ค้นหา
รายการที่พบทั้งหมด 48,765 รายการ
ตู้พระธรรมขาหมู ลายรดน้ำปิดทอง ศิลปะธนบุรี มีจารึกด้านหลังตู้ปรากฏ พ.ศ. ๒๓๒๓ เดิมอยู่ที่วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ กรุงเทพฯ หอพระสมุดวชิรญาณได้มา เมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๒ ด้านหน้าและด้านข้างตู้พระธรรมเขียนลายกนกเปลว ด้านล่างเป็นภาพสัตว์หิมพานต์ ด้านหลังตู้เขียนเรื่องพระนางสามาวดี (ตอน กำเนิดท้าวอุเทน) ด้านล่างมีจารึกอักษรไทย ภาษาไทย ๔ บรรทัด มีใจความว่า พุทธศักราช ๒๓๒๓ อุบาสกช่วย สามี และอุบาสีกา อู ภรรยา มีศรัทธาสร้างตู้พระธรรมลายรดน้ำไว้ในพุทธศาสนาปัจจุบันตู้พระธรรมใบนี้จัดแสดงอยู่ที่ห้อง ธนบุรี-รัตนโกสินทร์ อาคารประพาสพิพิธภัณฑ์ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร
ภาพที่ปรากฏด้านหลังตู้พระธรรม มีฉากสำคัญ ๒ ฉาก กล่าวคือด้านบนเป็นฉากตอนอัลลกัปปดาบสปีนพะองขึ้นไปช่วยพระเทวีและอุเทนกุมารที่ติดอยู่บนต้นไทร ส่วนด้านล่างเป็นฉากอัลลกัปปดาบสอุ้มอุเทนกุมาร และพระเทวีประทับอยู่หน้าอาศรม
ฉากทั้งสองดังกล่าวมีที่มาจากเรื่องพระนางสามาวดี ตอนกำเนิดท้าวอุเทน เนื้อเรื่องมีว่า พระเจ้าปรันตปะกษัตริย์เมืองโกสัมพี และพระเทวีผู้เป็นพระมเหสีขณะนั้นกำลังทรงครรภ์ วันหนึ่งทั้งสองพระองค์ทรงออกมาประทับผิงแดดอ่อนอยู่กลางแจ้ง โดยที่พระเทวีทรงห่มผ้ากัมพลแดง และทรงธำมรงค์ของกษัตริย์ ขณะนั้นนกหัสดีลิงค์บินผ่านมาเห็นพระเทวี เข้าใจว่าเป็นชิ้นเนื้อขนาดใหญ่ จึงบินโฉบลงมาตะครุบร่างพระเทวีไว้ในกรงเล็บและบินไปยังต้นไทรแห่งหนึ่ง พระนางเทวียอมให้นกหัสดีลิงค์พาตนไปยังที่รังต้นไทร เพราะหากทรงขัดขืนนกหัสดีลิงค์จะปล่อยพระองค์ร่วงลงสู่พื้นดินเป็นอันตรายต่อพระนางเทวีและพระราชบุตร เมื่อถึงต้นไทรนกหัสดีลิงค์ได้วางพระเทวีลง พระองค์ได้ส่งเสียงดังและปรบมือไล่จนนกหัสดีลิงค์บินหนีไป แต่ในคืนนั้นระหว่างที่พระเทวีติดอยู่บนต้นไทร พระนางประชวรพระครรภ์ตลอดทั้งคืนกระทั่งรุ่งสางจึงประสูติกุมารองค์หนึ่ง ทรงให้พระนามว่า “พระอุเทน”
