ค้นหา

รายการที่พบทั้งหมด 48,777 รายการ

ชื่อเรื่อง                                อสีติมหาสาวกนิพฺพาน (พระอสีติมหาสาวกนิพพาน) สพ.บ.                                  265/6ประเภทวัสดุมีเดีย                    คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่                               พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ                           64 หน้า กว้าง 4.5 ซม. ยาว 58 ซม.หัวเรื่อง                                 พุทธสาวก--ชีวประวัติ                                           สงฆ์--ชีวประวัติ บทคัดย่อ/บันทึก          เป็นคัมภีร์ใบลาน อักษรธรรมอีสาน ภาษาบาลี-ไทยอีสาน เส้นจาร ฉบับทองทึบ  ได้รับบริจาคมาจากวัดทุ่งอุทุมพร ต.บางปลาม้า อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี


หอสมุดแห่งชาติขอนำเสนอรายการ “หนังสือเก่าเล่าเรื่อง” ซึ่งเป็นการนำหนังสือหายากของหอสมุดแห่งชาติมาสรุปเนื้อหาให้ทุกท่านได้อ่านกันเป็นประจำทุกวันพฤหัสบดี   วันนี้ขอนำเสนอหนังสือเรื่อง “ตำนานเรื่องวัตถุสถานต่าง ๆ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสถาปนา” จัดพิมพ์ในงานพระศพ พระวิมาดาเธอ กรมพระสุทธาสินีนาฎ ปิยมหาราชปดิวรัดา ครบศตมาห​ ณ​ วันที่ 12 ตุลาคม พ.ศ.​ 2472 โดย นางสาวอุดมพร เข็มเฉลิม บรรณารักษ์ชำนาญการ สำนักหอสมุดแห่งชาติ   วัตถุสถานซึ่งรัชกาลที่ 3 ทรงสถาปนาทั้งที่ทรงสร้างใหม่ และที่ทรงปฏิสังขรณ์นั้นมี 4 ประเภท คือ สำหรับบำรุงพระพุทธศาสนา สำหรับพระราชอิสสริยยศ สำหรับรักษาพระราชอาณาเขตต์ และสำหรับบำรุงบ้านเมือง   วัตถุสถานสำหรับบำรุงพระศาสนาพระอารามที่ทรงสร้างขึ้นใหม่ ได้แก่ วัดเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดนนทบุรี ทรงอุทิศถวายพระบรมราชชนกและพระบรมราชชนนี วัดเทพธิดาราม สร้างพระราชทานพระเกียรติยศพระเจ้าลูกเธอ กรมหมื่นอับสรสุดาเทพ และวัดราชนัดดาราม สร้างพระราชทานพระเกียรติยศพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าหญิงโสมนัสวัฒนาวดีพระอารามที่ทรงบูรณะทั้งสิ้น 17 แห่งได้แก่ (1) วัดราชโอรส เดิมชื่อวัดจอมทอง อยู่ริมคลองด่านใกล้บางขุนเทียน ทรงสร้างถวายรัชกาลที่ 2 ในครั้งเสด็จไปขัตตาทัพพะม่าที่กาญจนบุรี (2) วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ทรงบูรณะทั่วทั้งพระอาราม ที่สำคัญคือ พระอุโบสถ ผนังด้านนอกเดิมเป็นลายรดน้ำพื้นสีแดง แกเป็นลายปั้นปิดทอง พื้นประดับกระจก ที่ประดิษฐานพระแก้วมรกต โปรดให้สร้างชั้นเบญจาหนุนบุษบกให้สูง (3) วัดพระเชตุพน ขยายเขตพระอาราม สร้างวิหารพระนอนเดิมเป็นที่วังกรมหลวงนรินทรเทวี รื้อกุฎีสงฆ์ซึ่งเดิมเป็นเครื่องไม้แล้วก่อเป็นตึก สร้างพระมหาเจดีย์นามว่า พระมหาเจดีย์ดิลกธรรมนิทาน