ค้นหา

รายการที่พบทั้งหมด 48,777 รายการ

        โบราณสถานกู่พราหมณ์จำศีล มีปราสาทประธาน 3 หลัง เรียงกันตามแนวแกนทิศเหนือ-ใต้ ตั้งอยู่บนฐานเดียวกัน ปราสาททั้ง 3 หลัง มีประตูทางเข้าเฉพาะด้านทิศตะวันออก ทางด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือและทิศตะวันออกเฉียงใต้มีบรรณาลัยตั้งอยู่ ศาสนสถานถูกล้อมรอบด้วยกำแพงแก้ว และคูน้ำเว้นทางเข้าตามแนวแกนทิศด้านทิศตะวันออก-ตะวันตก ใช้วัสดุศิลาแลงและหินทราย ทั้งนี้ ปรากฏภาพสลักทับหลังที่น่าสนใจ ที่ติดกับตัวงปราสาท จำนวน 6 ชิ้น ดังนี้           ชิ้นที่1 ทับหลังปราสาทหลังกลาง สลักภาพพระอินทร์ทรงช้างเอราวัณ ประทับนั่งในท่ามหาราช (นั่งชันเข่า) ซึ่งเป็นเทพประจำทิศตะวันออก ประทับยืนอยู่เหนือหน้ากาล ห้อมล้อมด้วยลายพันธุ์พฤกษา ซึ่งเป็นพรรณพฤกษาที่ออกมาจากปากของหน้ากาล          ชิ้นที่ 2 ทับหลังปราสาทหลังทิศเหนือ สลักภาพบุคคลนั่งชันเข่า อยู่ในกรอบซุ้มเรือนแก้ว เหนือหน้ากาลคายท่อนพวงมาลัย ห้อมล้อมด้วยลายพันธุ์พฤกษา ซึ่งเป็นพรรณพฤกษาที่ออกมาจากปากของหน้ากาล          ชิ้นที่ 3 ทับหลังบรรณาลัยด้านทิศใต้ สลักภาพบุคคลไว้เครา ประทับนั่ง ขนาบข้างด้วยสตรี ซ้ายและขวา ห้อมล้อมด้วยลายพันธุ์พฤกษา ซึ่งเป็นพรรณพฤกษาที่ออกมาจากปากของหน้ากาล          ชิ้นที่ 4 ทับหลังบรรณาลัยด้านทิศเหนือ สลักภาพบุคคลนั่งชันเข่า มือขวาถือดาบ อยู่ในซุ้มเรือนแก้ว เหนือหน้ากาล คายท่อนพวงมาลัย ขนาบด้วยสิงห์มือจับท่อนพวงมาลัย สันนิษฐานว่าเป็นเทพผู้ปกปักรักษาศาสนสถานแห่งนี้          ชิ้นที่ 5 ทับหลังฝั่งตะวันออกของโคปุระด้านตะวันตก สลักภาพพระนารายณ์ทรงครุฑ เหนือหน้ากาลคายท่อนพวงมาลัย ห้อมล้อมด้วยลายพันธุ์พฤกษา ซึ่งเป็นพรรณพฤกษาที่ออกมาจากปากของหน้ากาล          ชิ้นที่ 6 ทับหลังฝั่งตะวันออกของโคปุระด้านตะวันตก สลักภาพพระวรุณทรงหงส์ ซึ่งเป็นเทพประจำทิศตะวันตก ยืนอยู่เหนือหน้ากาล ห้อมล้อมด้วยลายพันธุ์พฤกษา ซึ่งเป็นพรรณพฤกษาที่ออกมาจากปากของหน้ากาล          จากรูปแบบศิลปกรรมของภาพสลักทับหลัง มีลักษณะคล้ายกับทับหลังศิลปะเขมร แบบาปวน จึงกำหนดอายุสมัยโบราณสถานกู่พราหมณ์จำศีล มีอายุอยู่ในช่วง ครึ่งหลังพุทธศตวรรษที่ 16           หลายคนคงสงสัยว่า ทับหลังแบบบาปวน ดูจากอะไร? ขอให้ทุกคนสังเกต โครงสร้างหลักของทับหลังแบบบาปวน คือ หน้ากาลอยู่กึ่งกลางด้านล่างของทับหลัง เหนือหน้ากาลมีรูปบุคคล ซึ่งอาจมีพาหนะหรือไม่ก็ได้ หน้ากาลคายท่อนพวงมาลัยวกขึ้นแล้วตกลงเป็นกรอบสี่เหลี่ยม ใต้ท่อนพวงมาลัยเป็นใบไม้ม้วน เหนือท่อนพวงมาลัยเป็นใบไม้ตั้ง ทั้งนี้อาจมีรูปแบบอื่นปรากฏ เช่น สลักเป็นภาพเล่าเรื่อง นั่นเอง           ติดกันด้านทิศเหนือ ยังมี ปราสาทนางรำ ซึ่งเป็น โบราณสถานประเภท “อโรยคศาล” หรือศาสนสถานประจำโรงพยาบาล ในรัชสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 18 ด้วยนะครับ หากมีโอกาส ลองแวะเวียนไปเยี่ยมชมกันดูนะครับ ทั้งนี้ “กู่พราหมณ์จำศีล” และ “ปราสาทนางรำ” เป็นร่องรอยหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่าบริเวณเป็นชุมชนโบราณที่มีผู้คนอยู่เป็นจำนวนมาก มาตั้งแต่ช่วงครึ่งหลังพุทธศตวรรษที่ 16 โดยมีศาสนสถานขนาดใหญ่ อย่างกู่พราหมณ์จำศีล เป็นศาสนสถานประจำชุมชน และในช่วงพุทธศตวรรษที่ 18 จึงมีดำริให้สร้างโรงพยาบาลในพื้นที่ใกล้เคียงกัน----------------------------------------------------ข้อมูลโดย : นายวรรณพงษ์ ปาะละกะวงษ์ ณ อยุธยา นักโบราณคดีปฏิบัติการ สำนักศิลปากรที่ ๑๐ นครราชสีมา----------------------------------------------------เอกสารอ้างอิง -กรมศิลปากร. ทำเนียบโบราณสถานขอมในประเทศไทย เล่ม 1. กรุงเทพฯ: กองโบราณคดี กรมศิลปากร. 2535 -รุ่งโรจน์ ธรรมรุ่งเรือง. ปราสาทขอมในดินแดนไทย. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ: มติชน. 2551.


