ค้นหา

รายการที่พบทั้งหมด 48,746 รายการ

เรียบเรียงโดย นางสาวอุไร คำมีภา นักภาษาโบราณปฏิบัติการ


          โบราณสถานที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากหาดสมิหลา เป็นโบราณสถานที่มีความสวยงาม และมีสำคัญทางประวัติศาสตร์ของสงขลาซึ่งไม่ค่อยมีคนรู้จัก นั่นคือ สงขลาสโมสร หรือ สโมสรข้าราชการจังหวัดสงขลา           สงขลาสโมสร หรือ สโมสรข้าราชการจังหวัดสงขลา" ได้ก่อตั้งมาอย่างน้อยประมาณ ร.ศ.๑๓๑ หรือปี พ.ศ. ๒๔๕๕ (ในช่วงต้นร. ๖) แต่ตัวอาคารของสโมสรนั้นได้ก่อสร้างในภายหลังคือเมื่อประมาณปี พ.ศ. ๒๔๗๕ โดยพระยาภัทรนาวิกธรรมจำรูญ (เอื้อน ภัทรนาวิก) อธิบดีผู้พิพากษาศาลมณฑลนครศรีธรรมราช ซึ่งตั้งอยู่ที่เมืองสงขลาในขณะนั้นเป็นผู้ริเริ่มให้มีการก่อสร้างขึ้นเป็นอาคารที่มีฝาผนังก่อด้วยหิน พร้อมด้วยสนามเทนนิส และโต๊ะบิลเลียดที่มีอุปกรณ์ครบครัน ใช้งบประมาณการก่อสร้างทั้งสิ้น ๒๕,๐๐๐ บาท ซึ่งช่วงเวลานั้นตรงกับสมัยที่พระยาศรีธรรมราชชาติเดโชไชยมไหสุริยาธิบดีพิริยพาหุ (ทองคำ กาญจนโชติ) เป็นสมุหเทศาภิบาลมณฑลนครศรีธรรมราชคนสุดท้าย            ในระยะแรกคงเรียกขานกันว่า สถานสงขลาสโมสร เพื่อเป็นสถานที่ให้ข้าราชการได้พบปะ อุปการะช่วยเหลือกัน ส่งเสริมความสามัคคี และกิจกรรมการกุศลสาธารณประโยชน์ แต่ยังไม่ได้จดทะเบียนจัดตั้งให้ถูกต้องตามกฎหมาย            ในคืนวันที่ ๖ ธันวาคม ๒๔๘๔ (หรืออาจเป็นคืนวันที่ ๕ ธ.ค.๘๔) กงศุลใหญ่ญี่ปุ่นได้เชิญข้าราชการทหารและพลเรือนของไทยเข้าร่วมงานเลี้ยงที่สโมสรฯ โดยมีหลวงเสนาณรงค์ ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ ๖ (นครศรีธรรมราช) ซึ่งมาราชการที่สงขลาได้ไปร่วมในงานเลี้ยงดังกล่าวด้วย หลังจากนั้นในวันที่ ๘ ธันวาคม ๒๔๘๔ กองทัพญี่ปุ่นยกพลขึ้นบกและยึดสถานที่ราชการบริเวณแหลมสมิหลาแล้ว กองทัพญี่ปุ่นจึงใช้อาคารสโมสรข้าราชการจังหวัดสงขลาเป็นที่ตั้งกองบัญชาการชั่วคราวในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ ๒            หลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้น อาคารสโมสรจังหวัดสงขลาจึงมีการใช้งานที่สำคัญอีกครั้งเป็นพลับพลาที่ประทับชั่วคราวของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เมื่อวันพุธที่ ๑๘ มีนาคม ๒๕๐๒ เพื่อทอดพระเนตรการแสดงกีฬาชนโค และการรำมโนราห์ของนักเรียนจากโรงเรียนสตรีประจำจังหวัดสงขลา เมื่อครั้งเสด็จพระราชดำเนินมาเยี่ยมเยียนพสกนิกรจังหวัดสงขลา และจังหวัดอื่นๆ ในภาคใต้เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๒            ต่อมาเมื่อวันที่ ๑๖ พฤศจิกายน ๒๕๓๐ นายชิต นิลพานิช ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา ในขณะนั้นได้ริเริ่มประชุมคัดเลือกคณะกรรมการชุดแรก ๑๐ คน และเสนอเรื่องขอจัดตั้งสโมสร เป็นสมาคมสโมสรจังหวัดสงขลา โดยคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติตอบอนุญาตเมื่อวันที่ ๑๖ มีนาคม ๒๕๓๑ และนายทะเบียนสมาคมจังหวัดสงขลาได้รับจดทะเบียนเป็นเลขลำดับที่ ๑๙๘ ไว้ถูกต้องตามกฎหมาย เมื่อวันที่ ๑๕ เมษายน ๒๕๓๑            ในปีพ.ศ. ๒๕๓๑ บริษัท สถานสงขลา จำกัด ได้ขอทำสัญญาเช่าอาคารสโมสรจังหวัดสงขลาอย่างต่อเนื่องเรื่อยมาจนกระทั่งถึงปี พ.ศ. ๒๕๕๘ (หมดสัญญาเช่าวันที่ ๒๗ ธันวาคม ๒๕๕๘) โดยผู้เช่าได้ดำเนินการปรับปรุงซ่อมแซมอาคารสโมสรฯ ตามแบบของกรมโยธาธิการและผังเมืองมาแล้วสองครั้ง คือ ครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๓๑ เป็นเงินจำนวน ๒,๕๐๐,๐๐๐ บาท (สองล้านห้าแสนบาทถ้วน) และครั้งที่สอง เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๔๓ เป็นเงินจำนวน ๑,๕๐๐,๐๐๐ บาท (หนึ่งล้านห้าแสนบาทถ้วน)            โบราณสถานแห่งนี้จึงนับเป็นอาคารสโมสรข้าราชการหลังแรกของจังหวัดสงขลา และมีบทบาทอยู่ในเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ของจังหวัดสงขลาทั้งช่วงเริ่มต้นและในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ ๒ อีกทั้งยังเป็นอาคารสำคัญหนึ่งในไม่กี่แห่งของจังหวัดสงขลาที่ไม่ได้รับความเสียหายจากการทิ้งระเบิดในช่วงสงครามโลกดังกล่าว เพราะอาคารสำคัญอื่นๆที่อยู่ในช่วงเวลาเดียวกันมักจะได้รับความเสียหายจากภัยสงคราม และที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้นคืออาคารหลังนี้ได้ทำหน้าที่เสมือนเป็นอนุสรณ์แห่งความทรงจำและความภาคภูมิใจของพสกนิกรชาวสงขลาที่ได้มาเข้าเฝ้ารับเสด็จพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เมื่อวันพุธที่ ๑๘ มีนาคม ๒๕๐๒ อีกด้วย            นอกจากประวัติแห่งการก่อสร้างและประวัติการใช้งานที่สำคัญแล้ว ความน่าสนใจของอาคารหลังนี้ คือการใช้หินแกรนิตสอด้วยปูนก่อขึ้นเป็นผนังอาคาร ซึ่งน่าจะเป็นเทคนิคและความสามารถเฉพาะของบรรพบุรุษชาวสงขลาในงานก่อสร้างที่ใช้หินเป็นวัสดุหลัก โดยผ่านการเรียนรู้สะสมประสบการณ์และถ่ายทอดองค์ความรู้จากรุ่นสู่รุ่น ตั้งแต่เมื่อครั้งก่อสร้างกำแพงเมืองและป้อมปราการต่างๆที่เมืองสงขลาเก่าฝั่งหัวเขาแดงในสมัยอยุธยาตอนกลาง เรื่อยมาจนถึงการก่อสร้างกำแพงเมืองสงขลาเก่าฝั่งบ่อยาง ในสมัยรัชกาลที่ ๓ และการสร้างกำแพงวัดมัชฌิมาวาสกับวัดแจ้งด้วย จึงถือได้ว่าเป็นอัตลักษณ์งานก่อสร้างเฉพาะตัวของพื้นถิ่นสงขลา และอาคารสำคัญทางประวัติศาสตร์อื่นๆในเมืองสงขลาก็ไม่ปรากฏการก่อสร้างโดยใช้หินสอปูนก่อขึ้นเป็นผนังอาคารด้วยเช่นกัน