และพระมหาเจดีย์มุนีปัตตบริขาร (4) วัดอรุณ ทรงสร้างพระปรางค์เป็นที่ปรากฎมาถึงทุกวันนี้ (5) วัดกลางเมืองสมุทรปราการ (6) วัดนางนอง (7) วัดพระพุทธบาท เกิดไฟไหม้พระมณฑปน้อยในสมัยรัชกาลที่ 2 ถึง ร.3 ได้ทรงสร้างพระมณฑปน้อยขึ้นแทน (วัดมหาธาตุ เดิมชื่อวัดสลัก ทรงสร้างศาลารายรอบระเบียงด้านละ 4 หลัง สร้างศาลาเรียนหนังสือด้านตะวันออก (9) วัดโมลีโลก เดิมชื่อวัดท้ายตลาด ทรงโปรดให้หล่อรูปสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ขุน) กับสมเด็จพระสังฆราช (สุก) ไว้สักการะหน้าหอพระเจ้าในพระบรมมหาราชวังส่วนรูปสมเด็จพระสังฆราช (สุก) ไว้ที่วัดแห่งนี้ (10) วัดยานนาวา เดิมชื่อวัดคอกควาย ทรงสร้างสำเภาที่หลังพระอุโบสถ (11) วัดระฆังโฆสิตาราม เดิมชื่อวัดบางว้าใหญ่ ถึง ร.3 เกิดไฟไหม้ โปรดให้สร้างพระอุโบสถขึ้นใหม่ (12) วัดราชสิทธิ์ เดิมชื่อวัดพลับ (13) วัดศาลาปูน อยู่ที่พระนครศรีอยุธยา ทรงสร้างกุฎีตึกพระราชทานพระธรรมราชานุวัต (คุ้ม) (14) วัดสระเกศ เดิมชื่อวัดสระแก อยู่ปากคลองมหานาค โปรดให้สร้างพระวิหารประดิษฐานพระอัฏฐารสอัญเชิญมาจากวัดวิหารทอง เมืองพิษณุโลก ทรงสร้างเจดีย์ภูเขาทองแต่ไม่สำเร็จ เพราะดินทรุด (15) วัดสุทัศน์เทพวราราม อยู่ถนนบำรุงเมือง ทรงสร้างพระวิหารหลวง ทรงหล่อพระพุทธรูปพระประธานด้วยกลักฝิ่น สร้างสัตตมหาสถาน และได้มีการนิมนต์พระไปอยู่ประจำต่อมา (16) วัดสุวรรณดาราราม อยู่ริมป้อมเพ็ชร พระนครศรีอยุธยา (17) วัดสังกระจายอยู่คลองบางวัวทองหรือคลองลำเจียกน้อย เมื่อครั้งสร้างพระอุโบสถใน ร.1 พบพระกัจจายกับสังข์ตัวหนึ่ง จึงพระราชทานนามว่า วัดสังข์กัจจาย ต่อมาคนเรียกชื่อเป็น วัดสังกระจาย   วัดที่ทรงอุปการะและปฏิสังขรณ์ มีทั้งสิ้น 33 แห่ง ได้แก่ (1) วัดกัลยาณมิตร เจ้าพระยานิกรบดินทร์ (โต กัลยาณมิตร) สร้างขึ้นถวายเป็นพระอาราม ร.3 ทรงสร้างพระพุทธรูปใหญ่ ถวายพระนามว่า พระพุทธไตรรัตนนายก (2) วัดกาญจนสิงหาศน์ คลองบางพรหม เดิมชื่อวัดทอง สมเด็จพระรูปสิริโสภาคย์มหานาคนารีทรงสถาปนา (3) วัดคฤหบดี ริมแม่น้ำฝั่งตะวันตกใต้บ้านปูน พระยาราชมนตรี (ภู่) สร้างขึ้น ร.3 พระราชทานพระพุทธแทรกคำซึ่งอัญเชิญมาจากเวียงจันท์เป็นพระประธาน (4) วัดคูหาสวรรค์ คลองบางจาก เดิมชื่อวัดศาลาสี่หน้า ร.1 เชิญพระประธานวัดนี้มาเป็นพระประธานในพระอุโบสถ วัดพระเชตุพน นามว่า พระพุทธเทวปฏิมากร (5) วัดคงคาราม เมืองเพชรบุรี (6) วัดเครือวัลย์วรวิหาร คลองมอญฝั่งใต้ เจ้าพระยาอภัยภูธร (น้อย บุณยรัตพันธ์) กับเจ้าจอมเครือวัลิ เป็นผู้สร้าง (7) วัดจักรวรรดิราชาวาส เดิมชื่อวัดสามปลื้ม เจ้าพระยาบดินทร์เดชา (สิง สิงหเสนี) สถาปนาขึ้น ร.3 ทรงอัญเชิญพระบางจากเวียงจันท์มาประดิษฐาน ถึง ร.4 คืนพระบางไปไว้ที่เมืองหลวงพระบาง ให้มีพระวิหารและรูปจำลองพระบางจนถึงทุกวันนี้ (วัดจันทาราม ปากคลองบางยี่เรือ เดิมชื่อวัดบางยี่เรือกลาง พระยาสุรเสนาสร้าง (9) วัดชนะสงคราม ถนนจักรพงศ์ เดิมชื่อวัดตองปุ สมเด็จฯ กรมพระราชวังมหาสุรสิงหนาท ทรงสร้างขึ้น (10) วัดดุสิดารามอยู่ลำแม่น้ำเจ้าพระยาฝั่งตะวันตก เหนือปากคลองบางกอกน้อย เดิมชื่อวัดเสาประโคน กรมหลวงศรีสุนทรเทพ ทรงสถาปนา (11) วัดทองธรรมชาติ (12) วัดหนัง (13) วัดนาคกลาง เดิมชื่อวัดกลาง ภายหลังได้รวมเข้ากับวัดนาค จึงเรียกว่าวัดนาคกลาง (14) วัดบพิตรพิมุข เดิมชื่อวัดตีนเลน หรือวัดเชิงเลน (15) วัดบวรนิเวศวิหาร ทรงเชิญพระพุทธชินสีห์จากเมืองพิษณุโลกมาประดิษฐาน และทรงสร้างตำหนักพระปั้นหยาพระราชทานแก่เจ้าฟ้ามงกุฎในครั้งผนวช (16) วัดบวรมงคล เดิมชื่อวัดลิงขบ (17) วัดปรินายก ริมถนนราชดำเนินนอก เดิมชื่อวัดพรหมสุรินทร์ ร.3 ทรงหล่อพระประธาน (18) วัดปากน้ำ ริมคลองด่าน (19) วัดประทุมคงคา ถนนสำเพ็ง เดิมชื่อวัดสำเพ็ง (20) วัดพระยาทำ (21) วัดภคินีนาถ เดิมชื่อวัดบางจาก (22) วัดมหรรณพาราม ถนนบ้านตะนาว (23) วัดรังษีสุธาวาส (24) วัดราชบุรณะ ถนนพาหุรัด เดิมชื่อวัดเลียบ (25) วัดรัชฎาธิฐาน คลองบางพรหม เดิมชื่อวัดเงิน (26) วัดสมอราย เจ้าฟ้ามงกุฎผนวชและประทับที่วัดแห่งนี้ (27) วัดสังเวชวิษยาราม เดิมชื่อวัดบางลำภู (28) วัดสัมพันธวงศาราม ถนนสำเพ็ง เดิมชื่อวัดเกาะแก้วลังการาม (29) วัดสุวรรณาราม คลองบางกอกน้อย เดิมชื่อวัดทอง (30) วัดเศวตฉัตร บางลำภู (31) วัดอมรินทราราม ริมคลองบางกอกน้อย เดิมชื่อวัดบางว้าน้อย (32) วัดอับสรสวรรค์ คลองด่าน เดิมชื่อวัดหมู ร.3 พระราชทานฉันสมอไปประดิษฐาน (33) วัดอัมพวันเจติยาราม เหนือปากคลองอัมพวา เมืองสมุทรสงคราม   ทรงสร้างพุทธเจดีย์ดังต่อไปนี้   ทรงสร้างพระพุทธรูปยืน ถวายพระนามว่า พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก และพระพุทธเลิศหล้านภาลัย สูง 6 ศอก หล่อด้วยทองสัมฤทธิ์แล้วหุ้มทองคำ ทรงเครื่องต้นอย่างพระเจ้าจักรพรรดิ ประดิษฐานในพระอุโบสถ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม และเลือกพระบรมสารีริกธาตุบรรจุไว้ในพระพุทธรูปทั้ง 2 องค์ พระพุทธเจษฎา พระพุทธราชาภิเษก พระพุทธชินสีห์ตรีโลกนาถ พระพุทธชินราชรังสรรค์ ทั้ง 4 องค์เป็นพระทรงเครื่องลงยาราชาวดีปางห้ามสมุท ประดิษฐานในหอพระน้อยหน้าหอพระสุราลัยพิมาน นอกจากนี้ยังทรงสร้างพระพุทธรูปชัยวัฒนะ เป็นพระพุทธรูปเท่าจำนวนพระชันษา พระพุทธนิมิต พระพุทธรังสรรค์ เครื่องทรงพระแก้วมรกต ทรงพระราชดำริสร้างเครื่องทรงถวายสำหรับระดูร้อน ระดูฝน และระดูหนาว พระประธานทรงโปรดให้หล่อขึ้น 3 องค์ คือ พระประธานในพระอุโบสถ วัดราชโอรส ร.4 ถวายพระนามว่า พระพุทธอนันตคุณ พระประธานในพระอุโบสถวัดสุทัศเทพวราราม ร.4 ถวายพระนามว่า พระพุทธตรีโลกเชษฐ และพระประธานในพระอุโบสถวัดราชนัดดา หล่อด้วยทองแดงได้มาจากเมืองจันทึก นครราชสีมา ร.4 ถวายพระนามว่า พระพุทธมหาโลกาภินันท์สร้างพระพุทธรูปต่าง ๆ ตามเรื่องพุทธประวัติด้วยทองแดงซึ่งได้มาจากเมืองจันทึก พระโตในพระวิหารวัดกัลยาณมิตร สร้างตามแบบอย่างวัดพระเจ้าพนัญเชิง ร.4 ทรงถวายพระนามว่า พระพุทธไตรรัตนนายก ทรงสร้างพระนอน 2 องค์ คือ พระนอนในพระวิหารวัดพระเชตุพน เป็นพระใหญ่ที่สุดในกรุงรัตนโกสินทร์ กับพระนอนในวิหารวัดราชโอรส พระสมุทรเจดีย์ เป็นพระเจดีย์ไม้สิบสอง อยู่กลางเกาะ ร.3 โปรดให้เจ้าพระยาพระคลัง (ดิศ บุนนาค) เป็นแม่กองสร้างตามพระราชดำริของ ร.2 ทรงสร้างบรมบรรพตในคราวปฏิสังขรณ์วัดสระเกศ เป็นเจดีย์ใหญ่อย่างภูเขาทองที่พระนครศรีอยุธยา แต่สร้างไม่แล้วเสร็จ ถึง ร.4 โปรดฯ ให้ทำการที่ค้างอยู่ พระราชทานนามว่า บรมบรรพต สำเภาวัดยานนาวา สร้างขึ้นในคราวปฏิสังขรณ์วัดคอกกระบือ เป็นพระเจดีย์มีฐานเป็นสำเภาเท่าขนาดเรือจริง ในสำเภานี้มีรูปหล่อพระเวสสันดรโพธิสัตว์กับรูปชาลีกัณหาอยู่ที่ห้องท้ายบาหลี พร้อมกับให้ขนานนามวัดใหม่ว่า วัดยานนาวา โลหปราสาท เป็นเจดีย์ตามแบบลังกา พระราชทานพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าโสมนัสวัฒนาวดี พระปรางค์วัดอรุณ โปรดให้ก่อเสริมพระปรางค์ให้ใหญ่ขึ้นกว่าเดิมเพื่อเป็นพระมหาธาตุสำหรับพระนคร สูง 33 วาเศษ ทรงสร้างพระมหาเจดีย์ 4 องค์ คือ พระเจดีย์ศรีสรรเพ็ชดาญาณ สร้างในสมัย ร.1 ถึง ร.3 ทรงสร้างพระเจดีย์เคียงข้างละองค์ นามว่า พระมหาเจดีย์ดิลกธรรมนิทาน และพระมหาเจดีย์มุนีปัตตบริขาร ถึง ร.4 ให้ถ่ายอย่างพระเจดีย์วัดสวนหลวงสบสวรรค์ที่พระนครศรีอยุธยามาสร้างขึ้นอีกองค์หนึ่ง   วัตถุสถานที่ทรงสร้างเฉลิมพระราชอิสสริยยศ ได้แก่ พระราชมนเทียรในหมู่พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท เดิมมุงกระเบื้องดีบุกเปลี่ยนเป็นมุงกระเบื้องเคลือบ พระมหามนเทียรหมู่พระที่นั่งจักพรรดิพิมานในพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัยเดิมเป็นเสาไม้ เปลี่ยนเป็นเสาใหญ่ก่ออิฐ ทำซุ้มแกลด้านนอก ผนังด้านในพระที่นั่งไพศาลทักษิณโปรดให้เขียนรูปต่าง ๆ ตำหนักข้างในพระบรมมหาราชวัง รื้อตำหนักทั้งปวงสร้างเป็นตึกทั้งหมด ย้ายตำหนักเขียวของกรมพระยาเทพสุดาวดีสร้างเป็นกุฎิสงฆ์ที่วัดอมรินทาราม และรื้อตำหนักแดงของกรมพระศรีสุดารักษ์ย้ายมาปลูกถวายสมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินีที่พระราชวังเดิม พระที่นั่งสุทไธสวรรย์ เดิมเป็นพลับพลาเครื่องไม้ เรียกว่า พลับพลาสูง โปรดให้รื้อสร้างเป็นปราสาทพระราชทานนามว่า พระที่นั่งสุทธาสวรรย์ และเปลี่ยนนามใหม่ว่า พระที่นั่งสุทไธสวรรย์ใน ร.4 ศาลาลูกขุน คลัง ห้องเครื่อง ทิมดาบ เหล่านี้เป็นเครื่องไม้ รื้อใหม่ทำเป็นตึก สร้างโรงปืนใหญ่ในพระราชวัง