหลังที่น่าสนใจ ที่ติดกับตัวงปราสาท จำนวน 6 ชิ้น ดังนี้ ชิ้นที่1 ทับหลังปราสาทหลังกลาง สลักภาพพระอินทร์ทรงช้างเอราวัณ ประทับนั่งในท่ามหาราช (นั่งชันเข่า) ซึ่งเป็นเทพประจำทิศตะวันออก ประทับยืนอยู่เหนือหน้ากาล ห้อมล้อมด้วยลายพันธุ์พฤกษา ซึ่งเป็นพรรณพฤกษาที่ออกมาจากปากของหน้ากาล ชิ้นที่ 2 ทับหลังปราสาทหลังทิศเหนือ สลักภาพบุคคลนั่งชันเข่า อยู่ในกรอบซุ้มเรือนแก้ว เหนือหน้ากาลคายท่อนพวงมาลัย ห้อมล้อมด้วยลายพันธุ์พฤกษา ซึ่งเป็นพรรณพฤกษาที่ออกมาจากปากของหน้ากาล ชิ้นที่ 3 ทับหลังบรรณาลัยด้านทิศใต้ สลักภาพบุคคลไว้เครา ประทับนั่ง ขนาบข้างด้วยสตรี ซ้ายและขวา ห้อมล้อมด้วยลายพันธุ์พฤกษา ซึ่งเป็นพรรณพฤกษาที่ออกมาจากปากของหน้ากาล ชิ้นที่ 4 ทับหลังบรรณาลัยด้านทิศเหนือ สลักภาพบุคคลนั่งชันเข่า มือขวาถือดาบ อยู่ในซุ้มเรือนแก้ว เหนือหน้ากาล คายท่อนพวงมาลัย ขนาบด้วยสิงห์มือจับท่อนพวงมาลัย สันนิษฐานว่าเป็นเทพผู้ปกปักรักษาศาสนสถานแห่งนี้ ชิ้นที่ 5 ทับหลังฝั่งตะวันออกของโคปุระด้านตะวันตก สลักภาพพระนารายณ์ทรงครุฑ เหนือหน้ากาลคายท่อนพวงมาลัย ห้อมล้อมด้วยลายพันธุ์พฤกษา ซึ่งเป็นพรรณพฤกษาที่ออกมาจากปากของหน้ากาล ชิ้นที่ 6 ทับหลังฝั่งตะวันออกของโคปุระด้านตะวันตก สลักภาพพระวรุณทรงหงส์ ซึ่งเป็นเทพประจำทิศตะวันตก ยืนอยู่เหนือหน้ากาล ห้อมล้อมด้วยลายพันธุ์พฤกษา ซึ่งเป็นพรรณพฤกษาที่ออกมาจากปากของหน้ากาล จากรูปแบบศิลปกรรมของภาพสลักทับหลัง มีลักษณะคล้ายกับทับหลังศิลปะเขมร แบบาปวน จึงกำหนดอายุสมัยโบราณสถานกู่พราหมณ์จำศีล มีอายุอยู่ในช่วง ครึ่งหลังพุทธศตวรรษที่ 16 หลายคนคงสงสัยว่า ทับหลังแบบบาปวน ดูจากอะไร? ขอให้ทุกคนสังเกต โครงสร้างหลักของทับหลังแบบบาปวน คือ หน้ากาลอยู่กึ่งกลางด้านล่างของทับหลัง เหนือหน้ากาลมีรูปบุคคล ซึ่งอาจมีพาหนะหรือไม่ก็ได้ หน้ากาลคายท่อนพวงมาลัยวกขึ้นแล้วตกลงเป็นกรอบสี่เหลี่ยม ใต้ท่อนพวงมาลัยเป็นใบไม้ม้วน เหนือท่อนพวงมาลัยเป็นใบไม้ตั้ง ทั้งนี้อาจมีรูปแบบอื่นปรากฏ เช่น สลักเป็นภาพเล่าเรื่อง นั่นเอง ติดกันด้านทิศเหนือ ยังมี ปราสาทนางรำ ซึ่งเป็น โบราณสถานประเภท “อโรยคศาล” หรือศาสนสถานประจำโรงพยาบาล ในรัชสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 18 ด้วยนะครับ หากมีโอกาส ลองแวะเวียนไปเยี่ยมชมกันดูนะครับ ทั้งนี้ “กู่พราหมณ์จำศีล” และ “ปราสาทนางรำ” เป็นร่องรอยหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่าบริเวณเป็นชุมชนโบราณที่มีผู้คนอยู่เป็นจำนวนมาก