ค้นหา
รายการที่พบทั้งหมด 48,777 รายการ
ในสมัยอยุธยามีการประกอบพระราชพิธีสนามต่างๆ ซึ่งกระทำในเดือน 5 (เมษายน) นับเป็นเดือนขึ้นปีใหม่ที่พระมหากษัตริย์ต้องเสด็จออกทอดพระเนตรคล้ายการตรวจกำลังพลสวนสนาม เพื่อเป็นสิริมงคลแก่แผ่นดิน ในพระราชกำหนดกฎมนเทียรบาลจะมีการพระราชพิทธีเผดจ์ศกลดแจตรออกสนาม ซึ่งเป็นพระราชพิธีออกสนามใหญ่ มีกระบวนกองทัพช้าง ม้า กองกำลังทุกหน่วยทั้งหัวเมือง พลเรือน และไพร่ จุดประสงค์ของการประกอบพิธีเพื่อให้ทหาร และพลเรือนแสดงความจงรักภักดี และเป็นการแสดงความพร้อมหรือแสนยานุภาพของกองทหารให้ปรากฏแก่ขุนนางข้าราชการ และเจ้าประเทศราช มีการประกอบพระราชพิธีออกสนามคือพระราชพิธีคเชนทรัศวสนานเป็นพระราชพิธีทอดเชือกดามเชือก และพระราชพิธีศรีสัจจปานกาลหรือ พระราชพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยา บางครั้งเรียกต่อกันว่า “พระราชพิธีศรีสัจจปานกาลคเชนทรัศวสนาน” ทำในเดือนห้า และเดือนสิบ เป็นการแสดงพระบรมเดชานุภาพของกษัตริย์และความเข้มแข็งของกองทัพ ขบวนช้าง ม้า และทหาร พระราชพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตย์หรือเดิมเรียกว่า พระราชพิธีศรีสัจจปานกาลเป็นพระราชพิธีที่ยิ่งใหญ่สืบเนื่องมาแต่โบราณ ด้วยคติความเชื่อเกี่ยวกับพระมหากษัตริย์เป็นผู้มีพระราชอำนาจสูงสุดและเป็นศูนย์กลางของพระราชอาณาจักร มีรูปแบบที่จัดขึ้นเพื่อให้พระบรมวงศานุวงศ์และข้าราชการดื่มน้ำสาบานว่าจะจงรักภักดีและซื่อตรงต่อพระมหากษัตริย์ เป็นการให้สัตย์สาบานประเภทหนึ่งที่ใช้น้ำเป็นสื่อกลาง ส่วนในทางปฏิบัติของการถือน้ำนั้นเป็นการเอาคมศาสตราวุธต่างๆ มาทำพิธีสวดหรือสาปแช่ง โดยการอ่านลิลิตโองการแช่งน้ำแล้วเสียบลงในน้ำที่จะนำไปพระราชทานให้ดื่มเป็นหลักสำคัญ พระราชพิธีนี้เชื่อว่ามีมาก่อนการก่อตั้งกรุงศรีอยุธยา และยังเป็นที่แพร่หลายในดินแดนภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในสมัยอยุธยามีหลักฐานวรรณกรรมเรื่อง ลิลิตโองการแช่งน้ำใช้เป็นประกาศคำถวายสัตย์ในพระราชพิธีถือน้ำ พระราชพิธีดังกล่าวนี้ยังประกอบในโอกาสต่างๆ เช่น พระราชพิธีถือน้ำเมื่อพระมหากษัตริย์เสด็จขึ้นครองราชย์ พระราชพิธีถือน้ำเมื่อออกสงคราม นอกเหนือไปจากที่กระทำเป็นประจำทุกปีๆ ละสองครั้ง ในสมัยอยุธยาข้าราชการถือน้ำที่วัดพระศรีสรรเพชญ์ ต่อมาย้ายไปที่พระวิหารมงคลบพิตร เมื่อถือน้ำแล้วใช้ดอกไม้ธูปเทียนไปถวายบังคมพระเชษฐบิดร เป็นรูปเทวดาฉลองพระองค์พระเจ้าอู่ทอง หรือสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 แล้วจึงเข้าไปถวายบังคมพระเจ้าแผ่นดินพร้อมกัน สำหรับในสมัยรัตนโกสินทร์สถานที่ใช้ประกอบพระราชพิธี คือ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม หลังจากนั้นจึงนำดอกไม้ธูปเทียนมาถวายบังคมพระบรมอัฐิของรัชกาลที่ 1 และถวายบังคมพระอัฐิสมเด็จพระปฐมบรมมหาปัยกาธิบดีแทนพระเชษฐบิดร