เป็นโรงก่ออิฐถือปูนฝาไม้ไว้ประตูวังประตูละคู่ เลือกปืนใหญ่ของงามตั้งประจำไว้โรงละกระบอก ประตูพระราชวัง เปลี่ยนรูปทรงเป็นซุ้มฝรั่งตามอย่างวังหลวงที่พระนครศรีอยุธยา   วัตถุสถานทรงสร้างสำหรับรักษาพระราชอาณาเขตต์สร้างป้อมรักษาแม่น้ำเจ้าพระยาในสมัย ร.2 โปรดฯ ให้กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์กับเจ้าพระยาพระคลัง (ดิศ บุนนาค) สร้างเมืองสมุทรปราการ ให้มีป้อมปราการอยู่ทางทิศตะวันออก 4 ป้อมคือ ป้อมประโคนชัย ป้อมนารายณ์ปราบศึก ป้อมปราการ ป้อมกายสิทธิ์ และสร้างบนเกาะกลางน้ำอีก 2 ป้อมคือ ป้อมผีเสื้อสมุทร กับป้อมนาคราช และให้ขุดคลองปากลัดจากเมืองนครเขื่อนขันธ์มายังกรุงเทพฯ ถึง ร.3 หลังจากทรงปราบกบฎเวียงจันท์แล้ว ได้เกิดสงครามกับญวน จึงโปรดให้สร้างป้อมเพิ่มที่สมุทรปราการชื่อ ป้อมปีกกา อยู่ต่อจากป้อมประโคนชัย กับป้อมตรีเพ็ชร สร้างที่บางจะเกรง และต่อมาได้สร้างป้อมคงกระพันที่บางปลากด ทางฝั่งตะวันตกเหนือเมืองสมุทรปราการ พ.ศ. 2388 โปรดให้กรมหลวงรักษ์รณเรศรเป็นแม่กองสร้างป้อมเพิ่มที่นครเขื่อนขันธ์คือ ป้อมมหาสังหารกับป้อมเพ็ชรหึง ได้มีการทำป้อมปีกกาต่อป้อมนาคราชลงไป เรียกว่า ปีกกาพับสมุทร ให้ถมศิลาปิดปากอ่าวที่แหลมฟ้าผ่าไว้เป็นทางเรือเดินเป็นช่วง ๆ เรียกว่า โขลนทวาร ถึง พ.ศ. 2391 โปรดให้จมื่นไวยวรนาถ (ช่วง บุนนาค) สร้างป้อมใหญ่ที่ตำบลมหาวงศชื่อ ป้อมเสือซ่อนเล็บ   ป้อมรักษาปากน้ำอื่น ๆ คือ ป้อมวิเชียรโชฎึก รักษาปากน้ำท่าจีนที่เมืองสมุทรสาคร ป้อมพิฆาฏข้าศึก รักษาปากน้ำเมืองสมุทรสงคราม และป้อมรักษาปากน้ำบางปะกง เมืองฉะเชิงเทรา แต่ไม่ปรากฎชื่อ   สร้างเมืองหน้าศึกมีป้อมปราการ 3 เมือง คือ ที่ตำบลปากแพรก เมืองกาญจนบุรี ที่ปากน้ำเมืองจันทบุรี มีป้อมชื่อ ป้อมไพรีพินาศกับป้อมพิฆาฏปัจจามิตร์ และที่ตำบลบ่อยาง เมืองสงขลา   สร้างเรือรบ ทรงสร้างเรือรบทั้งอย่างเก่าและอย่างใหม่ มี 3 ประเภทคือ (1) เรือสำหรับแม่น้ำ เป็นพวกเรือยาวมีเรือกิ่ง เรือเอกไชย เรือศรี เรือกราบ เป็นเรือสำหรับกระบวนเสด็จพยุหยาตรา เป็นยานพาหนะสำหรับยกกองทัพทางชลมารคแบบโบราณ มีทั้งสิ้น 24 ลำ (2) เรือรบสำหรับอ่าวทะเล เรียกว่า กำปั่นแปลง หัวเรือเป็นเรือปากปลา ท้ายเรือเป็นกำปั่น เจ้าพระยานคร (น้อย) เป็นผู้คิดแบบต่อขึ้น ร.3 พระราชทานนามลำแรกว่า เรือมหาพิไชยฤกษ์ และมีการต่อเรือขึ้นอีก 31 ลำ และได้ปลูกโรงรักษาเรือนี้ไว้ริมคลองบางกอกใหญ่ กับคลองมหานาค(3) เรือกำปั่นแล่นในทะเล มีทั้งสิ้น 12 ลำ   สร้างปืนใหญ่ โปรดให้หาช่างชำนาญการหล่อเหล็กเข้ามาจากเมืองจีนและหล่อขึ้น มี 2 แบบเรียกว่า ปืนรักษาศาสนา และปืนสัมมาทิษฐิเดิมได้ทำโรงหลังคาช่อฟ้าที่ลานข้างพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ตอนนี้อยู่สนามหน้ากระทรวงกลาโหม   