มาตั้งแต่ช่วงครึ่งหลังพุทธศตวรรษที่ 16 โดยมีศาสนสถานขนาดใหญ่ อย่างกู่พราหมณ์จำศีล เป็นศาสนสถานประจำชุมชน และในช่วงพุทธศตวรรษที่ 18 จึงมีดำริให้สร้างโรงพยาบาลในพื้นที่ใกล้เคียงกัน----------------------------------------------------ข้อมูลโดย : นายวรรณพงษ์ ปาะละกะวงษ์ ณ อยุธยา นักโบราณคดีปฏิบัติการ สำนักศิลปากรที่ ๑๐ นครราชสีมา----------------------------------------------------เอกสารอ้างอิง -กรมศิลปากร. ทำเนียบโบราณสถานขอมในประเทศไทย เล่ม 1. กรุงเทพฯ: กองโบราณคดี กรมศิลปากร. 2535 -รุ่งโรจน์ ธรรมรุ่งเรือง. ปราสาทขอมในดินแดนไทย. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ: มติชน. 2551.
องค์ความรู้เรื่อง " เจดีย์ทรงพุ่มข้าวบิณฑ์วัดพระเจ้าดำ ร่องรอยสุโขทัยในล้านนา "
โดย สำนักศิลปากรที่ ๗ เชียงใหม่
พื้นที่ๆเรียกว่า “สบแจ่ม” เป็นบริเวณจุดบรรจบของลำน้ำแม่แจ่มกับแม่น้ำปิง ในเขตอำเภอจอมทอง ทางตอนใต้ของจังหวัดเชียงใหม่ พื้นที่แห่งนี้เป็นเพียงไม่กี่แห่งในเขตวัฒนธรรมล้านนาที่หลงเหลือโบราณสถานในลักษณะ “กลุ่มโบราณสถานขนาดใหญ่” ในปี พ.ศ.๒๕๕๘ – ๒๕๖๒ สำนักศิลปากรที่ ๗ เชียงใหม่ ได้ดำเนินการขุดค้น-ขุดแต่งทางโบราณคดี และพบข้อมูลสำคัญที่เปิดประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของล้านนาและแอ่งที่ราบเชียงใหม่ กล่าวคือ พื้นที่นี้ เป็นพื้นที่ที่ปรากฏอิทธิพลศิลปกรรมแบบสุโขทัยที่เด่นชัดและเป็นกลุ่มใหญ่ที่สุดในเขตวัฒนธรรมล้านนา โดยที่จะขอนำมากล่าวถึงในวันนี้ คือ วัดพระเจ้าดำ
.....ถ้าเปรียบ “สบแจ่ม” เป็นมงกุฎศิราภรณ์ล้ำค่าแห่งล้านนาชิ้นใหม่ “วัดพระเจ้าดำ” ก็คงไม่ต่างกับเพชรยอดมงกุฎ ที่ประกาศคุณค่าและความงาม
ข้อมูลจากการศึกษาทางโบราณคดีที่ผ่านมา พบว่าในเขตวัฒนธรรมล้านนาปรากฏเจดีย์รูปแบบที่มีอิทธิพลวัฒนธรรมสุโขทัยไม่มากนัก โดยมากมักปรากฏในลักษณะอิทธิพลทางศิลปกรรมเฉพาะส่วน ที่ประกอบและผสมผสานเข้ากับสถาปัตยกรรมล้านนา อาทิ การทำช้างล้อมรอบฐานเจดีย์ หรือการทำส่วนลาดบัวคว่ำซ้อนลดหลั่นกันรองรับองค์ระฆัง อย่างที่ศัพท์ทางประวัติศาสตร์ศิลปะเรียกว่า “บัวถลา”
......แต่โบราณสถานวัดพระเจ้าดำแห่งนี้ ต่างออกไป
จากรูปแบบสถาปัตยกรรมที่ปรากฏ วัดพระเจ้าดำ มิได้นำองค์ประกอบความเป็นสุโขทัยมาเพียงเฉพาะส่วน แต่ได้นำความเป็นสุโขทัยแบบต้นฉบับมาประดิษฐานยังที่แห่งนี้