ไม่ไกลจากต้นไทรมีดาบสตนหนึ่งนาม “อัลลกัปป” ได้ตั้งอาศรมอาศัยอยู่ ดาบสผู้นี้มีมนต์วิเศษสามารถควบคุมช้างป่าได้ ขณะดาบสออกเดินหาอาหารได้ยินเสียงพระอุเทนกุมารบนต้นไทร เมื่อมองขึ้นไปพบกับพระเทวี จึงไต่ถามจนทราบความว่าพระนางถูกนกหัสดีลิงค์ลักพามาติดอยู่บนต้นไทร อัลลกัปปดาบสจึงปีนขึ้นไปช่วยพระเทวีและพระอุเทนกุมารลงมา และพาไปพักอาศัยที่อาศรม ให้การดูแลพระเทวีกับพระอุเทนกุมารเป็นอย่างดี ซึ่งต่อมาอุเทนกุมารได้ขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์และมีอัครมเหสีคนสำคัญคือ พระนางสามาวดี เรื่องนางสามาวดีนี้ เป็นนิทาน ๑ ใน ๙ เรื่อง ของอัปปมาทวรรค (หมวดว่าด้วยความไม่ประมาท) ที่ปรากฏในคัมภีร์ธัมมปทัฏฐกถา อรรถกถาพระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ธรรมบท
ฉากกำเนิดอุเทนกุมารที่ปรากฏบนตู้พระธรรม ได้ให้ข้อคิดที่สำคัญ เกี่ยวกับการมีไหวพริบและความรอบคอบของพระนางเทวี ในการแก้ไขปัญหาที่ถูกนกหัสดีลิงค์ลักพามาที่รังต้นไทร อีกประการหนึ่งคือภาพสะท้อน ความรักของแม่ที่มีต่อลูกในครรภ์ ซึ่งหากพระนางเทวีตัดสินพระทัยผิดพลาดย่อมเป็นอันตรายต่อพระโอรสของพระองค์เช่นกัน ดังข้อความในพระไตรปิฎกได้กล่าวถึงเหตุการณ์ตอนนี้ไว้ว่า
“...แม้พระนางนั้น อันนกนั้นนำไปอยู่ ทรงหวาดต่อมรณภัย จึงทรงดำริว่า “ถ้าว่าเราจักร้อง ธรรมดาเสียงคน เป็นที่หวาดเสียวของสัตว์จำพวกดิรัจฉาน มันฟังเสียงนั้นแล้ว ก็จักทิ้งเราเสีย เมื่อเป็นเช่นนั้น เราจักถึงความสิ้นชีพ พร้อมกับเด็กในครรภ์ แต่มันจับในที่ใดแล้วเริ่มจะกินเรา ในที่นั้น เราจักร้องขึ้นแล้วไล่ให้มันหนีไป” พระนางยับยั้งไว้ได้ ก็เพราะความที่พระองค์เป็นบัณฑิต...”
ค้นคว้าและเรียบเรียง : นายพนมกร นวเสลา บรรณานุกรม
สำเนียง เลื่อมใส. “ไขความอรรถกถาธรรมบท” ดำรงวิชาการ ๑, ๑ (มกราคา – กรกฎาคม ๒๕๔๕), ๓๓๑ - ๓๔๙.