วัตถุสถานทรงสร้างสำหรับบำรุงบ้านเมือง ทรงตั้งเมืองทั้งสิ้น 25 เมือง คือในท้องที่ฝ่ายตะวันออกเฉียงเหนือที่เป็นมณฑลนครราชสิมา และมณฑลอุดร 19 เมือง กับตั้งในท้องที่ฝ่ายตะวันออกเฉียงใต้ที่เป็นมณฑลปราจิณบุรี 6 เมือง ขุดคลอง ได้แก่ คลองสุนัขหอน จังหวีดสมุทรสาครและสมุทรสงคราม ตรงน้ำชนเข้าไปในทุ่งโพธิ์ คลองบางบอน จังหวัดธนบุรี ตั้งแต่วัดปากน้ำถึงบางขุนเทียน กับตั้งแต่บางขุนเทียนถึงวัดเลา และคลองบางขนาก ตั้งแต่หัวหมากไปถึงบางขนาก   ผู้สนใจสามารถอ่านหนังสือ "ตำนานเรื่องวัตถุสถานต่าง ๆ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสถาปนา" ได้ที่ห้องหนังสือหายาก ชั้น 3 อาคาร 2 สำนักหอสมุดแห่งชาติ   บรรณานุกรม   ราชบัณฑิตยสภา. ตำนานเรื่องวัตถุสถานต่าง ๆ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสถาปนา. พระนคร: โรงพิมพ์โสภณพิพรรฒธนากร, 2472. (พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้พิมพ์พระราชทานในงานพระศพ พระวิมาดาเธอ กรมพระสุทธาสินีนาฎ ปิยมหาราชปดิวรัดา ครบศตมาหณวันที่ 12 ตุลาคม พ.ศ.2472) 


เสด็จพระราชดำเนินทรงงานในพื้นที่ภาคเหนือ : ตอนที่ ๑ เชียงใหม่ตลอดระยะเวลา ๗๐ ปี ที่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงครองสิริราชสมบัติ พระองค์เสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมราษฎรในพื้นที่ต่าง ๆ เพื่อรับทราบปัญหาและทรงหาแนวทางการแก้ไขปัญหาของประเทศชาติและประชาชน ทรงอุทิศพระวรกายบำเพ็ญพระราชกรณียกิจนานัปการในการพัฒนาประเทศเพื่อความผาสุก ความเจริญรุ่งเรือง และชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของพสกนิกรชาวไทย๑๓ ตุลาคม ๒๕๖๔ เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคตพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ในโอกาสนี้ ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตเชิญพระบรมฉายาลักษณ์พระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ที่เสด็จพระราชดำเนินทรงงานในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดไม่ได้ ภาพ : หอจดหมายเหตุแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เชียงใหม่


ระบบชลประทานและเหมืองฝายของชาวล้านนาภาคเหนือของประเทศไทยมีลักษณะภูมิประเทศเป็นพื้นที่ภูเขาสลับที่ราบมีแม่น้ำไหลผ่าน ผู้คนมักอาศัยบริเวณพื้นที่ราบสองริมฝั่งน้ำเพื่อทำการเกษตรและสร้างบ้านเมือง ในหน้าแล้ง น้ำในแม่น้ำจะลดระดับต่ำลง ทำให้เกิดการคิดค้นวิธีกักเก็บน้ำและแบ่งสรรปันน้ำโดยสร้างระบบชลประทานแบบภูมิปัญญาชาวบ้านขึ้น คือการสร้างฝายและต่อมาจึงได้คิดค้นเครื่องกั้นลำน้ำสู่พื้นที่ไร่นา เพื่อแบ่งปันน้ำ กักเก็บน้ำ และระบายน้ำออก โดยมี "แก่ฝาย" เป็นผู้ควบคุมและจัดการน้ำฝาย  