อาคารสโมสรจังหวัดสงขลาจึงน่าเป็นอาคารสำคัญทางประวัติศาสตร์เพียงแห่งเดียวในเมืองสงขลาที่ยังคงเก็บรักษาและแสดงอัตลักษณ์งานก่อสร้างโดยใช้หินสอปูนก่อขึ้นเป็นผนังอาคารของช่างชาวสงขลาได้เป็นอย่างดี            สิ่งที่น่าสนใจอีกประการหนึ่ง คือ การเลือกใช้คำในภาษาบาลีมาเป็นข้อความประกอบด้านล่างตราสัญลักษณ์จังหวัดสงขลาที่หน้าจั่วด้านหน้าของอาคาร คือคำว่า “ปณฺฺฑิตานญฺฺจเสวนา” ซึ่งเป็นมงคลข้อที่ ๒ ของมงคล ๓๘ ประการ ในคำสอนทางพระพุทธศาสนามีความหมายว่า การคบหาสมาคมกับบัณฑิต นักปราชญ์ หรือผู้มีปัญญา จัดเป็นมงคลแก่ชีวิต ทั้งในปัจจุบันและอนาคต เพราะอาจจะทำให้ได้รับความรู้ เกิดปัญญา และความเจริญสุขสวัสดิ์แก่ตน ตรงกับสำนวนไทยที่ว่า คบบัณฑิต บัณฑิตพาไปหาผล           การมีข้อความนี้ปรากฏอยู่ด้านหน้าอาคารสโมสรจังหวัดสงขลา อาจจะต้องการสื่อความหมายเพื่อเป็นสิ่งเตือนใจให้ข้าราชการในสโมสรรู้จักคบหาแต่คนดีมีความรู้ เพื่อจะได้ช่วยกันนำความรู้ไปพัฒนาบ้านเมืองให้เจริญยิ่งๆขึ้นไป หรืออีกนัยยะหนึ่ง หมายถึง สโมสรจังหวัดสงขลา เป็นสถานที่แห่งการเสวนาพบปะกันของข้าราชการ ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นบัณฑิตผู้มีความรู้ความสามารถนั่นเอง ------------------------------------เรียบเรียงมาจาก : รายงานการสำรวจขึ้นทะเบียนโบราณสถานอาคารสโมสรจังหวัดสงขลา ตำบลบ่อยาง อำเภอเมืองสงขลา จังหวัดสงขลา ปี ๒๕๖๐ ซึ่งจัดทำโดย นางสาวชนาธิป ไชยานุกิจ นักโบราณคดีชำนาญการ กลุ่มโบราณคดี สำนักศิลปากรที่ ๑๑ สงขลา ------------------------------------ที่มาของข้อมูล หนังสือ-วารสาร ๑. คณะกรรมการฝ่ายประมวลเอกสารและจดหมายเหตุ ในคณะกรรมการอำนวยการจัดงานเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ จัดพิมพ์เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๖ รอบ ๕ ธันวาคม ๒๕๔๒ .วัฒนธรรม พัฒนาการทางประวัติศาสตร์เอกลักษณ์และภูมิปัญญา จังหวัดสงขลา.กรุงเทพ : โรงพิมพ์คุรุสภาลาดพร้าว, ๒๕๔๕. ๒.คณะศาลจังหวัดสงขลา.อนุสสรเมืองสงขลา.พิมพ์แจกเป็นที่ระฤกในงานพิธีเปิดที่ทำการใหม่ศาลจังหวัดสงขลา วันที่ ๒๔ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๘๔. พระนคร : โรงพิมพ์โสภณพิพรรฒธนากร, ๒๔๘๔ ๓. ศรีสมร ศรีเบญจพลางกูร. ประวัติศาสตร์เมืองสงขลา. พิมพ์ครั้งที่ ๒. กรุงเทพฯ : หจก.ภาพพิมพ์, ๒๕๔๔. ๔. ศิลปกรรมพิเศษ, ขุน (แปลก ศิลปกรรมพิเศษ). ๒๕๓๑. “เมื่อญี่ปุ่นบุกสงขลา” วารสารรูสมิแล ปีที่ ๑๑ ฉบับที่ ๒ : หน้า ๘๓-๘๔, มกราคม – เมษายน ๒๕๓๑. ๕. สรศัลย์ แพ่งสภา. สงครามมืด วันญี่ปุ่นบุกไทย. พิมพ์ครั้งที่ ๒. กรุงเทพฯ : สารคดี, ๒๕๕๘. ภาพถ่ายเก่า ๑. หอจดหมายเหตุแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ สงขลา ๒. อาจารย์จรัส จันทร์พรหมรัตน์ โรงเรียนมหาวชิราวุธ อำเภอเมืองสงขลา จังหวัดสงขลา





