ค้นหา
รายการที่พบทั้งหมด 48,784 รายการ
ผู้แต่ง : สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ
ฉบับพิมพ์ : พิมพ์ครั้งที่ 1
สถานที่พิมพ์ : พระนคร
สำนักพิมพ์ : โรงพิมพ์พระจันทร์
ปีที่พิมพ์ : 2489
หมายเหตุ : -
กล่าวถึง พระราชประวัติพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ระเบียบพระราชานุกิจในรัชกาลที่ 5 และการเสด็จไปเยือนต่างประเทศ ในช่วงปี พ.ศ. 2414-2415.
ในปี พ.ศ.2561 ที่ผ่านมา สำนักศิลปากรที่ 7 เชียงใหม่ และ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ร่วมกันจัดทำแบบจำลองสามมิติโบราณสถานในพื้นที่เมืองเชียงใหม่ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาฐานข้อมูลสำหรับงานทางวิชาการและประโยชน์ในการอนุรักษ์งานศิลปกรรมต่อไปในอนาคต
การดำเนินการครั้งนั้น สามารถจัดทำแบบจำลองสามมิติโบราณสถานได้มากกว่า 60 แห่ง ข้อมูลส่วนหนึ่งได้จัดพิมพ์ออกมาในรูปแบบของหนังสือพร้อมข้อมูลของตัวโบราณสถาน หากสถานศึกษา หรือบุคคลใดสนใจศึกษาข้อมูลดังกล่าว สามารถติดต่อได้ที่ห้องสมุดกลุ่มโบราณคดี สำนักศิลปากรที่ 7 เชียงใหม่
สำหรับแนวทางในอนาคต แบบจำลองสามมิติในรูปแบบดิจิตอล จะถูกนำไปใช้เพื่อการศึกษาและอธิบายพัฒนาการของรูปแบบงานศิลปกรรมเมืองเชียงใหม่ต่อไป
ชื่อเรื่อง เทศนาธัมมสังคิณี-มหาปัฏฐานสพ.บ. 198/2ประเภทวัสดุมีเดีย คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่ พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ 60 หน้า กว้าง 4.3 ซ.ม. ยาว 56.4 ซ.ม. หัวเรื่อง พุทธศาสนา บทสวดมนต์บทคัดย่อ/บันทึก
เป็นคัมภีร์ใบลาน อักษรธรรมอีสาน เส้นจาร ฉบับล่องชาด ได้รับบริจาคมาจาก วัดกกม่วง ต.บางปลาม้า อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี
ชื่อเรื่อง ภิกฺขุปาติโมกฺข (ปาติโมกข์)สพ.บ. 228/1กประเภทวัสดุมีเดีย คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่ พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ 64 หน้า กว้าง 5.1 ซ.ม. ยาว 55 ซ.ม. หัวเรื่อง พระปาติโมกข์ พระพุทธศาสนา
บทคัดย่อ/บันทึก
เป็นคัมภีร์ใบลาน อักษรธรรมอีสาน เส้นจาร ฉบับล่องชาด ภาษาบาลี ได้รับบริจาคมาจากวัดทุ่งอุทุมพร ต.บางปลาม้า อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี
วัจจกุฎี : สุขอนามัยของสงฆ์แห่งเมืองกำแพงเพชร
พื้นที่ในเขตศาสนสถานทั่วไป สามารถแบ่งออกได้ ๒ พื้นที่ ได้แก่
