ค้นหา

รายการที่พบทั้งหมด 48,794 รายการ




สังคโลกหายไปไหน?  ในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๒๑ เครื่องสังคโลกเป็นสินค้าส่งออกสำคัญอย่างหนึ่งของกรุงศรีอยุธยาเรื่อยมาจนถึงราวกลางพุทธศตวรรษที่ ๒๒ การค้าเครื่องสังคโลกของชาวสยามก็เริ่มซบเซาลง และหายไปจากตลาดการค้าในที่สุด ทำให้การผลิตเครื่องสังคโลกพลอยหยุดชะงักไปด้วยเช่นกัน คงเหลือเพียงซากเตาเผาและชิ้นส่วนเครื่องสังคโลกแบบต่าง ๆ จำนวนมากที่เป็นหลักฐานบ่งชี้ถึงความเฟื่องฟูของการค้าสังคโลกในอดีต  นักวิชาการเสนอสาเหตุของการหายไปจากตลาดเครื่องถ้วยและการสิ้นสุดการผลิตเครื่อง สังคโลกไว้หลายแนวคิด อาทิ เครื่องถ้วยของจีนกลับมามีบทบาทในตลาดการค้าอีกครั้ง การเข้ามายึดครองเมืองท่าในแถบเอเชียอาคเนย์ของชาวตะวันตกที่เน้นการค้าเครื่องถ้วยจีนและญี่ปุ่นเป็นสำคัญ การอพยพครอบครัวของพระยายุธิษเฐียร เจ้าเมืองศรีสัชนาลัย (หรือเมืองสวรรคโลกในสมัยกรุงศรีอยุธยา) ไปขึ้นกับพระเจ้าติโลกราชแห่งล้านนา และการศึกระหว่างกรุงศรีอยุธยากับพม่าที่ส่งผลให้เมืองสุโขทัยและเมืองสวรรคโลกตกเป็นพื้นที่ของการทำสงคราม รวมถึงสถานการณ์ความวุ่นวายภายในกรุงศรีอยุธยาก่อนการเสียกรุง ครั้งที่ ๒ สาเหตุต่าง ๆ เหล่านี้อาจเป็นปัจจัยร่วมที่นำไปสู่การสิ้นสุดการผลิตเครื่องสังคโลกในเวลาต่อมา  แม้ว่าการผลิตเครื่องสังคโลกในอดีตจะสิ้นสุดลงไปแล้ว แต่เครื่องสังคโลกที่ยังหลงเหลืออยู่ก็ถือเป็นหลักฐานของมรดกทางวัฒนธรรมที่สำคัญ และถูกใช้เป็นต้นแบบในการทำเครื่องปั้นดินเผาในปัจจุบัน โดยนอกจากจะช่วยสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจแล้ว ยังเป็นการส่งต่อภูมิปัญญาที่สืบทอดต่อกันมาจากรุ่นสู่รุ่นให้เครื่องสังคโลกยังคงมีลมหายใจอยู่ต่อไป