เอกลักษณ์ความเป็นสุโขทัยเพียงหนึ่งเดียวที่ไม่มีที่ใดเหมือนนั่นคือ “เจดีย์พุ่มข้าวบิณฑ์”
เจดีย์แบบพุ่มข้าวบิณฑ์ หรือ เจดีย์ทรงดอกบัวตูมแห่งวัดพระเจ้าดำ ตั้งอยู่บริเวณริมตลิ่งแม่น้ำปิงฝั่งตะวันตก เจดีย์ตั้งอยู่ด้านหลังวิหารที่หันหน้าเข้าสู่แม่น้ำปิง เจดีย์องค์นี้นับได้ว่าเป็นเจดีย์พุ่มข้าวบิณฑ์ที่งดงามที่สุดและมีสัดส่วนใกล้เคียงกับเจดีย์พุ่มข้าวบิณฑ์แบบต้นฉบับในเมืองสุโขทัยที่สุด เดิมทีในพื้นที่ล้านนาปรากฏเจดีย์แบบพุ่มข้าวบิณฑ์ ๒ แห่ง คือ ๑.เจดีย์วัดธาตุกลาง (นอกกำแพงเมืองเชียงใหม่ด้านใต้) ๒.เจดีย์รายประจำมุมของวัดสวนดอก (นอกเมืองเชียงใหม่ด้านตะวันตก) ซึ่งภายหลังถูกก่อครอบสมัยครูบาเจ้าศรีวิชัย ราวก่อนปี ๒๔๗๘ เจดีย์พุ่มข้าวบิณฑ์ที่กล่าวมาทั้ง ๒ องค์ หากพิจารณาจากลักษณะและสัดส่วน เห็นจะมีเพียงเจดีย์พุ่มข้าวบิณฑ์ของวัดสวนดอก ที่ดูได้สัดส่วนงดงาม แต่ก็ประดิษฐานอยู่ในฐานะเจดีย์ประจำมุม มิใช่เจดีย์ประฐาน
ทั้งนี้เมื่อพิจารณาถึงอายุสมัยและเนื้อหาประวัติศาสตร์พบว่า เจดีย์ทรงพุ่มข้าวบิณฑ์น่าจะมีมาแล้วตั้งแต่ปลายพุทธศตวรรษที่ ๑๙ ซึ่งเป็นช่วงเวลาก่อนรัชสมัยพระเจ้าลิไท ของสุโขทัย เนื่องจากปรากฏข้อความในจารึกเขาสุมนกูฎ ที่ระบุว่าพระยาลิไทเสด็จไปปิดทองพระมหาธาตุเมืองพิษณุโลก ในปี พ.ศ. ๑๙๑๒ “...ไปอยู่เมืองสองแควบุพระมหาธาตุ...” ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเจดีย์ทรงพุ่มข้าวบิณฑ์นี้ มีมาก่อนต้นพุทธศตวรรษที่ ๒๐ และได้กลายเป็นรูปแบบหลักของเจดีย์ประธานช่วงสมัยพระเจ้าลิไท ในพุทธศตวรรษที่ ๒๐ ทั้งนี้ในช่วงต้นพุทธศตวรรษที่ ๒๐ มีเหตุการณ์สำคัญที่แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์และการแพร่เข้ามาของอิทธิพลสุโขทัยในล้านนา คือ การที่พญากือนาอาราธนาพระสุมนเถระจากสุโขทัย มาประดิษฐานศาสนาพุทธแบบลังกาวงศ์ในเมืองเชียงใหม่ โดยมีวัดสวนดอกเป็นศูนย์กลาง (จึงปรากฏหลักฐานเป็นเจดีย์บริวารองค์เดิมของวัดสวนดอก ที่เป็นเจดีย์ทรงพุ่มข้าวบิณฑ์) นับแต่นั้นรูปแบบทางศิลปกรรมและสถาปัตยกรรมของสุโขทัยเนื่องในศาสนาก็ได้แพร่หลายสู่ล้านนา จากการพบเจดีย์ทรงพุ่มข้าวบิณฑ์ขนาดใหญ่ในพื้นที่สบแจ่มนี้ จึงกล่าวได้ว่า แหล่งโบราณคดีสบแจ่มนี้เป็นชุมชนที่มีความสำคัญและเป็นมีขนาดใหญ่ที่สุดที่รับอิทธิพลวัฒนธรรมสุโขทัยในพื้นที่ล้านนา ในช่วงต้นพุทธศตวรรษที่ ๒๐
เรียบเรียงโดย นายสายกลาง จินดาสุ นักโบราณคดีชำนาญการ