องค์ความรู้เรื่อง " เจดีย์ทรงพุ่มข้าวบิณฑ์วัดพระเจ้าดำ ร่องรอยสุโขทัยในล้านนา " โดย สำนักศิลปากรที่ ๗ เชียงใหม่                  พื้นที่ๆเรียกว่า “สบแจ่ม” เป็นบริเวณจุดบรรจบของลำน้ำแม่แจ่มกับแม่น้ำปิง ในเขตอำเภอจอมทอง ทางตอนใต้ของจังหวัดเชียงใหม่  พื้นที่แห่งนี้เป็นเพียงไม่กี่แห่งในเขตวัฒนธรรมล้านนาที่หลงเหลือโบราณสถานในลักษณะ “กลุ่มโบราณสถานขนาดใหญ่” ในปี พ.ศ.๒๕๕๘ – ๒๕๖๒ สำนักศิลปากรที่ ๗ เชียงใหม่ ได้ดำเนินการขุดค้น-ขุดแต่งทางโบราณคดี และพบข้อมูลสำคัญที่เปิดประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของล้านนาและแอ่งที่ราบเชียงใหม่ กล่าวคือ พื้นที่นี้ เป็นพื้นที่ที่ปรากฏอิทธิพลศิลปกรรมแบบสุโขทัยที่เด่นชัดและเป็นกลุ่มใหญ่ที่สุดในเขตวัฒนธรรมล้านนา โดยที่จะขอนำมากล่าวถึงในวันนี้ คือ วัดพระเจ้าดำ   .....ถ้าเปรียบ “สบแจ่ม” เป็นมงกุฎศิราภรณ์ล้ำค่าแห่งล้านนาชิ้นใหม่ “วัดพระเจ้าดำ” ก็คงไม่ต่างกับเพชรยอดมงกุฎ ที่ประกาศคุณค่าและความงาม  ข้อมูลจากการศึกษาทางโบราณคดีที่ผ่านมา พบว่าในเขตวัฒนธรรมล้านนาปรากฏเจดีย์รูปแบบที่มีอิทธิพลวัฒนธรรมสุโขทัยไม่มากนัก โดยมากมักปรากฏในลักษณะอิทธิพลทางศิลปกรรมเฉพาะส่วน           ที่ประกอบและผสมผสานเข้ากับสถาปัตยกรรมล้านนา อาทิ การทำช้างล้อมรอบฐานเจดีย์ หรือการทำส่วนลาดบัวคว่ำซ้อนลดหลั่นกันรองรับองค์ระฆัง อย่างที่ศัพท์ทางประวัติศาสตร์ศิลปะเรียกว่า “บัวถลา”    ......แต่โบราณสถานวัดพระเจ้าดำแห่งนี้ ต่างออกไป   จากรูปแบบสถาปัตยกรรมที่ปรากฏ วัดพระเจ้าดำ มิได้นำองค์ประกอบความเป็นสุโขทัยมาเพียงเฉพาะส่วน แต่ได้นำความเป็นสุโขทัยแบบต้นฉบับมาประดิษฐานยังที่แห่งนี้            เอกลักษณ์ความเป็นสุโขทัยเพียงหนึ่งเดียวที่ไม่มีที่ใดเหมือนนั่นคือ “เจดีย์พุ่มข้าวบิณฑ์”   เจดีย์แบบพุ่มข้าวบิณฑ์ หรือ เจดีย์ทรงดอกบัวตูมแห่งวัดพระเจ้าดำ ตั้งอยู่บริเวณริมตลิ่งแม่น้ำปิงฝั่งตะวันตก เจดีย์ตั้งอยู่ด้านหลังวิหารที่หันหน้าเข้าสู่แม่น้ำปิง เจดีย์องค์นี้นับได้ว่าเป็นเจดีย์พุ่มข้าวบิณฑ์ที่งดงามที่สุดและมีสัดส่วนใกล้เคียงกับเจดีย์พุ่มข้าวบิณฑ์แบบต้นฉบับในเมืองสุโขทัยที่สุด เดิมทีในพื้นที่ล้านนาปรากฏเจดีย์แบบพุ่มข้าวบิณฑ์ ๒ แห่ง คือ ๑.เจดีย์วัดธาตุกลาง (นอกกำแพงเมืองเชียงใหม่ด้านใต้) ๒.เจดีย์รายประจำมุมของวัดสวนดอก (นอกเมืองเชียงใหม่ด้านตะวันตก) ซึ่งภายหลังถูกก่อครอบสมัยครูบาเจ้าศรีวิชัย ราวก่อนปี ๒๔๗๘ เจดีย์พุ่มข้าวบิณฑ์ที่กล่าวมาทั้ง ๒ องค์ หากพิจารณาจากลักษณะและสัดส่วน เห็นจะมีเพียงเจดีย์พุ่มข้าวบิณฑ์ของวัดสวนดอก ที่ดูได้สัดส่วนงดงาม แต่ก็ประดิษฐานอยู่ในฐานะเจดีย์ประจำมุม มิใช่เจดีย์ประฐาน    ทั้งนี้เมื่อพิจารณาถึงอายุสมัยและเนื้อหาประวัติศาสตร์พบว่า เจดีย์ทรงพุ่มข้าวบิณฑ์น่าจะมีมาแล้วตั้งแต่ปลายพุทธศตวรรษที่ ๑๙ ซึ่งเป็นช่วงเวลาก่อนรัชสมัยพระเจ้าลิไท ของสุโขทัย เนื่องจากปรากฏข้อความในจารึกเขาสุมนกูฎ ที่ระบุว่าพระยาลิไทเสด็จไปปิดทองพระมหาธาตุเมืองพิษณุโลก ในปี พ.ศ. ๑๙๑๒ “...ไปอยู่เมืองสองแควบุพระมหาธาตุ...” ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเจดีย์ทรงพุ่มข้าวบิณฑ์นี้ มีมาก่อนต้นพุทธศตวรรษที่ ๒๐ และได้กลายเป็นรูปแบบหลักของเจดีย์ประธานช่วงสมัยพระเจ้าลิไท ในพุทธศตวรรษที่ ๒๐ ทั้งนี้ในช่วงต้นพุทธศตวรรษที่ ๒๐ มีเหตุการณ์สำคัญที่แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์และการแพร่เข้ามาของอิทธิพลสุโขทัยในล้านนา คือ การที่พญากือนาอาราธนาพระสุมนเถระจากสุโขทัย มาประดิษฐานศาสนาพุทธแบบลังกาวงศ์ในเมืองเชียงใหม่ โดยมีวัดสวนดอกเป็นศูนย์กลาง (จึงปรากฏหลักฐานเป็นเจดีย์บริวารองค์เดิมของวัดสวนดอก ที่เป็นเจดีย์ทรงพุ่มข้าวบิณฑ์) นับแต่นั้นรูปแบบทางศิลปกรรมและสถาปัตยกรรมของสุโขทัยเนื่องในศาสนาก็ได้แพร่หลายสู่ล้านนา จากการพบเจดีย์ทรงพุ่มข้าวบิณฑ์ขนาดใหญ่ในพื้นที่สบแจ่มนี้ จึงกล่าวได้ว่า แหล่งโบราณคดีสบแจ่มนี้เป็นชุมชนที่มีความสำคัญและเป็นมีขนาดใหญ่ที่สุดที่รับอิทธิพลวัฒนธรรมสุโขทัยในพื้นที่ล้านนา ในช่วงต้นพุทธศตวรรษที่ ๒๐  เรียบเรียงโดย นายสายกลาง จินดาสุ  นักโบราณคดีชำนาญการ


