ค้นหา
รายการที่พบทั้งหมด 48,777 รายการ
ชื่อเรื่อง ปฐมสมโพธิ (ปฐมสมโพธิ)สพ.บ. 104/1ประเภทวัสดุมีเดีย คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่ พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ 32 หน้า กว้าง 6 ซ.ม. ยาว 57 ซ.ม. หัวเรื่อง พุทธศานา บทสวดมนต์
บทคัดย่อ/บันทึก
เป็นคัมภีร์ใบลาน อักษรขอม เส้นจาร ฉบับลานดิบ ได้รับบริจาคมาจาก วัดประสพสุข ต.ทับตีเหล็ก อ.เมือง จ.สุพรรณบุรี
ชื่อผู้แต่ง จอมเกล้าเจ้าอยู่หัว , พระบาทสมเด็จพระ
ชื่อเรื่อง พระราชหัตถเลขาพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เล่ม ๓
ครั้งที่พิมพ์ พิมพ์ครั้งที่หนึ่ง
สถานที่พิมพ์ -
สำนักพิมพ์ โรงพิมพ์คุรุสภา
ปีที่พิมพ์ ๒๕๐๖
จำนวนหน้า ๒๘๔ หน้า
หมายเหตุ -
พระราชหัตถเลขาในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เล่ม ๓ นี้ เป็นพระราชหัตถเลขาที่สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงรวบรวมครั้งที่ ๕ พิมพ์ในปี พ.ศ. ๒๔๙๖ และรวมครั้งที่ ๖ พิมพ์ในปี พ.ศ. ๒๔๗๐ เฉพาะตอนต้นของการรวบรวมครั้งที่ ๕ โปรดดูในเล่ม ๒
พระราชหัตถเลขา คือ จดหมายซึ่งสมเด็จพระเจ้าแผ่นดินทรงแต่งเอง(บางทีทรงเขียนเองด้วย) และลงพระนามด้วย พระราชหัตถ์ในจดหมายนั้น มีไปถึงผู้หนึ่งผู้ใด เข้าใจว่าเป็นของเกิดขึ้นใหม่ในรัชกาลที่ ๔
สตฺตปฺปกรณาภิธมฺมเทศนา (เทศนาสังคิณี-มหาปัฎฐาน)
เลขที่ ชบ.บ.2/1-3
เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)
ชื่อเรื่อง : จดหมายจางวางหร่ำ (ฉบับสมบูรณ์)ชื่อผู้แต่ง : พิทยาลงกรณ์, กรมหมื่น, 2419-2488 ปีที่พิมพ์ : 2478 สถานที่พิมพ์ : กรุงเทพฯ สำนักพิมพ์ : บรรณกิจ จำนวนหน้า : 136 หน้า สาระสังเขป : จดหมายจางวางหร่ำนี้ เป็นจดหมายที่จางวางหร่ำ เศรษฐีเมืองฉะเชิงเทราเขียนถึงบุตรชาย ซึ่งไปเรียนวิชาอยู่ในเมืองอังกฤษ ซึ่งเนื้อความในจดหมายแต่ละฉบับมีโอวาทที่ดีสอนแก่ลูกเสมอ
ยงยุทธ วรรณโกวิท. ศิลปวัตถุห้อยแขวนบนปลียอดทองคำ พระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราช วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช. กรุงเทพฯ : ดอกเบี้ย, 2562. กล่าวถึงความเป็นมาของการบูรณปฏิสังขรณ์ปลียอดทองคำพระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราช วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช ระหว่าง พ.