องค์ความรู้ : ศิลปวัฒนธรรมและโบราณสถานในจังหวัดชลบุรี เรื่อง วัดบางพระวรวิหาร วัดบางพระวรวิหาร หรือที่ชาวบ้านเรียกกันในอดีตว่า วัดสว่างอารมณ์ ตั้งอยู่ตำบลบางพระ อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี เป็นพระอารามหลวงชั้นตรี ไม่ปรากฏแน่ชัดว่าสร้างขึ้นในสมัยใด ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๔) โปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้บูรณปฏิสังขรณ์พระอุโบสถที่ชำรุดผุพัง และสร้างพระเจดีย์ขึ้นหลังพระอุโบสถอีกหนึ่งองค์ ปัจจุบันพระอุโบสถหลังเดิมถูกรื้อไปและสร้างหลังใหม่ขึ้นมาแทนในตำแหน่งเดิม หลักฐานทางโบราณคดีที่สำคัญ ได้แก่ พระเจดีย์ และ หอสวดมนต์ ที่มา : โบราณสถานสำคัญในเขตจังหวัดชลบุรี : เอกสารประกอบการอบรมทบทวนอาสาสมัครท้องถิ่นในการดูแลรักษามรดกทางศิลปวัฒนธรรม (อส.มศ) จังหวัดชลบุรี วันพุธที่ ๒๓ มกราคม ๒๕๕๑ ณ วัดตาลล้อม ต.เหมือง อ.เมือง จ.ชลบุรี. ปราจีนบุรี : กลุ่มโบราณคดี สำนักศิลปากรที่ ๕ ปราจีนบุรี, ๒๕๕๑. ภาพประกอบ : วัดบางพระวรวิหาร.(2553).ค้นหาเมื่อ 5 มีนาคม 2564, จาก https://www.edtguide.com/.../327381/wat-bang-phar-worawihan วัดบางพระวรวิหาร.ค้นหาเมื่อ 5 มีนาคม 2564, จาก http://www.gi-cbt.buu.ac.th/location.php?id=56 วัดบางพระวรวิหาร.ค้นหาเมื่อ 5 มีนาคม 2564, จาก https://cbi.onab.go.th/.../category/detail/id/110/iid/6592 #หอสมุดแห่งชาติชลบุรี #สำนักศิลปากรที่5ปราจีนบุรี #กรมศิลปากร #กระทรวงวัฒนธรรม #วัดบางพระวรวิหาร #พระเจดีย์ #หอสวดมนต์ #บางพระ #ศรีราชา #ชลบุรี                


          นอกจาก กู่บ้านกุดยาง แล้ว ในเขตพื้นที่ อำเภอบำเหน็จณรงค์ ยังพบร่องรอยหลักฐานการมีอยู่ของปราสาทในวัฒนธรรมเขมรอีกหลายแห่ง อาทิ โบราณสถานปรางค์บ้านตาล โบราณสถานสบน้ำมัน ซึ่งตั้งอยู่ทางด้านทิศเหนือของกู่บ้านหัวสระ ห่างไปประมาณ 4 กิโลเมตร และ 10 กิโลเมตร          ร่องรอยของกู่บ้านกุดยาง ปรากฏให้เห็นเฉพาะส่วนฐานของสิ่งก่อสร้าง จากหลักฐานพบว่า กู่บ้านหัวสระ มีปราสาทประธานหลังเดียว หันด้านหน้าไปทางตะวันออก ก่อสร้างด้วยศิลาแลงและหินทราย ส่วนฐานชั้นล่างสุดถูกฝังจมอยู่ใต้ดินทั้งหมด ไม่เห็นรูปทรงที่ชัดเจนและไม่สามารถตรวจสอบขนาดความกว้าง – ความยาวได้ บนผิวดินพบร่องรอยของหินทรายสีแดงที่วางเรียงเป็นกรอบส่วนฐานของชั้นเรือนธาตุของปราสาท แผนผังรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสเพิ่มมุม ขนาดกว้าง – ยาว ด้านละประมาณ 4.30 เมตร ทางด้านตะวันออกที่ตำแหน่งประตูทางเข้า พบร่องรอยของหินกรอบประตูและเสาประดับกรอบประตู ทั้ง 2 ข้าง นอกจากนี้ที่ทางด้านตะวันออก ยังพบหลักฐานหินทรายสีแดงวางเรียงเป็นกรอบฐานของห้องมุข ขนาดกว้าง 2.50 เมตร ยื่นออกมากจากฐานของปราสาท ระยะ 1.50 เมตร เหนือจากส่วนฐานขึ้นไปซึ่งตามรูปแบบแล้วจะเป็นส่วนเรือนธาตุและชั้นยอดของปราสาท พังทลายลงหมดแล้ว           ด้านทิศตะวันออกของกู่บ้านหัวสระ ระยะทางประมาณ 140 เมตร ปรากฏบารายรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ขนาดกว้าง 150 เมตร ยาว 220 เมตร ปัจจุบันได้รับการขุดลอกและปรับปรุงแล้ว มีการใช้ประโยชน์ในการเก็บกักน้ำ จากรูปแบบทางสถาปัตยกรรมที่พบและวัสดุที่นำมาใช้สร้างปราสาท จึงสันนิษฐานว่ากู่บ้านหัวสระมีอายุอยู่ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 16-18             นอกจาก กู่บ้านกุดยาง แล้ว ในเขตพื้นที่ อำเภอบำเหน็จณรงค์ ยังพบร่องรอยหลักฐานการมีอยู่ของปราสาทในวัฒนธรรมเขมรอีกหลายแห่ง อาทิ โบราณสถานปรางค์บ้านตาล โบราณสถานสบน้ำมัน ซึ่งตั้งอยู่ทางด้านทิศเหนือของกู่บ้านหัวสระ ห่างไปประมาณ ๔ กิโลเมตร และ ๑๐ กิโลเมตร --------------------------------------------------------------ข้อมูลโดย นายนภสินธุ์ บุญล้อม นักโบราณคดีชำนาญการ สำนักศิลปากรที่ ๑๐ นครราชสีมา--------------------------------------------------------------