พิพิธภัณฑ์สรรหาสาระ บทความออนไลน์จากพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ปราจีนบุรี “โบราณวัตถุสำคัญที่พบจากปราสาทเขาโล้น”           จากเรื่องราวการต้อนรับทับหลังปราสาทเขาโล้นและทับหลังปราสาทหนองหงส์กลับคืนสู่ประเทศไทยนั้น พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ปราจีนบุรี ขอนำเสนอองค์ความรู้เกี่ยวกับปราสาทเขาโล้นและโบราณวัตถุสำคัญอื่น ๆ ที่พบจากปราสาทเขาโล้น           ปราสาทเขาโล้น ตั้งอยู่บนภูเขาหินทรายลูกเล็ก ๆ ในเขตตำบลทัพราช อำเภอตาพระยา จังหวัดสระแก้ว การดำเนินงานทางโบราณคดี เมื่อ พ.ศ. 2560-2561 พบว่าปราสาทเขาโล้น เป็นปราสาทก่ออิฐ 3 หลังบนฐานไพที ปัจจุบันคงเหลือเฉพาะปราสาทประธาน ส่วนอีก 2 หลัง เหลือเฉพาะฐาน นอกจากนั้นยังมีบรรณาลัยอยู่ด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้ของปราสาทประธาน ล้อมรอบด้วยกำแพงแก้ว และมีโคปุระหรือซุ้มประตูทางด้านทิศตะวันออก ทิศตะวันตกและทิศใต้ รวมทั้งยังมีการนำหินทรายมาวางเรียงเป็นบันไดจากเชิงเขาขึ้นสู่ปราสาทด้วย           ทับหลังปราสาทเขาโล้น ปรากฏในบทความเรื่อง “ศิลปสมัยลพบุรี” ของ ศ.มจ.สุภัทรดิศ ดิศกุล ตีพิมพ์เมื่อปี พ.ศ. 2510 ซึ่งได้กล่าวถึงปราสาทเขาโล้นว่า “เป็นปราสาทหลังเดียวก่ออิฐ มีทับหลังสลักรูปเทวดานั่งชันเข่าบนเกียรติมุข” ต่อมาทับหลังปราสาทเขาโล้น ได้สูญหายไปเป็นระยะเวลาหลายปี จนกระทั่ง มีนักวิชาการอิสระ พบทับหลังปราสาทเขาโล้น จัดแสดงที่พิพิธภัณฑ์ศิลปะเอเชีย ชง-มูน ลี (Chong-Moon Lee) เมืองซานฟรานซิสโก ประเทศสหรัฐอเมริกา คณะกรรมการติดตามทวงคืนโบราณวัตถุ ฯ ซึ่งประกอบไปด้วยกรมศิลปากร หน่วยงานราชการ หน่วยงานเอกชน ผู้เชี่ยวชาญ นักวิชาการอิสระ จึงได้ดำเนินการติดตามทวงคืน ทับหลังปราสาทเขาโล้น พร้อมด้วยทับหลังปราสาทหนองหงส์ จนกระทั่งสามารถติดตามทวงคืนได้สำเร็จ และทำพิธีบวงสรวงต้อนรับกลับสู่ประเทศไทย เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2564                    โบราณวัตถุสำคัญที่พบจากปราสาทเขาโล้น อำเภอตาพระยา จังหวัดสระแก้ว           - อสูร (ยักษ์) ทวารบาล ศิลปะเขมรในประเทศไทย (แบบบันทายสรี) อายุประมาณ พ.ศ. 1510-1550 เป็นประติมากรรมทวารบาล คงเหลือเฉพาะส่วนร่างกายช่วงบน บางส่วนของใบหน้าแตกกะเทาะหายไป แต่ยังปรากฏรูปปากที่มีเขี้ยวอยู่มุมปาก เกล้ามวยผมเป็นรูปทรงกระบอก ด้านหลังปล่อยปลายผมยาวประบ่าผมหยิกเป็นก้นหอย ใส่ตุ้มหูแผ่นกลมใหญ่           - ยอดปราสาท พบบริเวณมุมปราสาทประธาน ด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้ มีลักษณะเป็นทรงกลม คล้ายหม้อน้ำหรือกลศ มีการเจาะรูตรงกลาง แกะสลักลายแถวกลีบบัว และแถวกระจังใบเทศโดยรอบ           - แถวกลีบบัวเหนือทับหลัง พบบริเวณด้านหน้าของปราสาทประธาน ระหว่างการดำเนินงานทางโบราณคดี เป็นแถวกลีบบัว ทำจากหินทราย ซึ่งเป็นกลีบบัวซ้อนกันเรียงต่อเป็นแนว และเป็นแถวกลีบบัวที่เคยประดับเหนือทับหลังบริเวณด้านทิศตะวันออกของปราสาทประธาน ซึ่งมีลักษณะตรงกับแถวกลีบบัวที่ปรากฏในบทความ เรื่อง “ศิลปสมัยลพบุรี” ของ ศ.มจ.สุภัทรดิศ ดิศกุล ตีพิมพ์เมื่อปี พ.ศ. 2510           - แท่นบรรจุวัตถุมงคล พบอยู่บริเวณโคปุระด้านทิศตะวันออก มีลักษณะเป็นรูปทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัส ตรงกลางเซาะเป็นร่องในแนวแกนตั้งและแนวแกนนอน ทำให้แบ่งพื้นที่ออกเป็น 4 ส่วน จุดตัดตรงกลางเจาะเป็นช่องทะลุ ในแต่ละช่องเจาะเป็นรูขนาดเล็กเพื่อบรรจุวัตถุมงคล สันนิษฐานว่าเป็นแผ่นหินฤกษ์ ซึ่งสัมพันธ์กับคติความเชื่อในพิธีกรรมการวางฤกษ์ของปราสาทในวัฒนธรรมเขมร           - ปลายกรอบหน้าบัน พบบริเวณด้านหน้าของบรรณาลัย ทำเป็นรูปสามเหลี่ยมสลักลวดลายเป็นรูปมกรอ้าปากชูงวง และประดับด้วยลายกระหนก ปลายกรอบหน้าบันที่พบจากปราสาทเขาโล้น มีลักษณะคล้ายกับปลายกรอบหน้าบันของอาคารที่ปราสาทบันทายสรี ประเทศกัมพูชา           - กลีบบัวประดับเชิงชาย เป็นกลีบบัวหลายกลีบเรียงต่อกัน แกะสลักลวดลายเป็นกลีบบัวซ้อนกัน 2 ชั้น กรอบนอกสลักลายแข้งสิงห์เรียงต่อกัน ใช้ประดับบริเวณเชิงชายของหลังคาบรรณาลัย           - ปราสาทจำลอง เป็นชิ้นส่วนประกอบสถาปัตยกรรม ใช้สำหรับวางประดับบริเวณมุมของอาคารจำลองแต่ละชั้น ในส่วนยอดของปราสาท ปราสาทจำลองที่พบจากปราสาทเขาโล้น สามารถจัดจำแนกตามความสูงที่แตกต่างกันได้เป็น 4 กลุ่ม ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการทำชั้นซ้อนลดหลั่นกัน 4 ชั้น ของรูปแบบอาคารจำลองส่วนยอดปราสาท โดยปราสาทจำลองที่ประดับชั้นล่างสุดจะมีขนาดใหญ่ที่สุดและมีการแกะสลักลวดลายแบบพิเศษ เช่น ลายกระจังปฏิญาณ รูปบุคคล ปราสาทจำลองชั้นที่ 2 และ ชั้นที่ 3 จะสลักลวดลายทั่วไป ได้แก่ ลายสามเหลี่ยมเรียงแถวกัน ส่วนปราสาทจำลองที่ประดับชั้นบนสุด จะมีขนาดเล็กที่สุด ไม่มีการสลักลวดลาย           - บันแถลง เป็นชิ้นส่วนประกอบสถาปัตยกรรม