ผู้แต่ง : หลวงบริบาลบุรีภัณฑ์ ฉบับพิมพ์ : พิมพ์ครั้งที่ 1  สถานที่พิมพ์ : พระนคร สำนักพิมพ์ : กรมศิลปากร ปีที่พิมพ์ : 2504 หมายเหตุ : พิมพ์เป็นอนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ หลวงประกอบธนกิจ (เปรื่อง อุณหสุวรรณ) 18 ธันวาคม 2504                            เนื้อหากล่าวถึงมูลเหตุในการสร้างพระพุทธรูป ลักษณะพระพุทธรูปและพระพุทธรูปในสมัยต่างๆ ได้แก่ ลักษณะพระพุทธรูปและพระพุทธรูปในสมัยสมัยทวารวดี ลักษณะพระพุทธรูปและพระพุทธรูปในสมัยสมัยศรีวิชัย ลักษณะพระพุทธรูปและพระพุทธรูปในสมัยสมัยลพบุรี ลักษณะพระพุทธรูปและพระพุทธรูปในสมัยสมัยเชียงแสน ลักษณะพระพุทธรูปและพระพุทธรูปในสมัยสมัยสุโขทัย ลักษณะพระพุทธรูปและพระพุทธรูปในสมัยสมัยอยุธยา และลักษณะพระพุทธรูปและพระพุทธรูปในสมัยสมัยรัตนโกสินทร์