โครงการสร้างภาคีเครือข่ายบุคลากรทางการศึกษาในการดูแลรักษาโบราณสถานเมืองพิมาย วันที่ ๑๕ กันยายน ๒๕๖๔ ณ อาคารอเนกประสงค์ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพิมาย อำเภอพิมาย จังหวัดนครราชสีมา วันที่ ๑๗ กันยายน ๒๕๖๔ ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติบ้านเชียง และหลุมขุดค้นทางโบราณคดีวัดโพธิ์ศรีใน อำเภอหนองหาน จังหวัดอุดรธานี





         ศิลปะรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๕       กว้าง ๘๔.๕ เซนติเมตร สูง ๑๘๙ เซนติเมตร       สำหรับสมเด็จพระมหาสมณเจ้าทรง กระทรวงวังส่งมา       พระราชยานประทับราบสำหรับสมเด็จพระมหาสมณเจ้า (พระสังฆราชที่เป็นพระบรมวงศ์) ทำด้วยไม้แกะสลักปิดทองประดับกระจก หลังคาทรงคฤห์ซ้อน ๒ ชั้น กรอบหน้าบันประดับช่อฟ้า ใบระกา และนาคเบือน มีพนักพิงและราวขอบพนัก พนักด้านข้างและด้านหน้าทำด้วยงาช้างจำหลักเป็นลวดลายแก้วชิงดวง สำหรับพนักพิงด้านหลังประดับกระจกลายยา มีสาแหรกสำหรับหาม ใช้คนหาม ๘ คน        พระวอช่อฟ้าหลังนี้ สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในรัชกาลที่ ๕  คราวพระราชพิธีมหาสมณุตมาภิเษก สมเด็จพระมหาสมณเจ้า  กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ พ.ศ. ๒๔๓๔ ดังปรากฏตาม “พระประวัติพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมสมเด็จพระปวเรศวริยาลงกรณ์” ซึ่งตีพิมพ์ ในราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ ๙  (๙ ตุลาคม ๒๔๓๕) ความตอนหนึ่งว่า  "...พระราชทานเสวตฉัตรห้าชั้น แลตาลปัตรพื้นตาด พัดรองปักตรามหาสมณุตมาภิเศก พานพระศรีพระเต้าน้ำบ้วนพระโอษฏ์ทองขาวซึ่งเปนเครื่องราชูปโภค แลพระวอช่อฟ้า เรือพระที่นั่งศรี เปนพระเกียรติยศ...”      และเข้าใจว่าคงจะเป็น พระวอช่อฟ้า องค์เดียวกันนี้เอง ที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชทานในการพระราชพิธีมหาสมณุตมาภิเษก สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส เมื่อพ.ศ. ๒๔๕๓ ดังปรากฏใน ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๒๗ (วันที่ ๒๘ มกราคม ร.ศ. ๑๒๙) “...เจ้าพนักงานกรมพระราชยานแต่งพระวอช่อฟ้าตั้งถวายที่พระอุโบสถ กรมฝีพายผูกแต่งเรือศรีม่านทองไปเทียบฉนวนน้ำน่าพระอาราม ถวายประดับพระอิศริยยศด้วย” อนึ่งในพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ พ.ศ.๒๕๕๑ และพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี พ.ศ. ๒๕๕๕ พระวอช่อฟ้าองค์นี้มีหน้าที่อัญเชิญพระสรีรางคารจากพระเมรุท้องสนามหลวงมายังพระศรีรัตนเจดีย์ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ออกนามตามหมายรับสั่งว่า "พระวอสีวิกากาญจน์"  