อรรถกถา ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท อัปปมาทวรรคที่ ๒ เรื่องพระนางสามาวดี. เข้าถึงเมื่อ ๑๑ สิงหาคม ๒๕๖๔. เข้าถึงได้จาก https://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=25&i=12&p=1
ชื่อเรื่อง อสีติมหาสาวกนิพฺพาน (พระอสีติมหาสาวกนิพพาน)
สพ.บ. 265/5ประเภทวัสดุมีเดีย คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่ พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ 40 หน้า กว้าง 4.5 ซม. ยาว 58 ซม.หัวเรื่อง พุทธสาวก--ชีวประวัติ สงฆ์--ชีวประวัติ
บทคัดย่อ/บันทึก เป็นคัมภีร์ใบลาน อักษรธรรมอีสาน ภาษาบาลี-ไทยอีสาน เส้นจาร ฉบับทองทึบ ได้รับบริจาคมาจากวัดทุ่งอุทุมพร ต.บางปลาม้า อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี
หลักศิลาสลักรูปพระรัตนตรัยแบบมหายาน
วัสดุหินทราย
อายุสมัย พุทธศตวรรษที่ ๑๗-๑๘ (๘๐๐ - ๙๐๐ ปีมาแล้ว)
ประวัติ สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์วรพินิต ประทาน เมื่อวันที่ ๒ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๔๗๕
หลักศิลารูปทรงคล้ายใบกลีบบัว สลักภาพบุคคลทั้งสี่ด้าน โดยด้านหน้าสลักรูปพระพุทธรูปสมาธินาคปรก เบื้องล่างบริเวณขนดนาคมีเทพี ๒ กรทรงยืนอยู่บนฐานบัวคว่ำบัวหงาย ด้านหลังหลักศิลาสลักรูปพระโพธิสัตว์ ๘ กร ตอนล่างสลักรูปพระนางปรัชญาปารมิตาภาค ๕ เศียร ๑๐ กร ด้านข้างหลักศิลาทางขวาของพระพุทธรูปสลักรูปพระโพธิ์สัตว์วัชรปาณี ตอนล่างสลักรูปเทพี ๔ กร (สันนิษฐานว่าเป็นพระนางสุชาดา) ด้านข้างหลักศิลาทางซ้ายของพระพุทธรูปสลักรูปพระอวโลกิเตศวร ๔ กร ตอนล่างเป็นรูปเทพี ๒ กร สันนิษฐานว่าเป็นรูปพระนางตารา
โบราณวัตถุชิ้นนี้ เป็นหนึ่งในวัตถุจัดแสดงในนิทรรศการพิเศษ “อารยธรรมวิวัฒน์ ลพบุรี – ศรีรามเทพนคร” ณ พระที่นั่งศิวโมกขพิมาน ซึ่งจัดแสดงจนถึงวันที่ ๓๐ กันยายน พ.ศ. ๒๕๖๔
โดยภาพสลักรูปบุคคลที่ปรากฏบนหลักศิลาแต่ละด้านนั้น เป็นการสื่อถึงรูปเคารพในศาสนาพุทธนิกายมหายานที่มีความหมายต่างกันออกไป รูปเคารพที่สำคัญ ได้แก่
*พระศากยมุนี ตามความเชื่อในพุทธศาสนามหายานนั้นเป็นพระพุทธเจ้าในร่างมนุษย์ (ภาคนิรมาณกาย) ที่ลงมาจุติบนโลกมนุษย์ในห้วงเวลาปัจจุบันและดับขันธ์ไปแล้ว
*พระโพธิ์สัตว์อวโลกิเตศวร หรือพระโพธิสัตว์ปัทมปาณี เป็นโพธิสัตว์ที่ดูแลโลกมนุษย์ในห้วงเวลาปัจจุบัน (ยุคของพระพุทธเจ้าศากยมุนี) ถือกำเนิดจากพระอมิตาภะ ดังนั้นจึงพบรูปพระอมิตาภะประทับนั่งสมาธิอยู่บนมวยผมของพระอวโลกิเตศวรเสมอ ลักษณะสำคัญของพระองค์คือ การแสดงออกถึงการเป็นนักบวชด้วยการเกล้าพระเกศาขึ้นเป็นมวย พระกรถือดอกบัว ลูกประคำหรือหม้อน้ำ เป็นต้น
