ค้นหา


รายการที่พบทั้งหมด 37,406 รายการ

เลขทะเบียน : นพ.บ.418/3ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 78 หน้า ; 4 x 52 ซ.ม. : ล่องชาด ; ไม้ประกับธรรมดา มีฉลากไม้ชื่อชุด : มัดที่ 148  (81-85) ผูก 3 (2566)หัวเรื่อง : ปิฎก--เอกสารโบราณ            คัมภีร์ใบลาน            พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา  สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม


เลขทะเบียน : นพ.บ.553/1ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 24 หน้า ; 4 x 55 ซ.ม. : ชาดทึบ-รักทึบ-ลานดิบ-ล่องรัก ; ไม่มีไม้ประกับชื่อชุด : มัดที่ 182  (311-323) ผูก 1 (2566)หัวเรื่อง : อุณหิสสวิไช--เอกสารโบราณ            คัมภีร์ใบลาน            พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา  สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม


ชื่อเรื่อง : พระราชพงศาวดาร กรุงศรีอยุธยา ฉบับ สมเด็จพระพนรัตน์ ชื่อผู้แต่ง : ศิลปากร ปีที่พิมพ์ : 2515สถานที่พิมพ์ : กรุงเทพฯสำนักพิมพ์ : โพธิ์สามต้นการพิมพ์จำนวนหน้า : 670 หน้าสาระสังเขป : "พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับสมเด็จพระพนรัตน์ วัดพระเชตุพน" เล่มนี้ ได้รวบรวมประวัติศาสตร์กรุงศรีอยุธยา เริ่มตั้งแต่สมัยพระเจ้าอู่ทอง สร้างกรุงศรีอยุธยา เมื่อ จ.ศ.712 (พ.ศ.1893) จนกระทั่งเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 แก่พม่าในสมัยสมเด็จพระเจ้าเอกทัศ (กรมขุนอนุรักษ์มนตรี) เมื่อ จ.ศ.1129 (พ.ศ.2310) ถือเป็นเอกสารอ้างอิงสำคัญที่มีคุณค่ายิ่งต่อชนรุ่นหลัง และผู้ที่สนใจศึกษาประวัติศาสตร์สมัยกรุงศรีอยุธยา ซึ่งเป็นยุคสมัยหนึ่งของพัฒนาการสู่สังคมไทยในปัจจุบัน




องค์ความรู้ทางวิชาการเรื่อง "ตรียัมปวาย – ตรีปวาย:  พิธีพราหมณ์ที่ปรากฏในเมืองนครศรีธรรมราชในสมัยอยุธยา"     “พิธีตรียัมปวาย – ตรีปวาย” เป็นพิธีกรรมสำคัญในศาสนาพราหมณ์ ตามความเชื่อว่าพระอิศวรจะเสด็จลงมาเยี่ยมโลกปีละครั้ง เป็นเวลา ๑๐ วัน และเมื่อพระอิศวรเสด็จกลับแล้ว ก็ถึงช่วงเวลาที่พระนารายณ์เสด็จลงมาบนโลกมนุษย์ เป็นเวลา ๕ วัน ด้วยเหตุนี้ พิธีตรียัมปวาย – ตรีปวาย จึงจัดเป็นพิธีต่อเนื่องกัน ๒ พิธี คือ “พิธีตรียัมปวาย” หรือพิธีโล้ชิงช้าซึ่งเป็นพิธีต้อนรับพระอิศวร และ “พิธีตรีปวาย” ซึ่งเป็นพิธีต้อนรับพระนารายณ์ โดยแบ่งการพระราชพิธีแบ่งออกเป็น ๓ ขั้นตอน คือพิธีตอนแรก เป็น “พิธีเปิดประตูศิวาลัยไกรลาส” ซึ่งเป็นการอัญเชิญเทพเจ้าลงสู่โลกมนุษย์ จากนั้นเป็นพิธีโล้ชิงช้าของนาลิวัน เพื่อหยั่งความมั่นคงของโลก พิธีตอนที่สอง เป็นพิธีที่เรียกว่า “ประสาท” เป็นการกล่าวสรรเสริญเทพเจ้า ถวายเครื่องบูชาแก่เทพเจ้า และนำไปแจกแก่มวลมนุษย์เพื่อเป็นความสิริมงคล พิธีตอนที่สาม เรียกว่าพิธี “กล่อมหงส์” หรือ “ช้าหงส์” เป็นพิธีทรงน้ำเทพเจ้า เสร็จแล้วจึงอัญเชิญขึ้นสู่หงส์ ซึ่งเป็นพาหนะนำองค์เทพเจ้ากลับสู่วิมาน จึงเป็นการเสร็จสิ้นพิธี   สำหรับพิธีโล้ชิงช้าซึ่งถือเป็นพิธีกรรมตอนหนึ่งที่มีความสำคัญในพิธีตรียัมปวาย – ตรีปวาย มีการสันนิษฐานถึงตำนานที่มาของการประกอบพิธีกรรมไว้หลายแนวทาง แต่ทั้งนี้ อาจกล่าวได้ว่าตำนานที่ได้รับการยอมรับจากพราหมณ์ในราชสำนักผู้ทำหน้าที่ประกอบพระราชพิธีนี้คือตำนานที่เกี่ยวข้องกับคติการสร้างโลกและการทดสอบความแข็งแรงของโลก ได้แก่ ตำนานตอนหนึ่งของพระอิศวร ครั้งเมื่อพระพรหมทรงสร้างโลกแล้ว พระอิศวรทรงทดสอบความแข็งแรงของโลกด้วยการเหยียบโลกด้วยพระบาทข้างเดียว เพราะเกรงว่าถ้าลงมาทั้งสองข้างโลกจะแตก และให้พญานาคมาโล้ยื้อยุดระหว่างภูเขาทั้งสองฝั่งของมหาสมุทร ก็ปรากฏว่าแผ่นดินของโลกยังแข็งแรงดีอยู่ พญานาคทั้งหลายก็โสมนัสยินดี ลงเล่นน้ำและพ่นน้ำเป็นที่สนุกสนาน นอกจากตำนานดังกล่าว ยังเชื่อว่าพิธีนี้อาจมีที่มาจากคัมภีร์เฉลิมไตรภพ (โดยเฉพาะฉบับสำนวนของพระครูวามเทพมุนีที่ถูกนำมาใช้ประกอบพิธีตรียัมปวาย) ซึ่งกล่าวไว้ว่า เมื่อพระเป็นเจ้าทั้งสามในศาสนาพราหมณ์ร่วมกันสร้างโลกเสร็จแล้ว พระอุมาวิตกว่าโลกจะไม่แข็งแรง และจะถึงกาลวิบัติในไม่ช้า พระอิศวรจึงทรงท้าพนันถึงความแข็งแรงของโลกกับพระอุมา โดยให้พญานาคนาลิวันขึงตนระหว่างต้นพุทราทั้งสองฝั่งของแม่น้ำ แล้วให้พญานาคไกวตัวโดยพระอิศวรทรงยืนขาเดียวในลักษณะไขว่ห้าง เมื่อพญานาคไกวตัว เท้าพระอิศวรไม่ตกลงแสดงว่าโลกที่ทรงสร้างนั้นมั่นคงแข็งแรง พระอิศวรจึงทรงชนะพนัน พระอุมาจึงคลายความกังวล ส่วนเหล่าพญานาคที่ร่วมการทดสอบต่างพากันปิติยินดีและว่ายน้ำเล่นเป็นการใหญ่   สืบเนื่องจากตำนานข้างต้น จึงมีการประกอบพิธีโล้ชิงช้าในพระราชพิธีตรียัมปวาย – ตรีปวายขึ้นในราชธานี และมีการสร้างเสาชิงช้ากลางพระนคร โดยสมมติให้ “เสาชิงช้า” เป็นภูเขาทั้งสองฝั่งของมหาสมุทร “นาลิวัน” ซึ่งสวมเครื่องประดับศีรษะรูปพญานาคสมมติเป็นตัวแทนของพญานาค “ขันสาคร” ซึ่งบรรจุน้ำตั้งเบื้องหน้าเสาชิงช้าระหว่างกลางเสาทั้งสองสมมติให้เป็นมหาสมุทร “พระยายืนชิงช้า” สมมติว่าคือพระอิศวรผู้ซึ่งเป็นประธานของการโล้ชิงช้า “การรำเสนง” รอบขันสาครซึ่งผู้แสดงจะต้องถือเขาสัตว์วักน้ำจากขันสาครสาดไปรอบๆ สมมติเป็นพญานาคมาแสดงความยินดี ส่วน “แผ่นไม้กระดาน” ซึ่งสลักภาพเทวี คือพระแม่ธรณี พระแม่คงคา และพระอาทิตย์ พระจันทร์ นั้น สมมติให้เป็นเทพและเทวีผู้เป็นบริวารมาเข้าเฝ้ารับเสด็จพระอิศวร   