พิพิธภัณฑ์สรรหาสาระ บทความออนไลน์จากพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ปราจีนบุรี
“โบราณวัตถุสำคัญที่พบจากปราสาทเขาโล้น”
จากเรื่องราวการต้อนรับทับหลังปราสาทเขาโล้นและทับหลังปราสาทหนองหงส์กลับคืนสู่ประเทศไทยนั้น พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ปราจีนบุรี ขอนำเสนอองค์ความรู้เกี่ยวกับปราสาทเขาโล้นและโบราณวัตถุสำคัญอื่น ๆ ที่พบจากปราสาทเขาโล้น
ปราสาทเขาโล้น ตั้งอยู่บนภูเขาหินทรายลูกเล็ก ๆ ในเขตตำบลทัพราช อำเภอตาพระยา จังหวัดสระแก้ว การดำเนินงานทางโบราณคดี เมื่อ พ.ศ. 2560-2561 พบว่าปราสาทเขาโล้น เป็นปราสาทก่ออิฐ 3 หลังบนฐานไพที ปัจจุบันคงเหลือเฉพาะปราสาทประธาน ส่วนอีก 2 หลัง เหลือเฉพาะฐาน นอกจากนั้นยังมีบรรณาลัยอยู่ด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้ของปราสาทประธาน ล้อมรอบด้วยกำแพงแก้ว และมีโคปุระหรือซุ้มประตูทางด้านทิศตะวันออก ทิศตะวันตกและทิศใต้ รวมทั้งยังมีการนำหินทรายมาวางเรียงเป็นบันไดจากเชิงเขาขึ้นสู่ปราสาทด้วย
ทับหลังปราสาทเขาโล้น ปรากฏในบทความเรื่อง “ศิลปสมัยลพบุรี” ของ ศ.มจ.สุภัทรดิศ ดิศกุล ตีพิมพ์เมื่อปี พ.ศ. 2510 ซึ่งได้กล่าวถึงปราสาทเขาโล้นว่า “เป็นปราสาทหลังเดียวก่ออิฐ มีทับหลังสลักรูปเทวดานั่งชันเข่าบนเกียรติมุข” ต่อมาทับหลังปราสาทเขาโล้น ได้สูญหายไปเป็นระยะเวลาหลายปี จนกระทั่ง มีนักวิชาการอิสระ พบทับหลังปราสาทเขาโล้น จัดแสดงที่พิพิธภัณฑ์ศิลปะเอเชีย ชง-มูน ลี (Chong-Moon Lee) เมืองซานฟรานซิสโก ประเทศสหรัฐอเมริกา คณะกรรมการติดตามทวงคืนโบราณวัตถุ ฯ ซึ่งประกอบไปด้วยกรมศิลปากร หน่วยงานราชการ หน่วยงานเอกชน ผู้เชี่ยวชาญ นักวิชาการอิสระ จึงได้ดำเนินการติดตามทวงคืน ทับหลังปราสาทเขาโล้น พร้อมด้วยทับหลังปราสาทหนองหงส์ จนกระทั่งสามารถติดตามทวงคืนได้สำเร็จ และทำพิธีบวงสรวงต้อนรับกลับสู่ประเทศไทย เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2564 โบราณวัตถุสำคัญที่พบจากปราสาทเขาโล้น อำเภอตาพระยา จังหวัดสระแก้ว
- อสูร (ยักษ์) ทวารบาล ศิลปะเขมรในประเทศไทย (แบบบันทายสรี) อายุประมาณ พ.ศ. 1510-1550 เป็นประติมากรรมทวารบาล คงเหลือเฉพาะส่วนร่างกายช่วงบน บางส่วนของใบหน้าแตกกะเทาะหายไป แต่ยังปรากฏรูปปากที่มีเขี้ยวอยู่มุมปาก เกล้ามวยผมเป็นรูปทรงกระบอก ด้านหลังปล่อยปลายผมยาวประบ่าผมหยิกเป็นก้นหอย ใส่ตุ้มหูแผ่นกลมใหญ่
