ค้นหา
รายการที่พบทั้งหมด 48,771 รายการ
สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สังคิณี-มหาปัฎฐาน) เลขที่ ชบ.บ.35/1-7 เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)
วันนี้ #พี่โข่ทัยมีเรื๋องเล๋า มาแล้วค่าาาาาาาาา
.
ตามที่แอดมินได้แจ้งไว้นะคะ เรามีหนังสือเรื่อง "พระราชประวัติสมด็จพระนเรศวรมหาราชและพระราชวังจันทน์" มาแจกให้กับแฟนเพจผู้ติดตามที่น่ารักทุกท่าน....ท่านใดไม่ได้รับรางวัลนี้ ไม่ต้องสียใจค่ะ เดี๋ยวรอโหลดไฟล์พีดีเอฟไปอ่านกันต่อไปค่าาาา....
.
วันนี้เราขอเฉลยแต่ละข้อก่อนนะคะ ซึ่งมีผู้เข้าร่วมกิจกรรม ๒๖ คน ตอบได้ถูกต้องจำนวน ๒๔ คนค่ะ และเนื่องจากรายชื่อผู้เข้าร่วมกิจกรรมมีมากกว่าหนังสือที่เราจะสามารถอภินันทนาการให้ครบทุกท่านได้ ดังนั้น แอดมินขอจับสลากรายชื่อผู้เข้าร่วมกิจกรรมว่า ท่านใดได้รับรางวัลบ้างต่อไปนะคะ ขอให้ลุ้นกันต่อไปค่ะ ส่วนท่านใดที่ไม่ได้รับหนังสือ ขอให้ท่านส่งที่อยู่มาในกล่องข้อความของสำนักศิลปากรที่ ๖ สุโขทัย เพื่อรับปฏิทินเป็นอภินันทนาการต่อไปค่ะ
.
ในส่วนของเฉลยนั้น มีดังนี้ค่ะ
๑. ศิลาจารึกหลักที่ ๑ (จารึกพ่อขุนรามคำแหง) เรียกว่า เมืองสรลวงสองแคว
ถูกต้อง ปรากฏใน ด้านที่ ๔ บรรทัดที่ ๑๘ ว่า “.....รอดสรลวง สองแคว ลุมบาจาย.....”
๒. ศิลาจารึกหลักที่ ๓ (จารึกนครชุม) เรียกว่า เมืองสรลวง
ถูกต้อง ปรากฏใน ด้านที่ ๒ บรรทัดที่ ๕๐ ว่า “อันหนึ่งมีในเมืองฝาง อันหนึ่งมีในเมืองสระหลวง”
๓. ศิลาจารึกหลักที่ ๘ (จารึกเขาสุมนกูฏ) เรียกว่า เมืองสองแคว
ถูกต้อง ปรากฏใน ด้านที่ ๓ บรรทัดที่ ๑๓ ว่า “เมืองสองแคว บุพระมหาธาตุ...” และด้านที่ ๔ บรรทัดที่ ๔-๕ ว่า “....อยู่ในสองแควได้เจ็ดเข้า...”
๔. จารึกหลักที่ ๑๑ (จารึกวัดเขากบ) กล่าวถึงเมืองสรลวง
ถูกต้อง ปรากฏในด้านที่ ๒ บรรทัดที่ ๑๑ ว่า “............อาวาสแต่นครสระหลวง มีพุทธปฏิมา........”
๕. จารึกหลักที่ ๓๘ (จารึกกฎหมายลักษณะโจร) กล่าวถึงชื่อเมืองสองแคว
จารึกนี้กล่าวถึงสองชื่อ คือ (๑)ด้านที่ ๑ บรรทัดที่ ๗ “....พระยาพังไทวยนทีศรียมนา...” และ (๒) ด้านที่ ๑ บรรทัดที่ ๑๗ “...........ทำเนปรเชลียง กำแพงเพชร ทุ่งย้างปากยม สองแคว...”
๖. นิทานพระพุทธสิหิงค์ เรียกว่า เมืองทวิสาขะนคร
ปรากฏชื่อนี้ในนิทานพุทธสิหิงค์ ปริเฉจที่ ๕ ความว่า
ตทา อโยทยา ราชา รามาธิปติ นามโก อปฺปมาทํ ตสฺส ทิสฺวาน ทฺวิสาขนครา คโต ฯ
รุมฺหิตฺวา ตํ ลภิตฺวาน กตฺวา หตฺถคตตฺตโน เตชํ นาม สกํ ปุตฺตํ กาเรตฺวา ตํ นิวตฺตยิฯ
แปลว่า ครั้งนั้นพระราชานครอยุธยา ทรงพระนามว่ารามาธิบดี เห็นว่าพระธรรมราชาประมาท เป็นโอกาสแล้ว จึงเสด็จไปจากนครสองแคว เข้าโจมตียึดเมืองสุโขทัยได้ แล้วมอบให้พระราชบุตรพระนามว่า เจ้าเดช ครอบครอง พระองค์เสด็จกลับอยุธยา (นิทานพระพุทธสิหิงค์ แปลโดย ร.ต.ท.แสง มนวิทูร)
คำว่า ทวิสาขนคร หมายถึง สองแคว
๗. ในสมัยอยุธยาตอนต้นเรียกว่า เมืองชัยนาท เมื่อครั้งที่เจ้าสามพระยาถูกส่งมาปกครอง
พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) กล่าวถึงไว้ว่าหลังจากสมเด็จพระนครินทราธิราช ทรงระงับจลาจลที่หัวเมืองเหนือ “...แล้วจึงให้สมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าพญากินเมืองสุพรรณบุรี เจ้ายี่พญากินเมืองแพรกศรีราชา เจ้าสามพญากินเมืองไชนาฎ...”
๘. ลิลิตยวนพ่าย เรียกว่า เมืองพิษณุโลกเพียงชื่อเดียว
เรียก ๒ ชื่อ ได้แก่ ชัยนาท ในความที่ว่า “แถลงปางเมื่อลาวลง ชัยนาท นั้นฤๅ” และชื่อพิษณุโลก ในความว่า “ปางถกลกำแพงพระ พิษณุโลกย์แล้วแฮ” ศ.ดร. ประเสริฐ ณ นคร กล่าวไว้ว่าชื่อพิษณุโลกคงได้เกิดขึ้นในตอนที่สร้างกำแพงเมืองดังที่เรื่องยวนพ่ายระบุไว้
๙. ชินกาลมาลีปกรณ์ เรียกว่า เมืองชัยนาท
ปรากฏในข้อความ “ชยนาทปุรมฺหิ ทุพฺภิกฺขภยํ ชาตํ อันว่าภัยคือทุพภิกขข้าวแพงก็บังเกิดมีในเมืองชัยนาทบุรี”
๑๐. บันทึกฟรังซัวร์ อังรี ตุรแปง ชาวฝรั่งเศส กล่าวว่า “....ชาวโปรตุเกสเรียกเพี้ยนว่า ปอร์ซาลุก...”
๑๑. พงศาวดารเหนือ เรียกว่า เมืองโอฆะบุรี
ในพงศาวดารเหนือปรากฏสองนาม คือ พิศนุโลก และโอฆบุรี กล่าวถึงพระเจ้าศรีธรรมปิฎก ให้จ่านกร้องกับจ่าการบุรณ์สร้างเมืองใหม่ แล้วมีพระราชโองการถามพราหมณ์ พราหมณ์ทูลตอบว่า “...มาถึงวันนี้ได้ยามพิศณุ พระองค์ได้ชื่อเมืองตามคำพราหมณ์ว่าเมืองพิศณุโลก ถ้าจะว่าตามพระพุทธเจ้ามาบิณฑบาตก็ชื่อว่าโอฆบุรีตะวันออก ตะวันตกชื่อจันทรบูร”
สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ทรงอธิบายความท่อนนี้ไว้ในสาส์นสมเด็จว่าหมายถึง “เสด็จมาถึงในยามพิษณุเปนมงคล จึงขนานนามเมืองฝั่งตะวันออกว่า “พิษณุโลก” และเรียกว่า โอฆบุรี ด้วยอีกชื่อ ๑ เมืองทางฝั่งตะวันตกให้ชื่อว่า จันทบุระ”
นามโอฆบุรี ที่เป็นอีกชื่อหนึ่งของพิษณุโลก ยังปรากฏในคำกลอนสรรเสริญพระบารมีพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในตอนแหล่เทศน์มหาชาติ ของพระกว้าง วัดประยุรวงศ์ กล่าวถึงเหตุการณ์รัชกาลที่ ๕ หล่อพระพุทธชินราช ในตอนต้นได้กล่าวอ้างถึงพงศาวดารเหนือ และกล่าวถึงนามเมืองพิษณุโลกไว้ว่า
๏ เสด็จสถิตอยู่พิษณุโลก อิกนามหนึ่งโอฆบุรี
ทรงสร้างพระธาตุเจดีย์ วิหารสี่งามสูงทรง
* ๑๒. สมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถทรงเปลี่ยนชื่อว่า พิษณุโลก (แปลว่า เมืองที่มีความยิ่งใหญ่ประดุจพระศิวะ)
สมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถทรงเปลี่ยนชื่อว่า พิษณุโลก แต่ชื่อนี้หมายถึงโลกแห่งพระวิษณุ
.
