ค้นหา

รายการที่พบทั้งหมด 48,783 รายการ


บรรณานุกรม  หนังสือหายาก ชื่อหนังสือ  พระประวัติและเกียรติคุณ


ชื่อเรื่อง                     สาวิตรี บทละครร้อง พระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ 6ผู้แต่ง                       พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวประเภทวัสดุ/มีเดีย       หนังสือหายากหมวดหมู่                   วรรณกรรม เลขหมู่                      895.9112 ม113สวสถานที่พิมพ์               พระนครสำนักพิมพ์                 โรงพิมพ์บริษัทคณะช่างปีที่พิมพ์                    2507ลักษณะวัสดุ               104 หน้า หัวเรื่อง                     ละครร้องภาษา                       ไทยบทคัดย่อ/บันทึกสาวิตรี เป็นเรื่องแสดงถึงอำนาจแห่งความรักและความภักดีของนางสาวิตรีผู้เป็นชายาของพระสัตยวาน เมื่อพระสัตยวานถูกพระยมมาคร่าเอาชีวิตไป นางสาวิตรีก็ไม่ละความพยายามที่จะขอชีพจากสามีจากพระยมกลับคืนมาให้จงได้ ในที่สุดพระยมผู้ไม่เคยยกเว้นชีวิตให้ใครให้เสียความเที่ยงธรรม ก็อ่อนใจ เพราะด้วยอำนาจแห่งความรักของนางซึ่งมีอยู่ต่อสามียอมคืนชีวิตสามีพร้อมทั้งให้พรอื่นๆ อีกหลายอย่าง


นายจารึก วิไลแก้ว ผู้อำนวยสำนักศิลปากรที่ ๑๒ นครราชสีมา ประธานตรวจการจ้าง พร้อมด้วยคณะกรรมการตรวจการจ้าง ตรวจรับงานโครงการบูรณะและปรับปรุงภูมิทัศน์ปราสาททนง ตำบลปราสาททนง อำเภอปราสาท จังหวัดสุรินทร์ (งวดที่๔) วันจันทร์ที่ ๔ เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๙


ชื่อเรื่อง : คำกลอนสรรเสริญพระบารมี   ผู้แต่ง : กรมศิลปากร   ครั้งที่พิมพ์ : ๒   ปีที่พิมพ์ : ๒๕๑๖   สถานที่พิมพ์ : กรุงเทพฯ   สำนักพิมพ์ : แพร่พิทยา                       หนังสือคำกลอนสรรเสริญพระบารมี พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว นับเป็นวรรณคดีที่มีคุณค่า นอกจากจะได้รสทางวรรณคดีแล้ว ยังได้ความรู้ในเหตุการณ์สมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวอีกด้วย เนื้อเรื่องแบ่งเป็น ๓ ภาค คือ ภาคที่๑ ภาคที่๒ และภาคที่ ๓ จัดพิมพ์รวมไว้ในเล่มเดียวกันแต่ละภาคนั้นสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงนิพนธ์คำอธิบายไว้ทั้ง ๓ ภาค