ในรัชกาลต่อๆ มา ยังมีการถวายบังคมพระอัฐิพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวองค์ก่อนๆ ซึ่งเสด็จสวรรคตล่วงไปแล้วโดยลำดับ พระราชพิธีคเชนทรัศวสนาน เป็นพระราชพิธีออกสนามใหญ่กระทำในเดือนห้า พระราชพิธีนี้เกิดขึ้นจากความต้องการทำพิธีทอดเชือกดามเชือกของพราหมณ์พฤฒิบาศ เป็นส่วนหนึ่งของพิธีทางคชกรรม เพื่อสร้างความเป็นสิริมงคลแก่ช้าง ม้า ให้พระเจ้าแผ่นดินทอดพระเนตร เพื่อเป็นการตรวจกำลังพล ความเข้มแข็งของกองทัพภาพ จิตรกรรมพระราชพิธีสิบสองเดือนที่พระอุโบสถวัดเสนาสนาราม ภาพจิตรกรรมพระราชพิธีสงกรานต์เป็นภาพที่เขียนขึ้นใหม่ ด้านบนของภาพเป็นพระราชพิธีสรงมุธาภิเษก เพื่อความเป็นสิริมงคลของบ้านเมือง โดยพระมหากษัตริย์จะประทับที่พระแท่นนพปฎลเศวตรฉัตร มีท่อไขสหัสธาราสำหรับสรงน้ำตั้งที่ข้างพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัยฯ ตอนล่างเป็นภาพพระราชพิธีคเชนทรัศวสนาน มีการแห่ช้างต้น ม้าต้น ผ่านหน้าพระที่นั่งชัยชุมพล ซึ่งเป็นพระที่นั่งพลับพลาบนกำแพงพระบรมมหาราชวัง เพื่อให้พราหมณ์รดน้ำเพื่อเป็นสิริมงคล เสมือนกับเป็นการแสดงความพร้อมเพรียงด้านแสนยานุภาพของบ้านเมืองภาพพระราชพิธีคเชนทรัศวสนาน มีการแห่ช้างต้น ม้าต้น ผ่านหน้าพระที่นั่งชัยชุมพล ซึ่งเป็นพระที่นั่งพลับพลาบนกำแพงพระบรมมหาราชวัง เพื่อให้พราหมณ์รดน้ำเพื่อเป็นสิริมงคล เสมือนกับเป็นการแสดงความพร้อมเพรียงด้านแสนยานุภาพของบ้านเมืองภาพพระราชพิธีคเชนทรัศวสนาน ในภาพจิตรกรรมมีชะนีสีดำอยู่ที่ด้านหลังขบวน แต่ตามความเป็นจริงควรจะเป็นลิงเผือกอันเป็นสหชาติกับช้างอันเป็นสัตว์คู่พระบารมีภาพพระราชพิธีสรงมุธาภิเษก เพื่อความเป็นสิริมงคลของบ้านเมือง โดยพระมหากษัตริย์จะประทับที่พระแท่นนพปฎลเศวตรฉัตร มีท่อไขสหัสธาราสำหรับสรงน้ำตั้งที่ข้างพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัยฯเอกสารอ้างอิง 1) ฉัตรบงกช ศรีวัฒนสาร. “การพระราชพิธีสิบสองเดือนในจิตกรรมฝาผนัง วัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมาราม กรุงเทพมหานคร”. สาระนิพนธ์ภาควิชาประวัติศาสตร์ศิลปะ บัณฑิตวิทยาลัย.มหาวิทยาลัยศิลปากร. 2546. 2) ทศพร ทองคำ. “จิตกรรมพระราชพิธีสิบสองเดือน วัดเสนาสนาราม ต.หัวรอ อ.พระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยา”. การศึกษาเฉพาะบุคคลในประวัติศาสตร์ศิลปะ ภาควิชาประวัติศาสตร์ศิลปะ คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร. 2556. 3) จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว, พระบาทสมเด็จพระ. พระราชพิธีสิบสองเดือน. กรุงเทพฯ : บรรณกิจ 1991, 2553. -------------------------------------------------------ที่มาของข้อมูล : พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ จันทรเกษม:Chantharakasem National Museum https://www.facebook.com/294696457254757/posts/5232819673442386/