- ยอดปราสาท พบบริเวณมุมปราสาทประธาน ด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้ มีลักษณะเป็นทรงกลม คล้ายหม้อน้ำหรือกลศ มีการเจาะรูตรงกลาง แกะสลักลายแถวกลีบบัว และแถวกระจังใบเทศโดยรอบ
- แถวกลีบบัวเหนือทับหลัง พบบริเวณด้านหน้าของปราสาทประธาน ระหว่างการดำเนินงานทางโบราณคดี เป็นแถวกลีบบัว ทำจากหินทราย ซึ่งเป็นกลีบบัวซ้อนกันเรียงต่อเป็นแนว และเป็นแถวกลีบบัวที่เคยประดับเหนือทับหลังบริเวณด้านทิศตะวันออกของปราสาทประธาน ซึ่งมีลักษณะตรงกับแถวกลีบบัวที่ปรากฏในบทความ เรื่อง “ศิลปสมัยลพบุรี” ของ ศ.มจ.สุภัทรดิศ ดิศกุล ตีพิมพ์เมื่อปี พ.ศ. 2510
- แท่นบรรจุวัตถุมงคล พบอยู่บริเวณโคปุระด้านทิศตะวันออก มีลักษณะเป็นรูปทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัส ตรงกลางเซาะเป็นร่องในแนวแกนตั้งและแนวแกนนอน ทำให้แบ่งพื้นที่ออกเป็น 4 ส่วน จุดตัดตรงกลางเจาะเป็นช่องทะลุ ในแต่ละช่องเจาะเป็นรูขนาดเล็กเพื่อบรรจุวัตถุมงคล สันนิษฐานว่าเป็นแผ่นหินฤกษ์ ซึ่งสัมพันธ์กับคติความเชื่อในพิธีกรรมการวางฤกษ์ของปราสาทในวัฒนธรรมเขมร
- ปลายกรอบหน้าบัน พบบริเวณด้านหน้าของบรรณาลัย ทำเป็นรูปสามเหลี่ยมสลักลวดลายเป็นรูปมกรอ้าปากชูงวง และประดับด้วยลายกระหนก ปลายกรอบหน้าบันที่พบจากปราสาทเขาโล้น มีลักษณะคล้ายกับปลายกรอบหน้าบันของอาคารที่ปราสาทบันทายสรี ประเทศกัมพูชา
- กลีบบัวประดับเชิงชาย เป็นกลีบบัวหลายกลีบเรียงต่อกัน แกะสลักลวดลายเป็นกลีบบัวซ้อนกัน 2 ชั้น กรอบนอกสลักลายแข้งสิงห์เรียงต่อกัน ใช้ประดับบริเวณเชิงชายของหลังคาบรรณาลัย
- ปราสาทจำลอง เป็นชิ้นส่วนประกอบสถาปัตยกรรม ใช้สำหรับวางประดับบริเวณมุมของอาคารจำลองแต่ละชั้น ในส่วนยอดของปราสาท ปราสาทจำลองที่พบจากปราสาทเขาโล้น สามารถจัดจำแนกตามความสูงที่แตกต่างกันได้เป็น 4 กลุ่ม ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการทำชั้นซ้อนลดหลั่นกัน 4 ชั้น ของรูปแบบอาคารจำลองส่วนยอดปราสาท โดยปราสาทจำลองที่ประดับชั้นล่างสุดจะมีขนาดใหญ่ที่สุดและมีการแกะสลักลวดลายแบบพิเศษ เช่น ลายกระจังปฏิญาณ รูปบุคคล ปราสาทจำลองชั้นที่ 2 และ ชั้นที่ 3 จะสลักลวดลายทั่วไป ได้แก่ ลายสามเหลี่ยมเรียงแถวกัน ส่วนปราสาทจำลองที่ประดับชั้นบนสุด จะมีขนาดเล็กที่สุด ไม่มีการสลักลวดลาย
- บันแถลง เป็นชิ้นส่วนประกอบสถาปัตยกรรม ใช้วางประดับในแต่ละด้านของยอดปราสาท มีลักษณะคล้ายกับปราสาทจำลอง แต่มีลักษณะเป็นแผ่นแบนและมีเดือยสำหรับเสียบลงไปตรงส่วนยอดของปราสาท ทำเป็นรูปบุคคลยืนตรง มือทั้งสองข้างแนบลำตัว หน้าเป็นรูปสี่เหลี่ยม ไว้ผมแบบมีกระบังหน้า กุณฑลเป็นพู่รูปสามเหลี่ยม สวมผ้านุ่งเป็นริ้วยาวจรดข้อเท้า ชายผ้านุ่งพับออกบริเวณเอว โดยรอบนางอัปสรประดับใบระกาเรียบ