ใช้วางประดับในแต่ละด้านของยอดปราสาท มีลักษณะคล้ายกับปราสาทจำลอง แต่มีลักษณะเป็นแผ่นแบนและมีเดือยสำหรับเสียบลงไปตรงส่วนยอดของปราสาท ทำเป็นรูปบุคคลยืนตรง มือทั้งสองข้างแนบลำตัว หน้าเป็นรูปสี่เหลี่ยม ไว้ผมแบบมีกระบังหน้า กุณฑลเป็นพู่รูปสามเหลี่ยม สวมผ้านุ่งเป็นริ้วยาวจรดข้อเท้า ชายผ้านุ่งพับออกบริเวณเอว โดยรอบนางอัปสรประดับใบระกาเรียบ           นอกจากนี้ยังสามารถศึกษาข้อมูลองค์ความรู้ของปราสาทเขาโล้นเพิ่มเติม โดยสำนักศิลปากรที่ 5 ปราจีนบุรีได้ที่           ปราสาทเขาโล้น 1/4 : การดำเนินงานโบราณคดี           https://www.facebook.com/2360532577517366/posts/2770145389889414/           ปราสาทเขาโล้น 2/4 : โบราณวัตถุชิ้นเด่นและการกำหนดอายุ           https://www.facebook.com/2360532577517366/posts/2796066377297315/           ปราสาทเขาโล้น 3/4 : การอนุรักษ์โบราณสถานด้วยวิธีการก่ออิฐดั้งเดิมของสถาปัตยกรรมเขมร           https://www.facebook.com/2360532577517366/posts/2825649094339043/           ปราสาทเขาโล้น 4/4 : ทับหลังและซุ้มประตูด้านตะวันออกของปราสาทประธาน           https://www.facebook.com/2360532577517366/posts/2931827633721188/ เอกสารอ้างอิง - สำนักศิลปากรที่ 5 ปราจีนบุรี. “รายงานการดำเนินงานโบราณคดี โบราณสถานปราสาทเขาโล้น ตำบลทัพราช อำเภอตาพระยา จังหวัดสระแก้ว”, 2560. - สิขรินทร์ ศรีสุวิทธานนท์. “ปราสาทเขาโล้น อำเภอตาพระยา จังหวัดสระแก้ว” ใน ศิลปากร, ปีที่ 63, ฉบับที่ 3 (พฤษภาคม-มิถุนายน 2563): 64-85. - สุภัทรดิศ ดิศกุล, ม.จ.. “ศิลปสมัยลพบุรี” กรุงเทพฯ, 2510.   ผู้เรียบเรียง นายเพิ่มพันธ์ นนตะศรี ภัณฑารักษ์ปฏิบัติการ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ปราจีนบุรี


          ในบริเวณด้านตะวันออก หน้าวัดบวรสถานสุทธาวาส(วัดพระแก้ววังหน้า) ซึ่งปัจจุบันเป็นที่ตั้งของโรงละครแห่งชาติ สำนักการสังคีต และสถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ บริเวณดังกล่าวนี้ เมื่อครั้งอดีตเป็นที่ตั้งของอาคารสำนักงาน ๓ หลัง ที่มีประวัติการใช้งานที่น่าสนใจ เริ่มจากเมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาตำแหน่งสยามมกุฎราชกุมารแทนตำแหน่งกรมพระราชวังบวรสถานมงคล (วังหน้า) เมื่อ พ.ศ.๒๔๒๘          หลังจากนั้น ใน พ.ศ.๒๔๔๐ จึงทรงโปรดเกล้าฯ ให้รื้อป้อม กำแพงในเขตพระราชฐานชั้นนอก ด้านเหนือและตะวันออกของพระราชวังบวรสถานมงคลลงเพื่อปรับพื้นที่เป็นสนามหลวง และโปรดเกล้าฯ ให้สร้างอาคารสถาปัตยกรรมตะวันตก ก่ออิฐถือปูน สองชั้น จำนวน ๓ หลัง เรียงกันจากทิศตะวันออกไปทิศตะวันตกในบริเวณพื้นที่ส่วนหน้าด้านตะวันออกของวัดบวรสถานสุทธาวาส เมื่อแรกใช้เป็นที่ทำการของกองทหารบกราบที่ ๓          ต่อมาทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้กระทรวงธรรมการ(ปัจจุบัน คือ กระทรวงศึกษาธิการ) ได้เข้าใช้พื้นที่อาคารนี้ นับแต่ พ.ศ.๒๔๔๘ – ๒๔๕๒ จากนั้นจึงเปลี่ยนเป็นที่ทำการของศาลข้าหลวงพิเศษ กระทรวงยุติธรรม และศาลฎีกา จนถึง พ.ศ.๒๔๘๔          นับแต่ พ.ศ.๒๔๘๔ – ๒๔๙๗ กระทรวงคมนาคมได้รับอนุญาตให้เข้าใช้อาคารทั้งสามหลัง เป็นที่ทำการกระทรวงฯ ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ ๒ (พ.ศ.๒๔๘๗ – ๒๔๘๘) วัดบวรสถานสุทธาวาสและอาคารสำนักงานหลังที่อยู่ใกล้ได้รับความเสียหาย ๑ หลัง จากการทิ้งระเบิด          ต่อมาใน พ.ศ.๒๔๙๗ กรมศิลปากรได้รับมอบอาคาร ๓ หลังซึ่งกระทรวงคมนาคมส่งมอบเพื่อใช้อาคาร ๒ หลังที่อยู่ตอนในใกล้วัดบวรสถานสุทธาวาสเป็นอาคารเรียนของโรงเรียนศิลปศึกษา ซึ่งภายหลังโรงเรียนดังกล่าวได้เปลี่ยนชื่อเป็นโรงเรียนช่างศิลป์ เมื่อ พ.ศ.๒๕๐๔ พร้อมกับการจัดสร้างอาคารเรียนหลังใหม่ขึ้นบนพื้นที่อาคารสำนักงานเดิมที่อยู่ใกล้วัดบวรสถานสุทธาวาสซึ่งได้รับความเสียหายจากสงคราม          ระหว่าง พ.ศ.๒๕๐๔ – ๒๕๐๕ จึงมีการรื้ออาคารสำนักงานหลังกลาง เพื่อใช้เป็นพื้นที่สร้าง โรงละครแห่งชาติ โดยมีการปรับใช้อาคารสำนักงานหลังที่อยู่ทางตะวันออกสุดด้วยการเจาะผนังอาคารด้านตะวันออกเป็นประตูเข้าอาคารและสร้างหลังคามุขยื่นคลุมที่ชั้นล่างของอาคาร ต่อมาจึงมีการรื้อถอนอาคารสำนักงานหลังนี้เพื่อสร้างโรงละครเล็กและพื้นที่ลานหน้าอาคารโรงละครแห่งชาติริมถนนหน้าพระธาตุ           เมื่อการก่อสร้างโรงละครแห่งชาติแล้วเสร็จใน พ.ศ.๒๕๐๗ ต่อมาในวันที่ ๒๓ ธันวาคม ๒๕๐๘ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนี พันปีหลวง ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ เสด็จพระราชดำเนินทอดพระเนตรการแสดงนาฏศิลป์ไทยเนื่องในวโรกาสพิธีเปิดโรงละครแห่งชาติอย่างเป็นทางการ ------------------------------------------------------------------ที่มาของข้อมูล : กองโบราณคดี กลุ่มวิจัยและพัฒนางานโบราณคดี


