ค้นหา
รายการที่พบทั้งหมด 48,757 รายการ
ขอทั้งสองพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน
ด้วยเกล้า ด้วยกระหม่อมขอเดชะ
ข้าพระพุทธเจ้า บุคลากรอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัยและ สำนักศิลปากรที่ 6 สุโขทัย
วันพฤหัสบดีที่ ๑๑ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๙ เวลา ๐๘.๐๐น. นายสถาพร เที่ยงธรรม ผู้อำนวยการอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย ได้นำบุคลากรของทางอุทยานฯและสำนักศิลปากรที่ ๖ ร่วมโครงการ "กิจกรรมปลูกบัวเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติ ครบ ๗๐ ปี ในวันที่ ๙ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๕๙ และเนื่องในโอกาส สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ทรงพระเจริญมพรรษา ๘๔ พรรษา ในวันที่ ๑๒ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๕๙ ณ คูแม่โจน วัดพระพายหลวง อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย
วันที่ 22 มีนาคม 2556 นายกฤษศญพงษ์ ศิริ ผู้ตรวจราชการกระทรวงวัฒนธรรม เดินทางมาตรวจเยี่ยมการดำเนินงานเครือข่ายมรดกศิลปวัฒนธรรมชุมชนนาอุดม ณ พิพิธภัณฑ์ชุมชนนาอุดม-โนนหนองหอ ต.นาอุดม อ.นิคมคำสร้อย จ.มุกดาหาร ซึ่งจัดแสดงวัตถุทางวัฒนธรรมที่พบจากแหล่งโบราณคดีโนนหนองหอ โดยมีหลักฐานสำคัญ คือ ชิ้นส่วนหุ่นกลองมโหระทึก ที่ชี้ชัดว่าแหล่งโบราณคดีแหล่งนี้เป็นแหล่งผลิตกลองมโหระทึกโบราณเมื่อกว่า 2000 ปีมาแล้ว และเป็นแหล่งเดียวในประเทศไทยที่พบหลักฐานการผลิตกลองมโหระทึกดังกล่าว ซึ่งผู้ตรวจราชการกระทรวงวัฒนธรรม ให้ความสนใจเป็นอย่างยิ่งพร้อมให้แนวทางแก่ทุกส่วนที่เกี่ยวข้องในการพัฒนาให้เกิดความยั่งยืนต่อไป
อยากทราบว่ารับนักศึกษาฝึกงานหรือเปล่าครับ ผมเรียน วัฒนธรรม สาขา ประวัติศาสตร์ศิลปะและโบราณดคี มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ครับ
ข้อแนะนำการส่งหรือนำพระพุทธรูปออกนอกราชอาณาจักรบุคคลทั่วไป
๑. กรอกแบบฟอร์มการขออนุญาตที่ทางราชการจัดให้ (ศก.๖)
๒. ทำหนังสือถึงอธิบดีกรมศิลปากร ให้เหตุผลส่งหรือนำไปเพื่ออะไร ไว้ที่ใดโดยละเอียด
๓. ในกรณีที่นำติดตัวไปเอง ถ่ายสำเนาหนังสือเดินทางของผู้ขออนุญาต ๑ ชุด ในกรณีที่ส่งไปถ่ายสำเนาบัตรประจำตัวประชาชน หรือบัตรข้าราชการ
๔. ให้แสดงหลักฐานเป็นเอกสารรับรองจากองค์กร องค์การ (องค์กร, องค์การที่เป็นที่เชื่อถือ และยอมรับจากทางราชการ)
สมาคม หมายถึง ต้องทำงานเกี่ยวข้องกับศาสนาซึ่งเป็นที่เชื่อถือและยอมรับจากทางราชการ