          วัดเตว็ด เป็นวัดร้างตั้งอยู่ทางทิศใต้นอกตัวเกาะเมืองอยุธยา บริเวณริมคลองปทาคูจาม (คลองคูจามหรือคลองประจาม) ในเขตพื้นที่ตำบลสำเภาล่ม อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ห่างจากวัดพุทไธศวรรย์ไปทางด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้ประมาณ ๕๐๐ เมตร           ในแผ่นดินสมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ ๘ (พระเจ้าเสือ) ปรากฏความตามพระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา กล่าวว่า “ส่วนสมเด็จพระอัครมเหสีฝ่ายซ้าย ฝ่ายขวา, แห่งสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงในพระบรมโกศ, (พระเพทราชา) ซึ่งทรงพระนามกรมหลวงโยธาทิพ, กรมหลวงโยธาเทพนั้น. ก็ทูลลาสมเด็จพระเจ้าแผ่นดิน, แล้วพาเอาพระราชบุตร. ซึ่งทรงพระนามตรัสน้อยนั้น, ออกไปตั้งพระตำหนักอยู่ในที่ใกล้พระอารามวัดพุทไธสวรรย์.”           เรื่องตำหนักหลังวัดพุทไธศวรรย์นี้ น. ณ ปากน้ำ ให้ความเห็นไว้ว่า “ตรงปากคลองประจามฝั่งตะวันตกเยื้องไปทางหลังวัดพุทไธสวรรย์ มีวัดเก่าแก่อยู่วัดหนึ่ง ชื่อวัดตระเว็ด มีอาคารแบบฝรั่งยกพื้นไม้ ใต้ถุนสูง เช่นเดียวกับตำหนักพระพุทธโฆษาจารย์... อาคารที่เหลืออยู่เป็นแบบที่เรียกว่าทรงวิลันดา คือก่ออิฐถือปูนจากผนังขึ้นไปยันอกไก่ หน้าบันก่อปูน มีลายปูนปั้นแบบโรโคโค (Rococo)... ดูภูมิฐานการก่อสร้าง การปั้นปูนอย่างวิจิตรพิสดาร อาจเป็นที่ประทับของกรมหลวงโยธาเทพ กรมหลวงโยธาทิพกระมัง ท่านบวชชีอยู่วัดพุทไธสวรรย์ สำนักนางชีย่อมจะอยู่ไปให้ไกลวัด อีกประการหนึ่ง เหล่านางข้าหลวงและนางบริวารก็คงจะบวชตามเสด็จจนเป็นสำนักนางชีใหญ่โต สมัยนั้นคงจะรุ่งเรืองมาก ด้วยท่านเป็นเจ้านายที่พระเจ้าแผ่นดินหลายพระองค์กลัวเกรงมาก สำนักนี้หลังจากสิ้นบุญของผู้เป็นเจ้าสำนักไปแล้ว ข้าหลวงและบริวารก็คงแตกฉานซ่านเซ็นไป และพระภิกษุสงฆ์คงจะมาครอบครองอยู่ต่อไป” ส่วนชื่อวัด “เตว็ด” นั้น จะตั้งขึ้นในสมัยใดไม่ปรากฏหลักฐาน           หลักฐานทางศิลปกรรมของตำหนัก (กุฏิ?) วัดเตว็ด ในปัจจุบันตัวอาคารมีเพียงผนังสกัดหน้า เหลืออยู่เพียงด้านเดียว ลักษณะเป็นอาคารสองชั้นก่ออิฐถือปูน ยกพื้นมีใต้ถุนสูง เจาะช่องประตูเป็นรูปวงโค้ง ซึ่งนิยมทำในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ใช้ระบบผนังรับน้ำหนักหลังคา หน้าบันก่ออิฐถือปูนแบบ “กระเท่เซ” (ไม่มีไขราหน้าจั่ว) ประดับลวดลายปูนปั้น อิทธิพลศิลปะยุโรปผสานกับลายก้านขดนกคาบแบบไทยได้อย่างลงตัว แสดงอิทธิพลค่อนไปทางยุโรป กล่าวคือ กรอบหน้าบันเป็นลายแบบยุโรป ที่หางหงส์ปั้นเป็นรูปศีรษะบุรุษหันด้านข้างผูกผ้าพันคอ ลายประธานใจกลางหน้าบันเป็นปูนปั้นรูปทิพย์วิมานอย่างยุโรป (อาจหมายถึงเรือนที่ประทับ?) และมีลายก้านขดประดับซ้าย-ขวา ใบไม้ที่อยู่ในลายก้านขดคล้ายใบอะแคนตัสของกรีกโบราณ ส่วนก้านแยกเป็นลายนกคาบอย่างไทย ซึ่งพอจะสันนิษฐานได้ว่า เป็นอิทธิพลของศิลปะแบบฝรั่งเศส สมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ และไทยรับเอาอิทธิพลของศิลปะนี้เข้ามาในสมัยสมเด็จพระนารายณ์ฯ เนื่องจากฝรั่งเศสกับไทยมีความสัมพันธ์ทางการทูตต่อกัน           ในสมัยอยุธยา มีการติดต่อสร้างความสัมพันธ์กับชาวตะวันตก ยุโรปชาติตะวันตกที่เข้ามาเจริญสัมพันธไมตรีกับกรุงศรีอยุธยาชาติแรกคือ โปรตุเกส (พ.ศ. ๒๐๕๔) จากนั้นก็ตามมาด้วย ฮอลันดา สเปน อังกฤษ และฝรั่งเศส มาตั้งสถานีทำการค้า เผยแพร่คริสต์ศาสนารวมถึงศิลปวัฒนธรรม บ้างก็เป็นสถาปนิกวิศวกร มีส่วนในการออกแบบและควบคุมการก่อสร้างป้อมปืนกำแพงเมือง ส่องกล้องตัดถนน สร้างวัง (พระนารายณ์ราชนิเวศน์) วางระบบประปา สร้างน้ำพุเขามอ เป็นต้น ดังนั้น พัฒนาการทางศิลปสถาปัตยกรรมดังกล่าว จึงเกิดขึ้นมาพร้อมกันกับความเจริญรุ่งเรืองของเมือง ทั้งทางด้านการเมืองการปกครอง เศรษฐกิจสังคม และการต่างประเทศ เมื่อบ้านเมืองเจริญศิลปะย่อมพัฒนาเฟื่องฟู เป็นดัชนีชี้วัดความมั่งคั่งมั่นคงของยุคสมัย ณ ที่โบราณสถานและประติมากรรมปูนปั้นหน้าบันวัดเตว็ดแห่งนี้ คือประจักษ์พยานสถานอีกแหล่งหนึ่ง ซึ่งเป็นมรดกทางศิลปวัฒนธรรมของชาติที่มีความสำคัญยิ่ง นับเป็นตัวแทนของยุคสมัย “ศิลปกรรมลูกผสมไทย–ยุโรป สมัยอยุธยาตอนปลาย” ควรค่าแก่การหวงแหนคุ้มครอง อนุรักษ์และพัฒนาแหล่งเพื่อส่งต่อให้อนุชนคนรุ่นหลัง สืบต่อไป ภาพที่ ๑ แผนที่ทางอากาศแสดงตำแหน่งที่ตั้งโบราณสถานวัดเตว็ด และชุมชนชาวต่างชาติ (ที่มา : Google Maps) ภาพที่ ๒ ภาพถ่ายทางอากาศแสดงตำแหน่งที่ตั้งโบราณสถานวัดพุทไธศวรรย์ และวัดเตว็ด (ที่มา : Google Maps) ภาพที่ ๓ หน้าบันวัดเตว็ด ภาพถ่ายเก่าราวปี พ.ศ. ๒๕๐๙ “...