          แหล่งโบราณคดีที่เป็นแหล่งภาพเขียนสีอีกแหล่งหนึ่งของจังหวัดตรัง คือ แหล่งโบราณคดีภาพเขียนสีอ่าวบุญคง ซึ่งเป็นแหล่งโบราณคดีที่พบร่องรอยการใช้พื้นที่ของมนุษย์ในอดีตหลายยุคสมัยด้วยกัน แหล่งโบราณคดีภาพเขียนสีอ่าวบุญคง ตั้งอยู่ที่ หมู่ ๓ ตำบลไม้ฝาด อำเภอสิเกา จังหวัดตรัง ประวัติและความสำคัญ            ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของภูเขาหินปูนภายในอ่าวบุญคง มีลักษณะเป็นอ่าวปิด ไม่มีทางรถยนต์เข้าถึง การเดินทางจึงต้องใช้เรือหรือเดินตัดผ่านป่าชายเลนเข้าไป แหล่งโบราณคดีมีลักษณะเป็นเพิงผา และโพรงถ้ำที่เกิดจากการกัดเซาะของน้ำทะเลตามธรรมชาติ ภายในมีคูหาแบ่งเป็นหลายห้องทะลุถึงกันได้ บริเวณจุดที่พบภาพเขียนสีจะอยู่ด้านหน้าของโพรงถ้ำห่างจากปากถ้ำไปทางทิศเหนือประมาณ ๕ เมตร ตัวภาพสูงจากระดับน้ำทะเล ๒ เมตร ส่วนโพรงถ้ำที่พบหลักฐานทางโบราณคดีจะอยู่สูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ ๑ เมตร ตัวเพดานโพรงถ้ำมีขนาดสูงประมาณ ๑ - ๒ เมตร จากการศึกษาพบหลักฐานทางโบราณคดีในยุคก่อนประวัติศาสตร์และประวัติศาสตร์ สิ่งสำคัญทางโบราณคดี           ๑. ภาพเขียนสี ตั้งอยู่บริเวณเพิงผาด้านหน้าโพรงถ้ำ เขียนลายเส้นสีแดง ใช้เทคนิคการเขียนโครงเส้น และระบายสีทึบด้านในเป็นบางส่วน ภาพมีลักษณะคล้ายรูปปลา สัตว์ทะเล บุคคล และลายเรขาคณิต บางส่วนลบเลือนเนื่องจากมีคราบหินปูนเคลือบทับไว้ ตัวภาพมีความคล้ายคลึงกับภาพเขียนสีเขาแบนะในเขตอุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหม อำเภอสิเกา จังหวัดตรัง ซึ่งอยู่ห่างไปจากแหล่งโบราณคดีประมาณ ๑๓ กิโลเมตร ผลจากการศึกษาค่าอายุโดยการเปรียบเทียบรูปแบบกับกลุ่มภาพเขียนสีที่อ่าวพังงา จังหวัดพังงา และอ่าวลึก จังหวัดกระบี่ กำหนดอายุภาพเขียนสีอ่าวบุญคงราว ๔,๐๐๐ - ๒,๐๐๐ ปีมาแล้ว           ๒. หลักฐานทางโบราณคดีในโพรงถ้ำอ่าวบุญคง พบหลักฐานบริเวณพื้นถ้ำ ได้แก่ ชิ้นส่วนโครงกระดูกมนุษย์ ชิ้นส่วนเครื่องถ้วยจีน และชิ้นส่วนตลับเคลือบใสสีขาว สมัยราชวงศ์ซุ่งใต้อายุประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๗ – ๑๙ ชิ้นส่วนภาชนะดินเผาเนื้อดิน เปลือกหอยทากบก (หอยหอม) และ เปลือกหอยทะเล เช่น หอยสังข์กระโดด (หอยชักตีน) หอยแครง แหวนพลอยสีชมพู ตัวเรือนทำจากโลหะเคลือบสีทองเป็นแหวนสมัยรัตนโกสินทร์ช่วงพุทธศตวรรษที่ ๒๕ เป็นต้น           จากลักษณะสภาพภูมิศาสตร์ที่ตั้งของแหล่งโบราณคดีสันนิษฐานว่าคนโบราณได้มาใช้พื้นที่บริเวณอ่าวบุญคงสำหรับจอดพักเรือระหว่างการเดินทาง หรือใช้หลบกระแสคลื่นลมและใช้เป็นพื้นที่ประกอบพิธีกรรมมาตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์จนถึงสมัยปัจจุบัน          อายุสมัย ยุคก่อนประวัติศาสตร์ ราว ๔,๐๐๐ - ๒,๐๐๐ ปีมาแล้ว ยุคประวัติศาสตร์ช่วงพุทธศตวรรษที่ ๑๗ - ๑๙ และสมัยรัตนโกสินทร์ราวพุทธศตวรรษที่ ๒๕ที่มาของข้อมูล : กลุ่มโบราณคดี สำนักศิลปากรที่ ๑๑ สงขลา


         มหามกุฏราชสันตติวงศ์ ๓๐ มีนาคม ๒๔๓๕ วันประสูติพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าลวาดวรองค์          พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าลวาดวรองค์ เป็นพระราชธิดาพระองค์ที่ ๗๑ ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ที่ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาเลื่อน (สกุลเดิม นิยะวานนท์) ณ พระจุฑาธุชราชฐาน เกาะสีชัง ขณะพระบรมวงศานุวงศ์แปรพระราชฐานไปยังเกาะสีชัง ประสูติเมื่อวันที่ ๓๐ มีนาคม ๒๔๓๔ (นับแบบปัจจุบันเป็นพุทธศักราช ๒๔๓๕) มีพระโสทรอนุชาพระองค์เดียวคือ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอุรุพงศ์รัชสมโภช           พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าลวาดวรองค์ สิ้นพระชนม์ในรัชกาลที่ ๕ เมื่อวันที่ ๕ ธันวาคม ๒๔๓๖ สิริพระชันษา ๒ ปี           พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าลวาดวรองค์ นับเป็นพระราชนัดดาในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ ที่สืบสายจากพระบรมชนกนาถ   ภาพ : พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าลวาดวรองค์