ชื่อเรื่อง มหานิปาตวณฺณนา(เวสฺสนฺตรชาตก)ชาตกฏฐกถา ขุทฺทกนิกายฏฐกถา(หิมพานต์-นครกัณฑ์)
สพ.บ. 421/3ประเภทวัสดุมีเดีย คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่ พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ 30 หน้า กว้าง 4.5 ซม. ยาว 59 ซม.หัวเรื่อง พุทธศาสนา ชาดก
บทคัดย่อ/บันทึก เป็นคัมภีร์ใบลาน อักษรธรรมอีสาน ภาษาบาลี-ไทยอีสาน เส้นจาร ฉบับลานดิบ ได้รับบริจาคมาจาก วัดลานคา ต.โคกคราม อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี
ถนนท่าแพ ชุมชนย่านการค้า ท่ามกลางวัดวาอารามอันงดงาม ก่อเกิดวัฒนธรรมประเพณีที่เป็นเอกลักษณ์ ถนนที่ทอดตัวยาวจากริมฝั่งแม่น้ำปิง ต้นสะพานนวรัฐ ผ่านวัดอุปคุต ไปจนถึงประตูท่าแพ มีการตั้งถิ่นฐานของชุมชนไทยวนซึ่งถูกเทครัวมาจากเมืองเชียงแสนสมัยพระเจ้ากาวิละ ราวปี พ.ศ. ๒๓๔๗ คือชุมชมบ้านฮ่อม เชื่อมโยงการค้าบริเวณริมแม่น้ำปิงมุ่งหน้าเข้าสู่ตัวเมือง สู่ยุคการพัฒนาประเทศในทศวรรษ ๒๕๐๐ ส่งผลให้ถนนท่าแพกลายเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจ ตามนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยว ความคึกคักของถนนท่าแพสะท้อนภาพพัฒนาการของชุมชน อาคารเรือนไม้ปูหลังคากระเบื้องดินขอเป็นที่ตั้งของร้านรวง เต็มไปด้วยผู้คนสัญจรโดยเท้า จักรยาน หรือม้า สู่ยุคการใช้รถยนต์ และมีการติดตั้งไฟสัญญาณจราจรเครื่องแรกในเชียงใหม่ที่สี่แยกอุปคุต แม้เกิดความเปลี่ยนแปลงของการขนส่งทางเรือ ภาพเรือหางแมงป่องที่สัญจรไปมาตลอดลำน้ำล่องไปจนถึงพระนคร เริ่มเงียบเหงา ผู้คนเริ่มเปลี่ยนการเดินทางสู่รถไฟเพิ่มขึ้น เห็นได้จากการขนส่งข้าวโดยรถไฟ ในปี พ.ศ. ๒๔๖๗ มีจำนวนถึง ๖๕๐,๐๐๐ หาบ จากเดิมที่มีเพียง ๕,๐๐๐ ถึง ๒๐,๐๐๐ หาบ ย่านถนนท่าแพ ก็ยังคงความสำคัญในฐานะย่านการค้า เศรษฐกิจ เพราะมีกลุ่มพ่อค้าหลากหลายเชื้อชาติเข้ามาตั้งถิ่นฐาน ประกอบอาชีพค้าขาย ทั้งกลุ่มชาวจีนฮ่อจากยูนนาน ชาว ไทใหญ่ และชาวพม่า เมื่อเศรษฐกิจดี ผู้คนมีกำไรจากการค้าก็หันมาทำนุบำรุงศาสนา ปรากฏวัดวาอารามโดยรอบ ได้แก่ วัดบุพพาราม วัดเชตวัน วัดมหาวัน วัดแสนฝาง และวัดอุปคุต ซึ่งมีรูปแบบทางสถาปัตยกรรมพม่าอันโดดเด่น จนกลายเป็นหมุดหมายของนักเดินทางต่างถิ่น ปัจจุบันถนนท่าแพยังคงเป็นศูนย์รวมของธุรกิจร้านค้าด้านการท่องเที่ยว พรั่งพร้อมด้วยสถาปัตยกรรมของวัดวาอารามอันงดงาม เอกลักษณ์ของวัฒนธรรมประเพณีซึ่งเกี่ยวโยงกับศาสนา ที่พร้อมบอกเล่าเรื่องราวพัฒนาการของย่านชุมชนการค้าแห่งนี้ในทุกซอกทุกมุม ผู้เรียบเรียง : นายวีระยุทธ ไตรสูงเนิน นักจดหมายเหตุชำนาญการ ภาพ : หอจดหมายเหตุแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ เชียงใหม่. ภาพส่วนบุคคล ชุด นายบุญเสริม สาตราภัย.#ถนนท่าแพ#เอกสารจดหมายเหตุ#หอจดหมายเหตุแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถเชียงใหม่#สำนักศิลปากรที่๗ข้อมูลอ้างอิงบุญเสริม สาตราภัย. ๒๕๕๔. เชียงใหม่ในความทรงจำ. เชียงใหม่ : โรงพิมพ์แสงศิลป์.สมโชติ อ๋องสกุล. ๒๕๖๒. ชุมชนรอบวัดในเชียงใหม่ : ประวัติศาสตร์ชุมชน โดยศูนย์ล้านนาศึกษา คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. เชียงใหม่ : บริษัท วิทอินดีไซตน์ จำกัด.สรัสวดี อ๋องสกุล. ๒๕๕๗. ประวัติศาสตร์ล้านนา. กรุงเทพฯ : อมรินทร์.อนุ เนินหาด, พ.ต.ท. ๒๕๔๙. ท่าแพตะวา สังคมเมืองเชียงใหม่ เล่มที่ ๑๔. เชียงใหม่ : นนทบุรีการพิมพ์
ชื่อเรื่อง สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม(สงฺคิณี-มหาปัฏฐาน)
อย.บ. 2/4ประเภทวัสดุมีเดีย คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่ พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ 38 หน้า กว้าง 5 ซม. ยาว 55 ซม.หัวเรื่อง พุทธศาสนา ชาดก
บทคัดย่อ/บันทึก เป็นคัมภีร์ใบลาน เส้นจาร ฉบับทองทึบ ได้รับบริจาคมาจาก จ.พระนครศรีอยุธยา
กุณฑี * (Kendi) เป็นชื่อเรียกเครื่องปั้นดินเผาชนิดหนึ่ง ใช้ใส่น้ำ มีรูปทรงหลายแบบแต่ลักษณะทั่วไปที่พบเห็น คือ ไม่มีหูจับ มีพวย และมีทางไหลเข้า – ออกของน้ำ ๒ ทาง สามารถพบได้ในอินเดีย ดินแดนแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และประเทศจีน
ปัจจุบัน เรายังไม่ทราบแน่ชัดว่าต้นกำเนิดของกุณฑีอยู่ที่ใด แต่นักวิชาการส่วนใหญ่เชื่อว่าอินเดียได้รับต้นแบบมาจากอารยธรรมเมโสโปเตเมีย ก่อนจะส่งต่อไปยังเอเชียตะวันออกและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้พร้อมกับการเผยแผ่ศาสนาพราหมณ์ – ฮินดูและพระพุทธศาสนาในราวพุทธศตวรรษที่ ๘ ผ่านทางพ่อค้าหรือกลุ่มนักบวช เนื่องจากนักเดินทางโดยเฉพาะนักบวชชาวอินเดียนิยมใช้กุณฑีเป็นหม้อน้ำติดตัว และตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ ๑๒ เป็นต้นมา กุณฑีก็แพร่หลายไปทั่วดินแดนแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงดินแดนซึ่งเป็นประเทศไทยปัจจุบัน และมีการใช้งานสืบต่อมาถึงสมัยสุโขทัยและสมัยกรุงศรีอยุธยาตามลำดับ
การใช้งานกุณฑีมีหลากหลาย นอกจากจะใช้บรรจุน้ำสำหรับอุปโภคบริโภคแล้ว กุณฑียังเป็นภาชนะบรรจุน้ำศักดิ์สิทธิ์ในพิธีกรรมต่าง ๆ อาทิ พิธีหลั่งน้ำโสมบูชาเทพเจ้า การสรงน้ำเจดีย์ และการหลั่งน้ำสักการะพระพุทธเจ้า โดยกุณฑีที่ใช้ในพิธีกรรมเหล่านี้มักจะเรียกกันว่า กมัณฑลุ หรือหม้อน้ำอมฤตซึ่งเป็นสัญลักษณ์ประจำเทพเจ้าของศาสนาพราหมณ์ – ฮินดูและพระโพธิสัตว์ในพระพุทธศาสนา นิกายมหายานหลายองค์ ไม่เพียงเท่านั้น กุณฑียังใช้เป็นโกศบรรจุอัฐิหรือเครื่องเซ่นในพิธีกรรมฝังศพอีกด้วย
จะเห็นได้ว่ากุณฑีมีความเกี่ยวพันกับวัฒนธรรมและความเชื่อที่มาจากอินเดียอย่างเหนียวแน่น ทั้งยังอาจเป็นสิ่งบ่งชี้หนึ่งถึงอิทธิพลของวัฒนธรรมอินเดีย หรือในแง่หนึ่งคือศาสนาพราหมณ์ – ฮินดูและพระพุทธศาสนาที่ได้แผ่ขยายไปยังดินแดนหรือเมืองนั้น ๆ แล้วก็ได้