ดังนั้น ข้อที่ผิดมีเพียงข้อเดียว คือ ข้อที่ ๑๒ ค่ะ ที่ถูกต้องควร แปลชื่อเมืองพิษณุโลกว่า เมืองที่มีความยิ่งใหญ่ประดุจพระวิษณุหรือพระนารายณ์นั้นเองค่ะ
องค์ความรู้ : ศิลปวัฒนธรรมและโบราณสถานในจังหวัดชลบุรี
เรื่อง เขาพระพุทธบาทบางพระ
เขาพระพุทธบาทบางพระ ตั้งอยู่ที่อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี สร้างขึ้นในสมัยของหลวงพ่อฉิ่งเจ้าอาวาสวัดบางพระวรวิหาร ภายในมณฑปประดิษฐานพระพุทธบาทจำลองและพระธาตุต่างๆ ประชาชนชาวบางพระและละแวกใกล้เคียงให้ความเคารพบูชาเป็นอย่างยิ่ง เมื่อมีประชาชนมานมัสการมากขึ้นตัวมณฑปจึงเกิดชำรุดและด้วยพื้นที่ที่คับแคบจึงได้รับการบูรณะซ่อมแซมในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๕) ถือเป็นปูชนียสถานสำคัญของอำเภอศรีราชา และในวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๓ ของทุกปีจะมีการจัดงานฉลองสมโภชน์อย่างสนุกสนาน
ที่มาและภาพประกอบ : เทศบาลตำบลบางพระ. (๒๕๕๓). ย้อนอดีต มองปัจจุบัน บางพระจากวันนั้น...ถึงวันนี้. ชลบุรี:สำนักงานเทศบาลตำบลบางพระ.
#หอสมุดแห่งชาติชลบุรี #สำนักศิลปากรที่5ปราจีนบุรี #กรมศิลปากร #กระทรวงวัฒนธรรม #เขาพระพุทธบาทบางพระ #รอยพระพุทธบาทจำลอง #บางพระ #ศรีราชา #ชลบุรี
ตู้ลายทองหรือตู้พระธรรม เป็นตู้ไทยโบราณ คือตู้ที่มีลักษณะเป็นแบบฉบับของไทย ซึ่งคนไทยใช้มาแต่โบราณ ลักษณะของตู้อยู่ในทรงสี่เหลี่ยมลูกบาศก์ ด้านบนสอบและแคบกว่าด้านล่าง ความสูงของตู้อยู่ระหว่าง ๑๐๐ – ๒๘๘ เซนติเมตร ด้านกว้างระหว่าง ๘๐ – ๒๐๐ เซนติเมตร ด้านข้างกว้างระหว่าง ๕๗ – ๑๘๐ เซนติเมตร ด้านที่ใช้เปิดและปิดประตู คือด้านหน้า ซึ่งมีบานประตูตู้ติดบานพับ จำนวน ๒ บาน ต่อมาในสมัยสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงดำริให้ช่างทำประตูตู้ติดกระจกทางด้านหลังตู้เฉพาะตู้ที่ด้านหลังไม่มีลาย เพื่อใช้เปิดปิดแทนด้านหน้า ป้องกันมิให้ภาพลายทองบริเวณประตูตู้หมองหรือเสียหาย ภายในตู้มีชั้นไม้สำหรับวางคัมภีร์ใบลาน โดยเฉลี่ยประมาณ ๓ ชั้น ไม่มีการตกแต่งลวดลาย ส่วนใหญ่มักจะลงรักแดงทึบ ขอบตู้ด้านบนตกแต่งด้วยลายหรือจำหลักลายรูปบัวหงายเหนือขอบตู้ขึ้นไป บางตู้มีเสาหัวเม็ดทรงมันอยู่ทั้ง ๔ มุม ขอบตู้ด้านล่างอยู่เหนือส่วนที่นิยมตกแต่งเป็นรูปบัวหงาย แต่บางตู้ตกแต่งด้วยลายบัวคว่ำก็มี ใต้ขอบล่างของตู้ลงมามีขาตู้ ซึ่งใช้เรียกชื่อตู้ไทยโบราณประเภทต่างๆ แบ่งได้เป็น ๗ ประเภท คือ ๑. ตู้ขาหมู ขาของตู้เป็นขาสี่เหลี่ยม ช่างมักตกแต่งเชิงตู้เป็นรูปปากสิงห์หรือหูช้าง ตกแต่งด้วยลายต่างๆ หรือไม่ตกแต่งเลย ๒. ตู้ขาหมูมีลิ้นชัก เป็นการเพิ่มส่วนลิ้นชักเข้าไปในประเภทแรก โดยทำเป็นกรอบลิ้นชักอยู่ใต้ขอบล่างของตู้ เชิงตู้ของบางตู้เป็นรูปหูช้างหรือปากสิงห์และบางตู้ไม่ตกแต่งเลยก็มี ๓. ตู้ขาหมูแฝด แบ่งออกเป็น ๒ แบบ คือ ๓.๑ ตู้ขาหมูแฝดติดกัน ๒ ตู้ มีบานประตูด้านหน้า ๔ บาน และมีอยู่ ๔ ตู้เท่านั้น แต่ละตู้สูง ๒๑๖ เซนติเมตร (ตู้ กท.๑๒) ๓.๒ ตู้ขาหมูแฝดสี่ตู้ โดยแต่ละตู้ไม่ได้สร้างติดกัน แต่เขียนภาพเล่าเรื่องสืบเนื่องกัน แต่ละตู้สูง ๒๔๕ นับเป็นตู้ไทยโบราณที่สูงที่สุดเท่าที่ปรากฏ (ตู้ กท.๗๙) ๔. ตู้เท้าสิงห์ ขาตู้ทั้ง ๔ ขา จำหลักเป็นรูปเท้าสิงห์ และบางตู้พิเศษขึ้นไปอีกโดยจำหลักเป็นรูปเท้า สิงห์เหยียบบนลูกแก้ว ๕. ตู้เท้าสิงห์มีลิ้นชัก เพิ่มส่วนที่เป็นลิ้นชักโดยเจาะกรอบลิ้นชักด้านหน้าเพื่อใส่ตัวลิ้นชัก ๖. ตู้ฐานสิงห์ ทำฐานตู้เป็นรูปฐานสิงห์ จำหลักลายและประดับตกแต่งด้วยลวดลายที่งดงาม ๗. ตู้เท้าคู้ ขาของตู้ตอนบนส่วนที่ต่อจากขอบล่างของตู้จะทำเป็นรูปสี่เหลี่ยม และลบเหลี่ยมนอกตรง มุมตู้ โดยบากขาตู้ตอนล่างโค้งคู้เข้าหาพื้นตู้ ขาตู้ประเภทนี้นิยมทำในสมัยรัตนโกสินทร์ตัวอย่างตู้พระธรรมเท้าสิงห์ สมัยรัตนโกสินทร์ การกำหนดอายุสมัยของตู้ไทยโบราณ นักปราชญ์ราชบัณฑิต ได้กำหนดอายุสมัยของตู้ไทยโบราณออกเป็น ๓ สมัย คือ ๑. สมัยอยุธยา ๒. สมัยธนบุรี ๓. สมัยรัตนโกสินทร์ สิ่งที่ใช้พิจารณาแบ่งสมัยของศิลปะลายไทยที่ใช้ตกแต่งตู้ก็คือความอ่อนช้อยของเส้นกนก สมัยอยุธยา ทำตัวกนกใหญ่และนิยมทำช่อโต แต่เส้นกนกมีความคม ดูอ่อนช้อยและเคลื่อนไหวมาก เถากนกจะเริ่มจากส่วนใดของตู้ก็ได้ ตัวกนกแตกเถาระยิบระยับและศิลปินมีอิสระในการออกแบบลาย ไม่มีกฎเกณฑ์บังคับการวางลาย การเขียนลายจึงเป็นไปตามจินตนาการของช่าง จังหวะกนกจึงไม่ซ้ำกัน แต่จะมีความละเอียดอ่อน ตู้พระธรรมสมัยอยุธยา สมัยธนบุรี เป็นระยะคาบเกี่ยวยังได้รับอิทธิพลจากช่างฝีมือสมัยอยุธยา สันนิษฐานว่าช่างฝีมือที่เขียนลายรดน้ำในสมัยธนบุรี อาจจะเป็นช่างฝีมือในสมัยอยุธยาที่มีอายุสืบมา เพราะฝีมือการเขียนลายไทยในสมัยกรุงธนบุรีละม้ายคล้ายคลึงกับสมัยอยุธยา เปลวกนกถึงแม้จะแตกเถาน้อยกว่าสมัยอยุธยา แต่มีความอ่อนไหวมากกว่าเปลวกนกในสมัยรัตนโกสินทร์ตู้พระธรรมสมัยธนบุรี พ.ศ. ๒๓๒๐ สมัยรัตนโกสินทร์ นิยมทำเถาของกนกยาวจากขอบล่างของตู้พุ่งเถากนกขึ้นไปจรดหรือเกือบจรดขอบบนของตู้ ตัวกนกอ้วนสั้นหรือป้อม มีความอ่อนไหวน้อยลง ช่องว่างระหว่างตัวกนกมีความถี่มาก ทำให้ดูราวกับว่าเส้นกนกอยู่ในกรอบหรือเป็นแผงกนก ซึ่งถูกบังคับให้อยู่ในกรอบ จึงทำให้ดูค่อนข้างจะขึงขังและกระด้าง แต่ก็เป็นความงามที่เป็นลักษณะเฉพาะของลายกนกในสมัยรัตนโกสินทร์ตู้พระธรรมสมัยรัตนโกสินทร์ ลักษณะการตกแต่งตู้ไทยโบราณ มีวิธีการตกแต่งตู้ไทยโบราณหลายรูปแบบ ทำให้เกิดการเรียกประเภทของตู้ตามลักษณะการตกแต่ง ดังนี้ ๑. ตู้ลายรดน้ำ เกิดจากการเขียนน้ำยาและปิดทองรดน้ำ ลวดลายหรือรูปภาพที่ได้จะมีเพียงสีทอง ซึ่งดูเหลืองอร่ามบนพื้นรักสีดำทึบ เรียกกรรมวิธีการตกแต่งนี้ว่า เขียนน้ำยาปิดทองรดน้ำ เรียกสั้นๆว่าตู้ลายรดน้ำ และเนื่องจากคนไทยโบราณนิยมใช้ตู้ลายรดน้ำเป็นที่เก็บคัมภีร์พระไตรปิฎก จึงนิยมเรียกชื่อตู้อีกอย่างหนึ่งว่า ตู้พระธรรมลายรดน้ำ หรือตู้พระธรรม ลวดลายที่นิยมตกแต่งตู้ได้แก่ ลายกนกต่างๆ ลายพันธ์พฤกษา ลายดอกพุดตานเถา ลายดอกเบญจมาศ หรือเป็นภาพเล่าเรื่อง เช่น ภาพพุทธประวัติ ภาพชาดก หรือภาพที่เกี่ยวกับพุทธศาสนา เป็นต้น ๒. ตู้ไม้จำหลัก จำหลักไม้เป็นลายต่างๆ เช่นลายพุ่มข้าวบิณฑ์ ลายดอกพุดตาน ลายประแจจีน เป็นต้น มีการประดับกระจกสี ตกแต่งลายที่ลงทองทึบ กระจกสีที่ใช้มีหลายสี เช่น ขาว แดง น้ำเงิน เขียว เหลือง การประดับกระจกสีนั้น ช่างจะจำหลักให้เป็นรอยลึกลงไปในเนื้อไม้ เพื่อฝังกระจกลงไป สีของทองคำเปลวและสีของกระจกที่ประดับทำให้ดูระยิบระยับงดงาม ๓. ตู้ลายกำมะลอ ตู้ที่ตกแต่งด้วยภาพเขียนลายกำมะลอ คือ ภาพที่ระบายด้วยสีหม่นๆ เพียงไม่กี่สี เช่น สีแดง สีเทา สีขาว สีเทา สีเหลือง สีเขียว ซึ่งพื้นหลังลงรักดำทึบเป็นส่วนใหญ่ สีของภาพเขียนลายกำมะลอดูหม่นกลมกลืนกัน และนิยมปิดทองบนลายกำมะลอ ทำให้สีทองขับพื้นดำดูลออตายิ่งขึ้น ตู้ลายกำมะลอเหล่านี้ ช่างนิยมเขียนเป็นภาพทิวทัศน์ ภาพที่เกี่ยวเนื่องกับพุทธศาสนา ๔. ตู้ทองทึบ คือ ตู้ที่ตกแต่งด้วยการลงรักปิดทองทึบ ให้ดูเหลืองอร่ามหมดทั้งตู้ โดยไม่ได้เขียนลวดลายตกแต่งใดๆ ทั้งสิ้น ๕. ตู้กระแหนะรักสมุก คือ ตู้ที่ตกแต่งด้วยลวดลายที่เกิดจากการใช้แบบพิมพ์ ตีลายด้วยรักสมุก แล้วจึงนำแผ่นลายนั้นๆ ไปประดับตกแต่งตู้ ๖. ตู้ประดับมุก เป็นเทคนิคอีกแบบคือ การประดับมุก ซึ่งมีทั้งการตกแต่งด้วยมุกล้วนๆ เป็นภาพศิลปะลายไทยและภาพเล่าเรื่อง และการประดับลายด้วยมุกแกมกระจก หรือที่เรียกว่ามุกแกมเบื้อ อีกด้วย งานศิลปกรรมประดับมุกนี้เป็นงานที่ช่างต้องมีความชำนาญ มีฝีมือประณีตละเมียดละไม ๗. ตู้ภาพเขียนสี เขียนภาพสีตกแต่งตู้ด้วยภาพแบบไทยและแบบจีน เช่นภาพทวารบาล ภาพนักรบจีน ภาพสัญลักษณ์ ฮก ลก ซิ่ว และลายเมฆ เป็นต้น ตัวอย่างตู้พระธรรมภาพเขียนสี สมัยรัตนโกสินทร์ ข้อมูลนี้เป็นองค์ความรู้เบื้องต้นของตู้ไทยโบราณที่เก็บรักษาอยู่ในสำนักหอสมุดแห่งชาติ ผู้ที่สนใจศึกษาค้นคว้าอย่างละเอียดสามารถศึกษาได้จากหนังสือตู้ลายทอง ที่จัดพิมพ์โดยสำนักหอสมุดแห่งชาติกรมศิลปากร และที่ฐานข้อมูล http://manuscript.nlt.go.th ------------------------------------------------------------------เรียบเรียงโดย นางศิวพร เฉลิมศรี นักภาษาโบราณชำนาญการพิเศษ ภาพประกอบโดย นายสันติ วงศ์จรูญลักษณ์ นักภาษาโบราณชำนาญการ------------------------------------------------------------------บรรณานุกรมนิยะดา ทาสุคนธ์. ตู้ไทยโบราณ. พิมพ์ครั้งที่ ๒. กรุงเทพฯ: หอสมุดแห่งชาติ กรมศิลปากร, ๒๕๓๙. (ฉบับอัดสำเนา).
วัดจำปาตั้งอยู่ที่ตำบลทุ่ง อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี บนพื้นที่สันทรายทางทิศเหนือของเมืองไชยา วัดจำปาไม่ปรากฏหลักฐานถึงผู้สร้างและปีที่สร้างอย่างชัดเจน แต่พบหลักฐานทางโบราณคดีที่กำหนดอายุได้ตั้งแต่สมัยอยุธยาตอนปลาย กล่าวคือ
ประการแรก จารึกวัดจำปา (สฎ.๑) ลักษณะเป็นแท่งศิลารูปทรงใบเสมาหินทรายสีเทา อักษรขอมอยุธยา ภาษาไทย ปรากฏศักราช พ.ศ. ๒๓๐๙ มีใจความกล่าวถึงการอุทิศทำบุญ
ประการที่สอง วิหาร มีลักษณะเป็นอาคารทรงโรง ภายในอาคารมีเสาร่วมใน ผนังอาคารเป็นผนังไม้ฝาปะกน (ซึ่งเป็นงานบูรณะในสมัยหลัง) พนักช่องหน้าต่างจำหลักลายลูกกรง หลังคาทรงจั่วซ้อนกันสองชั้นมุงด้วยกระเบื้องกาบกล้วย หน้าบันชั้นลดยื่นออกมาในลักษณะของมุขประเจิด รองรับด้วยหลังคาปีกนกซ้อนกันสามชั้นคลุมรอบอาคาร หน้าบันไม้กึ่งกลางจำหลักลายช่อหางโตเรียงต่อกัน ด้านข้างจำหลักลายก้านขด รูปแบบชั้นหลังคาดังกล่าว เทียบได้กับอาคารที่มีประวัติว่าสร้างขึ้นในสมัยอยุธยาตอนปลาย เช่น ศาลาการเปรียญ วัดใหญ่สุวรรณาราม จังหวัดเพชรบุรี เป็นต้น
ประการที่สาม พระประธานในวิหาร เป็นพระพุทธรูปหินทรายประทับขัดสมาธิราบ แสดงปางมารวิชัย ขนาดใหญ่ ศิลปะอยุธยามีพุทธลักษณะสำคัญ คือ พระรัศมีเป็นเปลว เม็ดพระศกเล็ก พระพักตร์สี่เหลี่ยมมีเส้นไรพระศก พระขนงโก่ง ระหว่างเปลือกพระเนตรกับพระขนงป้ายเป็นแผ่น พระเนตรเหลือบต่ำ พระนาสิกโด่ง แย้มพระโอษฐ์เล็กน้อย ครองจีวรห่มเฉียง ชายสังฆาฏิเป็นแผ่นใหญ่ยาวจรดพระนาภี ส่วนปลายแยกจากกันคล้ายเขี้ยวตะขาบ ประทับขัดสมาธิราบ
ประการที่สี่ ใบเสมาวัดจำปา ปักใบเสมาคู่ ลักษณะแผ่นหินทรายแดงรูปทรงคล้ายกลีบบัว ส่วนยอดของใบเสมาสลักลายดอกไม้ในกรอบสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน เอวใบเสมาคอด ส่วนล่างของใบเสมากึ่งกลางสลักลายจอมแห ฐานรองรับใบเสมาประกอบด้วยฐานสิงห์และฐานบัวหงายในผังเพิ่มมุมไม้สิบสอง
สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ เมื่อครั้งเสด็จตรวจราชการแหลมมลายู ร.ศ. ๑๒๑ (พ.ศ. ๒๔๔๕) ได้เสด็จผ่านวัดจำปาเมื่อวันที่ ๑๓ กรกฎาคม ร.ศ. ๑๒๑ และทรงบันทึกถึงบานประตูวิหารวัดจำปาไว้ว่า “...บานประตูหน้าวิหารนั้นแปลก บานขวาเปนยักษยืนแท่นถือกระบอง มีนาค ๗ เศียร ปกหัวงูอยู่ใต้ขา บานซ้ายเป็นพระอินทร์ทรงช้างเอราวัณถือพระขรรค์สองมือ ชายผ้ามันแปลก ได้เขียนเอามาด้วย สงไสยว่าผิดคู่กัน...” ทั้งนี้ในภาพถ่ายของ KARPELÈS Suzanne เดือนกรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๖๗ ได้ปรากฏว่า บานประตูไม้จำหลักรูปทวารบาล แผ่นไม้จำหลักรูปพระราหู และประติมากรรมไม้จำหลักรูปยักษ์ทวารบาลนั้นได้ถูกถอดออกมาวางเรียงกันไว้
ต่อมาในเดือนตุลาคม พ.ศ. ๒๔๗๓ มีการนำงานไม้จำหลักทั้งสามชิ้น ได้แก่ บานประตู แผ่นไม้จำหลักรูปพระราหู และ แผ่นไม้จำหลักรูปยักษ์ทวารบาล มาเก็บรักษาไว้ ณ พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ พระนคร กรุงเทพฯ และลงประกาศไว้ในราชกิจจานุเบกษา วันที่ ๒๓ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๗๓
ในปี พ.ศ. ๒๕๐๐ ภาพถ่ายของ Bernard Philippe Groslier ปรากฏบานประตูไม้วัดจำปาจัดแสดงในห้องมุขเด็จ ด้านทิศตะวันตก ในอาคารหมู่พระวิมานพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร
บานประตูไม้จำหลักรูปทวารบาล ขนาดกว้างรวม ๑๑๐ เซนติเมตร สูง ๑๙๕ เซนติเมตร ประกอบด้วยแผ่นไม้สองบาน บานหนึ่งจำหลักรูปเทวดาทรงเครื่อง ส่วนพระเศียรทรงมงกุฎยอดแหลม พระกรรณทรงกุณฑล พระวรกายทรงเครื่องประดับ ได้แก่ ทับทรวงและสายสังวาล, พาหุรัด ทองพระกร พระหัตถ์ทั้งสองข้างถือพระขรรค์ รัดองค์มีปั้นเหน่งประดับ นุ่งโจงทับสนับเพลา มีชายผ้าเกี้ยวยาวออกมาสองข้าง ทรงทองพระบาท และทรงยืนอยู่บนช้างสามเศียร เหนือรูปเทวดาจำหลักลายก้านขดออกเป็นช่อหางโตและนาค สันนิษฐานว่ารูปเทวดาดังกล่าวคือ พระอินทร์ บานประตูอีกบานเป็นรูปยักษ์ทรงเครื่อง ลักษณะทรงเครื่องประดับคล้ายกับเทวดา ได้แก่ มงกุฎยอดแหลม กรองศอ พาหุรัด ข้อมือสวมกำไล สองมือกุมกระบองยาว นุ่งผ้าสั้น ชายผ้าหน้านางสั้น ข้อเท้าสวมกำไลเท้า มีงูบริวารอยู่รอบขา และยืนเหนือยักษ์บริวาร เหนือรูปยักษ์จำหลักพังพานนาค ๗ เศียร สันนิษฐานว่าอาจหมายถึงท้าววิรูปักษ์ หนึ่งในจตุโลกบาลประจำทิศตะวันตกและมีนาคเป็นบริวาร อกเลาประตูจำหลักลายรักร้อย กลางอกเลาจำหลักลายดอกไม้รูปสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน
การกำหนดอายุของบานประตูนั้นพิจารณาได้จากลายช่อหางโต และโครงลายก้านขดที่ม้วนออกลายเป็นสัตว์และช่อหางโต ซึ่งเป็นรูปแบบที่นิยมในศิลปะอยุธยาตอนปลาย ช่วงพุทธศตวรรษที่ ๒๓ (ประมาณ ๓๐๐ ปีมาแล้ว)
ปัจจุบันบานประตูไม้จำหลักรูปทวารบาล จัดแสดงอยู่ในห้องมุขเด็จ ในหมู่พระวิมาน พระราชวังบวรสถานมงคล พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร
แผ่นไม้จำหลักรูปยักษ์ทวารบาล ลักษณะเป็นรูปยักษ์ทรงเครื่อง สวมมงกุฎยอดยอดน้ำเต้า กึ่งกลางกระบังหน้าจำหลักลายดอกไม้สี่เหลี่ยมขนมเปียกปูนขนาบด้วยลายวงรี และด้านข้างมงกุฎทั้งสองข้างจำหลักลายดอกไม้สี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน ใบหน้าค่อนข้างกลม ตาเบิกโพลง ลำตัวคาดด้วยสังวาลประดับทับทรวง ต้นแขนสวมพาหุรัด ข้อมือสวมกำไล สองมือกุมกระบองยาว นุ่งโจงทับสนับเพลามีลายเหรา ชายผ้าเกี้ยวยาวออกมาสองข้าง ที่ด้านข้างมีเสือเป็นสัตว์บริวาร ส่วนฐานชำรุดหักหายไป สันนิษฐานว่าแผ่นไม้ชิ้นนี้น่าจะเป็นบานประตูอีกชิ้นหนึ่งที่ถูกถอดเก็บออกมาไว้ต่างหาก ดังที่สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ทรงบันทึกไว้ความตอนหนึ่งว่า “...บานประตูหน้าโบสถ์ยังมีซีกหนึ่ง พระครูเก็บเอาตั้งไว้ให้ดูในวิหารเปนรูปยักษยืนแท่นถือกระบอง...”