          ศิลปวัฒนธรรมไทยสาขาต่าง ๆ ของชาติ และการดำเนินวิถีชีวิตตามขนบธรรมเนียมประเพณีที่ดีงามของไทย เป็นสิ่งที่ พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ ตระหนักในความสำคัญและเห็นสมควรรักษาสืบสานไว้ให้มั่นคงสืบไป ดังปรากฏในปาฐกถาต่าง ๆ เช่น           “การรักษาวัฒนธรรมอันเป็นสมบัติล้ำค่าของเรานั้น คือ การรักษาชาตินั้นเอง” และ “...การดำรง พิทักษ์ และสืบสานวัฒนธรรมของชาติ ของท้องถิ่น ภูมิปัญญาชาวบ้านนับเป็นการตอบแทนบุญคุณแผ่นดินที่ยิ่งใหญ่...” เป็นต้น กล่าวได้ว่าในการปาฐกถาเกี่ยวกับเรื่องศิลปวัฒนธรรมไทยนั้น           ท่านพยายามเน้นย้ำเพื่อสร้างจิตสำนึกของการตอบแทนบุญคุณแผ่นดิน ด้วยการชี้ให้ทุกคนตระหนักอยู่เสมอว่า ชาติจะดำรงอยู่ได้ต้องมีเอกลักษณ์ที่บ่งบอกให้รู้ถึงความเป็นชาติ สามารถสืบสานกันได้ด้วยธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรม โดยบุคคลในชาติเป็นสำคัญของการธำรงรักษาเอกลักษณ์ไว้ซึ่งนอกจากท่านจะปฏิบัติตนเป็นตัวอย่างแล้ว ยังนำมาเป็นแนวทางของรัฐบาลในสมัยของท่านที่สนับสนุนส่งเสริมการดำเนินงานด้านศาสนาและศิลปวัฒนธรรม มีหลายโครงการที่ท่านริเริ่มหรือสำเร็จในสมัยท่าน แม้เมื่อพ้นตำแหน่งทางการเมืองแล้วยังได้เสนอแนวคิดเกี่ยวกับการรักษาสืบสานศิลปวัฒนธรรมไทยด้านต่าง ๆ มาโดยตลอด           “วัฒนธรรมไทยเป็นสมบัติอันล้ำค่าของชาติเรา เป็นสมบัติเก่าแก่ที่บรรพบุรุษได้คิดสร้างสรรค์ ดำรงรักษาและสืบสานต่อกันมาจนถึงยุคสมัยของเรา วัฒนธรรมของเราจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อพวกเรา เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตของเรา ชาติของเรา และจะดำรงลักษณะไทยไว้ไม่ได้ ถ้าเราไม่มีวัฒนธรรมและไม่ดำรงรักษาไว้ เพราะฉะนั้นจึงเป็นหน้าที่สำคัญยิ่งของคนไทยทุกคน ไม่ว่าจะนับถือศาสนาใด ที่จะต้องช่วยกันร่วมมือกัน มีความสำนึกในคุณค่าของวัฒนธรรมของเรา รักและหวงแหนวัฒนธรรมของเราและรู้แจ้งประจักษ์ชัดว่า การรักษาวัฒนธรรมอันเป็นสมบัติล้ำค่าของเรานั้น คือ การรักษาชาตินั้นเอง”ปาฐกถาเรื่อง วัฒนธรรมไทย สมบัติไทย ณ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) วันที่ ๒๖ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๓๗ ---------------------------------------------------------------------เรียบเรียงโดย นายบัณฑิต พูนสุข นักจดหมายเหตุ หอจดหมายเหตุนายกรัฐมนตรี พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ ---------------------------------------------------------------------เอกสารอ้างอิง กระทรวงวัฒนธรรม. จารึกไว้ในแผ่นดิน พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ. กรุงเทพฯ: บริษัท รุ่งศิลป์การพิมพ์ (1977) จำกัด, ๒๕๖๒. ปาฐกถาพิเศษ เรื่อง “วัฒนธรรมไทย สมบัติไทย” โดย ฯพณฯ พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ องคมนตรี และรัฐบุรุษ, กรุงเทพฯ: มูลนิธิรัฐบุรุษ พลเอก เปรม ติณสูลานนท์, ม.ป.ป.


องค์ความรู้จากพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ รามคำแหง เรื่อง ประติมากรรมรูปบุรุษและสตรี




     ชื่อผลงาน: เวสสันดรชาดก กัณฑ์ฉกษัตริย์ (วาดไม่เสร็จ)      ศิลปิน: ขรัว อินโข่ง      เทคนิค: จิตรกรรมสีฝุ่นบนแผ่นไม้      ขนาด: กว้าง 75 ซม. สูง 55 ซม.      อายุสมัย: รัตนโกสินทร์ (รัชกาลที่ 4 ปลายพุทธศตวรรษที่ 24)      รายละเอียดเพิ่มเติม: จิตรกรรมภาพเล่าเรื่องเวสสันดรชาดก ฝีมือการวาด โดย ขรัว อินโข่ง จิตรกรและพระภิกษุในราชสำนักคนสำคัญ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 4) ขรัวอินโข่ง เป็นจิตรกรไทยคนแรกที่ริเริ่มนำเอาเทคนิคการแสดงความลึกด้วยเส้นนำสายตา (linear perspective) ในงานจิตรกรรมแบบตะวันตก มาประยุกต์ใช้ในการสร้างความลึกลวงตาในงานจิตรกรรมไทยประเพณี        Title: Vessantara Jataka, scene: reunion of the kings (unfinished work)      Artist: Khrua In-Khong      Technique: tempera on wooden panel      Size: 75 × 55 cm.      Period: Rattanakosin era, mid-19th Century, some years in the reign of King Mongkut (Rama IV)      Detail: This Vessantara Jataka panel was painted by Siamese royal painter and Buddhist monk named Khrua In-Khong, a foremost painter in the reign of King Mongkut (Rama IV). Reverend In-Khong is considered as the first Thai artist who adapted western art technique of linear perspective, to create optical illusion of depth and space in traditional Thai panting.