สถาบันที่เกี่ยวข้องกับศาสนา คือ พระสงฆ์ที่มีสมณศักดิ์ เป็นเจ้าอาวาส รองเจ้าอาวาส ผู้ช่วยเจ้าอาวาส หรือเลขาธิการสมเด็จพระสังฆราช เป็นผู้ลงนามรับรอง หรือบุคคลใดบุคคลหนึ่งที่เชื่อถือได้ว่าจะส่งหรือนำพระพุทธรูปออกนอกราชอาณาจักรเพื่อสักการบูชา เพื่อศึกษาวิจัย เพื่อเผยแพร่เกียรติคุณ หรือเพื่อแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมหรือโบราณคดี
ในกรณีที่เจ้าอาวาสวัด รองเจ้าอาวาสวัดฯ หรือผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัด รับรอง ต้องมีเอกสาร ดังนี้
๑. ทำหนังสือจากวัดถึงอธิบดีกรมศิลปากร
๒. สำเนาใบสุทธิประวัติเดิม – ปัจจุบัน
๓. สำเนาใบแต่งตั้งสมณศักดิ์ หรือหลักฐานยืนยันชื่อลงนามในหนังสือรับรอง
ในกรณีที่ข้าราชการรับรอง (ต้องเป็นข้าราชการตั้งแต่ ระดับ ๔ ขึ้นไป)
๑. ทำหนังสือจากผู้รับรองถึงอธิบดีกรมศิลปากร รับรองผู้ขออนุญาตส่งหรือนำพระพุทธรูปออกนอกราชอาณาจักร
๒. สำเนาบัตรข้าราชการ ด้านหน้า – หลัง
อนึ่ง เอกสารที่เป็นสำเนา ให้ผู้รับรองลงนามรับรองสำเนาถูกต้องทุกฉบับ
ภาพถ่ายของวัตถุ
ใช้ภาพสี ขนาด ๓ x ๕ นิ้ว จำนวน ๒ ภาพ ต่อวัตถุ ๑ รายการ ถ่ายภาพเฉพาะด้านหน้าให้ ชัดเจน หากมีพลาสติกห่อหุ้มให้เอาออกก่อนถ่ายภาพ นำวัตถุที่จะส่งหรือนำออกทุกชิ้นไปแสดงต่อคณะกรรมการตรวจพิสูจน์ฯ ในวันที่ยื่นคำร้อง (ศก.๖) ณ สำนักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เลขที่ ๘๑/๑ ถนนศรีอยุธยา (อาคารกรมศิลปากรใหม่) เทเวศร์ แขวงวชิระ เขตดุสิต กรุงเทพฯ ๑๐๓๐๐
ระยะเวลาออกใบอนุญาต ๒ วันทำการ
เวลาทำการตรวจพิสูจน์ เช้า เวลา ๑๐.๐๐ น.
บ่าย เวลา ๑๔.๐๐ น.
ฝ่ายบริหารงานทั่วไป สำนักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ
โทรศัพท์, โทรสาร ๐ ๒๖๒๘ ๕๐๓๓
ขั้นตอนและวิธีการ
การขอรับใบอนุญาตส่งหรือนำโบราณวัตถุหรือศิลปวัตถุออกนอกราชอาณาจักร
๑. ผู้ขออนุญาต ต้องกรอกในคำขอรับใบอนุญาตส่งหรือนำโบราณวัตถุหรือศิลปวัตถุออกนอกราชอาณาจักร(ศก.๖) พร้อมแนบเอกสารหลักฐานต่าง ๆ ตามที่ระบุไว้ในคำขอรับใบอนุญาต ณ สำนักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เลขที่ ๘๑/๑ ถนนศรีอยุธยา เทเวศร์ แขวงวชิระ เขตดุสิต กรุงเทพฯ ๑๐๓๐๐
๒. ผู้ขออนุญาต จะต้องนำโบราณวัตถุหรือศิลปวัตถุที่ขออนุญาตส่งออกทุกชิ้นไปให้คณะกรรมการตรวจพิสูจน์ ณ สำนักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หากไม่สามารถนำไปให้ตรวจพิสูจน์ ณ สถานที่ดังกล่าวได้ ผู้ขออนุญาตสามารถทำหนังสือพร้อมทั้งแสดงเหตุผลต่ออธิบดีขอให้มีการตรวจพิสูจน์ ณ สถานที่ที่เก็บรักษาโบราณวัตถุหรือศิลปวัตถุ ผู้ขอรับใบอนุญาตจะต้องเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายในการนี้ทั้งหมด