การกำหนดอายุพิจารณาได้จากเครื่องทรงยักษ์ มีรูปแบบเช่นเดียวกับเครื่องทรงของรูปทวารบาลบานประตูไม้วัดจำปา จัดเป็นงานศิลปะอยุธยาตอนปลาย กำหนดอายุได้ ช่วงพุทธศตวรรษที่ ๒๓ (ประมาณ ๓๐๐ ปีมาแล้ว)
โบราณวัตถุชิ้นนี้เก็บรักษาอยู่ที่คลังกลางพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กรมศิลปากร ปัจจุบันนำมาจัดแสดงนิทรรศการ “อารยธรรมวิวัฒน์ ลพบุรี – ศรีรามเทพนคร” ณ พระที่นั่งศิวโมกขพิมาน พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร จนถึงวันที่ ๓๐ กันยายน พ.ศ. ๒๕๖๔
แผ่นไม้จำหลักรูปพระราหู ลักษณะเป็นแผ่นไม้สี่เหลี่ยมผืนผ้า กึ่งกลางจำหลักภาพพระราหูปรากฏเพียงส่วนศีรษะและแขนทั้งสองข้าง มีลักษณะสำคัญคือ ศีรษะสวมมงกุฎประดับตาบสามเหลี่ยม กึ่งกลางกระบังหน้าเป็นลายดอกไม้สี่เหลี่ยมขนมเปียกปูนขนาบด้วยลายวงรี และด้านข้างมงกุฎทั้งสองข้างจำหลักลายดอกไม้สี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน คิ้วขมวดเข้าหากัน นัยน์ตาหรี่คล้ายดวงตาจระเข้ ปากแสยะ เขี้ยวที่มุมปากทั้งสองข้างยาว ต้นแขนสวมพาหุรัด ข้อมือสวมกำไล สองมือของพระราหูกำลังจับนาคที่คาบลายก้านขดส่วนปลายเป็นลายช่อหางโต
ตามภาพลายเส้นฝีพระหัตถ์สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ แผ่นไม้ชิ้นนี้แต่เดิมเป็นแผ่นทับหลังประตูทางเข้าวัดจำปา ส่วนประตูเดิมนั้นปัจจุบันไม่หลงเหลืออยู่แล้ว แต่ยังพบการทำประตูวัดรูปแบบดังกล่าวนี้อยู่บ้าง เช่น ที่วัดพระประสพ ตำบลทุ่ง อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี
การกำหนดอายุของบานประตูนั้นพิจารณาได้จากลายช่อหางโตและโครงลายก้านขดที่ม้วนออกลายเป็นช่อหางโต ซึ่งเป็นรูปแบบที่นิยมในศิลปะอยุธยาตอนปลาย ช่วงพุทธศตวรรษที่ ๒๓ (ประมาณ ๓๐๐ ปีมาแล้ว)
ส่วนรูปของพระราหูที่จับนาคทั้งสองมือนั้นพบว่าปรากฏในจิตรกรรมสมัยอยุธยากลางถึงช่วงต้นกรุงรัตนโกสินทร์หลายแห่ง เช่น จิตรกรรมวัดช่องนนทรี กรุงเทพฯ จิตรกรรมวัดเกาะ จังหวัดเพชรบุรี จิตรกรรมวัดดุสิดารามวรวิหาร และ จิตรกรรมวัดสุวรรณารามราชวรวิหาร กรุงเทพฯ เป็นต้น
โบราณวัตถุชิ้นนี้เก็บรักษาอยู่ที่คลังกลางพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กรมศิลปากร ปัจจุบันนำมาจัดแสดงนิทรรศการ “อารยธรรมวิวัฒน์ ลพบุรี – ศรีรามเทพนคร” ณ พระที่นั่งศิวโมกขพิมาน พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร จนถึงวันที่ ๓๐ กันยายน พ.ศ. ๒๕๖๔
ค้นคว้าและเรียบเรียง : นายพนมกร นวเสลา
บรรณานุกรม
กรมศิลปากร. เครื่องไม้จำหลักในคลังพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ. กรุงเทพฯ: กรีนลิบบรา จำกัด, ๒๕๕๒.
นริศรานุวัดติวงศ์, สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยา. จดหมายระยะทางไปตรวจราชการแหลมมลายู ร.ศ. ๑๒๑. พิมพ์ครั้งที่ ๓. กรุงเทพฯ: กรมศิลปากร, ๒๕๔๐.
วรลักษณ์ ผ่องสุขสวัสดิ์. พระราหู. กรุงเทพฯ: อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง, 2557.
สันติ เล็กสุขุม. กระหนกในดินแดนไทย. พิมพ์ครั้งที่ ๓. กรุงเทพฯ: เมืองโบราณ, ๒๕๔๕.
ราชกิจจานุเบกษา
แจ้งความราชบัณฑิตยสภา เรื่อง มีผู้ให้ของแก่พิพิธภัณฑ์สถานสำหรับพระนคร (๒๔๗๓, ๒๓ พฤศจิกายน) เล่มที่ ๔๗ ตอนที่ ๐ง.
ชื่อเรื่อง อสีติมหาสาวกนิพฺพาน (พระอสีติมหาสาวกนิพพาน)
สพ.บ. 265/6ประเภทวัสดุมีเดีย คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่ พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ 64 หน้า กว้าง 4.5 ซม. ยาว 58 ซม.หัวเรื่อง พุทธสาวก--ชีวประวัติ สงฆ์--ชีวประวัติ
บทคัดย่อ/บันทึก เป็นคัมภีร์ใบลาน อักษรธรรมอีสาน ภาษาบาลี-ไทยอีสาน เส้นจาร ฉบับทองทึบ ได้รับบริจาคมาจากวัดทุ่งอุทุมพร ต.บางปลาม้า อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี
หอสมุดแห่งชาติขอนำเสนอรายการ “หนังสือเก่าเล่าเรื่อง” ซึ่งเป็นการนำหนังสือหายากของหอสมุดแห่งชาติมาสรุปเนื้อหาให้ทุกท่านได้อ่านกันเป็นประจำทุกวันพฤหัสบดี
วันนี้ขอนำเสนอหนังสือเรื่อง “ตำนานเรื่องวัตถุสถานต่าง ๆ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสถาปนา” จัดพิมพ์ในงานพระศพ พระวิมาดาเธอ กรมพระสุทธาสินีนาฎ ปิยมหาราชปดิวรัดา ครบศตมาห ณ วันที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2472 โดย นางสาวอุดมพร เข็มเฉลิม บรรณารักษ์ชำนาญการ สำนักหอสมุดแห่งชาติ
วัตถุสถานซึ่งรัชกาลที่ 3 ทรงสถาปนาทั้งที่ทรงสร้างใหม่ และที่ทรงปฏิสังขรณ์นั้นมี 4 ประเภท คือ สำหรับบำรุงพระพุทธศาสนา สำหรับพระราชอิสสริยยศ สำหรับรักษาพระราชอาณาเขตต์ และสำหรับบำรุงบ้านเมือง
วัตถุสถานสำหรับบำรุงพระศาสนาพระอารามที่ทรงสร้างขึ้นใหม่ ได้แก่ วัดเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดนนทบุรี ทรงอุทิศถวายพระบรมราชชนกและพระบรมราชชนนี วัดเทพธิดาราม สร้างพระราชทานพระเกียรติยศพระเจ้าลูกเธอ กรมหมื่นอับสรสุดาเทพ และวัดราชนัดดาราม สร้างพระราชทานพระเกียรติยศพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าหญิงโสมนัสวัฒนาวดีพระอารามที่ทรงบูรณะทั้งสิ้น 17 แห่งได้แก่ (1) วัดราชโอรส เดิมชื่อวัดจอมทอง อยู่ริมคลองด่านใกล้บางขุนเทียน ทรงสร้างถวายรัชกาลที่ 2 ในครั้งเสด็จไปขัตตาทัพพะม่าที่กาญจนบุรี (2) วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ทรงบูรณะทั่วทั้งพระอาราม ที่สำคัญคือ พระอุโบสถ ผนังด้านนอกเดิมเป็นลายรดน้ำพื้นสีแดง แกเป็นลายปั้นปิดทอง พื้นประดับกระจก ที่ประดิษฐานพระแก้วมรกต โปรดให้สร้างชั้นเบญจาหนุนบุษบกให้สูง (3) วัดพระเชตุพน ขยายเขตพระอาราม สร้างวิหารพระนอนเดิมเป็นที่วังกรมหลวงนรินทรเทวี