หรือเหมืองฝาย เกิดจากการสังเกตระดับน้ำที่ขึ้นลงตามฤดูต่างๆ เช่น ฤดูฝน ระดับน้ำขึ้นสูงท่วมตลิ่ง ส่วนหน้าแล้งระดับน้ำลดลงมากจนไม่สามารถใช้น้ำเลี้ยงพืชผลไร่นาได้ ชาวบ้านจึงร่วมกันใช้ไม้ไผ่จำนวนมากตอกเรียงซ้อนเหลื่อมขวางกั้นลำน้ำ เรียกว่า "หลักฝาย" แต คือทำนบกั้นน้ำในลำเหมืองใหญ่ เพื่อแบ่งน้ำเข้าสู่ลำเหมืองเล็ก และอีกส่วนจะล้นท่วมสู่ลำเหมืองใหญ่ แตสร้างขึ้นโดยคนกลุ่มขนาดเล็ก และใช้ชื่อคนที่ได้น้ำเข้าถึงที่นาก่อนเป็นชื่อเรียก เช่น แตปู่หมื่น คือ มีนายหมื่นเป็นหัวหน้าในการสร้าง และปันน้ำไปถึงคนอื่นๆ ๔ - ๕ คนในพื้นที่บริเวณใกล้เคียงปุม คือคันทดน้ำในลำเหมืองขนาดเล็กมาก เป็นคันดินที่มีช่องให้น้ำไหลผ่านได้เพียงส่วนหนึ่ง อีกส่วนเข้าสู่ไร่ คนที่สร้างปุม จะสร้างกับพื้นที่ที่ใกล้ชิดกันและใช้น้ำร่วมปุมเดียวกันเท่านั้นเมื่อน้ำเข้าสู่แปลงนาแล้ว ชาวนาจะใช้น้ำอยู่ประมาณ ๑๐ - ๑๕ วัน เพื่อทำการปลูกข้าว จากนั้นจึงจะระบายน้ำออก โดยมีวิธีการ ๓ ลักษณะดังนี้ ๑. ข่าง คือการเปิดน้ำให้ผ่านสู่ต๊าง (ช่องทางน้ำผ่านคันนา) เข้านาให้น้ำไหลผ่านเต็มที่ ชาวล้านนาเรียกว่า การข่างน้ำนา หมายถึง การระบายน้ำ๒. ยอย คือการระบายน้ำทีละน้อยๆ หรือก็คือการทยอยแบ่งน้ำให้มีระดับที่เท่าๆกัน๓. ลดน้ำ คือ การเปิดให้น้ำที่ใช้แล้ว หรือน้ำที่เหลือกลับสู่ลำเหมืองการจัดการระบบน้ำมีความสำคัญต่อวิธีการดำรงชีวิตของชาวบ้าน จนเกิดการสร้างหอผีฝายและพิธีเลี้ยงผีฝาย เป็นพิธีกรรมเพื่อให้ชาวบ้านช่วยกันดูแลรักษาฝาย ซึ่งพิธีมักจัดขึ้นช่วงวันแรม ๙ ค่ำ เดือน ๙ ทุกปี บริเวณลำน้ำปิง เหมืองฝายพญาคำ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นฝายดั้งเดิมครอบคลุมพื้นที่ในจังหวัดเชียงใหม่ - ลำพูน นอกจากนั้น ยังมีฝายในพื้นที่อื่นๆ เช่น ฝายวังไฮ ที่อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นฝายที่ใช้หล่อเลี้ยงเกษตรกรรมใน ๓ หมู่บ้านคือ บ้านม่วงฆ้อง บ้านดง  และบ้านทุ่งหลุก ผู้เรียบเรียง : นางสาวอริสรา คงประเสริฐ นักจดหมายเหตุภาพ :๑. หอจดหมายเหตุแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เชียงใหม่๒. หนังสือ เรื่องบ่าเก่าเล่าล้านนา เหมืองฝาย แม่ญิงขี่รถถีบกางจ้องอ้างอิง : ๑. นิคม พรหมมาเทพย์. มปป. เรื่องบ่าเก่าเล่าล้านนา เหมืองฝาย แม่ญิงขี่รถถีบกางจ้อง. มปท.๒. ชัชวาล ทองดีเลิศ. ๒๕๖๒. เหมืองฝาย มรดกภูมิปัญญาจัดการน้ำของคนเหนือ (Online). https://thecitizen.plus/node/๒๖๔๗๐, สืบค้นเมื่อวันที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๖๔.๓. องศาเหนือ. ๒๕๖๓. เสวนานวัตกรรมการจัดการเหมืองฝายพญาคำ : จากอดีตสู่ปัจจุบัน (Online). https://thecitizen.plus/node/๓๒๓๖๓, สืบค้นเมื่อวันที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๖๔.