ศ. 2537 - 2538 ความเป็นมาของศิลปวัตถุห้อยแขวนบนปลียอดทองคำพระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราช จำนวนและลักษณะของศิลปวัตถุห้อยแขวน หัวนะโมหรือเงินตรานะโมและเงินพดด้วง ข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับเงินตรานะโม เงินพดด้วง และเหรียญต่างๆ การดำเนินการเกี่ยวกับศิลปวัตถุห้อยแขวนและส่วนประกอบที่เกี่ยวข้องเมื่อปลดลงมาจากปลียอดทองคำ พระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราชแล้ว ศิลปวัตถุห้อยแขวนที่จัดสร้างขึ้นใหม่ และการนำศิลปวัตถุห้อยแขวนขึ้นห้อยแขวนบนปลียอดทองคำ พระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราช
หากเอ่ยชื่อ "ปราสาทนางบัวตูม" หลายคนคงไม่คุ้นชื่อ เเต่สำหรับชาวอำเภอท่าตูม เเละผู้สนใจศึกษาปราสาทในวัฒนธรรมเขมรโบราณเเล้ว ปราสาทนางบัวตูมเป็นอีกแห่งหนึ่งที่ปรากฏร่องรอยภาพสลักบนทับหลังที่น่าสนใจเเละควรได้รับการศึกษา แผนผังของโบราณสถานปราสาทนางบัวตูม เป็นปราสาทสามหลังตั้งอยู่บนฐานเดียวกัน วางตัวตามแนวทิศเหนือ – ทิศใต้ หันด้านหน้าไปทางตะวันออก ก่อสร้างด้วยศิลาแลงและหินทราย สภาพโดยรวมของปราสาททั้งสามหลังนั้น มีประตูทางเข้าหลักด้านทิศตะวันออกเพียงด้านเดียว ส่วนอีกสามด้านก่อปิดทึบเป็นรูปประตูหลอก ประตูทางเข้าของปราสาททั้งสามหลัง ยังคงเหลือกรอบประตูที่ทำจากหินทรายครบทั้งสามหลัง แต่ส่วนอื่นๆ อาทิ ทับหลัง เสาประดับกรอบประตู หน้าบัน ได้พังทลายลงมาหมดแล้ว บนฐานของปราสาทสามหลังทางด้านทิศตะวันออก พบหลักฐานหินทรายที่เป็นส่วนประกอบ สถาปัตยกรรมที่สำคัญวางอยู่ ได้แก่ ชิ้นส่วนเสาประดับกรอบประตู จำนวน 8 ชิ้น ชิ้นส่วนแท่นรองประติมากรรมรูปเคารพ 1 ชิ้น และชิ้นส่วนทับหลัง 4 ชิ้น ทับหลังที่พบทั้ง 4 ชิ้น ที่ปราสาทนางบัวตูม สามารถศึกษากำหนดอายุได้ชัดเจน โดยพิจารณาจากลวดลายที่สลัก ดังนี้ ทับหลังชิ้นที่1 สลักลวดลายเป็นรูปพระกฤษณะประลองกำลังหรือพระกฤษณะปราบช้างกุวัลยปิยะและสิงห์ ที่บริเวณกลางแผ่นทับหลัง สลักภาพเป็นพระกฤษณะยืนในท่ากำลังต่อสู้ พระหัตถ์ขวา จับช้าง พระหัตถ์ซ้ายจับสิงห์ เหนือหน้ากาลซึ่งคายท่อนพวงมาลัยออกจากด้านล่างของทับหลัง มือสองข้างของหน้ากาลจับปลายท่อนพวงมาลัยไว้ ท่อนพวงมาลัยวกขึ้นด้านบนและโค้งลงที่ปลายทับหลังทั้งสองข้าง เหนือท่อนพวงมาลัยมีลายใบไม้รูปสามเหลี่ยมตั้งขึ้นด้านบน ส่วนด้านล่างเป็นลายใบไม้ม้วนห้อยตกลงมา เป็นรูปแบบของศิลปะเขมรแบบบาปวน (พ.ศ.1560 – พ.