รื้อกุฎีสงฆ์ซึ่งเดิมเป็นเครื่องไม้แล้วก่อเป็นตึก สร้างพระมหาเจดีย์นามว่า พระมหาเจดีย์ดิลกธรรมนิทาน และพระมหาเจดีย์มุนีปัตตบริขาร (4) วัดอรุณ ทรงสร้างพระปรางค์เป็นที่ปรากฎมาถึงทุกวันนี้ (5) วัดกลางเมืองสมุทรปราการ (6) วัดนางนอง (7) วัดพระพุทธบาท เกิดไฟไหม้พระมณฑปน้อยในสมัยรัชกาลที่ 2 ถึง ร.3 ได้ทรงสร้างพระมณฑปน้อยขึ้นแทน (วัดมหาธาตุ เดิมชื่อวัดสลัก ทรงสร้างศาลารายรอบระเบียงด้านละ 4 หลัง สร้างศาลาเรียนหนังสือด้านตะวันออก (9) วัดโมลีโลก เดิมชื่อวัดท้ายตลาด ทรงโปรดให้หล่อรูปสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ขุน) กับสมเด็จพระสังฆราช (สุก) ไว้สักการะหน้าหอพระเจ้าในพระบรมมหาราชวังส่วนรูปสมเด็จพระสังฆราช (สุก) ไว้ที่วัดแห่งนี้ (10) วัดยานนาวา เดิมชื่อวัดคอกควาย ทรงสร้างสำเภาที่หลังพระอุโบสถ (11) วัดระฆังโฆสิตาราม เดิมชื่อวัดบางว้าใหญ่ ถึง ร.3 เกิดไฟไหม้ โปรดให้สร้างพระอุโบสถขึ้นใหม่ (12) วัดราชสิทธิ์ เดิมชื่อวัดพลับ (13) วัดศาลาปูน อยู่ที่พระนครศรีอยุธยา ทรงสร้างกุฎีตึกพระราชทานพระธรรมราชานุวัต (คุ้ม) (14) วัดสระเกศ เดิมชื่อวัดสระแก อยู่ปากคลองมหานาค โปรดให้สร้างพระวิหารประดิษฐานพระอัฏฐารสอัญเชิญมาจากวัดวิหารทอง เมืองพิษณุโลก ทรงสร้างเจดีย์ภูเขาทองแต่ไม่สำเร็จ เพราะดินทรุด (15) วัดสุทัศน์เทพวราราม อยู่ถนนบำรุงเมือง ทรงสร้างพระวิหารหลวง ทรงหล่อพระพุทธรูปพระประธานด้วยกลักฝิ่น สร้างสัตตมหาสถาน และได้มีการนิมนต์พระไปอยู่ประจำต่อมา (16) วัดสุวรรณดาราราม อยู่ริมป้อมเพ็ชร พระนครศรีอยุธยา (17) วัดสังกระจายอยู่คลองบางวัวทองหรือคลองลำเจียกน้อย เมื่อครั้งสร้างพระอุโบสถใน ร.1 พบพระกัจจายกับสังข์ตัวหนึ่ง จึงพระราชทานนามว่า วัดสังข์กัจจาย ต่อมาคนเรียกชื่อเป็น วัดสังกระจาย
วัดที่ทรงอุปการะและปฏิสังขรณ์ มีทั้งสิ้น 33 แห่ง ได้แก่ (1) วัดกัลยาณมิตร เจ้าพระยานิกรบดินทร์ (โต กัลยาณมิตร) สร้างขึ้นถวายเป็นพระอาราม ร.3 ทรงสร้างพระพุทธรูปใหญ่ ถวายพระนามว่า พระพุทธไตรรัตนนายก (2) วัดกาญจนสิงหาศน์ คลองบางพรหม เดิมชื่อวัดทอง สมเด็จพระรูปสิริโสภาคย์มหานาคนารีทรงสถาปนา (3) วัดคฤหบดี ริมแม่น้ำฝั่งตะวันตกใต้บ้านปูน พระยาราชมนตรี (ภู่) สร้างขึ้น ร.3 พระราชทานพระพุทธแทรกคำซึ่งอัญเชิญมาจากเวียงจันท์เป็นพระประธาน (4) วัดคูหาสวรรค์ คลองบางจาก เดิมชื่อวัดศาลาสี่หน้า ร.1 เชิญพระประธานวัดนี้มาเป็นพระประธานในพระอุโบสถ วัดพระเชตุพน นามว่า พระพุทธเทวปฏิมากร (5) วัดคงคาราม เมืองเพชรบุรี (6) วัดเครือวัลย์วรวิหาร คลองมอญฝั่งใต้ เจ้าพระยาอภัยภูธร (น้อย บุณยรัตพันธ์) กับเจ้าจอมเครือวัลิ เป็นผู้สร้าง (7) วัดจักรวรรดิราชาวาส เดิมชื่อวัดสามปลื้ม เจ้าพระยาบดินทร์เดชา (สิง สิงหเสนี) สถาปนาขึ้น ร.3 ทรงอัญเชิญพระบางจากเวียงจันท์มาประดิษฐาน ถึง ร.4 คืนพระบางไปไว้ที่เมืองหลวงพระบาง ให้มีพระวิหารและรูปจำลองพระบางจนถึงทุกวันนี้ (วัดจันทาราม ปากคลองบางยี่เรือ เดิมชื่อวัดบางยี่เรือกลาง พระยาสุรเสนาสร้าง (9) วัดชนะสงคราม ถนนจักรพงศ์ เดิมชื่อวัดตองปุ สมเด็จฯ กรมพระราชวังมหาสุรสิงหนาท ทรงสร้างขึ้น (10) วัดดุสิดารามอยู่ลำแม่น้ำเจ้าพระยาฝั่งตะวันตก เหนือปากคลองบางกอกน้อย เดิมชื่อวัดเสาประโคน กรมหลวงศรีสุนทรเทพ ทรงสถาปนา (11) วัดทองธรรมชาติ (12) วัดหนัง (13) วัดนาคกลาง เดิมชื่อวัดกลาง ภายหลังได้รวมเข้ากับวัดนาค จึงเรียกว่าวัดนาคกลาง (14) วัดบพิตรพิมุข เดิมชื่อวัดตีนเลน หรือวัดเชิงเลน (15) วัดบวรนิเวศวิหาร ทรงเชิญพระพุทธชินสีห์จากเมืองพิษณุโลกมาประดิษฐาน และทรงสร้างตำหนักพระปั้นหยาพระราชทานแก่เจ้าฟ้ามงกุฎในครั้งผนวช (16) วัดบวรมงคล เดิมชื่อวัดลิงขบ (17) วัดปรินายก ริมถนนราชดำเนินนอก เดิมชื่อวัดพรหมสุรินทร์ ร.3 ทรงหล่อพระประธาน (18) วัดปากน้ำ ริมคลองด่าน (19) วัดประทุมคงคา ถนนสำเพ็ง เดิมชื่อวัดสำเพ็ง (20) วัดพระยาทำ (21) วัดภคินีนาถ เดิมชื่อวัดบางจาก (22) วัดมหรรณพาราม ถนนบ้านตะนาว (23) วัดรังษีสุธาวาส (24) วัดราชบุรณะ ถนนพาหุรัด เดิมชื่อวัดเลียบ (25) วัดรัชฎาธิฐาน คลองบางพรหม เดิมชื่อวัดเงิน (26) วัดสมอราย เจ้าฟ้ามงกุฎผนวชและประทับที่วัดแห่งนี้ (27) วัดสังเวชวิษยาราม เดิมชื่อวัดบางลำภู (28) วัดสัมพันธวงศาราม ถนนสำเพ็ง เดิมชื่อวัดเกาะแก้วลังการาม (29) วัดสุวรรณาราม คลองบางกอกน้อย เดิมชื่อวัดทอง (30) วัดเศวตฉัตร บางลำภู (31) วัดอมรินทราราม ริมคลองบางกอกน้อย เดิมชื่อวัดบางว้าน้อย (32) วัดอับสรสวรรค์ คลองด่าน เดิมชื่อวัดหมู ร.3 พระราชทานฉันสมอไปประดิษฐาน (33) วัดอัมพวันเจติยาราม เหนือปากคลองอัมพวา เมืองสมุทรสงคราม
ทรงสร้างพุทธเจดีย์ดังต่อไปนี้
ทรงสร้างพระพุทธรูปยืน ถวายพระนามว่า พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก และพระพุทธเลิศหล้านภาลัย สูง 6 ศอก หล่อด้วยทองสัมฤทธิ์แล้วหุ้มทองคำ ทรงเครื่องต้นอย่างพระเจ้าจักรพรรดิ ประดิษฐานในพระอุโบสถ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม และเลือกพระบรมสารีริกธาตุบรรจุไว้ในพระพุทธรูปทั้ง 2 องค์ พระพุทธเจษฎา พระพุทธราชาภิเษก พระพุทธชินสีห์ตรีโลกนาถ พระพุทธชินราชรังสรรค์ ทั้ง 4 องค์เป็นพระทรงเครื่องลงยาราชาวดีปางห้ามสมุท ประดิษฐานในหอพระน้อยหน้าหอพระสุราลัยพิมาน นอกจากนี้ยังทรงสร้างพระพุทธรูปชัยวัฒนะ เป็นพระพุทธรูปเท่าจำนวนพระชันษา พระพุทธนิมิต พระพุทธรังสรรค์ เครื่องทรงพระแก้วมรกต ทรงพระราชดำริสร้างเครื่องทรงถวายสำหรับระดูร้อน ระดูฝน และระดูหนาว พระประธานทรงโปรดให้หล่อขึ้น 3 องค์ คือ พระประธานในพระอุโบสถ วัดราชโอรส ร.4 ถวายพระนามว่า พระพุทธอนันตคุณ พระประธานในพระอุโบสถวัดสุทัศเทพวราราม ร.4 ถวายพระนามว่า