(ตอนที่ ๓) ๐ วิหารวัดม่อนปู่ยักษ์ จังหวัดลำปาง : ฝีมือช่างพม่าในเมืองลำปาง พุทธศักราช ๒๔๔๐-๒๔๗๐ ๐ วิหารวัดกองแขก อำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ : จิตรกรรมพื้นบ้าน กลางพุทธศตวรรษที่ ๒๕ ๐ วิหารวัดบ้านก่อ อำเภอวังเหนือ จังหวัดลำปาง : จิตรกรรมพื้นบ้าน กลางพุทธศตวรรษที่ ๒๕ --------------------------------------- ๐ในครั้งหน้า เราจะมาพูดในหัวข้อ จิตรกรรมล้านนา ตอนสุดท้าย "วิหารวัดภูมินทร์ จังหวัดน่าน : ฝีมือช่างไทใหญ่ ครึ่งแรกพุทธศตวรรษที่ ๒๕"  ฝากติดตามด้วยนะคะ  ---------------------------------------- พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เชียงใหม่ เปิดให้บริการทุกวันพุธ – วันอาทิตย์ (หยุดทุกวันจันทร์ อังคาร และวันหยุดนักขัตฤกษ์) ตั้งแต่เวลา ๐๙.๐๐ – ๑๖.๐๐ น. โทรศัพท์ : ๐๕๓-๒๒๑๓๐๘ e-mail : cm_museum@hotmail.com


เรียบเรียงโดย นางสาวอุไร คำมีภา นักภาษาโบราณปฏิบัติการ


ชื่อเรื่อง                           เทศนาสังคิณี – มาปัฏฐานสพ.บ.                             148/3ประเภทวัสดุมีเดีย                    คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่                               พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ                           26 หน้า กว้าง 5.5 ซ.ม. ยาว 56.5 ซ.ม. หัวเรื่อง                                 ธรรมเทศนาบทคัดย่อ/บันทึก เป็นคัมภีร์ใบลาน อักษรขอม เส้นจาร ฉบับทองทึบ ภาษาบาลี-ไทย ได้รับบริจาคมาจากวัดพยัคฆาราม ต.ศรีประจันต์ อ.ศรีประจันต์ จ.สุพรรณบุรี