จากหลักฐานเอกสาร เช่น พงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ทำให้สันนิษฐานได้ว่าการประกอบพระราชพิธีตรียัมปวาย – ตรีปวาย น่าจะมีมาตั้งแต่สมัยอยุธยาตอนต้น (โดยสันนิษฐานว่าอาจเป็นพิธีที่สืบทอดมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย) และคงประกอบพิธีกันในเดือนอ้าย คือราวเดือนธันวาคม ครั้นล่วงเข้าสู่สมัยรัตนโกสินทร์ จึงได้เปลี่ยนมาจัดในเดือนยี่ หรือเดือนมกราคม พระราชพิธีดังกล่าวถือปฏิบัติกันสืบต่อมาจนถึงรัชกาลพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว กระทั่งได้ถูกยกเลิกไปในปี พ.ศ.๒๔๗๗ ต่อมาในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ฟื้นฟูพระราชพิธีตรียัมปวาย – ตรีปวาย ขึ้นใหม่ โดยจะกระทำเฉพาะพิธีที่จัดขึ้นภายในเทวสถานโบสถ์พราหมณ์เท่านั้น ส่วนพิธีโล้ชิงช้าซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของพระราชพิธีตรียัมปวาย – ตรีปวาย นั้น มิได้นำกลับมาเช่นครั้งโบราณ โดยในปี พ.ศ.๒๕๖๕ นี้ ได้มีการประกอบพระราชพิธีดังกล่าวขึ้นในระหว่างวันที่ ๘ – ๒๓ มกราคม ๒๕๖๕ ที่ผ่านมา ณ เทวสถานโบสถ์พราหมณ์ กรุงเทพมหานคร ดังธรรมเนียมที่เคยถือปฏิบัติกันมา    สำหรับเมืองนครศรีธรรมราช ถือเป็นอีกเมืองหนึ่งที่ปรากฏหลักฐานว่ามีการประกอบพิธีตรียัมปวาย – ตรีปวาย ดังข้อความที่ระบุในตำนานพราหมณ์นครศรีธรรมราช ซึ่งได้กล่าวถึงเหตุการณ์เมื่อครั้งนำเทวรูปเข้ามาในเมืองนครศรีธรรมราชในสมัยอยุธยา และความสัมพันธ์ระหว่างพราหมณ์เมืองนครศรีธรรมราชกับราชสำนักในสมัยอยุธยา ว่าในครั้งนั้นพระนารายณ์รามาธิบดีแห่งรามนครในอินเดียมีรับสั่งให้ราชทูตนำเทวรูปพระนารายณ์ พระลักษมี หงส์ และชิงช้าทองแดงลงเรือมาถวายกษัตริย์กรุงศรีอยุธยา แต่ในระหว่างทางเกิดเหตุอัศจรรย์ทำให้เทวรูปทั้งหมดมาอยู่ที่เมืองนครศรีธรรมราช เมื่อความทราบถึงสมเด็จพระนารายณ์มหาราช จึงมีพระบรมราชโองการให้เจ้าเมืองนครจัดหาที่ให้เหมาะสมเพื่อประดิษฐานเทวรูปทั้งหมดในเมืองนครศรีธรรมราช แล้วจัดให้มีการสมโภชตามแบบพราหมณ์ และให้จัดสิ่งของจากกรุงศรีอยุธยาไปทำพิธีบูชาเทวรูปในพิธีตรียัมปวาย – ตรีปวายอยู่เสมอมา ดังความว่า “....เมื่อเถิงในศักราช ๗๑๒ ปีขาลนักขัตร...พระนารายน์รามาธิราช มีพระราชโองการ ให้นายตำรวจรับเอาองค์พระนารายณ์เทวารูป พระศรีลักษมี พระมเหวารีย์บรมหงษ์ ชิงช้าทองแดง เอาลงบรรจุเภตราแล้ว แลมีพระราชโองการ ให้จัดเอาชีพ่อเปนภาษา ๕ เหล่ามอบให้ผแดงธรรมนารายน์เปนนาย ให้ศุภชีพ่อ ๕ เหล่ารับเอานารายณ์เทวารูปเอาไป กรุงนครศรีอยุธยาไว้สำหรับโพธิสมภารสนองต่างองค์สมเด็จนารายน์รามาธิบดี...