พระพุทธตรีโลกเชษฐ และพระประธานในพระอุโบสถวัดราชนัดดา หล่อด้วยทองแดงได้มาจากเมืองจันทึก นครราชสีมา ร.4 ถวายพระนามว่า พระพุทธมหาโลกาภินันท์สร้างพระพุทธรูปต่าง ๆ ตามเรื่องพุทธประวัติด้วยทองแดงซึ่งได้มาจากเมืองจันทึก พระโตในพระวิหารวัดกัลยาณมิตร สร้างตามแบบอย่างวัดพระเจ้าพนัญเชิง ร.4 ทรงถวายพระนามว่า พระพุทธไตรรัตนนายก ทรงสร้างพระนอน 2 องค์ คือ พระนอนในพระวิหารวัดพระเชตุพน เป็นพระใหญ่ที่สุดในกรุงรัตนโกสินทร์ กับพระนอนในวิหารวัดราชโอรส พระสมุทรเจดีย์ เป็นพระเจดีย์ไม้สิบสอง อยู่กลางเกาะ ร.3 โปรดให้เจ้าพระยาพระคลัง (ดิศ บุนนาค) เป็นแม่กองสร้างตามพระราชดำริของ ร.2 ทรงสร้างบรมบรรพตในคราวปฏิสังขรณ์วัดสระเกศ เป็นเจดีย์ใหญ่อย่างภูเขาทองที่พระนครศรีอยุธยา แต่สร้างไม่แล้วเสร็จ ถึง ร.4 โปรดฯ ให้ทำการที่ค้างอยู่ พระราชทานนามว่า บรมบรรพต สำเภาวัดยานนาวา สร้างขึ้นในคราวปฏิสังขรณ์วัดคอกกระบือ เป็นพระเจดีย์มีฐานเป็นสำเภาเท่าขนาดเรือจริง ในสำเภานี้มีรูปหล่อพระเวสสันดรโพธิสัตว์กับรูปชาลีกัณหาอยู่ที่ห้องท้ายบาหลี พร้อมกับให้ขนานนามวัดใหม่ว่า วัดยานนาวา โลหปราสาท เป็นเจดีย์ตามแบบลังกา พระราชทานพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าโสมนัสวัฒนาวดี พระปรางค์วัดอรุณ โปรดให้ก่อเสริมพระปรางค์ให้ใหญ่ขึ้นกว่าเดิมเพื่อเป็นพระมหาธาตุสำหรับพระนคร สูง 33 วาเศษ ทรงสร้างพระมหาเจดีย์ 4 องค์ คือ พระเจดีย์ศรีสรรเพ็ชดาญาณ สร้างในสมัย ร.1 ถึง ร.3 ทรงสร้างพระเจดีย์เคียงข้างละองค์ นามว่า พระมหาเจดีย์ดิลกธรรมนิทาน และพระมหาเจดีย์มุนีปัตตบริขาร ถึง ร.4 ให้ถ่ายอย่างพระเจดีย์วัดสวนหลวงสบสวรรค์ที่พระนครศรีอยุธยามาสร้างขึ้นอีกองค์หนึ่ง
วัตถุสถานที่ทรงสร้างเฉลิมพระราชอิสสริยยศ ได้แก่ พระราชมนเทียรในหมู่พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท เดิมมุงกระเบื้องดีบุกเปลี่ยนเป็นมุงกระเบื้องเคลือบ พระมหามนเทียรหมู่พระที่นั่งจักพรรดิพิมานในพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัยเดิมเป็นเสาไม้ เปลี่ยนเป็นเสาใหญ่ก่ออิฐ ทำซุ้มแกลด้านนอก ผนังด้านในพระที่นั่งไพศาลทักษิณโปรดให้เขียนรูปต่าง ๆ ตำหนักข้างในพระบรมมหาราชวัง รื้อตำหนักทั้งปวงสร้างเป็นตึกทั้งหมด ย้ายตำหนักเขียวของกรมพระยาเทพสุดาวดีสร้างเป็นกุฎิสงฆ์ที่วัดอมรินทาราม และรื้อตำหนักแดงของกรมพระศรีสุดารักษ์ย้ายมาปลูกถวายสมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินีที่พระราชวังเดิม พระที่นั่งสุทไธสวรรย์ เดิมเป็นพลับพลาเครื่องไม้ เรียกว่า พลับพลาสูง โปรดให้รื้อสร้างเป็นปราสาทพระราชทานนามว่า พระที่นั่งสุทธาสวรรย์ และเปลี่ยนนามใหม่ว่า พระที่นั่งสุทไธสวรรย์ใน ร.4 ศาลาลูกขุน คลัง ห้องเครื่อง ทิมดาบ เหล่านี้เป็นเครื่องไม้ รื้อใหม่ทำเป็นตึก สร้างโรงปืนใหญ่ในพระราชวัง เป็นโรงก่ออิฐถือปูนฝาไม้ไว้ประตูวังประตูละคู่ เลือกปืนใหญ่ของงามตั้งประจำไว้โรงละกระบอก ประตูพระราชวัง เปลี่ยนรูปทรงเป็นซุ้มฝรั่งตามอย่างวังหลวงที่พระนครศรีอยุธยา
วัตถุสถานทรงสร้างสำหรับรักษาพระราชอาณาเขตต์สร้างป้อมรักษาแม่น้ำเจ้าพระยาในสมัย ร.2 โปรดฯ ให้กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์กับเจ้าพระยาพระคลัง (ดิศ บุนนาค) สร้างเมืองสมุทรปราการ ให้มีป้อมปราการอยู่ทางทิศตะวันออก 4 ป้อมคือ ป้อมประโคนชัย ป้อมนารายณ์ปราบศึก ป้อมปราการ ป้อมกายสิทธิ์ และสร้างบนเกาะกลางน้ำอีก 2 ป้อมคือ ป้อมผีเสื้อสมุทร กับป้อมนาคราช และให้ขุดคลองปากลัดจากเมืองนครเขื่อนขันธ์มายังกรุงเทพฯ ถึง ร.3 หลังจากทรงปราบกบฎเวียงจันท์แล้ว ได้เกิดสงครามกับญวน จึงโปรดให้สร้างป้อมเพิ่มที่สมุทรปราการชื่อ ป้อมปีกกา อยู่ต่อจากป้อมประโคนชัย กับป้อมตรีเพ็ชร สร้างที่บางจะเกรง และต่อมาได้สร้างป้อมคงกระพันที่บางปลากด ทางฝั่งตะวันตกเหนือเมืองสมุทรปราการ พ.ศ. 2388 โปรดให้กรมหลวงรักษ์รณเรศรเป็นแม่กองสร้างป้อมเพิ่มที่นครเขื่อนขันธ์คือ ป้อมมหาสังหารกับป้อมเพ็ชรหึง ได้มีการทำป้อมปีกกาต่อป้อมนาคราชลงไป เรียกว่า ปีกกาพับสมุทร ให้ถมศิลาปิดปากอ่าวที่แหลมฟ้าผ่าไว้เป็นทางเรือเดินเป็นช่วง ๆ เรียกว่า โขลนทวาร ถึง พ.ศ. 2391 โปรดให้จมื่นไวยวรนาถ (ช่วง บุนนาค) สร้างป้อมใหญ่ที่ตำบลมหาวงศชื่อ ป้อมเสือซ่อนเล็บ
ป้อมรักษาปากน้ำอื่น ๆ คือ ป้อมวิเชียรโชฎึก รักษาปากน้ำท่าจีนที่เมืองสมุทรสาคร ป้อมพิฆาฏข้าศึก รักษาปากน้ำเมืองสมุทรสงคราม และป้อมรักษาปากน้ำบางปะกง เมืองฉะเชิงเทรา แต่ไม่ปรากฎชื่อ
สร้างเมืองหน้าศึกมีป้อมปราการ 3 เมือง คือ ที่ตำบลปากแพรก เมืองกาญจนบุรี ที่ปากน้ำเมืองจันทบุรี มีป้อมชื่อ ป้อมไพรีพินาศกับป้อมพิฆาฏปัจจามิตร์ และที่ตำบลบ่อยาง เมืองสงขลา
สร้างเรือรบ ทรงสร้างเรือรบทั้งอย่างเก่าและอย่างใหม่ มี 3 ประเภทคือ (1) เรือสำหรับแม่น้ำ เป็นพวกเรือยาวมีเรือกิ่ง เรือเอกไชย เรือศรี เรือกราบ เป็นเรือสำหรับกระบวนเสด็จพยุหยาตรา เป็นยานพาหนะสำหรับยกกองทัพทางชลมารคแบบโบราณ มีทั้งสิ้น 24 ลำ (2) เรือรบสำหรับอ่าวทะเล เรียกว่า กำปั่นแปลง หัวเรือเป็นเรือปากปลา ท้ายเรือเป็นกำปั่น เจ้าพระยานคร (น้อย) เป็นผู้คิดแบบต่อขึ้น ร.3 พระราชทานนามลำแรกว่า เรือมหาพิไชยฤกษ์ และมีการต่อเรือขึ้นอีก 31 ลำ และได้ปลูกโรงรักษาเรือนี้ไว้ริมคลองบางกอกใหญ่ กับคลองมหานาค(3) เรือกำปั่นแล่นในทะเล มีทั้งสิ้น 12 ลำ
สร้างปืนใหญ่ โปรดให้หาช่างชำนาญการหล่อเหล็กเข้ามาจากเมืองจีนและหล่อขึ้น มี 2 แบบเรียกว่า ปืนรักษาศาสนา และปืนสัมมาทิษฐิเดิมได้ทำโรงหลังคาช่อฟ้าที่ลานข้างพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ตอนนี้อยู่สนามหน้ากระทรวงกลาโหม
วัตถุสถานทรงสร้างสำหรับบำรุงบ้านเมือง ทรงตั้งเมืองทั้งสิ้น 25 เมือง คือในท้องที่ฝ่ายตะวันออกเฉียงเหนือที่เป็นมณฑลนครราชสิมา และมณฑลอุดร 19 เมือง กับตั้งในท้องที่ฝ่ายตะวันออกเฉียงใต้ที่เป็นมณฑลปราจิณบุรี 6 เมือง ขุดคลอง ได้แก่ คลองสุนัขหอน จังหวีดสมุทรสาครและสมุทรสงคราม ตรงน้ำชนเข้าไปในทุ่งโพธิ์ คลองบางบอน จังหวัดธนบุรี ตั้งแต่วัดปากน้ำถึงบางขุนเทียน กับตั้งแต่บางขุนเทียนถึงวัดเลา และคลองบางขนาก ตั้งแต่หัวหมากไปถึงบางขนาก
ผู้สนใจสามารถอ่านหนังสือ "ตำนานเรื่องวัตถุสถานต่าง ๆ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสถาปนา" ได้ที่ห้องหนังสือหายาก ชั้น 3 อาคาร 2 สำนักหอสมุดแห่งชาติ
บรรณานุกรม
ราชบัณฑิตยสภา. ตำนานเรื่องวัตถุสถานต่าง ๆ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสถาปนา. พระนคร: โรงพิมพ์โสภณพิพรรฒธนากร, 2472. (พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้พิมพ์พระราชทานในงานพระศพ พระวิมาดาเธอ กรมพระสุทธาสินีนาฎ ปิยมหาราชปดิวรัดา ครบศตมาหณวันที่ 12 ตุลาคม พ.ศ.2472)
เสด็จพระราชดำเนินทรงงานในพื้นที่ภาคเหนือ : ตอนที่ ๑ เชียงใหม่ตลอดระยะเวลา ๗๐ ปี ที่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงครองสิริราชสมบัติ พระองค์เสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมราษฎรในพื้นที่ต่าง ๆ เพื่อรับทราบปัญหาและทรงหาแนวทางการแก้ไขปัญหาของประเทศชาติและประชาชน ทรงอุทิศพระวรกายบำเพ็ญพระราชกรณียกิจนานัปการในการพัฒนาประเทศเพื่อความผาสุก ความเจริญรุ่งเรือง และชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของพสกนิกรชาวไทย๑๓ ตุลาคม ๒๕๖๔ เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคตพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ในโอกาสนี้ ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตเชิญพระบรมฉายาลักษณ์พระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ที่เสด็จพระราชดำเนินทรงงานในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดไม่ได้ ภาพ : หอจดหมายเหตุแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เชียงใหม่
ระบบชลประทานและเหมืองฝายของชาวล้านนาภาคเหนือของประเทศไทยมีลักษณะภูมิประเทศเป็นพื้นที่ภูเขาสลับที่ราบมีแม่น้ำไหลผ่าน ผู้คนมักอาศัยบริเวณพื้นที่ราบสองริมฝั่งน้ำเพื่อทำการเกษตรและสร้างบ้านเมือง ในหน้าแล้ง น้ำในแม่น้ำจะลดระดับต่ำลง ทำให้เกิดการคิดค้นวิธีกักเก็บน้ำและแบ่งสรรปันน้ำโดยสร้างระบบชลประทานแบบภูมิปัญญาชาวบ้านขึ้น คือการสร้างฝายและต่อมาจึงได้คิดค้นเครื่องกั้นลำน้ำสู่พื้นที่ไร่นา เพื่อแบ่งปันน้ำ กักเก็บน้ำ และระบายน้ำออก โดยมี "แก่ฝาย" เป็นผู้ควบคุมและจัดการน้ำฝาย หรือเหมืองฝาย เกิดจากการสังเกตระดับน้ำที่ขึ้นลงตามฤดูต่างๆ เช่น ฤดูฝน ระดับน้ำขึ้นสูงท่วมตลิ่ง ส่วนหน้าแล้งระดับน้ำลดลงมากจนไม่สามารถใช้น้ำเลี้ยงพืชผลไร่นาได้ ชาวบ้านจึงร่วมกันใช้ไม้ไผ่จำนวนมากตอกเรียงซ้อนเหลื่อมขวางกั้นลำน้ำ เรียกว่า "หลักฝาย" แต คือทำนบกั้นน้ำในลำเหมืองใหญ่ เพื่อแบ่งน้ำเข้าสู่ลำเหมืองเล็ก และอีกส่วนจะล้นท่วมสู่ลำเหมืองใหญ่ แตสร้างขึ้นโดยคนกลุ่มขนาดเล็ก และใช้ชื่อคนที่ได้น้ำเข้าถึงที่นาก่อนเป็นชื่อเรียก เช่น แตปู่หมื่น คือ มีนายหมื่นเป็นหัวหน้าในการสร้าง และปันน้ำไปถึงคนอื่นๆ ๔ - ๕ คนในพื้นที่บริเวณใกล้เคียงปุม คือคันทดน้ำในลำเหมืองขนาดเล็กมาก เป็นคันดินที่มีช่องให้น้ำไหลผ่านได้เพียงส่วนหนึ่ง อีกส่วนเข้าสู่ไร่ คนที่สร้างปุม จะสร้างกับพื้นที่ที่ใกล้ชิดกันและใช้น้ำร่วมปุมเดียวกันเท่านั้นเมื่อน้ำเข้าสู่แปลงนาแล้ว ชาวนาจะใช้น้ำอยู่ประมาณ ๑๐ - ๑๕ วัน เพื่อทำการปลูกข้าว จากนั้นจึงจะระบายน้ำออก โดยมีวิธีการ ๓ ลักษณะดังนี้ ๑. ข่าง คือการเปิดน้ำให้ผ่านสู่ต๊าง (ช่องทางน้ำผ่านคันนา) เข้านาให้น้ำไหลผ่านเต็มที่ ชาวล้านนาเรียกว่า การข่างน้ำนา หมายถึง การระบายน้ำ๒. ยอย คือการระบายน้ำทีละน้อยๆ หรือก็คือการทยอยแบ่งน้ำให้มีระดับที่เท่าๆกัน๓. ลดน้ำ คือ การเปิดให้น้ำที่ใช้แล้ว หรือน้ำที่เหลือกลับสู่ลำเหมืองการจัดการระบบน้ำมีความสำคัญต่อวิธีการดำรงชีวิตของชาวบ้าน จนเกิดการสร้างหอผีฝายและพิธีเลี้ยงผีฝาย เป็นพิธีกรรมเพื่อให้ชาวบ้านช่วยกันดูแลรักษาฝาย ซึ่งพิธีมักจัดขึ้นช่วงวันแรม ๙ ค่ำ เดือน ๙ ทุกปี บริเวณลำน้ำปิง เหมืองฝายพญาคำ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นฝายดั้งเดิมครอบคลุมพื้นที่ในจังหวัดเชียงใหม่ - ลำพูน นอกจากนั้น ยังมีฝายในพื้นที่อื่นๆ เช่น ฝายวังไฮ ที่อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นฝายที่ใช้หล่อเลี้ยงเกษตรกรรมใน ๓ หมู่บ้านคือ บ้านม่วงฆ้อง บ้านดง และบ้านทุ่งหลุก ผู้เรียบเรียง : นางสาวอริสรา คงประเสริฐ นักจดหมายเหตุภาพ :๑. หอจดหมายเหตุแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เชียงใหม่๒. หนังสือ เรื่องบ่าเก่าเล่าล้านนา เหมืองฝาย แม่ญิงขี่รถถีบกางจ้องอ้างอิง : ๑. นิคม พรหมมาเทพย์. มปป. เรื่องบ่าเก่าเล่าล้านนา เหมืองฝาย แม่ญิงขี่รถถีบกางจ้อง. มปท.๒. ชัชวาล ทองดีเลิศ. ๒๕๖๒. เหมืองฝาย มรดกภูมิปัญญาจัดการน้ำของคนเหนือ (Online). https://thecitizen.plus/node/๒๖๔๗๐, สืบค้นเมื่อวันที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๖๔.๓. องศาเหนือ. ๒๕๖๓. เสวนานวัตกรรมการจัดการเหมืองฝายพญาคำ : จากอดีตสู่ปัจจุบัน (Online). https://thecitizen.plus/node/๓๒๓๖๓, สืบค้นเมื่อวันที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๖๔.
มตกภตฺตานิสํสกถา (อานิสงฺสมตภตฺต)
ชบ.บ.73/1-1
เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)