นอกจากนี้ยังสามารถศึกษาข้อมูลองค์ความรู้ของปราสาทเขาโล้นเพิ่มเติม โดยสำนักศิลปากรที่ 5 ปราจีนบุรีได้ที่
ปราสาทเขาโล้น 1/4 : การดำเนินงานโบราณคดี
https://www.facebook.com/2360532577517366/posts/2770145389889414/
ปราสาทเขาโล้น 2/4 : โบราณวัตถุชิ้นเด่นและการกำหนดอายุ
https://www.facebook.com/2360532577517366/posts/2796066377297315/
ปราสาทเขาโล้น 3/4 : การอนุรักษ์โบราณสถานด้วยวิธีการก่ออิฐดั้งเดิมของสถาปัตยกรรมเขมร
https://www.facebook.com/2360532577517366/posts/2825649094339043/
ปราสาทเขาโล้น 4/4 : ทับหลังและซุ้มประตูด้านตะวันออกของปราสาทประธาน
https://www.facebook.com/2360532577517366/posts/2931827633721188/
เอกสารอ้างอิง
- สำนักศิลปากรที่ 5 ปราจีนบุรี. “รายงานการดำเนินงานโบราณคดี โบราณสถานปราสาทเขาโล้น ตำบลทัพราช อำเภอตาพระยา จังหวัดสระแก้ว”, 2560.
- สิขรินทร์ ศรีสุวิทธานนท์. “ปราสาทเขาโล้น อำเภอตาพระยา จังหวัดสระแก้ว” ใน ศิลปากร, ปีที่ 63, ฉบับที่ 3 (พฤษภาคม-มิถุนายน 2563): 64-85.
- สุภัทรดิศ ดิศกุล, ม.จ.. “ศิลปสมัยลพบุรี” กรุงเทพฯ, 2510.
ผู้เรียบเรียง นายเพิ่มพันธ์ นนตะศรี ภัณฑารักษ์ปฏิบัติการ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ปราจีนบุรี
ในบริเวณด้านตะวันออก หน้าวัดบวรสถานสุทธาวาส(วัดพระแก้ววังหน้า) ซึ่งปัจจุบันเป็นที่ตั้งของโรงละครแห่งชาติ สำนักการสังคีต และสถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ บริเวณดังกล่าวนี้ เมื่อครั้งอดีตเป็นที่ตั้งของอาคารสำนักงาน ๓ หลัง ที่มีประวัติการใช้งานที่น่าสนใจ เริ่มจากเมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาตำแหน่งสยามมกุฎราชกุมารแทนตำแหน่งกรมพระราชวังบวรสถานมงคล (วังหน้า) เมื่อ พ.ศ.๒๔๒๘ หลังจากนั้น ใน พ.ศ.๒๔๔๐ จึงทรงโปรดเกล้าฯ ให้รื้อป้อม กำแพงในเขตพระราชฐานชั้นนอก ด้านเหนือและตะวันออกของพระราชวังบวรสถานมงคลลงเพื่อปรับพื้นที่เป็นสนามหลวง และโปรดเกล้าฯ ให้สร้างอาคารสถาปัตยกรรมตะวันตก ก่ออิฐถือปูน สองชั้น จำนวน ๓ หลัง เรียงกันจากทิศตะวันออกไปทิศตะวันตกในบริเวณพื้นที่ส่วนหน้าด้านตะวันออกของวัดบวรสถานสุทธาวาส เมื่อแรกใช้เป็นที่ทำการของกองทหารบกราบที่ ๓ ต่อมาทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้กระทรวงธรรมการ(ปัจจุบัน คือ กระทรวงศึกษาธิการ) ได้เข้าใช้พื้นที่อาคารนี้ นับแต่ พ.