ชื่อเรื่อง                                บทสวดมนต์ (บทสวดมนต์) สพ.บ.                                  273/1ประเภทวัสดุมีเดีย                    คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่                               พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ                           48 หน้า กว้าง 5 ซม. ยาว 59 ซม.หัวเรื่อง                                 บทสวดมนต์ บทคัดย่อ/บันทึก          เป็นคัมภีร์ใบลาน อักษรธรรมอีสาน ภาษาบาลี-ไทยอีสาน เส้นจาร ฉบับลานดิบ  ได้รับบริจาคมาจากวัดบ้านหมี่ ต.บางปลาม้า อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี


           ต้นพระศรีมหาโพธิ์นับว่าเป็นต้นไม้มีความสำคัญในพุทธศาสนา มีความเกี่ยวข้องกับพุทธประวัติ ตอน พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ณ ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา ตำบลพุทธคยา เมืองพาราณสี และปรากฏภาพสลักรูปบัลลังก์เปล่าใต้ต้นโพธิ์ในศิลปะอินเดียโบราณ ทั้งนี้ยังปรากฏข้อความในกาลิงคโพธิชาดก (ในคัมภีร์พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย) พระพุทธองค์ได้ตรัสตอบแก่พระอานนท์ว่าให้สัญลักษณ์แทนพระองค์หลังจากปรินิพพานแล้วคือต้นไม้ ทำให้มีการปลูกต้นโพธิ์ที่เชตวันวิหารเป็นครั้งแรกสมัยพุทธกาล เกิดการเคารพบูชาต้นโพธิ์ขึ้นฐานะตัวแทนของพระพุทธเจ้า ครั้งมีการเผยแพร่พุทธศาสนาจากอินเดียไปยังศรีลังกา ได้มีการอัญเชิญต้นพระศรีมหาโพธิ์ไปปลูกยังศรีลังกา และกลายเป็นสิ่งสำคัญที่มักมีในทุกอารามในศรีลังกาดังที่ปรากฏหลักฐานเป็นอาคารหรือฐานปลูกต้นศรีมหาโพธิ์เป็นหนึ่งในสิ่งก่อสร้างสำคัญ เรียกว่า โพธิมณฑล ต่อมาเมื่อพุทธศาสนาจากศรีลังกาได้เผยแพร่มายังบ้านเมืองในวัฒนธรรมสุโขทัยทั้งเมืองสุโขทัย เมืองศรีสัชนาลัย และเมืองกำแพงเพชร จึงได้นำความเชื่อเรื่องการบูชาต้นพระศรีมหาโพธิ์เข้ามา            แม้ว่าจะไม่ปรากฏหลักฐานเชิงประจักษ์เป็นต้นไม้ในโบราณสถานให้เห็นในปัจจุบัน แต่พบข้อความในจารึกสมัยสุโขทัยที่กล่าวถึงการปลูกโพธิ์ แสดงให้เห็นว่ามีการให้ความสำคัญกับต้นโพธิ์เช่นเดียวกับในศรีลังกา เช่น จารึกวัดศรีชุม มีความตอนหนึ่งกล่าวถึงพระมหาเถรศรีศรัทธาราชจุฬามุนีได้อัญเชิญต้นศรีมหาโพธิ์จากศรีลังกามาปลูก “…พระศรีมหาโพธินครสิงหลนั้นก็ดี สมเด็จพระมหาเถรเป็นเจ้าเอามาปลูกเหนือดิน…”           จารึกวัดศรีพิจิตรกีรติกัลยาราม ได้กล่าวถึงสมเด็จพระศรีธรรมราชมาดามหาดิกลรัตนราชได้ปลูกต้นพระศรีมหาโพธิ์ภายหลังการสร้างวัดแล้วเสร็จใน ๓ ปีต่อมา “…สมเด็จพระศรีธรรมราชมาดามหาดิลกรัตนราช กรรโลง จึงสถิตสถาปนาปลูกพระพฤกษาธิบดีศรีมหา(โพธิ)…”          จารึกนครชุม ด้านที่ ๑ บรรทัดที่ ๗ – ๑๒ ความว่า “...ศรีสุริยพงศ์มหาธรรมราชาธิราชหากเอาพระศรีรัตนมหาธาตุอันนี้มาสถาปนาในเมืองนครชุมนี้ปีนั้น พระธาตุอันนี้ใช่ธาตุอันสามานย์ คือพระธาตุแท้จริงแล้ เอาลุกแต่ลังกาทวีปพู้นมาดาย เอาทั้งพืชพระศรีมหาโพธิ์ อันพระพุทธเจ้าเราเสด็จอยู่ใต้ต้นแลผจญพลขุนมาราธิราช ได้ปราบแก่สัพพัญญุตญาณเป็นพระพุทธมาปลูกเบื้องหลังพระมหาธาตุนี้...” กล่าวถึงการประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุและการปลูกต้นศรีมหาโพธิ์นำมาจากลังกาทวีปไว้ที่เมืองนครชุม โดยพระมหาธรรมราชาลิไท เมื่อปีพุทธศักราช ๑๙๐๐          ในเขตอรัญญิกของเมืองกำแพงเพชร พบฐานโบราณสถานที่มีรูปแบบการก่อศิลาแลงเป็นขอบหรือกรอบเว้นตรงกลางให้เป็นลานดิน ไม่พบหลักฐานประเภทผนังอาคาร โครงสร้างหลังคา และการประดิษฐานพระพุทธรูปภายใน และไม่พบโครงสร้างของฐานรากเจดีย์ภายในแต่อย่างใด จึงมีข้อสันนิษฐานว่าน่าจะเป็นสถานที่สำหรับปลูกหรือประดิษฐานต้นโพธิ์ และพบฐานโบราณสถานรูปแบบข้างต้นในวัดดังต่อไปนี้           วัดพระนอนพบฐานโบราณสถานรูปแบบดังกล่าวด้านตะวันตกของวัด หลังเจดีย์ประธานจำนวน ๑ แห่ง และฐานโบราณสถานด้านหลังมณฑปของวัดอีก ๑ แห่ง วัดนาคเจ็ดเศียรพบฐานโบราณสถานจำนวน ๑ แห่ง ตั้งอยู่ด้านทิศตะวันตกของอุโบสถ ซึ่งฐานโบราณสถานที่สันนิษฐานว่าเป็นสถานที่สำหรับปลูกต้นโพธิ์ที่พบในวัดพระนอนและวัดนาคเจ็ดเศียรมีรูปแบบที่คล้ายกัน โดยพบการก่อศิลาแลงในผังรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสและเว้นตรงกลางเป็นลานดิน ด้านหน้าของฐานโบราณสถานมีศิลาแลงก่อเป็นอาสนะ (บัลลังก์) และเปรียบเทียบได้กับรูปแบบของโพธิมณฑลในศรีลังกา เช่น โพธิมณฑลที่อิสุรุมุณิยะปรากฏอาสนะเปล่าที่โคนต้นพระศรีมหาโพธิ์ หมายถึงวัชราสนะหรือบัลลังก์ตรัสรู้ เป็นสัญลักษณ์แทนองค์พระพุทธเจ้าก่อนมีการสร้างพระพุทธรูป หรือโพธิฆระ (โพธิมณฑลที่มีหลังคาล้อมรอบโคนต้น) นอกจากนี้ที่อภัยคีรีวิหารมีการประดิษฐานพระพุทธรูปไว้บนอาสนะด้วย            วัดหมาผีพบฐานศิลาแลงก่อเป็นขอบบ่อในผังสี่เหลี่ยมจัตุรัสด้านทิศตะวันตกของเจดีย์ประธาน และที่วัดเพการามพบกรอบศิลาแลงรูปแปดเหลี่ยมที่ใช้ศิลาแลงขนาดสูง ๐.๘ เมตร ปักตั้งขึ้นเรียงกันและวางทับหลังศิลาแลงด้านบน ทั้งสองแห่งพบฐานโบราณสถานที่มีรูปแบบคล้ายกันคือมีการก่อศิลาแลงเป็นขอบเขตและเว้นตรงกลางเป็นลานดินไว้ ไม่พบอาสนะ (บัลลังก์) ด้านหน้าของฐานดังกล่าว            ตำแหน่งของฐานโบราณสถานที่สันนิษฐานว่าเป็นสถานที่สำหรับปลูกต้นโพธิ์ยังมีความสัมพันธ์กับข้อความในจารึกนครชุมที่ระบุตำแหน่งว่ามีการปลูกต้นพระศรีมหาโพธิ์ด้านหลังพระธาตุอีกด้วย เนื่องจากฐานอาคารที่พบมีตำแหน่งในแนวแกนหลักของวัดและตั้งอยู่ด้านหลังของเจดีย์ประธาน ทั้งนี้นอกจากที่เมืองกำแพงเพชรแล้วที่เมืองศรีสัชนาลัยก็พบลักษณะพื้นที่สำหรับปลูกต้นโพธิ์ที่ด้านทิศตะวันตกของวัดเจดีย์เจ็ดแถว และวัดยายตาที่พบฐานรูปแปดเหลี่ยมด้านทิศตะวันตกของเจดีย์ประธานและยังตั้งอยู่ในแนวแกนหลักของวัดเช่นกัน           นับว่าเป็นหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่านอกเหนือไปจากงานศิลปกรรมต่าง ๆ ในพุทธศาสนาที่พบแล้วบ้านเมืองในวัฒนธรรมสุโขทัยต่างรับความเชื่อการปลูกและบูชาต้นพระศรีมหาโพธิ์จากศรีลังกามาพร้อมกันกับการติดต่อสัมพันธ์เพื่อรับพระพุทธศาสนาด้วย-----------------------------------------------------------ที่มาของช้อมูล : อุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชร-----------------------------------------------------------เอกสารอ้างอิง :กรมศิลปากร. ประชุมจารึกภาคที่ ๘ จารึกสุโขทัย. กรุงเทพฯ : กรมศิลปากร, ๒๕๔๘. พัชรินทร์ ศุขประมูล, วิเศษ เพชรประดับ และเมธินี จิระวัฒนา. รูปและสัญลักษณ์แห่งพระศากยพุทธ. กรุงเทพฯ : กรมศิลปากร, ๒๕๓๒. รุ่งโรจน์ ธรรมรุ่งเรือง. พุทธศิลป์ลังกา. กรุงเทพฯ : มติชน, ๒๕๕๖. รุ่งโรจน์ ธรรมรุ่งเรือง. พุทธศิลป์ไทยสายสัมพันธ์กับศรีลังกา. กรุงเทพฯ : ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน), ๒๕๖๓.


งานฉลองรัฐธรรมนูญหลังจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. ๒๔๗๕ หรือรัฐธรรมนูญฉบับถาวร ในวันที่ ๑๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๕ รัฐบาลระบอบใหม่ได้พยายามประชาสัมพันธ์เรื่องรัฐธรรมนูญและการปกครองระบอบประชาธิปไตยด้วยวิธีการต่าง ๆ ซึ่งหนึ่งในวิธีการประชาสัมพันธ์ดังกล่าว คือ การจัดงานฉลองรัฐธรรมนูญ โดยจัดขึ้นครั้งแรกในวันที่ ๑๑-๑๒ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๕ และหลังจากนั้นรัฐบาลได้กำหนดจัดงานอย่างต่อเนื่องทุกปีจนถึงปี พ.ศ. ๒๕๐๐ โดยระยะเวลาในการจัดงานแต่ละปีแตกต่างกันไป เช่น - พ.ศ. ๒๔๗๖ จัดงานฉลองรัฐธรรมนูญ ๑๕ วัน ระหว่างวันที่ ๒๘ พฤศจิกายน ถึงวันที่ ๑๒ ธันวาคม- สมัยรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม กำหนดให้จัดงานฉลองรัฐธรรมนูญ ๓ วัน ระหว่างวันที่ ๘ - ๑๐ ธันวาคม โดยวันแรกเป็นงานพระราชพิธี อีกสองวันที่เหลือเป็นงานฉลองและแสดงมหรสพ  อย่างไรก็ตาม ระยะเวลาในการจัดงานส่วนใหญ่จะจัดประมาณ ๗ วัน ระหว่างวันที่ ๘-๑๔ ธันวาคม ซึ่งได้จัดงานขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ทั่วประเทศ โดยกำหนดให้ทุกจังหวัดจัดงานในช่วงเวลาเดียวกัน แต่จำนวนวันและกิจกรรมอาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับงบประมาณและศักยภาพของแต่ละจังหวัดวัตถุประสงค์ของการจัดงานฉลองรัฐธรรมนูญไม่เพียงเป็นการฉลองเหตุการณ์สำคัญที่มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับถาวรและเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตยเท่านั้น แต่มีวัตถุประสงค์หลักคือประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนได้รู้จักและเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับรัฐธรรมนูญให้ประชาชนทั่วประเทศเข้าใจความหมายของรัฐธรรมนูญและหลัก ๖ ประการ ของคณะราษฎร (เอกราช ความปลอดภัย เศรษฐกิจ เสมอภาค เสรีภาพ และการศึกษา) รัฐบาลจึงต้องการดึงดูดให้ประชาชนเข้ามาร่วมงานมากขึ้น ทำให้มีการจัดกิจกรรมรื่นเริงร่วมด้วย เช่น การแสดงมหรสพต่าง ๆ การประกวดการออกร้านค้า การจำหน่ายสินค้า การประกวดนางสาวสยาม การประกวดเรียงความ การประกวดประณีตศิลปกรรม กิจกรรมต่าง ๆ ที่จัดขึ้นภายในงานจะอยู่ภายใต้แนวคิดการเสริมสร้างความเข้าใจที่ดีต่อรัฐธรรมนูญ ส่งเสริมให้เกิดความเลื่อมใสในระบอบรัฐธรรมนูญและหลัก ๖ ประการ แสดงสัญลักษณ์แทนรัฐธรรมนูญและหลัก ๖ ประการ เช่น รัฐธรรมนูญจำลอง เสา ๖ เสา ธง ๖ ผืน เป็นต้น  งานฉลองรัฐธรรมนูญลดบทบาทความสำคัญลงมากตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๙๐ เนื่องจากสงครามโลกและการเปลี่ยนแปลงกลุ่มบุคคลที่เข้ามาดำรงตำแหน่งสำคัญทางการเมือง จนถึงปี พ.ศ. ๒๕๐๑ เมื่อจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ กระทำรัฐประหารยึดอำนาจการปกครองจากจอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้ยกเลิกงานฉลองรัฐธรรมนูญที่เป็นงานรื่นเริงโดยสิ้นเชิง คงไว้เพียงงานพระราชพิธีในวันที่ ๑๐ ธันวาคมเท่านั้นผู้เรียบเรียง : นางเกษราภรณ์ กุณรักษ์ นักจดหมายเหตุชำนาญการภาพ : หอจดหมายเหตุแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เชียงใหม่ ภาพชุด การประกวดภาพเก่าเกี่ยวกับจังหวัดลำพูนอ้างอิง :๑. ชาตรี ประกิตนนทการ. ๒๕๕๒. “งานฉลองรัฐธรรมนูญ.” ศิลปวัฒนธรรม ฉบับพิเศษ (ตุลาคม ๒๕๕๒): ๑๖๔-๑๙๑.๒. ศราวุฒิ วิสาพรม. ๒๕๕๙. ราษฎรสามัญ หลังวันปฏิวัติ ๒๔๗๕. นนทบุรี: โรงพิมพ์มติชน.๓. นิตยสารสารคดี. ม.ป.ป. ย้อนอดีต ๖ เรื่องรื่นเริงที่เคยเกิดขึ้นในงานฉลองรัฐธรรมนูญ (Online).https://www.sarakadeelite.com/.../thailand-constitution.../, สืบค้นเมื่อวันที่ ๗ ธันวาคม ๒๕๖๔.๔. พิพิธภัณฑ์รัฐสภา. ม.ป.ป. งานฉลองรัฐธรรมนูญ-มหกรรมที่ใหญ่ที่สุดแห่งยุค (Online). https://parliamentmuseum.go.th/ar63-feast.html, สืบค้นเมื่อวันที่ ๗ ธันวาคม ๒๕๖๔.


black ribbon.