๓. เจ้าหน้าที่จะผูกตะกั่วประทับตราที่โบราณวัตถุหรือศิลปวัตถุทุกชิ้น ที่คณะกรรมการตรวจพิสูจน์ สรุปความ เห็นอนุญาตให้ส่งหรือนำออกนอกราชอาณาจักรได้
๔. ภายใน ๑ - ๒ วันทำการ ให้ผู้ขอรับใบอนุญาตไปรับใบอนุญาต พร้อมชำระค่าธรรมเนียม
ตามที่กำหนดไว้ในกฎกระทรวง ณ สำนักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ
ค่าธรรมเนียมศิลปวัตถุประเภทพระพุทธรูป สมัยรัตนโกสินทร์ ช่วงระหว่างปี พ.ศ. ๒๔๙๐ ถึงปัจจุบัน
- ขนาดยาวหรือสูงเกิน ๑๐๐ เซนติเมตร ชิ้นละ ๓๐๐ บาท
- ขนาดยาวหรือสูงเกิน ๕๐ เซนติเมตร แต่ไม่เกิน ๑๐๐ เซนติเมตร ชิ้นละ ๒๐๐ บาท
- ขนาดยาวหรือสูงไม่เกิน ๕๐ เซนติเมตร ชิ้นละ ๑๐๐ บาท
ค่าธรรมเนียมศิลปวัตถุ สมัยรัตนโกสินทร์ ช่วงระหว่างปี พ.ศ. ๒๔๙๐ ถึงปัจจุบัน
- ขนาดยาวหรือสูงเกิน ๑๐๐ เซนติเมตร ชิ้นละ ๒๐๐ บาท
- ขนาดยาวหรือสูงเกิน ๕๐ เซนติเมตร แต่ไม่เกิน ๑๐๐ เซนติเมตร ชิ้นละ ๑๐๐ บาท
- ขนาดยาวหรือสูงไม่เกิน ๕๐ เซนติเมตร ชิ้นละ ๕๐ บาท
๕. เจ้าหน้าที่จะออกบัตรประจำวัตถุ (บัตรสีชมพู) เพื่อให้ผู้ขอรับใบอนุญาตนำไปผูกกับปลายเชือกที่ประทับตราตะกั่วที่โบราณวัตถุหรือศิลปวัตถุทุกชิ้น
๖. ผู้ขอรับใบอนุญาตจะต้องลงชื่อรับรองว่าจะนำบัตรประจำวัตถุไปผูกติดกับปลายเชือกตราตะกั่วที่ประทับวัตถุให้ถูกต้องตรงกับเลขหมายรายการในใบอนุญาต
ชื่อวัตถุ พระพิมพ์ดินดิบ
ทะเบียน ๒๗/๒๔๖/๒๕๕๕
อายุสมัย ศรีวิชัย(?)
วัสดุ(ชนิด) ดินดิบ สีน้ำตาลเทา
แหล่งที่พบ แหล่งโบราณคดีเขานุ้ย หมู่ ๑๒ ตำบลเขากอบ อำเภอห้วยยอด จังหวัดตรัง นายถนอม อินทรภิรมย์ ๑๙ หมู่ ๙ ตำบลนาวงอำเภอห้วยยอด จังหวัดตรัง มอบให้วันที่ ๒๔ พฤษภาคม ๒๕๕๕ สำนักศิลปากรที่ ๑๕ ภูเก็ต มอบให้พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ถลางวันที่ ๑๑ มิถุนายน ๒๕๕๕
สถานที่เก็บรักษา พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ถลาง
“พระพิมพ์ดินดิบ”
พระพิมพ์ดินดิบรูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้ายอดโค้งมน ด้านหน้าตรงกลางเป็นพระพุทธรูปนั่งห้อยพระบาทใต้ซุ้มขนาดเล็กซึ่งทำเป็นลายใบไม้ ขนาบข้างด้วยพระโพธิสัตว์ทั้งสองด้าน เหนือซุ้มขึ้นไปเป็นรูปธรรมจักรหันด้านข้างซึ่งขนาบข้างด้วยรูปบุคคล ด้านหลังพบจารึกตัวอักษรปัลลวะ ภาษาสันสกฤต อ่านว่า “เย ธรฺมาฯ” ซึ่งเป็นจารึกหลักธรรม “อริยสัจสี่” จำนวน ๔ บรรทัด อ่านและแปลได้ว่า ทุะข (ทุกข์) สมุทย (สมุทัย) นิเราธ (นิโรธ) มารคค (มรรค)กำหนดจากรูปแบบจากตัวอักษรอยู่ในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๕ – ๑๖ (อ่านและแปลความโดยนางสาวก่องแก้ว วีระประจักษ์ ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านอักษรศาสตร์)