ศ.1630) ทับหลังชิ้นที่ 2 ทับหลังชิ้นนี้ภาพสลักค่อนข้างชำรุดและลบเลือนไปมาก จนไม่สามารถศึกษาได้ชัดเจนว่าเป็นภาพสลักของเทพองค์ใดหรือเรื่องราวอะไร บริเวณกลางแผ่นทับหลังสลักลวดลายเป็นรูปบุคคลประทับนั่งในท่ามหาราชลีลาภายในซุ้มเรือนแก้วเหนือสัตว์พาหนะคล้ายโค และมีบุคคลนั่งประกบอยู่ด้านข้างทั้งสองข้าง ด้านล่างต่อจากสัตว์พาหนะเป็นหน้ากาลซึ่งคายท่อนพวงมาลัยออกจากด้านล่างของ ทับหลัง มือสองข้างของหน้ากาลจับปลายท่อนพวงมาลัยไว้ และมีสัตว์คล้ายสิงห์ยืนอยู่ใกล้กับมือของหน้ากาลทั้งสองข้าง สัตว์คล้ายสิงห์อยู่ในท่ายืนหันหน้าออกด้านข้าง ตัวหนึ่งหันออกไปทางด้านซ้าย ตัวหนึ่งหันออกไปทางด้านขวา ทั้งสองตัวยกขาหน้าชูประคองท่อนพวงมาลัยเอาไว้ ท่อนพวงมาลัยวกขึ้นด้านบนและโค้งลง ที่ปลายทับหลังทั้งสองข้าง เหนือท่อนพวงมาลัยมีลายใบไม้รูปสามเหลี่ยมตั้งขึ้นด้านบน ส่วนด้านล่างเป็นลายใบไม้ม้วนห้อยตกลงมา เป็นรูปแบบของศิลปะเขมรแบบบาปวน (พ.ศ.1560 – พ.ศ.1630) ทับหลังชิ้นที่3 ทับหลังชิ้นนี้ ยังไม่สามารถศึกษาได้ชัดเจนว่าเป็นภาพสลักของเทพองค์ใดหรือเรื่องราวอะไร บริเวณกลางแผ่นทับหลังสลักลวดลายเป็นรูปบุคคลสองคนยืนคู่กันภายในซุ้มเรือนแก้วเหนือสัตว์พาหนะคล้ายโค บุคคลสองคนยืนคู่กัน อยู่ในท่ายืนเอาข้างลำตัวชิดกัน มือประคองกอดเอวกันไว้ ทั้งสองคนยกแขนชูมือที่เหลืออีกข้างหนึ่งขึ้น คนที่อยู่ด้านขวามือยกแขนขวา คนที่อยู่ด้านซ้ายมือยกแขนซ้าย ด้านข้างของสัตว์พาหนะมีสัตว์คล้ายสิงห์ยืนอยู่ สัตว์คล้ายสิงห์อยู่ในท่ายืนหันหน้าออกด้านข้าง ตัวหนึ่ง หันออกไปทางด้านซ้าย ตัวหนึ่งหันออกไปทางด้านขวา ทั้งสองตัวยกขาหน้าชูประคองท่อนพวงมาลัยเอาไว้ ท่อนพวงมาลัยวกขึ้นด้านบนและโค้งลงที่ปลายทับหลังทั้งสองข้าง เหนือท่อนพวงมาลัยมีลายใบไม้ รูปสามเหลี่ยมตั้งขึ้นด้านบน ส่วนด้านล่างเป็นลายใบไม้ม้วนห้อยตกลงมา เป็นรูปแบบของศิลปะเขมรแบบ บาปวน (พ.ศ.1560 – พ.ศ.1630) ภาพสลักของทับหลังชิ้นนี้ สันนิษฐานเบื้องต้นได้ว่า อาจเป็นพระกฤษณะยืนคู่กับพระพลราม หรืออาจเป็นพระกฤษณะต่อสู้กับกับนักมวยปล้ำชื่อจาณูระ ในเรื่องมหาภารตะ ทับหลังชิ้นที่4 ทับหลังชิ้นนี้แตกหักออกเป็น 2 ท่อน ภาพสลักค่อนข้างชำรุดและลบเลือนไปมาก จนไม่สามารถศึกษาได้ชัดเจนว่าเป็นภาพสลักของเทพองค์ใดหรือเรื่องราวอะไร ภาพสลักที่พบบริเวณกลางแผ่นทับหลังสลักลวดลายเป็นรูปบุคคลอย่างน้อย 3 คน นั่งอยู่แท่นเหนือหน้ากาล ซึ่งคายท่อนพวงมาลัยออกจากด้านล่างของทับหลัง มือสองข้างของหน้ากาลจับปลายท่อนพวงมาลัยไว้ ท่อนพวงมาลัยวกขึ้นด้านบนและโค้งลงที่ปลายทับหลังทั้งสองข้าง เหนือท่อนพวงมาลัยมีลายใบไม้รูปสามเหลี่ยมตั้งขึ้นด้านบน ส่วนด้านล่างเป็นลายใบไม้ม้วนห้อยตกลงมา เป็นรูปแบบของศิลปะเขมรแบบบาปวน (พ.ศ.1560– พ.