๑. เขตพุทธาวาส เป็นพื้นที่สำหรับประกอบพิธีกรรมทางศาสนา เป็นเหมือนสัญลักษณ์ที่ประทับของพระพุทธเจ้า ปรากฏสถาปัตยกรรมสำคัญ เช่น เจดีย์ วิหาร อุโบสถ
๒. เขตสังฆาวาส เป็นพื้นที่ที่กำหนดไว้ให้เป็นที่อยู่อาศัยของพระสงฆ์ เพื่อให้สามารถปฏิบัติภารกิจส่วนตัวที่ไม่เกี่ยวเนื่องกับพิธีกรรมทางศาสนาโดยตรง ซึ่งมีอาคารที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมและวัตรปฏิบัติของสงฆ์ เช่น กุฏิ ศาลาการเปรียญ วัจจกุฎี ห้องสรงน้ำ เป็นต้น
“วัจจกุฎี” เป็นอาคารสำหรับขับถ่ายหรือห้องส้วมสำหรับพระสงฆ์ในสมัยโบราณ โดยปรากฏในพระวินัยปิฎก จุลวรรค มีเนื้อความที่พระพุทธเจ้าทรงกำหนดเกี่ยวกับที่สำหรับขับถ่ายไว้ดังนี้ เรื่องปัสสาวะ ทรงอนุญาตให้ถ่ายในที่ที่จัดไว้ ทรงอนุญาตหม้อปัสสาวะ เขียงรองเท้าถ่ายปัสสาวะ ทรงอนุญาตเครื่องล้อม ๓ ชนิด และฝาปิดหม้อปัสสาวะ ส่วนเรื่องอุจจาระ ทรงอนุญาตให้ถ่ายในที่ที่จัดไว้ ให้มีหลุมอุจจาระ อนุญาตก่อพื้นยกสูง มีบันไดและราวบันได ให้ลาดพื้นเจาะช่องตรงกลางหลุม ทรงอนุญาตเขียงรองเท้าถ่ายอุจจาระ ทรงอนุญาตรางรองปัสสาวะ ไม้ชำระ และฝาปิดหลุมอุจจาระ และทรงมีพุทธานุญาตในการสร้างวัจจกุฎีด้วย นอกจากนี้พระพุทธเจ้ายังทรงกำหนด “วัจจกุฎีวัตร” หรือท่าทางปฏิบัติในการใช้วัจจกุฎีของพระสงฆ์ให้มีความเรียบร้อย
นอกเหนือไปจากงานศิลปกรรมที่ปรากฏในเมืองกำแพงเพชรผ่านการรับอิทธิพลศิลปะผ่านพุทธศาสนาแล้ว วัตรปฏิบัติของพระสงฆ์ในเมืองกำแพงเพชรเป็นไปตามพระวินัยปิฎกเช่นเดียวกับพระสงฆ์ในศรีลังกา ดังนั้นในพื้นที่เขตอรัญญิก โบราณสถานหลายแห่งสามารถแบ่งเขตสังฆาวาสออกจากเขตพุทธาวาสได้อย่างชัดเจน โดยตำแหน่งเขตสังฆาวาสในเมืองกำแพงเพชรจะไม่ปรากฏตำแหน่งที่แน่นอนแต่ส่วนใหญ่จะพบว่ามีแนวเขตของกำแพงแก้วแบ่งพื้นที่ทั้งสองออกจากกัน และในเขตสังฆาวาสจะปรากกฏหลักฐานอาคารที่ใช้ในกิจวัตรประจำวันของพระสงฆ์ ทั้งกุฏิ อาคารประเภทศาลา และวัจจกุฎี
วัจจกุฎีที่เมืองกำแพงเพชรเป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงสภาพสุขอนามัยที่ดีของพระสงฆ์ พบได้ตามเขตสังฆาวาสของโบราณสถานหลายแห่ง เช่น วัดอาวาสใหญ่ วัดกรุสี่ห้อง วัดพระนอน โดยเฉพาะที่วัดอาวาสใหญ่ พบเขตสังฆาวาสบริเวณด้านทิศตะวันตกและทิศเหนือของวัด แบ่งแยกออกจากเขตพุทธาวาสอย่างชัดเจน พบฐานอาคารที่ก่อด้วยศิลาแลงกระจายตัวในบริเวณดังกล่าว และยังพบลักษณะอาคารที่สันนิษฐานว่าเป็นวัจจกุฎีด้วย เป็นอาคารในแผนผังสี่เหลี่ยมจัตุรัส ก่อศิลาแลงเป็นฐานอาคารให้สูงขึ้นมาประมาณ ๑ เมตร มีบันไดทางขึ้นด้านทิศตะวันออก ภายในเป็นบ่อเกรอะ ใช้ดินลูกรังอัดโดยรอบ มีแผ่นปิดหลุมส้วมวางบนบ่อเกรอะเป็นแผ่นศิลาแลงรูปสี่เหลี่ยมมีช่องตรงกลางและมีรางน้ำยื่นยาวออกมาจากแผ่นสี่เหลี่ยมดังกล่าว โดยมีช่องสี่เหลี่ยมที่อยู่ตรงกลางแผ่นศิลาแลงเป็นช่องสำหรับอุจจาระให้ตกลงไปในบ่อเกรอะด้านล่าง และรางที่ต่อออกมาน่าจะเป็นรางที่รับปัสสาวะแล้วไหลตามรางออกมาสู่ภาชนะรองรับด้านนอกอาคารต่อไป สำหรับโบราณสถานวัดกรุสี่ห้อง พบเขตสังฆาวาสตั้งอยู่โดยรอบนอกเขตกำแพงแก้ว พบวัจจกุฎีหรือห้องส้วมสำหรับพระสงฆ์ด้วยเช่นกัน พบทั้งแยกออกมาเป็นห้องส้วมแบบอาคารเดี่ยวและเป็นห้องส้วมภายในกุฏิ อาคารที่พบร่องรอยว่าเป็นวัจจกุฎีจะมีการก่อศิลาแลงสูงจากพื้นดินประมาณ ๒๐ เซนติเมตร มีการขุดบ่อเกรอะขนาดเล็กภายในอาคาร บางหลังพบแผ่นปิดหลุมส้วม โดยพบว่ามีความแตกต่างจากแผ่นปิดหลุมส้วมที่วัดอาวาสใหญ่ คือ มีลักษณะเป็นก้อนศิลาแลงรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าหรือรูปวงรีแล้วมีการเจาะช่องตรงกลางให้ตรงกับบ่อเกรอะภายในอาคารดังกล่าว หรือบางก้อนพบลักษณะที่เจาะช่องตรงกลางเป็นช่องสำหรับอุจจาระและมีการเซาะเป็นรางที่สันนิษฐานว่าน่าจะเป็นรางสำหรับน้ำชำระหรือปัสสาวะให้ไหลแยกออกมา ในเขตอรัญญิกของเมืองกำแพงเพชรยังพบอาคารที่สันนิษฐานว่าเป็นวัจจกุฎีอีกหลายแห่งทั้งที่วัดพระนอน วัดพระสี่อิริยาบถ วัดป่าแฝก วัดมะเคล็ด
แผ่นปิดหลุมส้วมที่เมืองกำแพงเพชรนั้นทำมาจากแผ่นศิลาแลงที่เป็นทรัพยากรทางธรรมชาติที่หาได้ง่ายในบริเวณนี้ แตกต่างจากแผ่นปิดหลุมส้วมหรือเขียงหินที่พบในพื้นที่อื่นเช่นที่ประเทศศรีลังกา และในประเทศไทยที่เมืองสุโขทัย เมืองพะเยา หรือเมืองลำพูน ซึ่งล้วนแต่ทำขึ้นมาจากแผ่นหินทั้งสิ้น
บรรณานุกรม
พีรพน พิสณุพงศ์. (๒๕๓๖). ส้วมสมัยโบราณที่อรัญญิกเมืองกำแพงเพชร. เมืองโบราณ. ปีที่ ๑๙ (ฉบับที่ ๒)๖๙-๘๑.
สมคิด จิระทัศนกุล. รู้เรื่อง วัด วิหาร โบสถ์ เจดีย์ พุทธสถาปัตยกรรมไทย. กรุงเทพฯ : มิวเซียมเพรส, ๒๕๕๔.
อรุณศักดิ์ กิ่งมณี. (๒๕๓๘). “วัจจกุฎี” ในประเทศศรีลังกาโบราณ : ศึกษาเฉพาะกรณีเขียงหินสำหรับวางเท้าในแง่ประโยชน์การใช้สอย. ศิลปากร. ปีที่ ๓๗ (ฉบับที่ ๓), ๖๓-๘๔.
อรุณศักดิ์ กิ่งมณี. (๒๕๕๕). “วัจจกุฎีสมัยโบราณ : เขียงหินของศรีลังกาและไทย”. ในความสัมพันธ์ทางพุทธศาสน์และพุทธศิลป์ ระหว่างศรีลังกา พม่า และไทย. ๑๔๙-๑๘๒. กรุงเทพฯ : เอราวัณการพิมพ์, ๒๕๕๕.