ศ.๒๔๔๘ – ๒๔๕๒ จากนั้นจึงเปลี่ยนเป็นที่ทำการของศาลข้าหลวงพิเศษ กระทรวงยุติธรรม และศาลฎีกา จนถึง พ.ศ.๒๔๘๔ นับแต่ พ.ศ.๒๔๘๔ – ๒๔๙๗ กระทรวงคมนาคมได้รับอนุญาตให้เข้าใช้อาคารทั้งสามหลัง เป็นที่ทำการกระทรวงฯ ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ ๒ (พ.ศ.๒๔๘๗ – ๒๔๘๘) วัดบวรสถานสุทธาวาสและอาคารสำนักงานหลังที่อยู่ใกล้ได้รับความเสียหาย ๑ หลัง จากการทิ้งระเบิด ต่อมาใน พ.ศ.๒๔๙๗ กรมศิลปากรได้รับมอบอาคาร ๓ หลังซึ่งกระทรวงคมนาคมส่งมอบเพื่อใช้อาคาร ๒ หลังที่อยู่ตอนในใกล้วัดบวรสถานสุทธาวาสเป็นอาคารเรียนของโรงเรียนศิลปศึกษา ซึ่งภายหลังโรงเรียนดังกล่าวได้เปลี่ยนชื่อเป็นโรงเรียนช่างศิลป์ เมื่อ พ.ศ.๒๕๐๔ พร้อมกับการจัดสร้างอาคารเรียนหลังใหม่ขึ้นบนพื้นที่อาคารสำนักงานเดิมที่อยู่ใกล้วัดบวรสถานสุทธาวาสซึ่งได้รับความเสียหายจากสงคราม ระหว่าง พ.ศ.๒๕๐๔ – ๒๕๐๕ จึงมีการรื้ออาคารสำนักงานหลังกลาง เพื่อใช้เป็นพื้นที่สร้าง โรงละครแห่งชาติ โดยมีการปรับใช้อาคารสำนักงานหลังที่อยู่ทางตะวันออกสุดด้วยการเจาะผนังอาคารด้านตะวันออกเป็นประตูเข้าอาคารและสร้างหลังคามุขยื่นคลุมที่ชั้นล่างของอาคาร ต่อมาจึงมีการรื้อถอนอาคารสำนักงานหลังนี้เพื่อสร้างโรงละครเล็กและพื้นที่ลานหน้าอาคารโรงละครแห่งชาติริมถนนหน้าพระธาตุ เมื่อการก่อสร้างโรงละครแห่งชาติแล้วเสร็จใน พ.ศ.๒๕๐๗ ต่อมาในวันที่ ๒๓ ธันวาคม ๒๕๐๘ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนี พันปีหลวง ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ เสด็จพระราชดำเนินทอดพระเนตรการแสดงนาฏศิลป์ไทยเนื่องในวโรกาสพิธีเปิดโรงละครแห่งชาติอย่างเป็นทางการ ------------------------------------------------------------------ที่มาของข้อมูล : กองโบราณคดี กลุ่มวิจัยและพัฒนางานโบราณคดี
แหล่งโบราณคดีที่เป็นแหล่งภาพเขียนสีอีกแหล่งหนึ่งของจังหวัดตรัง คือ แหล่งโบราณคดีภาพเขียนสีอ่าวบุญคง ซึ่งเป็นแหล่งโบราณคดีที่พบร่องรอยการใช้พื้นที่ของมนุษย์ในอดีตหลายยุคสมัยด้วยกัน แหล่งโบราณคดีภาพเขียนสีอ่าวบุญคง ตั้งอยู่ที่ หมู่ ๓ ตำบลไม้ฝาด อำเภอสิเกา จังหวัดตรัง ประวัติและความสำคัญ ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของภูเขาหินปูนภายในอ่าวบุญคง