ศ.1630) จากรูปแบบแผนผังของปราสาทนางบัวตูม ประกอบกับรูปแบบทางศิลปกรรมของทับหลังที่พบ สามารถกำหนดอายุเบื้องต้นปราสาทนางบัวตูมได้ว่า มีการสร้างและใช้ประโยชน์ใน ช่วงพุทธศตวรรษที่16ถึง17 ตามรูปแบบของศิลปะเขมรแบบบาปวน ในวัฒนธรรมเขมร ส่วนคติความเชื่อด้านศาสนาที่สัมพันธ์กับปราสาทนั้นยังไม่สามารถระบุได้ชัดเจน เนื่องจากยังค้นพบหลักฐานไม่ครบถ้วนที่จะศึกษาได้ ถึงแม้ว่าจากสภาพปัจจุบัน ปราสาทนางบัวตูมจะมีปราสาทสามหลังตั้งอยู่ แต่โดยปกติแล้วปราสาทหินในวัฒนธรรมเขมรจะมีองค์ประกอบทางสถาปัตยกรรมอื่นๆ อีก เช่น โคปุระหรือซุ้มประตูทางเข้า วิหารหรือบรรณาลัย แนวกำแพงล้อมรอบปราสาท และอาจจะมีสิ่งก่อสร้างอื่นๆ เพิ่มเติมขึ้นอีก สำนักศิลปากรที่ 10 นครราชสีมา จึงมีความจำเป็นต้องจัดทำแผนงานโครงการอนุรักษ์และพัฒนาโบราณสถานปราสาทนางบัวตูม ต่อไปในอนาคต การดำเนินงานขุดค้น – ขุดแต่งโบราณสถาน เพื่อเป็นการศึกษาข้อมูลของโบราณสถาน ประวัติศาสตร์ความเป็นมาและรูปแบบทางสถาปัตยกรรมของโบราณสถานให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้องและชัดเจน และนำไปสู่การบูรณะและปรับปรุงสภาพภูมิทัศน์ของโบราณสถาน จะทำให้ปราสาทนางบัวตูม มีคุณค่า เป็นระเบียบเรียบร้อยและสวยงาม อีกทั้งเป็นการส่งเสริมให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมและแหล่งศึกษาหาความรู้ที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งของจังหวัดสุรินทร์-----------------------------------------------------------ข้อมูลโดย นายนภสินธุ์ บุญล้อม นักโบราณคดีชำนาญการ สำนักศิลปากรที่ ๑๐ นครราชสีมา-----------------------------------------------------------ที่มาของข้อมูล : สำนักศิลปากรที่ ๑๐ นครราชสีมา กรมศิลปากร https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=251314596362928&id=106684024159320¬if_id=1611711849488567¬if_t=page_post_reaction&ref=notif
ส่งเสริมการอ่านผ่านออนไลน์เรื่อง ปราสาทหนองหงส์
นับเป็นข่าวดีที่เราจะได้คืนโบราณวัตถุ คือทับหลังปราสาทหนองหงส์ จ.บุรีรัมย์ และทับหลังปราสาทเขาโล้น จ.สระแก้ว กลับสู่ประเทศไทย โดยสำนักสืบสวนเพื่อความมั่นคงแห่งมาตุภูมิสหรัฐอเมริกา ร่วมกับสถานกงสุลใหญ่ไทย ได้จัดพิธีส่งมอบทับหลังปราสาทหนองหงส์ จ.บุรีรัมย์ และทับหลังปราสาทเขาโล้น จ.สระแก้วคืนให้แก่รัฐบาลไทย ที่นครลอสแอนเจลิส มลรัฐแคลิฟอร์เนีย เมื่อวันที่ 25 พ.ค.64 ตามเวลาท้องถิ่นของสหรัฐ และจะถึงประเทศไทยในวันที่ 28 พ.ค.64วันนี้จึงขอนำเสนอเรื่องปราสาทหนองหงส์ เพื่อที่จะได้เป็นที่รู้จักกันมากยิ่งขึ้น ดังนี้