*พระนางปรัชญาปารมิตา เป็นเทพีแห่งความรู้และความเฉลียวฉลาด วัตถุสำคัญที่มักปรากฏในพระกรของนางปรัชญาปารมิตาคือดอกบัวและคัมภีร์ปรัชญาปารมิตาสูตร
*พระโพธิสัตว์วัชรปาณี เป็นโพธิสัตว์ที่มีบทบาทถึงการรบกับอสูร และเป็นเทพที่ควบคุมฝน เนื่องจากเครื่องหมายของพระองค์คือ วัชระ หรือ สายฟ้า ในงานประติมากรรมมักสร้างพระโพธิสัตว์วัชรปาณีที่แสดงอาการดุร้าย พระกรถืออาวุธต่าง ๆ โดยมีอาวุธสำคัญคือ วัชระและกระดิ่ง
-ด้านหน้าของหลักศิลาสลักรูปพระพุทธรูปสมาธินาคปรก ซึ่งเป็นรูปแทนของ “พระศากยมุนี” มีพุทธลักษณะคือ พระรัศมีทรงดอกบัวตูม อุษณีษะนูน เม็ดพระศกใหญ่ พระพักตร์สี่เหลี่ยม บริเวณพระนลาฎปรากฏเส้นขอบไรพระศก พระเนตรมองตรง พระนาสิกใหญ่ พระโอษฐ์แย้มพระสรวลเล็กน้อย ส่วนพระวรกายไม่ปรากฏการครองจีวร ประทับขัดสมาธิราบบนขนดนาคซ้อนกันสามชั้น เหนือพระเศียรพระพุทธรูปเป็นพังพานนาคเจ็ดเศียร และเศียรนาคประดับลายกนก พระนาคปรกองค์นี้ประดิษฐานอยู่ในซุ้มเรือนแก้ว ส่วนเบื้องล่างบริเวณกึ่งกลางขนดนาคสลักรูปเทพี ๒ กรประทับยืนบนฐานบัวคว่ำบัวหงาย แต่รายละเอียดของส่วนพระพักตร์และวัตถุในพระกรนั้นลบเลือนไปมาก
-ด้านหลังของหลักศิลาสลักรูปพระโพธิสัตว์ ๘ กร ทรงยืนอยู่บนฐานบัวหงาย มีลักษณะสำคัญคือส่วนพระเศียรเกล้าพระเกศาขึ้นเป็นมวย แต่เดิมบริเวณด้านหน้ามวยผมคงจะสลักรูปพระอมิตาภะไว้แต่สภาพปัจจุบันชำรุดสึกกร่อน ส่วนพระกรสองข้างด้านหน้าหันฝ่าพระหัตถ์ออกนอกพระวรกาย อีกหกพระกรทรงถือวัตถุต่าง ๆ แม้สภาพปัจจุบันจะเลือนลางไปค่อนข้างมากแต่ยังพอสังเกตได้ เช่น หม้อน้ำ คัมภีร์ และดอกบัว เป็นต้น ถัดขึ้นไปด้านบนทั้งสองข้างเป็นรูปพระพุทธรูปแสดงอิริยาบถสมาธิอยู่ภายในซุ้ม สันนิษฐานว่าน่าจะสื่อถึงพระอมิตาภะที่แสดงธยานมุทรา (ปางสมาธิ) ส่วนด้านล่างเป็นรูปพระนางปรัชญาปารมิตาภาค ๕ เศียร ๑๐ กร ซึ่งคล้ายกับรูปพระนางปรัชญาปารมิตาบนหลักสถูปศิลาจาก กบาลสเร ยายยิน (Kbal Sre Yeay Yin) ปัจจุบันจัดแสดงอยู่ในพิพิธภัณฑสถานกีเมต์ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส แม้ว่ารูปพระนางปรัชญาปารมิตาที่ปรากฏส่วนของวัตถุในพระกรจะลบเลือนไปมากแล้ว แต่ยังคงเห็นวัตถุสำคัญในพระกร เช่น ดอกบัว เป็นต้น
-ด้านข้างหลักศิลาทางซ้ายของพระพุทธรูปสลักรูปพระอวโลกิเตศวร ๔ กร มีลักษณะสำคัญคือวัตถุในพระกรทั้งสี่ ได้แก่ พระกรขวาบนถือลูกประคำ พระกรขวาล่างรายละเอียดค่อนข้างเลือนแต่สันนิษฐานว่าเดิมน่าจะถือดอกบัว พระกรซ้ายบนถือคัมภีร์และพระกรซ้ายล่างถือหม้อน้ำ ส่วนตอนล่างเป็นรูปเทพี ๒ กร ทรงยืน พระกรขวายกขึ้นมาแสดงอภัยมุทรา (ปางประทานอภัย) พระกรซ้ายถือดอกบัว สันนิษฐานว่าเป็นรูปพระนางตาราซึ่งเป็นชายาของพระอวโลกิเตศวร