ชื่อเรื่อง                                ทิพฺพมนฺต (ทิพพมนต์)สพ.บ.                                  234/1กประเภทวัสดุมีเดีย                    คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่                               พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ                           6 หน้า กว้าง 4.5 ซ.ม. ยาว 58.6 ซ.ม. หัวเรื่อง                                 พุทธศาสนา                                           บทสวดมนต์ บทคัดย่อ/บันทึก เป็นคัมภีร์ใบลาน อักษรธรรมอีสาน  เส้นจาร ฉบับลานดิบ ภาษาบาลี-ไทยอีสาน ได้รับบริจาคมาจากวัดทุ่งอุทุมพร ต.บางปลาม้า อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี


ชื่อเรื่อง                                กมฺมวาจาวิธิ บอกวัตรสพ.บ.                                  136/1ประเภทวัสดุมีเดีย                    คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่                               พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ                           58 หน้า กว้าง 5 ซ.ม. ยาว 56 ซ.ม. หัวเรื่อง                                 ธรรมะ บทคัดย่อ/บันทึก เป็นคัมภีร์ใบลาน อักษรขอม เส้นจาร ฉบับล่องชาด ได้รับบริจาคมาจากวัดกุฏีทอง ต.รั้วใหญ่ อ.เมือง จ.สุพรรณบุรี


"กู่นางอุสา" ศาสนสถานสองกาลเวลา เพิงหินขนาดเล็กกลางลานกว้างที่ถูกล้อมรอบด้วยหลักหิน หรือ "ใบเสมาหิน" ขนาดใหญ่ทั้ง 8 ใบ นั้นถูกเรียกชื่อตามนิทานอุสา-บารสว่า "กู่นางอุสา" อันเป็นสถานที่เก็บกระดูกของนางอุสาและพี่เลี้ยง แต่ตามหลักฐานทางโบราณคดีที่ยังคงหลงเหลือมาถึงปัจจุบัน ทำให้นักโบราณคดีสันนิษฐานถึงหน้าที่การใช้งานของกู่นางอุสาได้ดังต่อไปนี้ >>> 3000-1500 ปีมาแล้ว "กู่นางอุสา" อาจยังไม่มีชื่อเรียก หรือมีชื่อเรียกอย่างอื่น แต่คนปัจจุบันลืมไปแล้ว รวมทั้งยังไม่มีการนำใบเสมามาปักล้อมรอบ เป็นเพียงเพิงหินรูปร่างแปลกตาที่มีคนโบราณยุคก่อนประวัติศาสตร์เข้ามาทำพิธีกรรมบางอย่างโดยการ นำสีแดงมาวาดไว้ (ซึ่งภาพวาดที่ว่านี้ก็เหลือมาถึงปัจจุบัน เรียกว่า ภาพเขียนสีสมัยก่อนประวัติศาสตร์) >>>ราว 1000 ปีก่อน ตรงกับสมัยทวารวดี อันเป็นสมัยที่ประเทศไทยเริ่มรับศาสนาจากอินเดียเข้ามา (เข้าสู่สมัยประวัติศาสตร์) บริเวณพื้นที่ภูพระบาทก็ได้รับเอาศาสนาพุทธเข้ามาด้วยเช่นกัน ตอนนี้แหละที่กู่นางอุสาได้มีการนำเอาหลักหินหรือเสมาหินมาปักล้อมรอบทั้ง 8 ทิศ และเข้าใจว่า กู่นางอุสาก็ถูกเปลี่ยนให้เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของพุทธศาสนา (ถึงตรงนี้ก็ยังไม่มีหลักฐานแน่ชัดว่า กู่นางอุสา เคยมีชื่อเรียกว่าอะไร) >>>ราว 200-300 ปีก่อน ตรงกับช่วงปลายอยุธยา-สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น มีหลักฐานถึงการอพยพเข้ามาของชาวไทยพวนยังพื้นที่รอบๆภูพระบาท และได้นำเอานิทานอุสา-บารสเข้ามาเล่าเรื่องราวโบราณสถานบนภูพระบาท (เข้าใจว่าเป็นช่วงเวลาที่ เพิงหินขนาดเล็กเพิงนี้ ได้ชื่อว่า กู่นางอุสา)