---------------------------------------------------
* เชื่อกันว่า “กุณฑี” มาจากคำในภาษาสันสกฤตคือ “กุณฺฑฺ” ที่หมายถึง หม้อน้ำ หรือกะโหลกน้ำของนักธรรมซึ่งทำด้วยกะโหลกมะพร้าว โดยเป็นคำที่ใช้เรียกภาชนะมีพวยในประเทศมาเลเซียและในบริเวณคาบสมุทรภาคใต้ของประเทศไทย
ขณะที่คำว่า “Kendi” มีรากศัพท์มาจาก “กุณฺฑฺ” เช่นเดียวกัน แต่เป็นคำที่มาจากประเทศอินโดนีเซียซึ่งใช้เรียกภาชนะบรรจุน้ำอื่น ๆ นอกเหนือจากกุณฑีด้วย
__________________________________________________
ที่มาของข้อมูล : พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สวรรควรนายก
----------------------------------------------------*เผยแพร่ข้อมูลทางเว็บไซต์ โดยกลุ่มเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ กรมศิลปากร
สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สงฺคิณี-มหาปฎฺฐาน) ชบ.บ 156/5 เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)
มงฺคลตฺถทีปนี (มงฺคลตฺถทีปนี) ชบ.บ 182/9 เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)
กรมศิลปากร โดยสำนักหอสมุดแห่งชาติ ขอเชิญร่วมกิจกรรมอ่านเป็นเล่นสนุก สร้างความสุขให้ทุกคน ในหัวข้อ "เรียนรู้อย่างสร้างสรรค์ ด้วยพลังแห่งการอ่าน" พบกับกิจกรรมส่งเสริมการอ่าน การขับร้องและบรรเลงดนตรี สาธิตงานช่างศิลปกรรม พิพิธภัณฑ์เคลื่อนที่ ในวันที่ ๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๖ ณ บริเวณสวนด้านหน้าหอสมุดแห่งชาติ เวลา ๑๖.๐๐ น. เป็นต้นไป
สำนักหอสมุดแห่งชาติ จัดกิจกรรมอ่านเป็นเล่นสนุก สร้างความสุขให้ทุกคน ในหัวข้อ "เรียนรู้อย่างสร้างสรรค์ ด้วยพลังแห่งการอ่าน" ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการพัฒนาและส่งเสริมหอสมุดแห่งชาติเพื่อให้เป็นแหล่งเรียนรู้ตลอดชีวิต ประจำปี ๒๕๖๖ เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ พัฒนาทักษะ และเปิดโอกาสให้เด็กและเยาวชนได้แสวงหาความรู้และทักษะที่สร้างสรรค์ ตามความสนใจของตนผ่านกิจกรรมในรูปแบบต่าง ๆ จากแหล่งเรียนรู้ของหน่วยงาน ในสังกัดกรมศิลปากร ประกอบด้วย กิจกรรมส่งเสริมการอ่าน โดยสำนักหอสมุดแห่งชาติ การขับร้องและบรรเลงดนตรี โดยสำนักการสังคีต การสาธิตงานช่างศิลปกรรม โดยสำนักช่างสิบหมู่ และกิจกรรมพิพิธภัณฑ์เคลื่อนที่ โดยสำนักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ
ผู้สนใจสามารถร่วมกิจกรรมอ่านเป็นเล่นสนุก สร้างความสุขให้ทุกคน ในวันที่ ๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๖ ณ บริเวณสวนด้านหน้าหอสมุดแห่งชาติ ถนนสามเสน เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร ตั้งแต่เวลา ๑๖.๐๐ น. เป็นต้นไป
“วังนารายณ์คู่บ้าน...”