มตกภตฺตานิสํสกถา (อานิสงฺสมตภตฺต)  ชบ.บ.73/1-1  เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)


เลขทะเบียน : นพ.บ.192/8ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ :  42 หน้า ; 4.5 x 53 ซ.ม. : รักทึบ-ล่องรัก ; ไม่มีไม้ประกับชื่อชุด : มัดที่ 108 (133-140) ผูก 8 (2565)หัวเรื่อง : มหาวคฺควณฺณนา(ตติยาสมนตปาสาทิกาวันยฎฐกถา(สับมหาวัต)--เอกสารโบราณ            คัมภีร์ใบลาน            พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา  สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม


เลขทะเบียน : นพ.บ.294/10ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 52 หน้า ; 4 x 54 ซ.ม. : ทองทึบ-รักทึบ-ล่องรัก-ลานดิบ ; ไม่มีไม้ประกับชื่อชุด : มัดที่ 122  (266-274) ผูก 10 (2565)หัวเรื่อง : ติโลกวินิจฺฉย(พระไตรโลกวินิจฉัย  --เอกสารโบราณ            คัมภีร์ใบลาน            พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา  สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม




ชื่อผู้แต่ง             ณรงค์  พ่วงพิศ ชื่อเรื่อง              พระวรวงศ์เธอ กรมหมื่นพิทยาลาภพฤติยากร แลการดำเนินนโยบายเกี่ยวกับโรงเรียนจีนในประเทศไทย เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงธรรมการ ครั้งที่พิมพ์          - สถานที่พิมพ์        - สำนักพิมพ์          - ปีที่พิมพ์             ๒๕๑๗ จำนวนหน้า         ๒๐๖  หน้า หมายเหตุ           พิมพ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ พระวรวงศ์เธอ กรมหมื่นพิทยาลาภภพฤติยากร                        ผู้เขียนต้องการจะชี้ให้ผู้อ่านได้เห็นว่าแผ่นดินไทยของเรานี้มีผู้ไม่เคยหวังดี คอยแทรกแซงยุยงส่งเสริมคนในชาติให้แบ่งยแกกันอยู่เสมอมาแม้กระทั่งเด็กเล็กที่กำลังเรียนหนังสืออยู่ตามโรงเรียนจีนก็ถูกอิทธิพลทางการเมืองจากภายนอกประเทศเข้าครอบงำอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะอิทธิพลจากผืนแผ่นดินใหญ่จีน


๑๐๘ ปี พระราชทานนามสกุล “ณ น่าน”ประกาศราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๓๑ หน้า ๓๐ – ๒๒ วันที่ ๕ เมษายน ๒๔๕๗ประกาศพระราชทานนามสกุล ครั้งที่ ๑๔ พระเจ้าบรมวงษ์เธอ กรมพระนเรศรวรฤทธิ์ เสนาบดีกระทรวงมุรธาธร ขอประกาศให้ทราบทั่วกันว่า ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ขนานนามสกุลพระราชทาน แก่ผู้ที่ได้กราบบังคมทูลพระกรุณาขอพระราชทานเป็นเครั้งที่ ๑๔ มีรายนามดังต่อไปนี้๑๑๖๒ พระเจ้าสุริยพงษ์ปริตรเดช (สุริย) พระเจ้าผู้ครองนครน่าน พระราชทานนามสกุลว่า “ณ น่าน” (na Nan)๑๑๖๓ เจ้าไชยสงคราม (มธุรศ) กรมการพิเศษเมืองนครน่าน พระราชทานนามสกุลว่า “พรหมวงศนันทน์” (Brahmavansanandana)๑๑๖๔ เจ้าวรญาติ (เทพยศ) นายงานคมนาคมเมืองนครน่าน พระราชทานนามสกุลว่า “มหาวงศนันทน์” (Mahavansanandana)๑๑๖๕ เจ้าอุตรการโกศล (มหาไชย) รองผู้พิพากษาศาลเมืองนครน่าน พระราชทานนามสกุลว่า “มหายศนันทน์” (Mahayasanandana)ประกาศวันที่ ๕ เมษายน พุทธศักราช ๒๔๕๗(ลงพระนาม) นเรศรวรฤทธิ์ เสนาบดีกระทรวงมุรธาธร รับพระบรมราชโองการราชกิจจานุเบกษา. ประกาศพระราชทานนามสกุล ครั้งที่ ๑๔ (ลำดับที่ ๑๑๕๖ ถึงลำดับที่ ๑๑๘๒) เล่ม ๓๑ ตอน ๐ ง วันที่ประกาศ ๕ เมษายน พุทธศักราช ๒๔๕๗. เข้าถึงได้โดย http://www.ratchakitcha



กองโบราณคดีใต้น้ำขอแนะนำแหล่งเรือจมอีกแห่ง ที่จมอยู่ทางด้านทะเลอันดามัน คือแหล่งเรือจมบ้านบางสัก จังหวัดพังงา


พิพิธภัณฑภัณฑสถานแห่งชาติพาณิชย์นาวี จันทบุรี ได้จัดนิทรรศการพิเศษเนื่องในวันพิพิธภัณฑ์ไทย ประจำปี พ.ศ. 2564 เรื่อง เหรียญกษาปณ์จีนที่พบในแหล่งเรือจมในประเทศไทย สามารถเข้าชมได้ตั้งแต่วันที่ 19 กันยายน 2564 เป็นต้นไป




องค์ความรู้จากพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ นครศรีธรรมราช เรื่อง ศรีวิชัยในกาลเวลา ตอน : ศรีวิชัยในความทรงจำของพระภิกษุอี้จิ้ง ค้นคว้าและเรียบเรียงโดย นางสาวสุขกมล วงศ์สวรรค์ ภัณฑารักษ์ชำนาญการพิเศษที่มาของข้อมูล : พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ นครศรีธรรมราช


black ribbon.