-ด้านข้างหลักศิลาทางขวาของพระพุทธรูปสลักรูปพระโพธิสัตว์วัชรปาณี มีลักษณะสำคัญคือสีพระพักตร์ดุร้าย ดวงตามองตรงเบิกโพลง ถือวัชระและกระดิ่ง นุ่งผ้าสั้นมีชายผ้าหน้านางซ้อนกันสองชั้น ตอนล่างสลักรูปสตรี ๔ กร สันนิษฐานว่าเป็นพระนางสุชาดา ชายาของพระโพธิ์สัตว์วัชรปาณี มีลักษณะสำคัญคือ พระกรขวาบนถือดอกบัว พระกรซ้ายบนถือคัมภีร์ ส่วนพระกรทั้งสองข้างด้านหน้าแสดงอภัยมุทรา (ปางประทานอภัย) สองพระหัตถ์
ค้นคว้าและเรียบเรียง : นายพนมกร นวเสลา
บรรณานุกรม
กรมศิลปากร. เทวสตรี คติพุทธ พราหมณ์ และความเชื่อในประเทศไทย. กรุงเทพฯ: กรมศิลปากร, ๒๕๕๘.อรุณศักดิ์ กิ่งมณี. ทิพยนิยายจากปราสาทหิน. กรุงเทพฯ: เมืองโบราณ, ๒๕๕๕.
#เครื่องมือเครื่องใช้ในภาคเหนือเปี้ยด เปี้ยด ในภาษาล้านนา หมายถึง ตะกร้า ภาคกลางเรียกว่า กระบุง เป็นภาชนะใส่สิ่งของและพืชพรรณต่าง ๆ ทำจากไม้ไผ่สาน รูปทรงกลมสูง ปากกว้าง ส่วนก้นสอบเป็นสี่เหลี่ยม มีขอบปากใช้หวายผูกเสริมตามมุมเพื่อเพิ่มความคงทน มีหู ๔ หู สำหรับร้อยเชือกหาบหรือสาแหรก เปี้ยดของชาวเหนือจะมีรูปทรงแตกต่างกับกระบุงของภาคกลางเล็กน้อย โดยมีขนาดที่เล็ก และป้อมกลมมากกว่า ในบางพื้นที่สานอย่างประณีตเพื่อความคงทนแล้วจึงทาด้วยน้ำมันยางเพิ่มความสวยงามภาพ : หอจดหมายเหตุแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เชียงใหม่. ภาพชุด การประกวดภาพเก่าเกี่ยวกับจังหวัดลำพูนอ้างอิง : ๑. มณี พยอมยงค์. ๒๕๔๖. สารพจนานุกรมล้านนา. เชียงใหม่: ดาวคอมพิวกราฟิก.๒. พิชชา ทองขลิบ. ๒๕๖๔. กระบุง. ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) (Online)
งองขูดมะพร้าว งองขูดมะพร้าวหรือแมวขูดมะพร้าว คนภาคกลางเรียก กระต่ายขูดมะพร้าว แต่คนล้านนาเรียก “งอง” ซึ่งเรียกตามลักษณะของเหล็กที่ใช้ขูด มีรูปงอ ฟันเหล็กเป็นซี่ ๆ “กองงอง” มีใช้กันทั่วไป ตัวฐานทำจากไม้สัก มีไว้สำหรับนั่ง แกะขาด้านหนึ่งสูง ด้านหนึ่งต่ำ แล้วเจาะรูสำหรับใส่เหล็กขูดในด้านที่สูงกว่า แล้วตกแต่งให้เหมือนรูปสัตว์ เช่น แมว กระต่าย แมวขูดมะพร้าวเป็นเครื่องใช้ในครัวเรือนที่จำเป็น ยิ่งในงานบุญมักใช้เพื่อขูดมะพร้าวทำอาหารทั้งคาวและหวาน แต่ปัจจุบันหาได้ยากแล้ว เนื่องจากหากต้องการมะพร้าวจะไปซื้อที่โม่สำเร็จกันในตลาด หรือไม่ก็ใช้นมสดปรุงอาหารแทนกะทิภาพ : พิพิธภัณฑ์ชุมชนวัดเกตการามอ้างอิง : ศรีเลา เกษพรหม.เครื่องใช้ล้านนา.“แมวขูดมะพร้าว” (Online). http://www.sri.cmu.ac.th/~elanna/elanna51/misc/misc1-14.html,สืบค้นเมื่อวันที่ ๒๒ กันยายน ๒๕๖๔.