เลขทะเบียน : นพ.บ.82/1ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 20 หน้า ; 4.5 x 59 ซ.ม. : ล่องรัก ; ไม้ประกับธรรมดา ชื่อชุด : มัดที่ 50 (78-93) ผูก 1 (2564)หัวเรื่อง : อานิสงส์แปดหมื่นสี่พันขันธ์ --เอกสารโบราณ คัมภีร์ใบลาน พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม
ทำวัตรเย็น ชบ.ส. ๗๐
เจ้าอาวาสวัดเทพประสาท ต.สัตหีบ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี
มอบให้หอสมุด ๒๓ ก.ค. ๒๕๓๕
เอกสารโบราณ (สมุดไทย)
สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สังคิณี-มหาปัฎฐาน)
เลขที่ ชบ.บ.27/1-5
เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)
ผางลาง
เครื่องทำเสียงสัญญาณสำหรับแขวนคอวัวควาย ทำด้วยโลหะ รูปร่างคล้ายระฆังแต่เป็นสี่เหลี่ยม ด้านบนโค้งมน มีหูสำรับสอดไม้แขวนลอยอยู่ระหว่างขาไม้โค้ง ซึ่งตั้งอยู่บนฐานไม้
ผางลางใช้วางไว้บนหลังวัวหรือเกวียนเล่มแรกของขบวนขนส่งสินค้า เพื่อให้เกิดเสียงดัง เช่นเดียวกับกระดิ่งหรือกะลอที่แขวนคอวัว แต่ผางลางจะมีเสียงก้องกังวานไปไกล เป็นสัญญาณให้ขบวนวัวที่อยู่ถัดไปตามได้ถูกทางและรู้ตำแหน่งของหัวหน้าขบวนหรือผู้นำทางของตน
ในกองคาราวานของพ่อค้าวัวต่างมักประกอบด้วยพ่อค้าวัวต่าง ๓-๕ คน พ่อค้าแต่ละคนอาจมีวัวต่างของตัวเอง ๑๐-๖๐ ตัวโดยอาจว่าจ้างคนในหมู่บ้านหรือพี่น้องเครือญาติช่วยควบคุมวัวของตนเอง ในการเดินทางขบวนวัวต่างมักเดินตามกันเป็นแถว โดยวัวตัวที่นำหน้าอาจมีผางลางวางบนหลัง หรือมีกระดิ่งแขวนไว้ที่คอ เพื่อเป็นสัญญาณให้ทราบว่ากองคาราวานเดินทางไปถึงไหน และยังเป็นสัญญาณให้ทราบว่ากองคาราวานได้เดินทางมาถึงหมู่บ้านแล้ว หลังเสร็จสิ้นภารกิจในการเดินทางแต่ละวัน พ่อค้าวัวต่างต้องหยุดพักที่ปาง โดยต้องเลือกทำเลที่มีหญ้า มีน้ำ อุดมสมบูรณ์ เป็นที่ราบหรือพื้นที่ที่ค่อนข้างโล่งปลอดภัยจากโจรผู้ร้ายและสัตว์ป่า มีการจัดเวรยามเพื่อเฝ้าระวังอันตราย
เอกสารอ้างอิง
พจนานุกรมหัตถกรรม เครื่องมือเครื่องใช้พื้นบ้าน : รศ.วิบูลย์ ลี้สุวรรณ สนพ.เมืองโบราณ
รายงานการวิจัยเรื่องพ่อค้าวัวต่าง : ชูสิทธิ์ ชูชาติ ศูนย์ศึกษาภูมิปัญญาท้องถิ่น, ๒๕๔๕
ขุนสารกิจรือเซาะ
ขุนสารกิจรือเซาะเดิมชื่อหะยีมะห์มุด ซันดือเร๊ะโซ๊ะ หรือที่ชาวบ้านเรียกท่านว่า "เวาะโต๊ะคุง" ซึ่งเป็นการเรียกตามบรรดาศักดิ์ของท่าน โดยขุนสารกิจรือเซาะ ได้รับพระราชทานให้ดำรงตำแหน่งกำนันในเมืองระแงะ ในพ.ศ.๒๔๕๒ ตามประกาศในราชกิจจานุเบกษาว่า
"ด้วยทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้กระทรวงมหาดไทย ทำประทวนตราพระราชสีห์ตั้งข้าราชการในมณฑลปัตตานีรวม ๓๐ นาย คือ...ให้แขกหามุด เป็นขุนสารกิจรือเซาะ ตำแหน่งกำนันในเมืองระแงะ ถือศักดินา ๔๐๐...แจ้งความมาณวันที่ ๑๓ พฤษภาคม รัตนโกสินทรศก ๑๒๘..."