ที่ตั้ง : หมู่ 8 บ้านโนนดินแดง ตำบลโนนดินแดน อำเภอละหานทราย จังหวัดบุรีรัมย์
ประวัติ : ชื่อของปราสาทได้มาจากชื่อของสระน้ำขนาดใหญ่ ซึ่งอยู่ห่างไปทางทิศเหนือประมาณ 100 เมตร
ชาวบ้านเรียกว่า สระหนองหงส์ หรือ นางหงส์
องค์ประกอบของโบราณสถาน :
1. ปรางค์ประธาน เป็นปรางค์ก่อด้วยอิฐ จำนวน 3 องค์ ตั้งอยู่บนฐานศิลาแลงเดียวกัน ขนาด 6.70*18เมตร เฉพาะปรางค์องค์กลาง มีมุขยื่นออกไป มีชานชาลากากบาทรับกับซุ้มประตู (โคปุระ) ทางเข้าด้านตะวันออกซึ่งต่อเป็นกำแพงศิลาแลงรูปสี่เหลี่ยมล้อมรอบปรางค์เว้นแต่ด้านตะวันตกซึ่งมีซุ้มประตูก่อด้วยอิฐ แนวเดียวกับซุ้มประตูทางเข้าด้านตะวันออก ส่วนที่เป็นเสาประดับกรอบประตู ธรณีประตู ทับหลัง หน้าบัน ทำด้วยหินทราย แกะสลักเป็นลวดลายแสดงเรื่องราวตามคัมภีร์ของศาสนาฮินดู เช่น แต่เดิมบนซุ้มประตูทางเข้าด้านทิศตะวันออก มีทับหลังสลักเป็นภาพศิวะนาฏราช บนกรอบประตูด้านทิศตะวันออกของปรางค์องค์กลางมีทับหลังแกะสลักเป็นภาพพระอินทร์ทรงช้างเอราวัณอยู่เหนือเกียรติมุข ปรางค์องค์ทิศเหนือมีทับหลังสลักเป็นภาพพระนารายณ์ทรงครุฑ อยู่เหนือเกียรติมุข (ปัจจุบันทับหลังเหล่านี้ถูกโจรกรรมไป) ศิลาจารึกซึ่งแต่เดิมอยู่ที่ด้านหน้าปรางค์องค์กลางหายไปด้วย
2. อาคารศิลาแลง ซึ่งมีอิฐก่อบางส่วนจากรูปแบบอาคารเข้าใจว่าอาจมาสร้างซ่อมแซมหรือต่อเติมสมัยหลัง เนื่องจากเป็นแบบนิยมในสมัยการสร้างพุทธสถานของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ในพุทธศตวรรษที่ 18 ตั้งอยู่ระหว่างปรางค์องค์ทิศใต้กับซุ้มประตูด้านทิศตะวันออก
3. กำแพงสร้างด้วยศิลาแลง เป็นรูปสี่เหลี่ยมล้อมรอบปรางค์ไว้ มีซุ้มประตูทางเข้าด้านทิศตะวันออกและทิศตะวันตก ซึ่งสร้างด้วยอิฐ
อายุสมัย : จากลักษณะทางสถาปัตยกรรมและศิลปกรรมสันนิษฐานว่าสร้างในสมัยพุทธศตวรรษที่ 15-16 และได้มีการต่อเติมในสมัยพุทธศตวรรษที่ 18
ประโยชน์ใช้สอย : เป็นเทวาลัยในศาสนาฮินดู
การประกาศขึ้นทะเบียนโบราณสถาน :
ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเล่ม 52 ตอนที่ 95 วันที่ 8 มีนาคม 2478
การประกาศกำหนดขอบเขตโบราณสถาน :
ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเล่ม 99 ตอนที่ 155 วันที่ 21 ตุลาคม 2525 เนื้อที่ประมาณ 7 ไร่-งาน 63 ตารางวา
ผู้เรียบเรียง : #นางสาวเมษา ครุปิติ
บรรณารักษ์ชำนาญการ หอสมุดแห่งชาติรัชมังคลาภิเษก จันทบุรี สำนักศิลปากรที่ 5 ปราจีนบุรี
อ้างอิง :
กรมศิลปากร.(2536.) ทำเนียบโบราณสถานขอมในประเทศไทย เล่ม2. กรุงเทพฯ: กองโบราณคดี กรมศิลปากร.