แลเรือต้องพยุซัดเข้าปากน้ำตรัง แลกรมการบอกหนังสือส่งข่าวมาเถิงเมืองนคร จึงเจ้าพญานครคิดด้วยพระหลวงกรมการ สั่งให้ตำรวจมหาดไทยให้ออกไปรับองค์พระนารายน์เทวารูป พระศรีลักษมี พระมเหวารีย์บรมหงษ์ แลผแดงธรรมนารายน์ชีพ่อเบญจภาษา นั้นเข้ามาเมืองนคร...แลองค์นารายน์รามาธิบดีรู้ทราบพระหฤไทยแล้ว แลมีพระราชโองการ ตรัสสั่งแก่เจ้าพญาโกษาให้แต่งตราบอกไปแก่เจ้าพญานครแลกรมการ เห็นที่ใดสมควรให้แต่งสถานรับไว้เปนศักดิสิมาแก่แผ่นดินเมืองนครเถิด...” และ “...เดือน ๑๒ แรมค่ำ ๑ ได้ฤกษ์ กะติกาโรหินีฤกษ์ พระอาทิตย์สงกรานต์เถิงราษีพิจิกให้ตามตะเกียงไม้เทพทัน แลให้นับแต่แรม ๒ ค่ำไป ๒๙ วัน เปนกรรดิมา สามนับไป ๒๘ วัน แลให้ชีพ่อพราหมณ์ ๕ คน เร่งการพิธีเตรียมปา (ตรียัมพวายตรีปาวาย) ได้ถวายเข้าเม่าเข้าตอกแต่พระนารายน์เทวารูป แลพราหมณ์ ๔ ตนอ่านหนังสืออวยไชยพรถวายพระราชกุศลตามสงกรานต์ พระอาทิตย์ไปทุกวัน...ผแดงธรรมนารายน์ทำปากศรีนาทักษิณาบูชาตามถวายแก่พระนารายน์เทวารูป ตแขงเส้งทองแดงใส่น้ำมันให้วิตถารไว้เหนืออาศชิงช้าหน้าสถาน ๓ วัน...”    จากหลักฐานเอกสารข้างต้น แสดงให้เห็นว่าในสมัยอยุธยา เมืองนครศรีธรรมราชมีการประกอบพิธีตรียัมปวาย – ตรีปวาย รวมทั้งมีการโล้ชิงช้าเช่นเดียวกับในราชธานี โดยสันนิษฐานว่าพิธีดังกล่าวจัดขึ้นในบริเวณโบสถ์พราหมณ์ (นักวิชาการบางท่านสันนิษฐานว่าแต่เดิมอาจเรียกว่าหอพระคเณศ) ซึ่งเป็นเทวสถานสำคัญประจำเมืองนครศรีธรรมราช สร้างขึ้นในสมัยอยุธยาในบริเวณเดียวกับเสาชิงช้า หอพระอิศวร และหอพระนารายณ์ นอกจากนั้น ภายในโบสถ์พราหมณ์ยังมีการค้นพบหลักฐานสำคัญเนื่องในศาสนาพราหมณ์ เช่น ศิวลึงค์ศิลา เทวรูปพระคเณศสำริด เทวรูปพระศิวะและพระอุมา รวมทั้งนางกระดานไม้ซึ่งใช้ในการโล้ชิงช้า จึงมีการเรียกพิธีตรียัมปวาย – ตรีปวาย ในเมืองนครศรีธรรมราชอีกชื่อหนึ่งว่า “พิธีแห่นางดาน” ซึ่งมีที่มาจากคำว่านางกระดาน นั่นเอง   พิธีแห่นางดาน หรือพิธีตรียัมปวาย – ตรีปวายในเมืองนครศรีธรรมราชนี้ ในอดีตถือเป็นพิธีที่เจ้าเมืองนครศรีธรรมราชและพราหมณ์เมืองนครศรีธรรมราช จัดกันเป็นประเพณีสำคัญของบ้านเมือง ซึ่งแต่เดิมพิธีดังกล่าวประกอบด้วยพิธีกรรมหลายขั้นตอน โดยเริ่มในวันขึ้น ๗ ค่ำ เดือนอ้าย อันเป็นพิธีต้อนรับพระอิศวร พิธีแห่นางดาน พิธีโล้ชิงช้า พิธีอ่านเม่า พิธีเปิดประตูสวรรค์ พิธียกอุลุบ พิธีร่ายพระเวท พิธีธรณีลงดิน พิธีรำเสนงกวักน้ำมนต์ และพิธีช้าหงส์ หลังจากนั้นเมื่อถึงวันแรม ๑ ค่ำ เดือนอ้ายจะเป็นส่งพระอิศวรเสด็จกลับ และทำพิธีต้อนรับพระนารายณ์จนถึงวันแรม ๕ ค่ำ จึงส่งพระนารายณ์ รวมระยะเวลาทั้งสิ้น ๑๕ วัน สำหรับนางกระดานซึ่งเป็นที่มาของชื่อพิธีในเมืองนครศรีธรรมราชนี้ คือ ไม้กระดาน ๓ แผ่น แกะสลักเป็นรูปพระแม่คงคา พระแม่ธรณี พระอาทิตย์และพระจันทร์ ซึ่งสมมติเป็นเทพที่อัญเชิญมารอต้อนรับพระอิศวร   ทั้งนี้ พิธีแห่นางดานในเมืองนครศรีธรรมราช ปรากฏหลักฐานว่าได้ถูกยกเลิกไปครั้งเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ.๒๔๗๕ และแม้ว่าในอดีตได้มีความพยายามในการรื้อฟื้นพิธีแห่นางดานขึ้นใหม่หลายครั้งแต่ก็ไม่สำเร็จ กระทั่งในปี พ.ศ.๒๕๔๔ จังหวัดนครศรีธรรมราชมีมติให้รื้อฟื้นพิธีแห่นางดานขึ้นอีกครั้ง โดยผนวกเข้ากับเทศกาลสงกรานต์ ซึ่งในวันงานจะมีการจำลองพิธีแห่นางดาน โดยอัญเชิญนางกระดานจำลองมายังหอพระอิศวรและประดิษฐานในหลุมหน้าเสาชิงช้า และการจำลองพิธีโล้ชิงช้า แต่ทั้งนี้พิธีกรรมดังกล่าวมิได้ครอบคลุมไปถึงส่วนของพิธีตรีปวาย หรือพิธีแห่พระนารายณ์และพิธีช้าหงส์ ดังเช่นที่เคยถือปฏิบัติกันมาเมื่อครั้งโบราณ    อย่างไรก็ตาม อาจกล่าวได้ว่าการรื้อฟื้นพิธีแห่นางดานขึ้นอีกครั้งของเมืองนครศรีธรรมราชนี้ ถือเป็นการสืบทอดประเพณีโบราณคู่บ้านคู่เมืองที่มีมาตั้งแต่สมัยอยุธยา และยังแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของโบราณสถานและโบราณวัตถุสมัยอยุธยาที่เกี่ยวข้องกับพิธีตรียัมปวาย – ตรีปวายที่ปรากฏในเมืองนครศรีธรรมราช อันได้แก่ หอพระอิศวร หอพระนารายณ์ เสาชิงช้า โบสถ์พราหมณ์ รวมทั้งเทวรูปเนื่องในศาสนาพราหมณ์ที่เคยประดิษฐานอยู่ภายในเทวสถานเหล่านี้ เช่น พระศิวนาฏราชสำริด พระอุมาสำริด พระวิษณุสำริด พระหริหระสำริด พระคเณศสำริด หงส์สำริด และนางกระดานไม้ ซึ่งยังคงคุณค่าความสำคัญอยู่ภายในเมืองนครศรีธรรมราชมาจนถึงปัจจุบัน    เรียบเรียง/กราฟิก: นางสาวนภัคมน ทองเฝือ นักโบราณคดีชำนาญการ กลุ่มโบราณคดี สำนักศิลปากรที่ ๑๒ นครศรีธรรมราช   อ้างอิง ๑) กรมศิลปากร. ย้อนรอยพิธีโล้ชิงช้าในสยาม. กรุงเทพฯ : กรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม, ๒๕๖๓. ๒) ประพิศ พงศ์มาศ. “พระราชพิธีตรียัมปวาย-ตรีปวาย (พิธีโล้ชิงช้า),”ศิลปากร ปีที่ ๕๕, ฉบับที่ ๓ (พ.ค.-มิ.ย.๒๕๕๕), ๑๐๒-๑๐๙.  ๓) เปรมวัฒนา สุวรรณมาศ. “เฉลิมไตรภพ” : การศึกษาแนวคิดและกลวิธีสร้างสรรค์. วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต สาขาวิชาภาษาไทย ภาควิชาภาษาไทยและภาษาวัฒนธรรมตะวันออก คณะศิลปะศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, ๒๕๖๐. ๔) พระยารัษฎานุประดิษฐ์ (สินธุ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา). ตำนานพราหมณ์เมืองนครศรีธรรมราช (พิมพ์ในงานพระราชทานเพลิงศพอำมาตย์เอกพระยารัษฎานุประดิษฐ์ (สินธุ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา), นครหลวง : โรงพิมพ์โสภณพิพรรฒธนาการ, ๒๔๗๓.


ไซอิ๋ว เล่ม ๓.  พระนคร: องค์การค้าของคุรุสภา, ๒๕๑๒.           ไซอิ๋ว เป็นพงศาวดารจีนที่ได้รับการแปลเป็นหนังสือชุดภาษาไทยลำดับที่ ๑๖ นับเป็นเรื่องที่แยกออกจากพงศาวดารซุยถังในแผ่นดินของพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้กษัตริย์ที่ ๒ แห่งราชวงศ์ถัง


ชื่อเรื่อง                         ทุกนิบาตปาลิ องคฺตรนิกาย (ทุกกนิปาตชาดก) อย.บ.                            389/11 หมวดหมู่                       พุทธศาสนา ลักษณะวัสดุ                  60 หน้า กว้าง 5 ซม. ยาว 57.8 ซม. หัวเรื่อง                         พระธรรมเทศนา                                                                       บทคัดย่อ/บันทึก           เป็นคัมภีร์ใบลาน ฉบับล่องชาด ไม้ประกับธรรมดา



relationship in the world’s trade and culture At Siwamokkhaphiman Throne Hall, The National Museum, Bangkok 14th September – 14th December 2022


ชื่อเรื่อง                      ธมฺมปทวณฺณนา ธมฺมปทฏธกถา ขุทฺทกนิกายฏธกถ (ธมฺมปทขั้นต้น, คาถาธมฺมปท)อย.บ.                           244/16หมวดหมู่                     พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ                56 หน้า : กว้าง 4.7 ซม. ; ยาว 53.5 ซม.หัวเรื่อง                        พุทธ                                      ศาสนา                                                           บทคัดย่อ/บันทึก     เป็นคัมภีร์ใบลาน ฉบับล่องชาด


ชื่อเรื่อง                                 สมเด็จพระยุพราชชาติทหารผู้แต่ง                                    วิฑูร กวยะปาณิกประเภทวัสดุ/มีเดีย                 หนังสือหายากISBN/ISSN                            -หมวดหมู่                                ชีวประวัติ เครื่องราชอิสริยาภรณ์เลขหมู่                                    923.2593 ว153วสถานที่พิมพ์                          กรุงเทพฯสำนักพิมพ์                            รุ่งเรืองวัฒนาพานิชปีที่พิมพ์                                 2520ลักษณะวัสดุ                           116 หน้าหัวเรื่อง                                  บรมโอรสาธิราช สยามมกุฏราชกุมาร, สมเด็จพระ, 2495ภาษา                                    ไทย  


องค์ความรู้ ส่งเสริมการอ่านผ่านออนไลน์ เรื่อง “สามเมือง แก้วแหวน ปูชนียบุคคลแห่งวงการพลอยของจันทบุรี : ผู้คิดค้นการเผาพลอยคนแรกของไทย” จันทบุรีมีชื่อเสียงเกี่ยวกับธุรกิจการค้าอัญมณีเลื่องลือไปทั่วโลก นอกจากจะเป็นถิ่นกำเนิดของพลอยหลากสีที่มีคุณภาพ ยังเป็นศูนย์รวมของช่างพลอยมากฝีมือและประสบการณ์ ด้วยภูมิปัญญาด้านงานช่างอัญมณีที่มีอัตลักษณ์อันโดดเด่น ทั้งกรรมวิธีการปรับปรุงคุณภาพสีสันของพลอย การเจียระไนด้วยทักษะฝีมือที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว รวมถึงการประกอบตัวเรือนอย่างวิจิตรบรรจง ทำให้พลอยเมืองจันท์เป็นที่ชื่นชอบและได้รับการยอมรับในตลาดค้าพลอยทั่วโลกว่าเป็นพลอยที่มีความสวยงามและมีคุณภาพ อย่างไรก็ตามพลอยที่มีสีสันสวยงามนี้ เกิดจากภูมิปัญญาอันทรงคุณค่าที่พัฒนาต่อยอดมาจากวิธีการเผาพลอยที่มีจุดเริ่มต้นเล็ก ๆ จากความช่างสังเกตของคุณสามเมือง แก้วแหวน ซึ่งต่อมาได้พัฒนามาเป็นนวัตกรรมเตาเผาที่เหมาะสมกับพลอยหลากหลายชนิด และส่งผลให้ชื่อเสียงของคุณสามเมืองและพลอยเมืองจันท์เป็นที่รู้จักในระดับสากล จากหนังสือเรื่อง “ไม้ขีดไฟก้านแรก” ได้บอกเล่าเรื่องราวชีวิตของคุณสามเมือง แก้วแหวน ปูชนียบุคคลแห่งวงการพลอยของจันทบุรีว่า คุณสามเมืองเริ่มทำอาชีพค้าขายพลอยหลังลาออกจากการรับราชการตำรวจเมื่ออายุ 30 ปี ด้วยการลองผิดลองถูกทั้งการซื้อขายและการปะพลอย ต่อมาวันหนึ่งได้โกลนพลอยสตาร์เม็ดหนึ่งแตก แต่ถูกคิดค่าจ้างปะติดแพง จึงเกิดความคิดในการปะพลอยเอง โดยใช้ความร้อนและน้ำประสานทองเป็นตัวเชื่อม จากการปะพลอยนี้เองคุณสามเมืองได้สังเกตเห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของสีพลอย โดยเนื้อพลอยจะใสขึ้นกว่าเดิม และมีสีจางลงเล็กน้อยเมื่อถูกความร้อนมาก ๆ ความสงสัยจุดประกายเล็ก ๆ ขึ้นในใจเป็นครั้งแรกว่าความร้อนต้องเป็นสาเหตุหนึ่งในการเปลี่ยนแปลงของสีพลอยเป็นแน่ จากความช่างสังเกตมาประจวบกับเหตุเพลิงไหม้ตลาดเมืองจันทบุรีครั้งใหญ่เมื่อ พ.ศ. 2511 สร้างความเสียหายให้ร้านค้าพลอยเป็นจำนวนมาก พลอยก้อนในร้านถูกเผาไหม้จมดิน และมีผู้นำมาขายให้ คุณสามเมืองสังเกตเห็นชัดว่าพลอยทุกเม็ดมีเนื้อใสหมด ทำให้เชื่อมั่นว่าความร้อนสามารถทำให้พลอยเปลี่ยนสีได้ จึงเริ่มศึกษาค้นคว้าการเผาพลอยอย่างจริงจัง ผ่านการลองผิดลองถูก และได้รับความร่วมมือในการผลิตเตาเผาด้วยถ่านหินซึ่งทนความร้อนสูงของบริษัทปูนซีเมนต์ไทย ทำให้สามารถเผาพลอยจนกระทั่งทำให้หม่าหรือความขุ่นในเนื้อพลอยหายไปกลายเป็นพลอยที่มีสีสันสวยงาม โดยพลอยเม็ดแรกที่เผาสำเร็จเป็นพลอยแซปไฟร์สีน้ำเงิน จึงกล่าวได้ว่าผู้คิดค้นวิธีการเผาพลอยขึ้นคนแรกในวงการพลอยเมืองไทย คือ “คุณสามเมือง แก้วแหวน” นั่นเอง คุณสามเมืองได้พัฒนาการเผาพลอยด้วยเตาเผาแบบต่าง ๆ เพื่อให้เหมาะสมกับพลอยแต่ละชนิด โดยพบว่าเตาน้ำมันเหมาะกับการเผาพลอยสีน้ำเงิน เนื่องจากมีคาร์บอนมาก เตาไฟฟ้าเหมาะสำหรับเผาพลอยแดง เพราะไม่มีคาร์บอนมาสันดาปให้เกิดสีม่วง และเตาแก๊สเป็นเตาสารพัดประโยชน์ที่ปรับให้ใช้ได้กับพลอยทุกสี เพราะสามารถปรับระดับความร้อนได้หลากหลาย โดยมีเพื่อนในวงการพลอยร่วมกันค้นคว้าและสนับสนุน ซึ่งใช้เวลาเกือบ 3 ปี จนเป็นผลสำเร็จในช่วง พ.ศ. 2523 - 2524 จากการพัฒนาเตาแก๊สที่ได้นั้น ทำให้สามารถเผาบุษราคัมได้สีดีที่สุด หลังจากนั้นมีการนำบุษราคัมที่ผ่านการเผานี้ไปจัดแสดงที่สหรัฐอเมริกา สร้างความสนใจแก่นักอัญมณีศาสตร์ในกรรมวิธีการผลิตเป็นอย่างมาก มีการนำตัวอย่างกลับไปทดลองในห้องปฏิบัติการ รวมทั้งผู้สื่อข่าวชาวต่างชาติได้ให้ความสนใจและเดินทางมาทำข่าวถึงจันทบุรี ต่อมาได้มีการรับรองคุณภาพพลอยที่เผาด้วยความร้อน (Heat Treatment) และมีการตีพิมพ์เนื้อหาการปรับปรุงคุณภาพพลอยจากการเผาของจันทบุรี ลงในวารสาร Gems & Gemology Volume XVIII, Winter 1982 คุณสามเมืองจึงได้รับการยกย่องว่าเป็น “King of Orange Sapphires” และเป็นที่รู้จักในระดับสากลตั้งแต่นั้นมา ปัจจุบันพลอยสีที่ขายกันทั่วโลกราวร้อยละ 80 ล้วนผ่านการปรับปรุงคุณภาพจากจันทบุรี ทำให้จันทบุรีได้ชื่อว่าเป็นศูนย์กลางการค้าพลอยสีแห่งหนึ่งของโลก ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นไม่ได้เลย หากปราศจากภูมิปัญญาในการสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่พลอยสีที่คุณสามเมืองได้สร้างไว้เป็นคุณูปการ และถ่ายทอดส่งต่อไปยังคนรุ่นถัดมาเพื่อเป็นสมบัติของชาติ เป็นความภาคภูมิใจของชาวจันทบุรีและชาวไทย อ้างอิง : เมธี จึงสงวนสิทธิ์. จันทบูร = Chining Moon. จันทบุรี: ไชน์นิ่งมูน, 2560. สามเมือง แก้วแหวน. ไม้ขีดไฟก้านแรก. กรุงเทพฯ: บีสแควร์ พริ้นท์ แอนด์ดีไซน์, 2564. Keller, Peter C. “The Chanthaburi - Trat Gem Field, Thailand.” Gems & Gemology. (Winter 1982): pp. 186 - 196. [Online]. Retrieved 26 September 2023, from: https:// www.gia.edu/doc/WN82.pdf ผู้เรียบเรียง : นางสาวปริศนา ตุ้มชัยพร บรรณารักษ์ชำนาญการ หอสมุดแห่งชาติรัชมังคลาภิเษก จันทบุรี สำนักศิลปากรที่ 5 ปราจีนบุรี


ผู้เรียบเรียง : นางอภิญญานุช เผ่าพงษ์คล้าย บรรณารักษ์ชำนาญการ หอสมุดแห่งชาติจังหวัดสุพรรณบุรี เฉลิมพระเกียรติ


6 -29 กุมภาพันธ์ 2567 นี้ หอสมุดแห่งชาติจังหวัดสุพรรณบุรี เฉลิมพระเกียรติ อยากชวนน้องๆหนูๆ มาสนุกกับ "นิทานสร้างงานศิลป์ ตอน ขนมปังนอกกล่อง" ชมนิทรรศการ "ไขความลับขนมปังเนื้อนุ่มฟู" ซึ่งเป็นการจัดแสดงขนมปังรูปแบบหลากหลาย และส่วนประกอบต่าง ๆ ก่อนจะมาเป็นขนมปังเนื้อนุ่มที่พวกเรากินกันทุกวัน การจัดแสดงภาพวาดศิลปะธีมขนมปัง เป็นเมนูขนมปังที่เต็มไปด้วยจินตนาการ โดยพี่มีมี่ สรรประภา วุฒิวร นักเขียน นักวาดภาพประกอบ และเด็กๆ จากโรงเรียนอนุบาลช้างเผือก กิจกรรมเล่านิทานภาพ เรื่องราวของเจ้าขนมปัง กิจกรรม Workshop การทำขนมปังตามจินตนาการ (***ผู้เข้าร่วมต้องลงทะเบียนล่วงหน้า เนื่องจากต้องเตรียมอุปกรณ์ในการทำกิจกรรม สามารถติดต่อมาเพื่อจัดกลุ่มทำกิจกรรมได้ค่ะ***) ไม่มีค่าใช้จ่ายทุกรายการ พกหัวใจของคุณที่พร้อมจะนุ่มฟู มาพบกันตั้งแต่วันที่ 6-29 กุมภาพันธ์ 2567 เวลา 09:30 - 15:00 น. (ปิดทำการทุกวันอาทิตย์-จันทร์) ที่ หอสมุดแห่งชาติจังหวัดสุพรรณบุรี เฉลิมพระเกียรติ ห้อง Co-Working Space หนังสือพิมพ์และวารสาร