ปั้นลมเป็นลายใหญ่หนัก ๆ แบบฝรั่ง มีรูปหัวคนอยู่ตรงจะงอยปลายสาย ส่วนลายปูนปั้นหน้าบันเป็นรูปเรือนแก้วและลายเครือเถา ประดิษฐ์ด้วยใบอะแคนตัส บางตอนมีนกคาบแบบลายไทยด้วย เช่นลายเหนือเรือนแก้วซีกซ้ายมือ แสดงว่าผู้ปั้นเป็นคนไทยชาวพื้นเมือง แต่ทำตามแบบยุโรป จึงได้มีลายไทยปนลงไปด้วย” (น. ณ ปากน้ำ. วิวัฒนาการลายไทย. ๒๕๓๔, น. ๑๘๙) ภาพที่ ๔ หน้าบันวัดเตว็ด ถ่ายเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๕๕ (ก่อนการบูรณะ)ภาพที่ ๕ ผนังสกัดหน้าของตำหนัก (กุฏิ?) วัดเตว็ด ถ่ายเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๕๙ (ภายหลังการบูรณะ) จากภาพ ช่องสี่เหลี่ยมแถวล่าง จำนวน ๓ ช่อง คือตำแหน่งช่องไม้คานสำหรับปูไม้พื้นเฉลียงหน้า ส่วนช่องสี่เหลี่ยมอีก ๓ ช่องด้านบน คือตำแหน่งของไม้จันทันรับหลังคาทรง “จั่นหับ” คลุมโถงเฉลียงหน้าอาคาร ภาพที่ ๖ ผนังสกัดหน้าของตำหนัก (กุฏิ?) วัดเตว็ด ถ่ายเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๕๙ (ภายหลังการบูรณะ)ภาพที่ ๗ หน้าบันตำหนัก (กุฏิ?) วัดเตว็ด (ภาพรีทัช Retouch)ภาพที่ ๘ ลายเส้นสันนิษฐานรูปแบบลวดลายปูนปั้นหน้าบันตำหนัก (กุฏิ?) วัดเตว็ด ภาพที่ ๙ ภาพขยายลวดลายปูนปั้นหน้าบันตำหนัก (กุฏิ?) วัดเตว็ดภาพที่ ๑๐ ภาพขยายลวดลายปูนปั้นหน้าบันตำหนัก (กุฏิ?) วัดเตว็ด ภาพที่ ๑๑ ภาพขยายลวดลายปูนปั้นหน้าบันตำหนัก (กุฏิ?) วัดเตว็ด ภาพที่ ๑๒ ภาพขยายลวดลายปูนปั้นหน้าบันตำหนัก (กุฏิ?) วัดเตว็ด ----------------------------------------เรียบเรียง/ภาพประกอบ/ภาพลายเส้น : ฤทธิเดช ทองจันทร์ นักวิชาการช่างศิลป์เชี่ยวชาญ กองโบราณคดีเอกสารอ้างอิง : น. ณ ปากน้ำ. ฝรั่งในศิลปะไทย. กรุงเทพฯ : ศูนย์การพิมพ์พลชัย, ๒๕๓๐. (อนุสรณ์งานพระราชทานเพลิงศพ นายสุนทร ศิริพงษ์ เป็นกรณีพิเศษ วัดมกุฎกษัตริยาราม ๑๗ ธ.ค. ๒๕๓๐). น. ณ ปากน้ำ. วิวัฒนาการลายไทย. พิมพ์ครั้งที่ ๓. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์เมืองโบราณ, ๒๕๓๔. น. ณ ปากน้ำ. ห้าเดือนกลางซากอิฐปูนที่อยุธยา. พิมพ์ครั้งที่ ๔. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์เมืองโบราณ, ๒๕๕๘. พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับสมเด็จพระพนรัตน์ วัดพระเชตุพน. พิมพ์ครั้งที่ ๔. กรุงเทพฯ : คลังวิทยา, ๒๕๑๔. ศิลปากร, กรม. โบราณสถานในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เล่มที่ ๒. กรุงเทพฯ : ทวีวัฒน์การพิมพ์, ๒๕๕๑.


ชื่อผู้แต่ง : พระครูอรรถธรรมรส (บัวทอง)ชื่อเรื่อง : ศีลห้าคำกลอนครั้งที่พิมพ์ :   -สถานที่พิมพ์ : นครศรีธรรมราชสำนักพิมพ์ : โรงพิมพ์ศิริสวัสดิ์ปีที่พิมพ์ : ๒๕๐๓          ศีลห้าคำกลอน ของท่านพระครูอรรถธรรมรส (บัวทอง) เป็นหนังสือที่พิมพ์แจกในงานทำบุญอายุฉลองสัญญาบัตรและพัดยศของท่านเจ้าคุณพระราชไพศาลมุนี เจ้าอาวาสวัดท่าโพธิ์ อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช เมื่อวันที่ ๕ มิถุนายน ๒๕๐๓ เป็นหนังสือที่เน้นคำสอนในพระพุทธศาสนา


  ***บรรณานุกรม***     ผดุงถิ่นยุคข่าวเศรษฐกิจ     ปีที่ 18     ฉบับที่ 713    วันที่ 1-15 ตุลาคม 2536


ชื่อเรื่อง : บทละคอนเรื่องหัวใจนักรบ   ชื่อผู้แต่ง : มงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว   ปีที่พิมพ์ : ๒๕๑๒   สถานที่พิมพ์ : พระนคร   สำนักพิมพ์ : โรงพิมพ์พระจันทร์   หมายเหตุ : พิมพ์เป็นอนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงพระศพ ท่านผู้หญิงกิมไล้ สุธรรมมนตรี ท.ว.จ. , วปร. ๒ ณเมรุหน้าพลับพลาอิสริยาภรณ์ วัดเทพศิรินทราวาส วันที่ ๑๕ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๑๒                 บทละครพูดเรื่องหัวใจนักรบ วรรณคดีสโมสรได้ยกย่องว่าเป็นยอดของบทละคอนพูด พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชนิพนธ์ขึ่นเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๕๖ เพื่อปลุกใจประชาชนชาวไทย ให้เกิดความรักชาติ รู้จักหน้าที่ของตนที่มีต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์และเห็นความสำคัญของกองเสือป่า ซึ่งพระองค์ได้ทรงจัดตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๕๔ กระทรวงศึกษาธิการได้เคยคัดเลือกให้ใช้เป็นแบบเรียนในโรงเรียนด้วย


สมเด็จพระวันรัต (ทับ). หนังสือต่อพระวินัยคำแปลว่าด้วย ธุดงควัตต แลสะมะถะภาวนา. พระนคร: โรงพิมพ์บำรุงนุกูลกิจ, 2459. 126 หน้า. ลักษณะและวิธีของธุดงควัตต์ 13 ซึ่งเป็นวัตตกิจสำหรับภิกษุธรรมวินัยที่พึงปฏิบัติ ลักษณะและวิธีเจริญ สะมะถะภาวนา ธรรมเครื่องสงบระงับจิต อันเป็นกิจของพระภิกษุสามเณร อุบาสกอุบาสิกา ที่พึงประพฤติปฏิบัติ พระยาศุภกรณ์บรรณสาร (นุ่ม วสุธาร) จัดพิมพ์ขึ้นเพื่อเป็นธรรมพลี ในคราวยันธปัญจก เจริญมาบรรจบครบ 4 รอบปี ณ ปีมะโรงอัฐศก พุทธศักราช 2459 ฤาจุลศักราช 1278294.3122 ส246ห



ชื่อเรื่อง                     บทเห่กล่อมพระบรรทม ครั้งที่พิมพ์                 2ผู้แต่ง                       กรมศิลปากรประเภทวัสดุ/มีเดีย       หนังสือหายากหมวดหมู่                   คติชนวิทยา นิทานพื้นเมืองเลขหมู่                      398.8 บ514บธสถานที่พิมพ์               พระนคร    สำนักพิมพ์                 ชวนพิมพ์   ปีที่พิมพ์                    2510ลักษณะวัสดุ               43 หน้าหัวเรื่อง                     เพลงกล่อมเด็ก                            ภาษา                       ไทยบทคัดย่อ/บันทึก                   บทเห่กล่อมพระบรรทมนี้เป็นกวีแต่งขึ้นสำหรับข้าหลวงร้องเห่พระเจ้าลูกเธอที่ยังทรงพระเยาว์ เวลาไกวพระอู่ให้บรรทม มีบทเห่เรื่อง กล่อมพระบรรทม เรื่องจับระบำ เรื่องกากี เรื่องพระอภัยมณี เรื่องอิเหนา เรื่องโคบุตร เรื่องอนิรุทธ


ชื่อเรื่อง                           เทศนาสังคิณี-มหาปัฎฐานสพ.บ.                             147/7ประเภทวัสดุมีเดีย                    คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่                               พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ                           34 หน้า กว้าง 5 ซ.ม. ยาว 56 ซ.ม. หัวเรื่อง                                 พระอภิธรรม                                           บทสวดมนต์  บทคัดย่อ/บันทึก เป็นคัมภีร์ใบลาน อักษรขอม เส้นจาร ฉบับล่องชาด  ได้รับบริจาคมาจากวัดป่าเลไลยก์ ต.รั้วใหญ่ อ.เมืองฯ จ.สุพรรณบุรี


black ribbon.