ชื่อเรื่อง                                ปฐมสมฺโพธิ (ปฐมสมโพธิกถา)สพ.บ.                                  163/1ประเภทวัสดุมีเดีย                    คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่                               พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ                           58 หน้า กว้าง 4.5 ซ.ม. ยาว 57 ซ.ม. หัวเรื่อง                                 พุทธศาสนา                                           พระมหากาล                                           พุทธสาวก--ชีวประวัติ บทคัดย่อ/บันทึก เป็นคัมภีร์ใบลาน อักษรขอม เส้นจาร ฉบับล่องชาด ได้รับบริจาคมาจากวัดพยัคฆาราม ต.ศรีประจันต์ อ.ศรีประจันต์ จ.สุพรรณบุรี


เพลงโคราช ว่าด้วยจารีตและคติความเชื่อ[๑] เพลงโคราชเป็นการแสดงพื้นเมืองของจังหวัดนครราชสีมาเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ที่สะท้อนถึงคติชนวิทยา วิถีชีวิต ขนบธรรมเนียมประเพณี และเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมของชาวจังหวัดนครราชสีมา  สันนิษฐานว่าเพลงโคราชมีมาตั้งแต่สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น เพลงโคราชมีลักษณะเป็นเพลงปฏิพากษ์ที่ไม่มีดนตรีประกอบการขับร้อง เน้นความคมคายและโวหารของเนื้อหาบทเพลงที่ใช้ในการขับร้องเป็นสำคัญ จารีตและความเชื่อในกระบวนการเรียนรู้เพลงโคราช ในอดีตการเรียนรู้การแสดงเพลงโคราช ผู้ที่สนใจจะเป็นหมอเพลงหรือผู้แสดงเพลงโคราชจะไปฝากตัวเป็นศิษย์กับครูเพลง เพื่อให้ครูเพลงพิจารณาน้ำเสียง บุคลิก และปฏิภาณไหวพริบซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญของการเป็นหมอเพลงโคราช หากครูเพลงเห็นควรรับเป็นศิษย์ก็จะให้มาพำนักที่บ้านครูเพลงเพื่อฝึกหัดเป็นหมอเพลง ทั้งนี้ เริ่มด้วยการยกครูหรือทำพิธีบูชาครู เครื่องบูชาครูประกอบด้วย กรวยครู ๖ กรวย ดอกไม้ขาว ๖ คู่ เทียน ๖ เล่ม ธูป ๑๒ ดอก ผ้าขาว ๑ ผืน เงินบูชาครู ๖ บาท (บางแห่งใช้ ๑๒ หรือ ๒๔ บาท) เหล้าขาว ๑ ขวด บุหรี่ ๑๒ มวน โดยศิษย์จะถือพานยกครูมาบูชาครูเพลงเพื่อขอเป็นศิษย์ แล้วครูเพลงกล่าวนำให้ศิษย์ว่าตาม ครูจะทำน้ำมนต์ ประสระ (ครูเทน้ำมนต์รดศีรษะศิษย์) เพื่อเป็นสิริมงคล เมื่อศิษย์ทำการยกครูหรือบูชาครูแล้วครูเพลงมักจะให้ศิษย์เข้ามาพำนักอยู่ที่บ้านครูเพลง โดยช่วงเวลากลางวันศิษย์ก็จะช่วยครูเพลงทำงานบ้านหรืองานในเรือกสวนไร่นา ในช่วงเวลากลางคืน ศิษย์จะฝึกหัดเพลงโคราชด้วยการต่อเพลงกับครูเพลงแบบปากต่อปาก คืนละ ๑ กลอน ศิษย์ต้องท่องจำให้ขึ้นใจและว่าให้ครูฟังในตอนเช้า หากจำไม่ได้ก็ต้องต่อใหม่ในคืนถัดไปจนกว่าจำได้  ในขั้นตอนการฝึกหัดนี้นอกจากฝึกการต่อเพลงแล้วครูจะฝึกการเอื้อนทำนอง การออกเสียง และการด้นกลอนสดจากสิ่งแวดล้อมรอบตัวให้เชี่ยวชาญ ครูบางท่านเสกคาถามุตโตลงบนใบไม้แล้วให้ศิษย์กิน หรือเสกน้ำมนต์ล้างหน้า เสกข้าว ๓ ปั้น ให้ศิษย์นั่งกินบนจอมปลวกช่วงตะวันขึ้น เชื่อกันว่าจอมปลวกเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทำให้ศิษย์มีสติปัญญาและปฏิภาณไหวพริบเฉียบแหลม เรียกกันว่า “องค์สี่” คือ ปัญญาดี เสียงดี ชั้นเชิงดี และใจเย็น จารีตและความเชื่อในการแสดงเพลงโคราช หมอเพลงโคราชจะมีคติความเชื่อ และจารีตข้อห้ามในการแสดงหลายประการด้วยกัน แบ่งออกเป็น ๒ ประเภท คือ ๑. จารีตและความเชื่อในลำดับการแสดง ในการแสดงเพลงโคราชก่อนที่จะขึ้นแสดงบนเวที หมอเพลงจะต้องทำการยกครู (ไหว้ครู) โดยเจ้าภาพจะต้องเตรียมขันครู (เครื่องไหว้ครู) ให้กับหมอเพลง ประกอบด้วย กรวยพระ ๖ กรวย เทียน ๖ เล่ม  ธูป ๑๘ ดอก (กรวยละ ๓ ดอก) เงิน ๒๔ บาท  ผ้าขาว ๑ ผืน  ดอกไม้ ๑๒ ดอก สุราขาว ๑ ขวด  บุหรี่ ๑ ซอง[๒] อนึ่ง