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สมเด็จพระนารายณ์ พระนารายณ์ราชนิเวศน์ วังนารายณ์ หรือ “วัง” ที่คุ้นเคยของชาวลพบุรี นอกจากจะเป็นโบราณสถานที่สำคัญคู่บ้านคู่เมืองชาวลพบุรีแล้ว ยังเป็นสถานที่หลักในการจัดงานแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราชอีกด้วย โดยต้นเคล้าของงานแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราช อาจย้อนไปไกลได้ถึง พ.ศ. ๒๕๐๑ ที่มีการจัดงานเฉลิมฉลองประจำปีภายในพระนารายณ์ราชนิเวศน์ จัดขึ้นในช่วงต้นฤดูหนาวหลังฤดูเก็บเกี่ยวเพื่อให้ชาวบ้านได้ใช้เวลาเพื่อการพักผ่อนเที่ยวชมมหรสพในวังนารายณ์ โดยใน พ.ศ. ๒๕๐๑ จัดขึ้นในชื่อ “งานในวัง” ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๕๐๙ มีการเปลี่ยนชื่องานเป็น “นารายณ์รำลึก” และต่อมาในปี พ.ศ. ๒๕๒๒ จึงได้เปลี่ยนชื่องานเป็น “งานแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์” อันเป็นชื่อที่ใช้ในปัจจุบัน
………………………………………………..
“...สมัยก่อนเป็นเหมือนงานวัด...”
จากคำบอกเล่าของเจ้าหน้าที่พิพิธภัณฑ์ทำให้ทราบว่าแต่เดิมงานที่จัดขึ้นที่วังนารายณ์มีลักษณคล้ายงานวัด โดยมีทั้งการออกร้านขายของโดยชาวบ้าน และการแสดงพื้นบ้านต่าง ๆ สินค้าที่นำมาขายส่วนใหญ่เป็นของกิน เช่น ขนมไทย ถั่วต้ม อ้อยควั่นทำเป็นรูปดอกไม้ ปลาเห็ดร้อยเป็นพวงด้วยตอก ขนมตังเม น้ำตาลปั้นเป็นรูปสัตว์ชนิดต่าง ๆ และสายไหม เป็นต้น และมีการจัดการแสดงพื้นบ้านในบริเวณต่าง ๆ ของวังนารายณ์ เช่น เวทีลิเกบริเวณตึกพระเจ้าเหา มวยคาดเชือกอยู่ใต้ต้นก้ามปูแถวสิบสองท้องพระคลัง และที่น่าสนใจคือมีการนำชิงช้าสวรรค์มาจัด ณ บริเวณโรงช้างหลวงด้วยแต่มีการจัดเพียงไม่กี่ครั้งก็ถูกงดเว้นไป
ในระยะแรกของการจัดงานผู้ร่วมงานนิยมแต่งกายตามแบบสมัยนิยมในช่วงนั้น ยังไม่มีการสวมชุดไทยอย่างเช่นปัจจุบัน
“...สมัยก่อนไม่ได้นุ่งโจงแบบนี้ คนที่มาเขาก็นุ่งซิ่น นุ่งโจงก็มีบ้าง ใส่กับเสื้อคอกระเช้ามากัน เต็นท์เช่าชุดก็เพิ่งจะมีไม่นาน รู้สึกจะแถว ๆ ช่วงออเจ้า…”
“...ช่วงยุค ๓๐ จะฮิตพวกม่อฮ่อม ขาก๊วย รองเท้ายางรถยนต์ รพช. กัน แล้วก็ระบาด พอ ๆ กับยุคหลังมาที่ชอบเสื้อคอกลมลายดอกจนต้องขอความร่วมมือให้แต่งแบบยุคอยุธยากัน แต่ถ้ามองย้อนกลับไปคือตัวเลือกมันไม่ได้เฟื่องฟูแบบยุคนี้ที่จะเนรมิตชุดย้อนยุคแบบไหนก็ได้ สมัยก่อนถ้าจะเอาแบบหรูเลยคือโจงสำเร็จผ้าตาดลายทอง ที่ต้องไปซื้อจากพาหุรัด ร้านสยมภู...”