แต่ในทางปฏิบัติแล้วตำแหน่งกำนันในเมืองระแงะที่ได้รับประทวนตราพระราชสีห์นั้นคือตำแหน่งกำนันตำบลตะมะหงัน แขวงเมืองระแงะ (ขณะนั้นรือเสาะหรือญาบะยังเป็นส่วนหนึ่งของเมืองระแงะ)
ขุนสารกิจรือเซาะนับเป็นปูชนียบุคคลผู้มีส่วนร่วมในการวางรากฐานเมืองรือเสาะร่วมกันกับขุนอุปการประชากร โดยเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการสร้างมัสยิดประจำเมืองคือมัสยิดยุมอียะห์ และถือเป็นต้นตระกูลซันดือเร๊ะโซ๊ะ ในขณะที่ขุนอุปการประชากร ปลัดอำเภอหัวหน้ากิ่งอำเภอตำมะหงันคนแรก และเป็นชาวพุทธเป็นผู้ก่อสร้างวัดราษฎร์สโมสร และสละทรัพย์สินที่ดินเพื่อสร้างโรงเรียนบ้านยะบะ(อุปการวิทยา) ถนน และสถานที่ราชการต่างๆ และถือเป็นต้นตระกูลอัครมาส
มัสยิดยุมอียะห์ มัสยิดกลางอำเภอรือเสาะ
ขุนสารกิจรือเซาะเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงสำคัญในการสร้างมัสยิดไม้ขนาดใหญ่หลังแรกในเมืองรือเสาะ โดยก่อสร้างตามรูปแบบของศิลปกรรมแบบชวา ซึ่งก็คือมัสยิดยุมอียะห์(มัสยิดกลางอำเภอรือเสาะ)ในปัจจุบัน ต่อมาราวพ.ศ.๒๕๐๒ ในช่วงที่หะยีสุหลง ซันดือเร๊ะโซ๊ะ บุตรชายของขุนสารกิจรือเซาะเป็นอิหม่ามประจำมัสยิดยุมอียะห์ ได้มีการรื้อมัสยิดไม้หลังเดิมและสร้างมัสยิดปูนคอนกรีตเสริมเหล็กขึ้นมาทดแทน
วันที่ ๒๙ สิงหาคม ๒๕๑๖ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร(รัชกาลที่๙) เสด็จพระราชดำเนินมายังมัสยิดยุมอียะห์เป็นการส่วนพระองค์ เนื่องจากพระองค์ท่านได้รับหนังสือกราบบังคมทูลขอพระราชทานพระราชทรัพย์สำหรับจัดซื้ออุปกรณ์และหินอ่อนในการปูพื้นมัสยิดแห่งนี้ ในคราวนั้นทรงพระราชทานเงินส่วนพระองค์จำนวน ๑๔,๐๐๐ บาท ให้นายหะยีอาหะมะ อาแวบือซา นายกสมาคมอิสลามรือเสาะ เพื่อดำเนินการปูพื้นภายในมัสยิดให้แล้วเสร็จ
กูโบร์ขุนสารกิจรือเซาะ
ตั้งอยู่ที่หมู่ที่ ๑ บ้านตลาดรือเสาะ ตำบลรือเสาะออก อำเภอรือเสาะ จังหวัดนราธิวาส ในบริเวณหลังมัสยิดยุมอียะห์ (มัสยิดกลางอำเภอรือเสาะ) อาคารคลุมหลุมฝังศพมีลักษณะเป็นอาคารคอนกรีต มุงกระเบื้องดินเผา ขนาดกว้าง ๕.๕๒ เมตร ยาว ๕.๕๘ เมตร มีประตูทางเข้าด้านทิศใต้ ๑ ประตู ภายในอาคารมีการฝังศพของผู้วายชนม์ ๓ ท่านคือ
๑.ขุนสารกิจรือเซาะ(หะยีมะห์มุด ซันดือเร๊ะโซ๊ะ)
๒.หะยีสุหลง ซันดือเร๊ะโซ๊ะ บุตรชายของขุนสารกิจรือเซาะ
๓.หะยีอาหะมะ เจ๊ะโวะ หลานเขยของขุนสารกิจรือเซาะ
ร่องรอย อวโลกิเตศวร แห่งเมืองชัยนาท
ณ วัดโพธาราม ตำบลแพรกศรีราชา อำเภอสรรคบุรี จังหวัดชัยนาท ได้ปรากฎพระพุทธรูปองค์หนึ่ง ที่ประดิษฐานอยู่ในมณฑปของวัด เป็นพระพุทธรูปในอิริยาบถสมาธิ อยู่ในท่านั่งขัดสมาธิราบ ครองจีวรห่มเฉียง มีการปิดทองทั้งองค์ ซึ่งเมื่อดูผิวเผินก็คือพระพุทธรูปในอิริยาบถสมาธิทั่วไป แต่เมื่อสังเกตเพิ่มเติมจะพบว่า เศียรของพระพุทธรูปองค์นี้ มีลักษณะแปลกจากเศียรพระพุทธรูปทั่วไป คือ ถ้าเป็นเศียรพระพุทธรูปโดยทั่วไป จะประกอบไปด้วยเม็ดพระศก และรัศมีเป็นยอดแหลม แต่พระพุทธรูปองค์นี้กลับปรากฏลักษณะของมวยผมที่เรียกว่า “ชฎามงกุฎ” คือการมัดรวบเส้นผมเป็นมวยทรงกระบอกเหนือศีรษะ อันเป็นทรงผมที่มักปรากฏในพระโพธิสัตว์ มิใช่พระพุทธรูป
เมื่อสังเกตุบริเวณมวยผมของพระพุทธรูปองค์นี้ ก็พบว่ามีการประดับตกแต่งพระพุทธรูปสมาธิอยู่ที่มวยผมด้วย ด้วยลักษณะเช่นนี้ เป็นไปไม่ได้เลยที่เศียรของพระพุทธรูปองค์นี้จะเป็นเศียรพระพุทธรูปเฉกเช่นพระพุทธรูปทั่วไป แต่รูปแบบของเศียรที่ปรากฎดังกล่าวมาข้างต้น กลับไปสอดคล้องกับลักษณะของเศียรพระโพธิสัตว์ อวโลกิเตศวร ที่มีทรงผมแบบ “ชฎามงกุฎ” และมีพระอมิตาภะประดับอยู่ที่มวยผมนั่นเอง
จึงทำให้ทราบว่า แท้จริงแล้วนั้นพระพุทธรูปในอิริยาบถสมาธิองค์นี้ เป็นพระพระพุทธรูปที่มีเศียรเป็นพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร อันเป็นพระโพธิสัตว์ในศาสนาพุทธแบบมหายาน ซึ่งเป็นไปได้ว่าผู้สร้างได้สร้างองค์พระสมาธิขึ้นมาใหม่และนำเศียรพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรที่มีมาแต่เดิม มาต่อเป็นพระเศียรเพื่อเป็นรูปเคารพ ให้กับชาวบ้านย่านนี้ได้เคารพบูชา แต่เนื่องด้วยความผิดฝาผิดตัวในการซ่อมรูปเคารพดังกล่าว เลยทำให้พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรที่มักจะปรากฎในอิริยาบถยืนนั้น กลับกลายเป็นปรากฏในรูปแบบนั่งสมาธิ เฉกเช่นพระพุทธรูปที่เป็นตัวแทนองค์พระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ไปเสียได้
แต่อย่างไรก็ตามถ้ามองในแง่ของการอนุรักษ์ให้เศียรของพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรนี้ คงอยู่ ในฐานะที่เป็นรูปเคารพที่ชาวบ้านบูชา ไม่สูญหายไปตามกาลเวลา ก็นับว่าดีไม่น้อย
ในท้ายที่สุดก็ยังเป็นหลักฐานที่แสดงให้เห็นถึงร่องรอยของพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรแห่งเมืองชัยนาท ที่เป็นรูปเคารพในวัฒนธรรมลพบุรี ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากศิลปะบายน ในย่านนี้