มีลักษณะเป็นอ่าวปิด ไม่มีทางรถยนต์เข้าถึง การเดินทางจึงต้องใช้เรือหรือเดินตัดผ่านป่าชายเลนเข้าไป แหล่งโบราณคดีมีลักษณะเป็นเพิงผา และโพรงถ้ำที่เกิดจากการกัดเซาะของน้ำทะเลตามธรรมชาติ ภายในมีคูหาแบ่งเป็นหลายห้องทะลุถึงกันได้ บริเวณจุดที่พบภาพเขียนสีจะอยู่ด้านหน้าของโพรงถ้ำห่างจากปากถ้ำไปทางทิศเหนือประมาณ ๕ เมตร ตัวภาพสูงจากระดับน้ำทะเล ๒ เมตร ส่วนโพรงถ้ำที่พบหลักฐานทางโบราณคดีจะอยู่สูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ ๑ เมตร ตัวเพดานโพรงถ้ำมีขนาดสูงประมาณ ๑ - ๒ เมตร จากการศึกษาพบหลักฐานทางโบราณคดีในยุคก่อนประวัติศาสตร์และประวัติศาสตร์ สิ่งสำคัญทางโบราณคดี ๑. ภาพเขียนสี ตั้งอยู่บริเวณเพิงผาด้านหน้าโพรงถ้ำ เขียนลายเส้นสีแดง ใช้เทคนิคการเขียนโครงเส้น และระบายสีทึบด้านในเป็นบางส่วน ภาพมีลักษณะคล้ายรูปปลา สัตว์ทะเล บุคคล และลายเรขาคณิต บางส่วนลบเลือนเนื่องจากมีคราบหินปูนเคลือบทับไว้ ตัวภาพมีความคล้ายคลึงกับภาพเขียนสีเขาแบนะในเขตอุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหม อำเภอสิเกา จังหวัดตรัง ซึ่งอยู่ห่างไปจากแหล่งโบราณคดีประมาณ ๑๓ กิโลเมตร ผลจากการศึกษาค่าอายุโดยการเปรียบเทียบรูปแบบกับกลุ่มภาพเขียนสีที่อ่าวพังงา จังหวัดพังงา และอ่าวลึก จังหวัดกระบี่ กำหนดอายุภาพเขียนสีอ่าวบุญคงราว ๔,๐๐๐ - ๒,๐๐๐ ปีมาแล้ว ๒. หลักฐานทางโบราณคดีในโพรงถ้ำอ่าวบุญคง พบหลักฐานบริเวณพื้นถ้ำ ได้แก่ ชิ้นส่วนโครงกระดูกมนุษย์ ชิ้นส่วนเครื่องถ้วยจีน และชิ้นส่วนตลับเคลือบใสสีขาว สมัยราชวงศ์ซุ่งใต้อายุประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๗ – ๑๙ ชิ้นส่วนภาชนะดินเผาเนื้อดิน เปลือกหอยทากบก (หอยหอม) และ เปลือกหอยทะเล เช่น หอยสังข์กระโดด (หอยชักตีน) หอยแครง แหวนพลอยสีชมพู ตัวเรือนทำจากโลหะเคลือบสีทองเป็นแหวนสมัยรัตนโกสินทร์ช่วงพุทธศตวรรษที่ ๒๕ เป็นต้น จากลักษณะสภาพภูมิศาสตร์ที่ตั้งของแหล่งโบราณคดีสันนิษฐานว่าคนโบราณได้มาใช้พื้นที่บริเวณอ่าวบุญคงสำหรับจอดพักเรือระหว่างการเดินทาง หรือใช้หลบกระแสคลื่นลมและใช้เป็นพื้นที่ประกอบพิธีกรรมมาตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์จนถึงสมัยปัจจุบัน อายุสมัย ยุคก่อนประวัติศาสตร์ ราว ๔,๐๐๐ - ๒,๐๐๐ ปีมาแล้ว ยุคประวัติศาสตร์ช่วงพุทธศตวรรษที่ ๑๗ - ๑๙ และสมัยรัตนโกสินทร์ราวพุทธศตวรรษที่ ๒๕ที่มาของข้อมูล : กลุ่มโบราณคดี สำนักศิลปากรที่ ๑๑ สงขลา