หมอเพลงแต่ละท่านจะมีรูปแบบของการไหว้ครูตามความเชื่อของแต่ละสายตระกูลแตกต่างกันไป ตัวอย่างคำกล่าวยกครู สำนวนครูบุญสม กำปัง (นายบุญสม สังข์สุข) “อิติปิโส ภะคะวา มือข้าพเจ้าสิบนิ้ว ยกขึ้นหว่างคิ้ว ข้าพเจ้าจะขอพนมกรนมัสการ สรรเสริญคุณพระพุทธคุณณัง  พระธรรมคุณณัง     พระสังฆคุณณัง  คุณบิดรมารดา  คุณครูบาอาจารย์  คุณอุปัชฌาย์อาจารย์  คุณพระอินทร์เจ้าฟ้า  ขอเชิญท่านเสด็จลงมา  รักษาดวงจิตดวงใจของข้าพเจ้า  ให้เป็นสุขทุกราตรี  ขอเชิญ  พระเสื้อเมือง  พระทรงเมืองผู้เริงราชย์  ขอเชิญท่านเสด็จลงมา  รักษาดวงจิตดวงใจของข้าพเจ้าให้มั่นคง  ข้าพเจ้าประสงค์สิ่งใด  ขอให้ข้าพเจ้าได้สิ่งนั้น เทอญ” [๓] นอกจากนี้ ในการยกครูนี้ หมอเพลงก็จะว่าคาถามหานิยม หรือคาถาทรงปัญญา เพื่อเป็น   การเรียกผู้ชมให้นิยมหลงใหลในการแสดงของตน  ในที่นี้ขอยกตัวอย่างคาถามหานิยม สำนวนของครูบุญสม กำปัง (นายบุญสม สังข์สุข)[๔] ดังนี้ คาถามหานิยม  “สะสะนะมุโม  โปร่งปรุปราดเปรื่อง ข้าฉลาดยะเอ็นดู  นะโมพุทธายะ” คาถาทรงปัญญา  “โอมปุรุ ทะลุปัญญา” คาถาสาลิกาลิ้นทอง “กะระวิเว  วิเนอะ” คาถาเสกแป้ง “นะเอยโมโม  นะเอยซ่อนเมตตา  นะเอยคนทั้งหลายดูกู นะ” คาถาพุทธโอวาท  “พุทธะ  โอวาทะ” ๒. จารีตและความเชื่อเกี่ยวกับสถานที่แสดง การสร้างโรงเพลง การแสดงเพลงโคราชจะแสดงบนเวทีการแสดงหรือที่เรียกกันว่า “โรงเพลง” มีลักษณะเป็นศาลายกใต้ถุนสูง  มีเสา ๔ เสา แต่เดิมหลังคามุงด้วยทางมะพร้าว หรือหญ้า หรือแฝก ตามวัสดุที่มีมากในแต่ละท้องถิ่น สำหรับการตั้งโรงเพลงนี้จะมีจารีตในการสร้างอยู่หลายประการด้วยกัน[๕] เชื่อว่าหากไม่ปฏิบัติตามจะทำให้มีอุปสรรคในการแสดง ด้นเพลงไม่ออก หรืออาจทำให้หมอเพลงล้มป่วย สำหรับจารีตและความเชื่อเกี่ยวกับสถานที่แสดงที่สำคัญ มีดังนี้ (๑)   ห้ามสร้างโรงเพลงคร่อมจอมปลวก (๒)   ห้ามใช้ต้นไม้เป็นเสาของโรงเพลงด้านใดด้านหนึ่ง (๓)   ห้ามสร้างโรงเพลงต่อจากยุ้งข้าว (๔)   ห้ามสร้างโรงเพลงใกล้ บดบัง หรือเสมอศาลพระภูมิ   หลังจากที่ทำการปลูกสร้างโรงเพลงเสร็จแล้ว ในอดีตจะมีการมัดตอกและบริกรรมคาถา เป็นการทำคุณไสยให้คู่แข่งมีอุปสรรค ไม่ประสบความสำเร็จในการแสดง  ทั้งนี้ หากโรงเพลงถูดมัดด้วยตอกก็จะต้อง   แก้ตอกเพื่อเป็นการแก้เคล็ด   การขึ้นโรงเพลง การจะขึ้นโรงเพลงของหมอเพลงนั้นมีจารีตในการปฏิบัติเช่นกัน โดยหมอเพลงจะต้องดูทิศและวันที่เป็นมงคลในการขึ้นโรงเพลง เช่น หากแสดงตรงกับวันเสาร์ หมอเพลงจะต้องขึ้น  โรงเพลงจากทิศตะวันตก หันหน้าไปทางทิศตะวันออก ถ้าการแสดงตรงกับวันอาทิตย์ หมอเพลงจะต้องขึ้น  โรงเพลงจากทิศเหนือ หันหน้าไปทางทิศใต้  หากฝ่าฝืนจะโดนผีหลวงหลาวเหล็ก ทำให้หมอเพลงด้นเพลงไม่ออก การแสดงมีอุปสรรค นอกจากการดูทิศแล้ว การจะก้าวขึ้นโรงเพลง หมอเพลงจะต้องก้าวเท้าตามลมหายใจข้างขวาหรือซ้าย ในก้าวแรกที่ขึ้นโรงเพลง เมื่อขึ้นโรงเพลงแล้วหมอเพลงก็จะว่าคาถามหานิยม คาถาทรงปัญญา เป็นต้น ดังกล่าวมาแล้วข้างต้น                                                           [๑]นายภูวนารถ  สังข์เงิน  นักอักษรศาสตร์ปฏิบัติการ  กลุ่มจารีตประเพณี  สำนักวรรณกรรมและประวัติศาสตร์  ค้นคว้าเรียบเรียง [๒] สัมภาษณ์ นายบุญสม  สังข์สุข  นายกสมาคมเพลงโคราช  วันที่ ๒๑ พฤษภาคม ๒๕๕๘. [๓] เรื่องเดียวกัน. [๔] เรื่องเดียวกัน. [๕] เรื่องเดียวกัน.


ตำราปลูกพืช ชบ.ส. ๑๐๐ เจ้าอาวาสวัดเขาคันธมาทน์ ต.สัตหีบ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี มอบให้หอสมุด ๒๓ ก.ค. ๒๕๓๕ เอกสารโบราณ (สมุดไทย)


สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สังคิณี-มหาปัฎฐาน) เลขที่ ชบ.บ.31/1-6 เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)


black ribbon.