พระพิมพ์เป็นรูปเคารพในศาสนาพุทธ ศาสตราจารย์อัลเฟรด ฟูเช่ (Alfred Foucher) ผู้เชี่ยวชาญด้านปรัชญาศาสนาพุทธ กล่าวว่า การสร้างพระพิมพ์ในช่วงแรกทำขึ้นเพื่อเป็น “ของที่ระลึกในการเดินทางไปยังสังเวชนียสถาน” ซึ่งเป็นสถานที่ ๔ แห่ง ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า หากผู้ใดเดินทางมายังสถานที่ทั้งสี่ด้วยใจศรัทธาจะถึงสุคติโลกสวรรค์ ชาวพุทธจึงนิยมเดินทางไปจาริกแสวงบุญ ณ สถานที่ทั้ง ๔ แห่ง คือ สถานที่ประสูติ(เมืองลุมพินี) สถานที่ตรัสรู้(เมืองพุทธคยา) สถานที่แสดงปฐมเทศนา (เมืองสารนาถ) และสถานที่ปรินิพพาน(เมืองกุสินารา) ต่อมาได้มีการเพิ่มสถานที่แสวงบุญอีก ๔ แห่ง ซึ่งเป็นสถานที่สำคัญในพุทธประวัติ คือ สถานที่ปราบช้างนาฬาคีรี(เมืองราชคฤห์) สถานที่รับบาตรจากพระยาวานร(เมืองเวสาลี) สถานที่แสดงมหาปาฏิหาริย์หรือยมกปฎิหาริย์(เมืองสาวัตถี) และสถานที่เสด็จลงจากดาวดึงส์ (เมืองสังกัสสะ) เมื่อพุทธศาสนิกชนได้เดินทางไปยังสังเวชนียสถานแล้ว คงมีผู้คิดทำพระพิมพ์เพื่อเป็นของที่ระลึกถึงการเดินทางมาจาริกแสดงบุญในครั้งนั้น
ในอินเดียและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้พบพระพิมพ์ที่มีจารึกคาถา “เย ธรฺมาฯ” ซึ่งเป็นหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า นักวิชาการเชื่อว่าการจารึกคำสอนนี้เป็นคติที่เกี่ยวข้องกับคำทำนายที่ปรากฏอยู่ในคัมภีร์บางเล่ม อาทิ มิลินทปัญหา ซึ่งได้กล่าวถึงคำทำนายที่พระพุทธองค์ตรัสกับพระอานนท์ ความว่า “ดูกรอานนท์ พระสัทธรรมของตถาคด จะตั้งอยู่นานประมาณกำหนด ๕๐๐๐ ปี” ด้วยคำทำนายนี้ ศาสตราจารย์ยอร์ช เซเดย์ (George Coedes) จึงได้เสนอความคิดเห็นว่า พุทธศาสนิกชนมีความเชื่อว่าพระพุทธศาสนาจะเสื่อมลงเมื่อครบอายุ จึงคิดทำพระพิมพ์และได้นำไปฝังในถ้ำหรือสถูปต่างๆ เป็นจำนวนหลายพันองค์ โดยหวังว่าในอนาคตอาจมีผู้บังเอิญขุดพบพระพิมพ์ที่มีรูปของพระพุทธเจ้าหรือหลักธรรมของพระองค์ พระพิมพ์นั้นอาจเป็นเครื่องเตือนใจให้ผู้พบเห็นเกิดความเลื่อมใสและเชื่อถือในศาสนาพุทธอีกครั้ง
สำหรับพระพิมพ์องค์นี้พบที่แหล่งโบราณคดีเขานุ้ย จังหวัดตรัง ซึ่งได้พบพระพิมพ์จากการดำเนินงานทางโบราณคดี จำนวนมากกว่า ๔๐๐ องค์ ถูกฝังอยู่ในพื้นของถ้ำ พระพิมพ์ที่พบจากถ้ำเขานุ้ยจึงถือเป็นตัวแทนในการสืบทอดพระพุทธสาสนา ตามคำทำนายที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสกับพระอานนท์
เอกสารอ้างอิง
- ธราพงศ์ ศรีสุชาติ. “ตะกั่วป่า : ชุมชนโบราณ,” สารานุกรมวัฒนธรรมไทยภาคใต้ ๓ (๒๕๔๒): ๒๕๓๕ –๒๕๕๖.
-บริบาลบุรีภัณฑ์, หลวง (ป่วน อินทุวงศ์).“เรื่องของพระพิมพ์,” เรื่องโบราณคดี. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์ รุ่งเรืองรัตน์, ๒๕๐๓.
-พิริยะ ไกรฤกษ์. “พระพิมพ์ : ที่พบในภาคใต้ก่อนพุทธศตวรรษที่ ๒๐,” สารานุกรมวัฒนธรรมไทยภาคใต้ ๑๐ (๒๕๔๒): ๕๐๔๑ – ๕๐๖๓.
-ภานุวัฒน์เอิ้อสามาลย์. ปฏิบัติการขุดกู้พระพิมพ์ดินดิบเขานุ้ย จังหวัดตรัง ปี ๒๕๕๕. (เอกสารยังไม่พิมพ์เผยแพร่).
-สุรสวัสดิ์ สุขสวัสดิ์, หม่อมหลวง. “การศึกษาพระพิมพ์ภาคใต้ของประเทศไทย” วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต สาขาวิชาโบราณคดีสมัยประวัติศาสตร์ บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร, ๒๕๒๘.
โครงการเผยแพร่มรดกทางศิลปวัฒนธรรมของชาติ
การแสดงโขน เรื่อง รามเกียรติ์ ตอน พิเภกสวามิภักดิ์
วันที่ ๗ มีนาคม ๒๕๕๖ ณ จังหวัดชัยภูมิ
(รวมภาพทั้งหมดที่ http://www.facebook.com/nakornchaiburin.silpakorn)
วันที่ ๒๔ สิงหาคม ๒๕๖๐ หอจดหมายเหตุแห่งชาติ จันทบุรี เดินทางไปสำรวจและรับมอบเอกสารเพื่อทำสำเนาจากคุณ วิภาศรี นิสสัย อดีตครูโรงเรียนสฤษดิเดช ซึ่งเป็นลูกของครูพลอย นิสสัย อดีตครูใหญ่ โรงเรียนวัดทองทั่ว ซึ่งเสียชีวิตไปเมื่อปี พ.ศ.๒๕๔๗ ซึ่งสมัยครูพลอย ยังมีชีวิตอยู่ได้ทำการสำรวจ เขียนบันทึกและจัดทำแผนที่ขอบเขตเมืองเพนียด ที่ตั้งโบราณสถาน รวมถึงเส้นทางโบราณ ไว้ เมือ พ.ศ.๒๕๑๗
ย้อนหลังไปในสมัยอยุธยาการแพทย์ของไทยยังคงไว้ซึ่งแบบแผนโบราณ มีการใช้ยาสมุนไพร และวิธีการรักษาพยาบาลตามความเชื่อทางไสยศาสตร์และโชคลาง การเรียนรู้วิชาแพทย์ได้จากการจดจำถ่ายทอดต่อกันมาหรือฝึกฝนทดลองใช้วิธีการต่าง ๆ จนเกิดความชำนาญ หมอบางคนรู้จริง บางคนใช้วิธีเดาสุ่มรักษาหรือใช้เวทมนตร์ ผู้ป่วยบางรายจึงต้องเสี่ยงอันตรายจากยาและวิธีการรักษาบางประเภท ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นการปฏิบัติงานของหมอแบ่งเป็น ๒ ลักษณะ คือ ๑. หมอหลวง คือ แพทย์ที่รับราชการอยู่ในราชสำนัก และรักษาผู้เจ็บป่วยตามพระบรมราชโองการเท่านั้น ๒. หมอราษฎร์ หรือหมอพื้นเมือง คือ บุคคลทั่วไปที่มีความรู้เกี่ยวกับยาและการรักษาโรค หรือผู้ที่พยายามตั้งตัวเป็นหมอโดยคิดว่าตนเองสามารถทำการรักษาได้ด้วยวิธีการต่าง ๆ อาทิ การใช้ยาสมุนไพร ไสยศาสตร์ เวทมนตร์คาถา ฯลฯ และเรียกค่าตอบแทนการรักษาได้ตามความพอใจของตน สำหรับยานั้นทำจากสมุนไพรที่ได้จากเปลือกไม้ ใบไม้ ดอกไม้ รากไม้ อวัยวะของสัตว์บางชนิด น้ำผึ้ง ฯลฯ อาจจะใช้ต้มกินเป็นยาน้ำ บดยาเป็นผง หรือปั้นเป็นลูกกลอน มีการใช้กลวิธีในการปรุงยาหรือผสมยาให้มีประสิทธิภาพเต็มที่ เช่น การดูฤกษ์ยาม และการใช้เวทมนตร์คาถา เป็นต้น อย่างไรก็ดี แม้ว่าการรักษาโรคด้วยสมุนไพรและพิธีกรรมบางอย่างจะดูประหนึ่งว่าไม่มีหลักเกณฑ์ แต่ก็ได้ผลในการรักษาโรคทางกายและจิตใจอยู่มาก ใน พ.ศ. ๒๓๖๓ รัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย เกิดไข้ป่วงใหญ่ (อหิวาตกโรค) ผู้คนล้มตายลงเป็นจำนวนมาก ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ประกอบพิธีอาพาธพินาศ โดยมีพระราชดำริถึงความเป็นไข้ซึ่งบังเกิดแก่อาณาประชาราษฎร์เป็นครั้งใหญ่นั้นนับว่าเป็น“กรรมของสัตว์” และยังมีผู้คนในเมืองอื่น ๆ ประสบทุกข์ภัยจากโรคร้ายนี้เช่นเดียวกัน เช่น ที่เกาะหมาก แพทย์ทั้งหลายไม่สามารถจะรักษาโรคนี้ให้หายได้ด้วยยาที่มีอยู่ จึงโปรดเกล้าฯ ให้จัดพระราชพิธีอาพาธพินาศ โดยให้มีการสวดอาฏานาฏิยสูตรหรือ อาฏานาฏิยปริต ยิงปืนใหญ่รอบพระนคร อัญเชิญพระแก้วมรกตและพระบรมธาตุมาตั้ง ณ พระมณฑลพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท นิมนต์พระราชาคณะร่วมกระบวนแห่โปรยปรายประน้ำพระปริตรโปรยทรายทั้งทางบกทางเรือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและพระบรมวงศานุวงศ์ ตลอดจนบรรดาข้าราชการ พร้อมกันทรงศีลและรักษาศีล ตั้งใจทำบุญสวดมนต์เป็นการใหญ่ พระราชทานพระราชทรัพย์เป็นอันมากเพื่อซื้อปลาและสัตว์สี่เท้าสองเท้าทั้งหลายในท้องตลาดปล่อยเป็นการกุศล ปล่อยนักโทษที่ถูกจองจำจนหมดสิ้น แม้จะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้กระทำการพระราชพิธีเพื่อปลอบขวัญพระนครและอาณาประชาราษฎร์ ทรงบำเพ็ญทานบารมี แต่ความไข้ก็มิได้เสื่อมทุเลาลง มิสามารถระงับโรคได้ จึงมิได้มีการประกอบพระราชพิธีนี้อีก แต่พระมหากษัตริย์ได้ทรงหันมาทำนุบำรุงด้านการแพทย์และสาธารณสุข ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวนับได้ว่าเป็นปีเริ่มต้นแห่งการแพทย์แผนปัจจุบันเมื่อมีมิชชันนารีเข้ามาเผยแพร่คริสต์ศาสนานิกายโปรเตสแตนต์ในเมืองไทยเป็นครั้งแรกได้แก่ ศาสนาจารย์ คาร์ล ออกัสตัส ฟรีดริค กุตสลาฟฟ์ (Carl Augustus Friedrich Gutzlaff) ชาวเยอรมัน และศาสนาจารย์ ยาคอบ ทอมลิน (Jacob Tomlin) ชาวอังกฤษจากสมาคมมิชชันนารีลอนดอน (London Missionary Society) ทั้งสองได้เริ่มงานด้วยการพิมพ์หนังสือเกี่ยวกับศาสนาออกแจกจ่าย หนังสือเหล่านี้พิมพ์จากประเทศจีน จากนั้น จึงจ่ายยารักษาโรคให้แก่ผู้ป่วยทั้งไทยและจีนอย่างกว้างขวาง เนื่องจากศาสนาจารย์กุตสลาฟฟ์มีความรู้ด้านการแพทย์ จึงรับรักษาโรคภัยไข้เจ็บให้แก่คนไทยโดยทั่วไปด้วย นับแต่นั้นเป็นต้นมาคนไทยจึงนิยมเรียกมิชชันนารีที่เข้ามาเผยแพร่คริสต์ศาสนานิกายโปรเตสแตนต์ในภายหลังว่า “หมอ” หลังจากที่คริสตจักรอเมริกา (American Board of Commissioners for Foreign Missions) ได้รับรายงานการเผยแพร่คริสต์ศาสนาในประเทศไทยของศาสนาจารย์กุตสลาฟฟ์ จึงส่งมิชชันนารีเข้ามาอีกหลายครั้ง จนกระทั่งนายแพทย์แดน บีช บรัดเลย์ (Dan Beach Bradley) เดินทางมาถึงกรุงเทพฯ ใน พ.ศ. ๒๓๗๘ เมื่อหมอบรัดเลย์เดินทางมาถึงกรุงเทพฯ เขาได้เปิดโอสถศาลาขึ้นที่บ้านพัก มีคนไข้มารับการรักษาและได้รับยาเป็นจำนวนมากทุกวัน ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น โรคระบาดที่คร่าชีวิตคนไทยมากที่สุดโรคหนึ่งคือ ไข้ทรพิษ การปลูกฝีป้องกันไข้ทรพิษเริ่มขึ้นเมื่อปลายพ.ศ. ๒๓๗๙ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พวกมิชชันนารีได้พยายามปลูกฝีป้องกันไข้ทรพิษมาหลายปี โดยใช้พันธุ์จากฝีดาษแต่ทว่าไม่มีใครเชื่อถือจนพวกมิชชันนารีทดลองปลูกฝีให้แก่บุตรของตนเองเป็นตัวอย่าง ผู้คนจึงเชื่อว่าปลูกได้จริง พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระราชประสงค์จะให้คนไทยได้รับการปลูกฝี เมื่อได้ทรงทราบว่าหมอมิชชันนารีปลูกฝีได้จริงจึงมีรับสั่งให้หมอหลวงไปหัดปลูกฝีเมื่อวันที่ ๒๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๓๖๐ ต่อมาเมื่อวันที่ ๓๐ มกราคม พ.ศ. ๒๓๘๒ หมอบรัดเลย์ได้พันธุ์หนองฝีมาจากอเมริกาเป็นครั้งแรก การปลูกฝีจึงเป็นที่แพร่หลาย นับเป็นการปลูกฝีป้องกันไข้ทรพิษครั้งแรกในกรุงเทพฯ หลังจากนั้นมาการแพทย์ของไทยจึงได้รับการพัฒนาตามแนวทางตะวันตกอย่างต่อเนื่องโดยลำดับมาจนถึงปัจจุบัน วิชาความรู้และเครื่องมือทางการแพทย์ที่ทันสมัยช่วยบำบัดรักษาผู้ป่วยและผู้บาดเจ็บได้อย่างมีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ดีคำกล่าวที่ว่า “การไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ” นั้นยังคงเป็นความปรารถนาของทุก ๆ คนเสมอ เรียบเรียงโดย นายชรัตน์ สิงหเดชากุล นักอักษรศาสตร์ชำนาญการ กลุ่มแปลและเรียบเรียง สำนักวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ ที่มาของข้อมูล https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=2886149994766917&id=346438995404709&__tn__=K-R