.....................................................
สำหรับชาวลพบุรีหลายท่านคงมีโอกาสได้สัมผัสกับการเปลี่ยนแปลงของการจัดงานแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มาแล้วนับครั้งไม่ถ้วนแต่สิ่งที่ยังคงเดิมอยู่คือสถานที่แห่งความภาคภูมิใจของชาวลพบุรีในนาม “วังนารายณ์” สำหรับการจัดงานในครั้งที่ ๓๕ นี้ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สมเด็จพระนารายณ์ ขอพาทุกท่านย้อนระลึกถึงงานแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราช อันถือเป็นความทรงจำร่วมของชาวลพบุรี ผ่านภาพถ่าย และบรรยากาศเก่า ๆ ของการจัด #งานวัง #งานแผ่นดิน หรือ #งานแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ที่จัดเก็บไว้โดยพิพิธภัณฑ์มาเผยแพร่ให้ทุกท่านได้ชมกัน ใครทันกิจกรรมในปีไหนขอเชิญร่วมแบ่งปันเรื่องราวความประทับใจกันได้นะคะ
……………………………………………………
เรียบเรียงโดย นางสาววสุนธรา ยืนยง ตำแหน่ง นักวิชาการวัฒนธรรม
อ้างอิง
ปีติวัชร์ กล่ำนาค. “งานแผ่นดินในความทรงจำและความร่มเย็นใต้ร่มพระบารมี” ใน งานแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ครั้งที่ ๓๒. กรุงเทพฯ: บริษัทอมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง จำกัด (มหาชน), ๒๕๖๒.
ขอขอบพระคุณผู้ให้ข้อมูล คุณวาสนา อารมณ์ดี, คุณภัทรพร ทองบันเทิง, คุณอุดม พานิช และ คุณ Jack Kaewphuek
สำนักหอสมุดแห่งชาติ ขอเชิญเข้าร่วมกิจกรรมเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ภายใต้โครงการพัฒนาและส่งเสริมหอสมุดแห่งชาติเพื่อให้เป็นแหล่งเรียนรู้ตลอดชีวิต ประจำปี ๒๕๖๖ การบรรยายเรื่อง "พระพุทธศาสนา: การสืบสานมรดกทางศิลปวัฒนธรรม" วิทยากรโดย พระธรรมกิตติเมธี (เกษม สญฺญโต ป.ธ.๙, ดร.) พระราชาคณะชั้นธรรม ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดราชาธิวาสราชวรวิหาร ประธานกรรมการศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย ในวันพฤหัสบดีที่ ๒ มีนาคม ๒๕๖๖ เวลา ๑๓.๓๐ - ๑๖.๓๐ น. ณ อาคารดำรงราชานุภาพ ถนนหน้าพระธาตุ เขตพระนคร กรุงเทพฯ
นอกจากนี้ยังสามารถติดตามชมการถ่ายทอดสดผ่าน Facebook Live : National Library of Thailand สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โทร. ๐๘ ๖๘๙๑ ๒๕๔
เลขทะเบียน : นพ.บ.423/ข/3ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 42 หน้า ; 4.5 x 56.5 ซ.ม. : ล่องรัก ; ไม้ประกับธรรมดา ชื่อชุด : มัดที่ 151 (96-103) ผูก ข3 (2566)หัวเรื่อง : มูลกัจจายน์--เอกสารโบราณ คัมภีร์ใบลาน พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม
เลขทะเบียน : นพ.บ.563/6ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 52 หน้า ; 4.5 x 57 ซ.ม. : ล่องชาด ; ไม้ประกับธรรมดาชื่อชุด : มัดที่ 183 (329-336) ผูก 6 (2566)หัวเรื่อง : ทศชาติ--เอกสารโบราณ คัมภีร์ใบลาน พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม