ค้นหา

รายการที่พบทั้งหมด 48,758 รายการ

          กำแพงเพชรเป็นพื้นที่หนึ่งซึ่งปรากฏชุมชนโบราณที่มีการสร้างคูน้ำคันดิน และโบราณวัตถุที่เกี่ยวเนื่องในสมัยทวารวดี โดยจากการดำเนินงานทางโบราณคดีพบเมืองโบราณในสมัยทวารวดี ๒ แห่ง ได้แก่ เมืองไตรตรึงษ์ และเมืองโบราณบ้านคลองเมือง           เมืองไตรตรึงษ์ บ้านวังพระธาตุ ตำบลไตรตรึงษ์ อำเภอเมืองกำแพงเพชร เป็นชุมชนโบราณริมฝั่งตะวันตกของแม่น้ำปิง และเป็นเส้นทางคมนาคมในอดีตระหว่างหัวเมืองภาคเหนือกับชุมชนในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา ลักษณะเป็นเมืองรูปสี่เหลี่ยมมุมมน ขนาดกว้าง ๘๐๐ เมตร ยาว ๘๔๐ เมตร ล้อมรอบด้วยคูน้ำคันดิน ๓ ชั้น จากการขุดค้นภายในเมืองพบหลักฐานโบราณวัตถุที่มีอายุร่วมสมัยในสมัยทวารวดี อาทิ ตะกรันจากการถลุงโลหะ ลูกปัด ตะเกียงดินเผา ฯลฯ           เมืองไตรตรึงษ์เป็นชุมชนสำคัญบนแม่น้ำปิงสืบเนื่องถึงสมัยสุโขทัย (พุทธศตวรรษที่ ๑๘ – ๒๑) เพราะตั้งอยู่บนเส้นทางการค้าระหว่างตะวันออกไปยังตะวันตก และจากทิศใต้ไปยังทิศเหนือ ได้พบหลักฐานที่สำคัญ คือ โบราณสถานสถาปัตยกรรมสุโขทัยบริเวณกลางเมือง เช่น เจดีย์ประธานทรงดอกบัวตูม (ทรงพุ่มข้าวบิณฑ์) วัดเจดีย์เจ็ดยอด เจดีย์ทรงระฆัง วัดพระปรางค์ เป็นต้น           เมืองโบราณบ้านคลองเมือง ตำบลโกสัมพี อำเภอโกสัมพีนคร เป็นชุมชนโบราณร่วมวัฒนธรรมทวารวดีอีกแห่งหนึ่งในกำแพงเพชร ลักษณะผังเมืองมีรูปทรงไม่แน่นอนล้อมรอบด้วยคูน้ำคันดินขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ ๓๕๐ – ๔๐๐ เมตร ภายในเมืองพบโบราณวัตถุจำนวนมาก อาทิ ขวานหินขัดแบบมีบ่า ตะกรันจากการถลุงโลหะ แวดินเผา ฯลฯ ซึ่งเป็นหลักฐานทางโบราณคดียุคก่อนประวัติศาสตร์ นอกจากนี้ ยังพบหลักฐานการอยู่อาศัยในช่วงสมัยสุโขทัย และสมัยอยุธยา (พุทธศตวรรษที่ ๑๘ - ๒๓) เช่น ฐานเจดีย์อิฐ ภาชนะดินเผาเนื้อแกร่งแบบสุโขทัย (เครื่องสังคโลก) ชนิดเคลือบและไม่เคลือบ เครื่องถ้วยจีนสมัยราชวงศ์หมิง (พุทธศตวรรษที่ ๒๒) เป็นต้น -------------------------------------------ที่มาของข้อมูล: พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กำแพงเพชร -------------------------------------------บรรณานุกรม ศิลปากร, กรม. นำชมพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กำแพงเพชร. กรุงเทพฯ : รุ่งศิลป์การพิมพ์ (๑๙๗๗), ๒๕๕๗.


จากสาเหตุการย้ายศูนย์กลางเมืองเนื่องจากภาวะน้ำท่วมนั้น แม้จะไม่ได้ทำให้เวียงกุมกามล่มสลาย หากแต่เป็นการลดบทบาทของการเป็นศูนย์กลางทางการเมืองการปกครองของเวียงกุมกามลงภายหลังการย้ายเมืองหลวงไปจากเวียงกุมกาม เวียงกุมกามยังคงมีการตั้งถิ่นฐานอย่างเดิม หากแต่คงบทบาทเพียงเป็นเมืองบริวารที่ทำหน้าที่เป็นเมืองหน้าด่านทางด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้ ให้กับเมืองเชียงใหม่ตลอดจนทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางแห่งพุทธศาสนาให้กับอาณาจักร และสถานที่พักผ่อนของบรมวงศานุวงศ์ดังนั้นจึงอาจสันนิษฐานได้ว่าน้ำท่วมเป็นเพียงปัจจัยหนึ่งที่ร่วมกับปัจจัยในการที่จะทำให้เวียงกุมกามล่มสลาย กล่าวว่า ปัจจัยที่ทำให้เวียงกุมกามล่มสลายเกิดจากหลายสาเหตุร่วมกัน การทิ้งร้างไปของเมืองไม่ได้เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน ณ ช่วงเวลาหนึ่งหากแต่ใช้ระยะยาวนานก่อนที่เมืองจะถูกทิ้งร้างไป         ปัจจัยประการแรก คือ การเปลี่ยนแปลงอำนาจบทบาทและฐานะของเมืองเป็นเพียงเมืองหน้าด่านของเชียงใหม่และในที่สุดเป็นเพียงชุมชนชานเมืองหลวงเพื่อกิจกรรมทางพุทธศาสนา          ประการต่อมา คือการเปลี่ยนแปลงเส้นทางของแม่น้ำปิง ทำให้เวียงกุมกามไม่มีศักยภาพทางการสัญจรและการค้าเพียงพอที่จะยังคงฐานะความสำคัญอีกต่อไป เนื่องด้วยแม่น้ำปิงไหลผ่านที่ราบโล่งซึ่งลาดต่ำ ส่งผลให้น้ำปิงมีโอกาสที่จะเปลี่ยนเส้นทางเดินได้ ซึ่งสนับสนุนข้อสันนิษฐานที่กล่าวว่าแม่น้ำปิงเคยเปลี่ยนทางเดินอย่างน้อย ๓ ครั้งด้วยกัน          ประการสุดท้าย คือ ภัยจากสงคราม ที่เวียงกุมกามมักถูกโจมตีและมีการตั้งทัพของกลุ่มผู้รุกราน มีการกวาดต้อนคนล้านนาไปเป็นเชลยที่เมืองพม่า ตลอดจนการมีสงครามอย่างต่อเนื่องในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๒๐ จึงทำให้เวียงกุมกามไม่มีเวลาที่จะฟื้นฟูสภาพบ้านเมืองและถูกทิ้งร้าง ผุพังไปตามกาลเวลา และภายหลังการทิ้งร้างของเมืองได้เกิดน้ำท่วมบนพื้นที่ของเวียงกุมกามหลายครั้งทำให้ เวียงกุมกามทั้งหมดถูกฝังอยู่ใต้พื้นดินราว ๑.๕ - ๒.๐ เมตร  อ้างอิง : เมืองเชียงใหม่ ศิลปะ สถาปัตยกรรมและความเชื่อ โครงการรวบรวมผลงานวิชาการ ลำดับที่ ๑ ศูนย์สถาปัตยกรรมล้านนาคณะสถาปัตยกรรม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่


ชื่อเรื่อง                     เทศนาวิภังค์-มหาปัฏฐานสพ.บ.                      195/4ประเภทวัสดุ/มีเดีย       คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่                   พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ               28 หน้า : กว้าง 4.6 ซ.ม. ยาว 55.1 ซ.ม. หัวเรื่อง                     พุทธศาสนา                              บทสวดมนต์บทคัดย่อ/บันทึกเป็นคัมภีร์ใบลาน อักษรขอม เส้นจาร ฉบับล่องชาด ได้รับบริจาคมาจากวัดพยัคฆาราม ต.ศรีประจันต์ อ.ศรีประจันต์ จ.สุพรรณบุรี  


วัดนี้ปรากฏเรื่องราวในพระราชนิพนธ์เที่ยวเมืองพระร่วง ซึ่งนายเทียนเล่าทูลถวายว่าเขาได้อ่านในคัมภีร์ที่โดนไฟไหม้ไปแล้วว่าวัดนี้สร้างโดยพระนางพสุจเทวี ชายาพระร่วง และเป็นธิดาพระเจ้ากรุงจีน แต่ก็ไม่มีหลักฐานทางโบราณคดีสนับสนุน ลักษณะทางสถาปัตยกรรมที่ปรากฏของวัดนี้ แสดงถึงอิทธิพลศิลปะอยุธยาแล้ว ได้แก่  - วิหาร ที่เป็นผนังทึบ เจาะช่องแสง - ลวดลายปูนปั้น ที่งามประณีต แสดงถึงฝีมือช่างชั้นครูในสมัยอยุธยา - เจดีย์ประธาน ทรงระฆังหรือทรงกลม ที่มีซุ้มพระ ๔ ทิศ - อุโบสถ ที่ตั้งอยู่ในแกนหลัก ลวดลายปูนปั้นที่ร่วมสมัยกันนั้น ได้แก่ ลายปูนปั้นบนผนังวิหารวัดยายตา ส่วนเจดีย์ทรงระฆังนั้น นอกจากจะมีซุ้มพระทั้ง ๔ ทิศแล้ว ที่ฐานยังเคยประดับช้างล้อมอีกด้วย ทางทิศตะวันตกของวัด คือ เขตสังฆาวาส หรือ หมู่กุฏิสงฆ์ ซึ่งสันนิษฐานว่าสร้างจากไม้ ปัจจุบันจึงไม่เหลือร่องรอยปรากฏอยู่เลย นอกเขตแนวกำแพงรั้วแท่งสี่เหลี่ยมตั้งเป็นแนวชิดกัน เครดิตภาพ : คุณบัณฑิต ทองอร่าม


เลขทะเบียน : นพ.บ.80/4ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ :  34 หน้า ; 4.5 x 59 ซ.ม. : ล่องรัก ; ไม้ประกับธรรมดา  ชื่อชุด : มัดที่ 50 (78-93) ผูก 4 (2564)หัวเรื่อง : สังฮอมธาตุ --เอกสารโบราณ             คัมภีร์ใบลาน             พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา  สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม 


ชื่อเรื่อง                                ภิกฺขุปาติโมกฺขสพ.บ.                                  151/1ประเภทวัสดุมีเดีย                    คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่                               พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ                           90 หน้า กว้าง 5 ซ.ม. ยาว 36 ซ.ม. หัวเรื่อง                                 พุทธศาสนา                                           พระวินัย บทคัดย่อ/บันทึก เป็นคัมภีร์ใบลาน อักษรขอม เส้นจาร ฉบับล่องชาด ได้รับบริจาคมาจากวัดป่าเลไลยก์วรวิหาร ต.รั้วใหญ่ อ.เมืองฯ จ.สุพรรณบุรีหมายเหตุ***(บทสวดบุพพกรณ์และบุพพกิจ (แบบสององค์) – บทเสขิยวัตร ฉพฺพีสติ สรูปา ข้อ 24) 


เลขทะเบียน : นพ.บ.151/1ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ :  22 หน้า ; 4.5 x 57 ซ.ม. : ชาดทึบ ; ไม้ประกับธรรมดา  ชื่อชุด : มัดที่ 92 (404-407) ผูก 1 (2564)หัวเรื่อง : อานิสงส์สังฮอมธาตุ (สลองสังฮอมธาตุ)--เอกสารโบราณ            คัมภีร์ใบลาน            พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา  สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม


พญาภาณุราชฤาษีสีทายุศมาลี ชบ.ส. ๖๔ เจ้าอาวาสวัดเทพประสาท ต.สัตหีบ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี มอบให้หอสมุด ๒๓ ก.ค. ๒๕๓๕ เอกสารโบราณ (สมุดไทย)


สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สังคิณี-มหาปัฎฐาน) เลขที่ ชบ.บ.26/1-6 เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)



เรื่อง “ร่องรอยหลักฐานทางโบราณคดี เสาดินนาน้อย”  เสาดินนาน้อย  อยู่ภายในเขตอุทยานแห่งชาติศรีน่าน ตำบลเชียงของ อำเภอนาน้อย  จังหวัดน่าน  นอกจากจะเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางธรณีวิทยาแล้ว พื้นที่บริเวณนี้ยังพบร่องรอยหลักฐานทางโบราณคดีสมัยก่อนประวัติศาสตร์  ได้แก่ เครื่องมือหินกะเทาะ ซึ่งมีลักษณะเป็นหินกรวดแม่น้ำ ส่วนใหญ่เป็นเครื่องมือหินในกลุ่มเครื่องมือสับ-ตัด (Chopper - chopping Tool) โดยพบได้ทั่วไปตามพื้นผิวดินและผนังชั้นดิน ในบริเวณที่ถูกน้ำเซาะจากการศึกษาเปรียบเทียบอายุสมัยของเครื่องมือหิน สันนิษฐานว่าน่าจะมีอายุมากกว่า ๑๐,๐๐๐ - ๒๐,๐๐๐ ปีมาแล้ว "เสาดิน" เป็นศัพท์ที่ชาวบ้านใช้เรียกหย่อมตะกอนที่มีลักษณะเป็นหน้าผาสูงชัน เป็นแท่ง เป็นกรวย เป็นหลืบ มียอดแหลม โผล่พ้นพื้นดินบนลานโล่ง เสาดินนาน้อยเกิดขึ้นจากการผุพังและการกัดกร่อนโดยน้ำฝนเป็นตัวการ ทำให้ชั้นตะกอนซึ่งได้จากการสะสมตัวในแอ่งลุ่มน้ำของอำเภอนาน้อยในสมัยไพลสโตซีนตอนปลายที่ยังไม่จับตัวกันแน่นแข็งเป็นหิน  ถูกชะล้างพัดพาออกไปจนมีสภาพแวดล้อมเป็นพื้นที่เสื่อมโทรม มีริ้วและร่องที่เกิดจากการกัดกร่อนโดยทางน้ำ (Gully erosion) มากมาย  แหล่งธรณีวิทยาคล้ายเสาดินนาน้อยแห่งอื่นในประเทศไทย เช่น แพะเมืองผี ตำบลน้ำชำ อำเภอเมือง จังหวัดแพร่, โป่งยุบ ตำบลท่าเคย อำเภอสวนผึ้ง จังหวัดราชบุรี และ ละลุ ตำบลทัพราช อำเภอตาพระยา จังหวัดสระแก้ว เป็นต้น แหล่งโบราณคดีเสาดินนาน้อย ปรากฏหลักฐานร่องการอยู่อาศัยแรกเริ่มในพื้นที่จังหวัดน่านของมนุษย์ก่อนประวัติศาสตร์ สมัยหินเก่า (Palaeolithic Period)   หลักฐานที่พบ คือ เครื่องมือหินกะเทาะซึ่งทำจากหินกรวดแม่น้ำ เป็นเครื่องมือหินประเภทสับ-ตัด (Chopper-chopping Tool) ส่วนใหญ่เป็นแบบกะเทาะหน้าเดียว สันนิษฐานว่าน่าจะมีอายุมากกว่า ๑๐,๐๐๐ - ๒๐,๐๐๐ ปีมาแล้ว ในปี พ.ศ.  ๒๕๕๕ ได้มีการศึกษารูปแบบเครื่องมือหินกะเทาะ ที่พบจากการสำรวจ ในพื้นที่บริเวณแหล่งโบราณคดีเสาดินนาน้อย จำนวน ๒๐๓ ชิ้น จากการศึกษาเบื้องต้นพบว่าเป็นหินทรายและหินควอตไซต์ และได้จัดจำแนกรูปแบบเครื่องมือหินออกเป็นสองลักษณะ ได้แก่ เครื่องมือแกนหิน และเครื่องมือสะเก็ดหิน  ดังนี้ เครื่องมือแกนหิน (Core Tools) ได้แก่ ๑. Chopper Tools เครื่องมือหินที่กะเทาะหน้าเดียว มีลักษณะเป็นเส้นโค้งหรือเส้นตรงเฉพาะส่วนบนผิวหน้าเท่านั้น  ๒. Chopping Tools เครื่องมือหินที่มีร่องรอยการกะเทาะทั้งสองหน้า ขอบที่เป็นคมของเครื่องมือโค้งลงคล้ายลูกคลื่น อันเกิดจากการกะเทาะสลับไปมาทั้งสองข้าง  ๓. Hand-Adzes เครื่องมือหินที่ถูกกะเทาะขอบคมด้านซ้ายหรือขวาด้านใดด้านหนึ่ง  ๔. Photo-Hand axes เครื่องมือหินที่กะเทาะให้มีลักษณะปลายแหลม  ๕. เครื่องมือหินกะเทาะหน้าเดียวทั้งหน้า       ๕.๑ แบบมีปลายค่อนข้างแหลม       ๕.๒ แบบมีลักษณะค่อนข้างกลม  ๖.  