ธมฺมเทสนาอปุตฺตกสุตฺต (ธมฺมเทสนาอปุตฺตกสูตร)
ชบ.บ.72/1-1
เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)
เลขทะเบียน : นพ.บ.192/7ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 64 หน้า ; 4.5 x 53.5 ซ.ม. : รักทึบ-ล่องรัก ; ไม่มีไม้ประกับชื่อชุด : มัดที่ 108 (133-140) ผูก 7 (2565)หัวเรื่อง : มหาวคฺควณฺณนา(ตติยาสมนตปาสาทิกาวันยฎฐกถา(สับมหาวัต)--เอกสารโบราณ คัมภีร์ใบลาน พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม
เลขทะเบียน : นพ.บ.293/3ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 36 หน้า ; 4 x 54 ซ.ม. : ทองทึบ-รักทึบ-ล่องรัก-ลานดิบ ; ไม่มีไม้ประกับชื่อชุด : มัดที่ 122 (266-274) ผูก 3 (2565)หัวเรื่อง : แปดหมื่นสี่พันขันธ์(8หมื่น) --เอกสารโบราณ คัมภีร์ใบลาน พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม
ชื่อผู้แต่ง -
ชื่อเรื่อง ประวัติ พลเอก เจ้าพระยาบดินทรเดชานุชิต (แย้ม) ประวัติมหาอำมาตย์ นายก เจ้าพระยารมราช
ครั้งที่พิมพ์ -
สถานที่พิมพ์ -
สำนักพิมพ์ -
ปีที่พิมพ์ มปป.
จำนวนหน้า ๑๗๘ หน้า
หมายเหตุ -
ที่มาแห่งสกุล ณ นคร ประวัติ พลเอก เจ้าพระยาบดินทรเดชานุชิต (แย้ม ณ นคร) และประวัติ มหาอำมาตย์ นายก เจ้าพระรายมราช (ปั้น สุขุม) บรรพบุรุษทั้งสอง ผู้เคยก่อคุณประโยชน์อันเอนกอนันต์แก่ชาติบ้านเมือง และที่สำคัญเพื่อเป็นการน้อมรำลึกถึง นางประนอม ณ นคร ผู้เป็นสายเชื่อมสำคัญแห่งสกุลทั้งสอง
วันที่ ๕ เมษายน ๒๕๖๕"วันพระเจ้าน่าน และวันเจ้าผู้ครองนครน่าน""ครบรอบ ๑๐๔ ปี"วันคล้ายวันพิราลัยพระเจ้าสุริยพงษ์ผริตเดชฯเจ้าผู้ครองนครน่านพระเจ้าสุริยพงษ์ผริตเดชฯ เป็นโอรสของเจ้าอนันตวรฤทธิเดชฯ เจ้าผู้ครองนครเมืองน่านกับแม่เจ้าสุนันทา ประสูติเมื่อวันที่ ๒ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๓๗๔ (จุลศักราช ๑๑๙๓ ตรงกับรัชกาลที่ ๓)พระเจ้าสุริยพงษ์ผริตเดชฯ รับราชการเรื่อยมาจนกระทั่งในปีพุทธศักราช ๒๓๙๘ ได้รับพระราชทานสัญญาบัตรเป็นพระยาราชวงษ์ ต่อมาในปีพุทธศักราช ๒๔๓๐ เจ้าอุปราชเกิดโรคลมปัจจุบันถึงแก่อนิจกรรม จึงมีพระบรมราชานุญาตแต่งตั้งให้เจ้าราชวงศ์ว่าราชการในตำแหน่งเจ้าอุปราชเมื่อวันที่ ๑๖ ตุลาคม ร.ศ.๑๐๘ (พุทธศักราช ๒๔๓๒)จนกระทั่งในปีพุทธศักราช ๒๔๓๔ เจ้าอนัตวรฤทธิเดช ถึงแก่พิราลัยเมื่อวันที่ ๒๙ เมษายน ร.ศ.