ชื่อเรื่อง                                อุณฺหิสวิชย (อุณณหิสสวิไช) สพ.บ.                                  266/1ประเภทวัสดุมีเดีย                    คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่                               พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ                           24 หน้า กว้าง 4.5 ซม. ยาว 59 ซม.หัวเรื่อง                                 พุทธศาสนา--บทสวดมนต์ บทคัดย่อ/บันทึก          เป็นคัมภีร์ใบลาน อักษรธรรมอีสาน ภาษาบาลี-ไทยอีสาน เส้นจาร ฉบับลานดิบ  ได้รับบริจาคมาจากวัดบ้านหมี่ ต.บางปลาม้า อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี



เสด็จพระราชดำเนินทรงงานในพื้นที่ภาคเหนือ : ตอนที่ ๓ แม่ฮ่องสอนตลอดระยะเวลา ๗๐ ปี ที่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงครองสิริราชสมบัติ พระองค์เสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมราษฎรในพื้นที่ต่าง ๆ เพื่อรับทราบปัญหาและทรงหาแนวทางการแก้ไขปัญหาของประเทศชาติและประชาชน ทรงอุทิศพระวรกายบำเพ็ญพระราชกรณียกิจนานัปการในการพัฒนาประเทศเพื่อความผาสุก ความเจริญรุ่งเรือง และชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของพสกนิกรชาวไทย๑๓ ตุลาคม ๒๕๖๔ เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคตพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ในโอกาสนี้ ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตเชิญพระบรมฉายาลักษณ์พระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ที่เสด็จพระราชดำเนินทรงงานในพื้นที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน เพื่อน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดไม่ได้ ภาพ : หอจดหมายเหตุแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช


งานฉลองรัฐธรรมนูญหลังจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. ๒๔๗๕ หรือรัฐธรรมนูญฉบับถาวร ในวันที่ ๑๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๕ รัฐบาลระบอบใหม่ได้พยายามประชาสัมพันธ์เรื่องรัฐธรรมนูญและการปกครองระบอบประชาธิปไตยด้วยวิธีการต่าง ๆ ซึ่งหนึ่งในวิธีการประชาสัมพันธ์ดังกล่าว คือ การจัดงานฉลองรัฐธรรมนูญ โดยจัดขึ้นครั้งแรกในวันที่ ๑๑-๑๒ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๕ และหลังจากนั้นรัฐบาลได้กำหนดจัดงานอย่างต่อเนื่องทุกปีจนถึงปี พ.ศ. ๒๕๐๐ โดยระยะเวลาในการจัดงานแต่ละปีแตกต่างกันไป เช่น - พ.ศ. ๒๔๗๖ จัดงานฉลองรัฐธรรมนูญ ๑๕ วัน ระหว่างวันที่ ๒๘ พฤศจิกายน ถึงวันที่ ๑๒ ธันวาคม- สมัยรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม กำหนดให้จัดงานฉลองรัฐธรรมนูญ ๓ วัน ระหว่างวันที่ ๘ - ๑๐ ธันวาคม โดยวันแรกเป็นงานพระราชพิธี อีกสองวันที่เหลือเป็นงานฉลองและแสดงมหรสพ  อย่างไรก็ตาม ระยะเวลาในการจัดงานส่วนใหญ่จะจัดประมาณ ๗ วัน ระหว่างวันที่ ๘-๑๔ ธันวาคม ซึ่งได้จัดงานขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ทั่วประเทศ โดยกำหนดให้ทุกจังหวัดจัดงานในช่วงเวลาเดียวกัน แต่จำนวนวันและกิจกรรมอาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับงบประมาณและศักยภาพของแต่ละจังหวัดวัตถุประสงค์ของการจัดงานฉลองรัฐธรรมนูญไม่เพียงเป็นการฉลองเหตุการณ์สำคัญที่มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับถาวรและเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตยเท่านั้น แต่มีวัตถุประสงค์หลักคือประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนได้รู้จักและเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับรัฐธรรมนูญให้ประชาชนทั่วประเทศเข้าใจความหมายของรัฐธรรมนูญและหลัก ๖ ประการ ของคณะราษฎร (เอกราช ความปลอดภัย เศรษฐกิจ เสมอภาค เสรีภาพ และการศึกษา) รัฐบาลจึงต้องการดึงดูดให้ประชาชนเข้ามาร่วมงานมากขึ้น ทำให้มีการจัดกิจกรรมรื่นเริงร่วมด้วย เช่น การแสดงมหรสพต่าง ๆ การประกวดการออกร้านค้า การจำหน่ายสินค้า การประกวดนางสาวสยาม การประกวดเรียงความ การประกวดประณีตศิลปกรรม กิจกรรมต่าง ๆ ที่จัดขึ้นภายในงานจะอยู่ภายใต้แนวคิดการเสริมสร้างความเข้าใจที่ดีต่อรัฐธรรมนูญ ส่งเสริมให้เกิดความเลื่อมใสในระบอบรัฐธรรมนูญและหลัก ๖ ประการ แสดงสัญลักษณ์แทนรัฐธรรมนูญและหลัก ๖ ประการ เช่น รัฐธรรมนูญจำลอง เสา ๖ เสา ธง ๖ ผืน เป็นต้น  งานฉลองรัฐธรรมนูญลดบทบาทความสำคัญลงมากตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๙๐ เนื่องจากสงครามโลกและการเปลี่ยนแปลงกลุ่มบุคคลที่เข้ามาดำรงตำแหน่งสำคัญทางการเมือง จนถึงปี พ.ศ. ๒๕๐๑ เมื่อจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ กระทำรัฐประหารยึดอำนาจการปกครองจากจอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้ยกเลิกงานฉลองรัฐธรรมนูญที่เป็นงานรื่นเริงโดยสิ้นเชิง คงไว้เพียงงานพระราชพิธีในวันที่ ๑๐ ธันวาคมเท่านั้นผู้เรียบเรียง : นางเกษราภรณ์ กุณรักษ์ นักจดหมายเหตุชำนาญการภาพ : หอจดหมายเหตุแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เชียงใหม่ ภาพชุด การประกวดภาพเก่าเกี่ยวกับจังหวัดลำพูนอ้างอิง :๑. ชาตรี ประกิตนนทการ. ๒๕๕๒. “งานฉลองรัฐธรรมนูญ.” ศิลปวัฒนธรรม ฉบับพิเศษ (ตุลาคม ๒๕๕๒): ๑๖๔-๑๙๑.๒. ศราวุฒิ วิสาพรม. ๒๕๕๙. ราษฎรสามัญ หลังวันปฏิวัติ ๒๔๗๕. นนทบุรี: โรงพิมพ์มติชน.๓. นิตยสารสารคดี. ม.ป.ป. ย้อนอดีต ๖ เรื่องรื่นเริงที่เคยเกิดขึ้นในงานฉลองรัฐธรรมนูญ (Online).https://www.sarakadeelite.com/.../thailand-constitution.../, สืบค้นเมื่อวันที่ ๗ ธันวาคม ๒๕๖๔.๔. พิพิธภัณฑ์รัฐสภา. ม.ป.ป. งานฉลองรัฐธรรมนูญ-มหกรรมที่ใหญ่ที่สุดแห่งยุค (Online). https://parliamentmuseum.go.th/ar63-feast.html, สืบค้นเมื่อวันที่ ๗ ธันวาคม ๒๕๖๔.


black ribbon.