เครื่องมือหินที่มีร่องรอยการกะเทาะทั้งชิ้น  เครื่องมือสะเก็ดหิน (Flakes tools) ได้แก่ ๑. เครื่องมือสะเก็ดหินขนาดใหญ่ที่กะเทาะเพียงหน้าเดียว ให้เกิดรอยคมบริเวณขอบผิวหน้าของสะเก็ดหินด้านใดด้านหนึ่ง  ๒. เครื่องมือสะเก็ดหินที่ถูกกะเทาะขอบคม       ๒.๑ เครื่องมือสะเก็ดหินที่ถูกกะเทาะขอบคมรอบๆ       ๒.๒ เครื่องมือสะเก็ดหินที่ถูกกะเทาะขอบคมด้านซ้ายหรือขวาด้านใดด้านหนึ่ง ๓.  เครื่องมือสะเก็ดหินขนาดใหญ่ที่กะเทาะให้มีลักษณะปลายแหลม      ๓.๑ เครื่องมือสะเก็ดหินขนาดใหญ่ที่กะเทาะให้มีลักษณะปลายแหลมเพียงด้านเดียว       ๓.๒ เครื่องมือสะเก็ดหินขนาดใหญ่ที่กะเทาะให้มีลักษณะปลายแหลมทั้งด้านบนและด้านล่าง  ๔. เครื่องมือสะเก็ดหินขนาดเล็กที่มีร่องรอยการกะเทาะทั่วทั้งชิ้น   ๕. รูปแบบอื่นๆ ไม่สามารถจัดจำแนกให้อยู่ในรูปแบบข้างต้นได้ ซึ่งเป็นเครื่องมือหินที่มีลักษณะคล้ายคมขวาน  นอกจากแหล่งโบราณคดีเสาดินนาน้อย ตำบลเชียงของ อำเภอนาน้อย จังหวัดน่าน ซึ่งพบร่องรอยหลักฐานทางโบราณคดีประวัติศาสตร์สมัยหินเก่าแล้ว ยังมีแหล่งโบราณคดีถ้ำปู่แล่ม หรือถ้ำอัมรินทร์ ตำบลส้าน อำเภอเวียงสา จังหวัดน่าน ซึ่งเป็นถ้ำบนภูเขาหินปูน จากการสำรวจพบเครื่องมือหินกะเทาะที่ทำจากหินกรวดแม่น้ำ ก้อนหินเจาะรู เครื่องมือหินขัด และเศษภาชนะดินเผา  โดยหินกรวดแม่น้ำที่มีรอยกะเทาะและสะเก็ดหินหลายชิ้นที่พบคงจะถูกนำมาผลิตเป็นเครื่องมือ สันนิษฐานว่า เครื่องมือหินกรวดแม่น้ำที่พบที่แหล่งโบราณคดีถ้ำปู่แล่ม หรือถ้ำอัมรินทร์ น่าจะมีอายุราว ๓๕,๐๐๐ - ๒๕,๐๐๐ ปีมาแล้ว ซึ่งอาจจะอยู่ในช่วงเวลาที่ใกล้เคียงกันกับแหล่งโบราณคดีเสาดินนาน้อย ปัจจุบัน โบราณวัตถุที่ถูกเก็บรักษาและจัดแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ น่าน ประกอบด้วย เครื่องมือหินกะเทาะ จำนวน ๑๐ ชิ้น ซึ่งพบจากการสำรวจบริเวณเสาดินนาน้อย เมื่อวันที่ ๓๐ สิงหาคม ๒๕๒๕ นอกจากนั้น ยังมีการจัดแสดงโบราณวัตถุที่พบจากพื้นที่บริเวณเสาดินนาน้อย ณ อาคารที่ทำการของเสาดินนาน้อย และนำเสนอเรื่องราวทางด้านธรณีวิทยาของเสาดินนาน้อยอีกด้วยค่ะ เอกสารอ้างอิง : กรมทรัพยากรธรณี,  เสาดิน ตำบลเชียงของ อำเภอนาน้อย จังหวัดน่าน (ออนไลน์) , เข้าถึงข้อมูลเมื่อ ๓๐ มกราคม ๒๕๖๔, แหล่งที่มา : http://www.dmr.go.th/main.php?filename=n08 พัชราภรณ์ มูลชมพู. “รูปแบบเครื่องมือหินกะเทาะ: แหล่งโบราณคดีเสาดินนาน้อย อำเภอนาน้อย จังหวัดน่าน”. สารนิพนธ์ปริญญาตรี ศิลปศาสตรบัณฑิต ภาควิชาโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร, ๒๕๕๕. ระบบภูมิสารสนเทศ แหล่งมรดกทางศิลปวัฒนธรรม, แหล่งโบราณคดี เสาดินนาน้อย (ออนไลน์), เข้าถึงข้อมูลเมื่อ ๓๐ มกราคม ๒๕๖๔, แหล่งที่มา :  http://gis.finearts.go.th/fineart/  สิริพัฒน์ บุญใหญ่. การสำรวจแหล่งก่อนประวัติศาสตร์ในพื้นที่อำเภอเวียงสา อำเภอนาน้อย จังหวัดน่าน. เชียงใหม่ : ห้างหุ้นส่วนจำกัดกู้ดพริ้น พริ้นติ้ง เชียงใหม่, ๒๕๕๑. สำนักศิลปากรที่ ๗ เชียงใหม่. สังเขปประวัติศาสตร์และโบราณคดีจังหวัดน่าน ฉบับคู่มือ อส.มศ. , ไม่ระบุปีที่พิมพ์.







black ribbon.