๑๑๐ เวลา ๑๑ ทุ่ม กรมการเมืองน่านได้พร้อมกันทำขวดใส่ศพไว้ตามธรรมเนียม ในการนั้นเจ้าอุปราชหอหน้าและพระยาสุนทรนุรักษ์ข้าหลวงใหญ่ประจำเมือง และเจ้าราชวงศ์เสนาอำมาตย์ได้กะเกณฑ์ไพร่พลบ้านเมืองให้สร้างพระเมรุหลวงหลังใหญ่ที่ข่วงดอนไชยลุ่ม วัดหัวเวียง ต่อมาได้อัญเชิญพระบรมศพของเจ้าอนัตวรฤทธิเดชลงจากหอคำราชโรงหลวงเพื่อไปถวายพระเพลิงเมื่อวันขึ้น ๑๔ ค่ำ เดือน ๘ จุลศักราช ๑๒๕๕ (พุทธศักราช ๒๔๓๖)ปีพุทธศักราช ๒๔๓๔ ภายหลังเสร็จจากงานพระเมรุเจ้าอนันตวรฤทธิเดชแล้ว เจ้าอุปราชหอหน้าก็เสด็จลงไปทูลเกล้าเฝ้าพระมหากษัตริย์ที่กรุงเทพฯ ถวายเครื่องราชบรรณาการ ในการนั้นพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงมีพระมหากรุณาโปรดเกล้าให้แต่งตั้งเจ้าอุปราชหอหน้าเป็นเจ้านครเมืองน่าน พระราชทานนามว่า “เจ้าสุริยพงศ์ผริตเดชกุลเชษฐมหันต์ไชยนันทบุรมหาราชวงศาธิบดี เจ้านครเมืองน่าน” แล้วพระราชทานเครื่องยศ คือพานหมากคำ เครื่องในคำทั้งมวล กระโถนคำ คนโทคำ พระมหามาลาหมวกจิกคำ กับเสื้อผ้าเครื่องครัวทั้งมวล ครั้นเสร็จราชกิจแล้วก็กราบทูลลาพระมหากษัตริย์เจ้ากลับขึ้นมาเมืองน่าน
องค์ความรู้ เรื่อง นาค ตามคติทางพุทธศาสนา จัดทำข้อมูลโดย นางสาวเด่นดาว ศิลปานนท์ ภัณฑารักษ์เชี่ยวชาญ สำนักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ
พระราชพิธีบรมราชาภิเษกพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ตอนที่ ๖ : การเสด็จออกมหาสมาคม
เวลาบ่ายของวันที่ ๕ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๙๓ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เสด็จฯ ออกมหาสมาคมที่พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัยให้คณะรัฐมนตรี คณะทูต สมาชิกวุฒิสภา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และข้าราชการเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท เพื่อกราบทูลถวายพระพรชัยมงคล โดยมี จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรี กราบทูลในนามคณะรัฐมนตรีและข้าราชการทั่วพระราชอาณาจักร และพระยาศรีธรรมาธิเบศร์ ประธานรัฐสภา กราบทูลในนามประชาชนชาวไทย แล้วทรงมีพระบรมราชโองการตรัสตอบขอบใจทั่วกัน
ที่มา : ณัฎฐภัทร จันทวิช. พระราชพิธีบรมราชาภิเษก. กรุงเทพฯ : กรมศิลปากร, ๒๕๓๐.
ภาพ : หอจดหมายเหตุแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช