ค้นหา
รายการที่พบทั้งหมด 48,759 รายการ
กรมศิลปากรชี้แจงประเด็นข่าวกุฏิพระโบราณ ที่วัดสิงห์ จังหวัดปทุมธานี พังทลายเสียหาย สาเหตุจากช่างที่กรมศิลปากรจ้างมาซ่อมแซมบูรณปฏิสังขรณ์
เมื่อวันที่ ๒๕ มิถุนายน ๒๕๕๕ กรมศิลปากรแถลงข่าวชี้แจงประเด็นกุฏิพระโบราณที่วัดสิงห์ จังหวัดปทุมธานี พังทลายเสียหาย โดยนายเอนก สีหามาตย์ รองอธิบดีกรมศิลปากร นายประทีป เพ็งตะโก ผู้อำนวยการสำนักศิลปากรที่ ๒ สุพรรณบุรี นายช่างโยธาและวิศกรควบคุมงาน เป็นผู้แถลงข่าว ณ ห้องประชุมกรมศิลปากร
ตามที่รายการเรื่องเล่าเสาร์ – อาทิตย์ ประจำวันอาทิตย์ที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๕๕๕ รายการ เรื่องเล่าเช้านี้ ประจำวันจันทร์ที่ ๒๕ มิถุนายน ๒๕๕๕ ทางสถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสี ช่อง ๓ และหนังสือพิมพ์ข่าวสด หนังสือพิมพ์มติชน ฉบับวันจันทร์ที่ ๒๕ มิถุนายน ๒๕๕๕ ได้เสนอข่าวเกี่ยวกับกุฏิพระโบราณ ที่วัดสิงห์ ตำบลสามโคก อำเภอสามโคก จังหวัดปทุมธานี พังทลายเสียหายทั้งหมด สาเหตุจากช่างที่กรมศิลปากรจ้างมาซ่อมแซมบูรณปฏิสังขรณ์ นั้น
กรมศิลปากร โดยสำนักศิลปากรที่ ๒ สุพรรณบุรี ขอชี้แจงเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าวดังนี้
๑. วัดสิงห์ ตำบลสามโคก อำเภอสามโคก จังหวัดปทุมธานี ตั้งอยู่บนฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยา เป็นวัดเก่าแก่ซึ่งยังปรากฏเจดีย์ โบสถ์ วิหารเก่าแก่ ควรค่าแก่การศึกษาด้านประวัติศาสตร์โบราณคดี พระพุทธรูปสำคัญของวัดคือ หลวงพ่อโต พระพุทธรูปลงรักปิดทอง ปางมารวิชัย สมัยกรุงศรีอยุธยา พระพุทธไสยาสน์ (หลวงพ่อเพชร) นอกจากนี้ยังมีโกศบรรจุอัฐิหลวงพ่อพญากราย ซึ่งเป็นพระมอญธุดงค์มาจำพรรษา ที่วัดสิงห์ บนกุฏิของวัดมีพิพิธภัณฑ์ เก็บรักษาของเก่า ได้แก่ ตุ่มสามโคก แท่นบรรทมของพระบาทสมเด็จ พระพุทธเลิศหล้านภาลัย เมื่อครั้งเสด็จประพาสเมืองสามโคก ใบลานอักษรมอญ ตู้พระธรรม และพระพุทธรูป ด้านหน้าวัดสิงห์มีการขุดค้นพบโบราณสถานเตาโอ่งอ่าง ซึ่งถือ เป็นหลักฐานของการตั้งชุมชนมอญในสมัยแรกในบริเวณนี้นับแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา กรมศิลปากรได้ประกาศขึ้นทะเบียนและกำหนดขอบเขตโบราณสถาน ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ ๑ กันยายน พ.ศ. ๒๕๓๕ เล่มที่ ๑๐๙ ตอนที่ ๑๐๙
๒. กรมศิลปากร สำนักศิลปากรที่ ๒ สุพรรณบุรี ได้รับการจัดสรรงบประมาณโครงการฟื้นฟูบูรณะโบราณสถานที่ประสบอุทกภัย โครงการบูรณะโบราณสถานวัดสิงห์ จำนวน ๑๒,๐๒๐,๐๐๐ บาท โดยแบ่งเป็น ๒ โครงการ
- โครงการงานบูรณะโบราณสถาน จำนวนเงิน ๔,๔๕๐,๐๐๐ บาท
- โครงการงานปรับยกระดับ (ปรับดีด) วงเงินสัญญาจ้าง ๗,๕๓๙,๐๐๐ บาท ดำเนินการว่าจ้างบริษัทกันต์กนิษฐ์ ก่อสร้าง จำกัด เป็นผู้ดำเนินงาน ตามสัญญาจ้างเลขที่ ๑๒/๒๕๕๕ เริ่มสัญญาวันที่ ๑๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ สิ้นสุดวันที่ ๑๕ สิงหาคม ๒๕๕๕ โดยมีนายเฉลิมศักดิ์ ทองมา นายช่างโยธาชำนาญงาน สำนักศิลปากรที่ ๒ สุพรรณบุรี เป็นผู้ควบคุมงาน
๓. เมื่อวันที่ ๒๙ พฤษภาคม ๒๕๕๕ เวลา ๒๑.๓๐ น. นายเฉลิมศักดิ์ ทองมา ได้รับแจ้งจากตัวแทนบริษัทกันต์กนิษฐ์ ก่อสร้าง จำกัด ในเวลาประมาณ ๑๖.๓๐ น. ขณะที่คนงานอยู่ในช่วงพัก ไม่มีใครอยู่ภายในบริเวณอาคารกุฏิโบราณ ได้ยินเสียงพร้อมทั้งปูนฉาบของตัวอาคารกะเทาะหลุดร่วงลงมา แล้วมุมอาคารด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้ เกิดการทรุดตัวลง ทำให้กระเบื้องหลังคาและโครงสร้างหลังคาทั้งหมด ทรุดลงมากองอยู่บริเวณพื้นไม้ชั้นสองของอาคาร ทำให้น้ำหนักบรรทุกของพื้นมากขึ้นกว่าเดิม หลังจากนั้นผนังด้านทิศใต้ ก็ได้พังทลายตามลงมาเนื่องจากรับหนักของหลังคาที่ทรุดลงมาไม่ไหว
๔. เมื่อวันที่ ๓๐ พฤษภาคม ๒๕๕๕ เวลา ๙.๐๐ น.ผู้อำนวยการสำนักศิลปากรที่ ๒ สุพรรณบุรี (นายประทีป เพ็งตะโก) นายกิตติพันธ์ พานสุวรรณ วิศวกรชำนาญการพิเศษ นายจมร ปรปักษ์ประลัย สถาปนิกชำนาญการ นายเฉลิมศักดิ์ ทองมา นายกองค์การบริหารส่วนตำบลสามโคก และคณะกรรมการวัดสิงห์ ได้ร่วมกันลงพื้นที่ตรวจสอบความเสียหายและหาสาเหตุของการพังทลาย ได้ข้อสรุปดังนี้
๔.๑ การที่อาคารเกิดการทรุดตัว เนื่องจากพื้นดินรับฐานรากอาคารอยู่ในที่ต่ำชุ่มน้ำตลอดทั้งปี ทำให้อ่อนตัวรับน้ำหนักอาคารไม่ไหวทำให้ผนังอาคารทรุดตัวลงมาประมาณ ๑ ใน ๔ ส่วน
๔.๒ ผนังอาคารมีร่องรอยแตกร้าวจำนวนมาก พบร่องรอยนี้จากการสำรวจเพื่อจัดทำรูปแบบรายการการอนุรักษ์ ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๕๐ - ๒๕๕๔
๔.๓ ปูนสอเสื่อมสภาพจากการถูกน้ำแช่ขังและใช้งานอาคารมาเป็นเวลานาน ทำให้การยึดตัวของอิฐและปูนสอไม่ดี เป็นสาเหตุให้ตัวอาคารทรุดลงมา
๔.๔ สภาพอาคารที่ปูนฉาบผนังนอกหลุดร่อน ทำให้น้ำซึมผ่านเข้าไปในผนังทำให้ ปูนสอชุ่มน้ำ ทำให้แรงยึดเกาะระหว่างอิฐต่ำ
๔.๕ ขณะที่อาคารทรุดตัวอยู่ระหว่างการขุดเพื่อตรวจสอบฐานของอาคารส่วนที่ จมดินเพื่อเตรียมการกำหนดระยะที่ทำการตัดผนังเพื่อเสริมคานถ่ายแรง ยังไม่ได้ทำการตัดผนัง จึงยังมิได้มีการรบกวนโครงสร้างของอาคารโบราณ แต่ตัวอาคารก็เกิดการทรุดตัวลงมาเสียก่อน
หลังจากทำการตรวจสอบพื้นที่แล้ว สำนักศิลปากรที่ ๒ สุพรรณบุรี ได้สั่งการให้บริษัทผู้รับจ้างทำการค้ำยันผนังส่วนที่เหลือโดยให้ดำเนินการตามคำแนะนำของวิศวกร และทำการจัดเก็บวัสดุส่วนที่สามารถนำมาก่อสร้างเพื่อคืนสภาพอาคารไปจัดเก็บในที่ให้เรียบร้อย รวมทั้งได้เร่งรัดให้ผู้รับจ้างดำเนินการบูรณะกุฏิให้คืนสภาพโดยเร็ว โดยให้บริษัทผู้รับจ้างร่วมกับสถาปนิก วิศวกร และผู้เกี่ยวข้อง ปรับปรุงรูปแบบรายการ และวิธีปรับดีดให้สอดคล้องเหมาะสมกับสภาพปัจจุบันของกุฏิ และให้ดำเนินการบูรณะกุฏิให้กลับคืนสภาพเดิม โดยให้เป็นไปตามรูปแบบรายการบูรณะที่ได้รับอนุญาต
ข้อแนะนำการส่งหรือนำพระพุทธรูปออกนอกราชอาณาจักรบุคคลทั่วไป
๑. กรอกแบบฟอร์มการขออนุญาตที่ทางราชการจัดให้ (ศก.๖)
๒. ทำหนังสือถึงอธิบดีกรมศิลปากร ให้เหตุผลส่งหรือนำไปเพื่ออะไร ไว้ที่ใดโดยละเอียด
๓. ในกรณีที่นำติดตัวไปเอง ถ่ายสำเนาหนังสือเดินทางของผู้ขออนุญาต ๑ ชุด ในกรณีที่ส่งไปถ่ายสำเนาบัตรประจำตัวประชาชน หรือบัตรข้าราชการ
๔. ให้แสดงหลักฐานเป็นเอกสารรับรองจากองค์กร องค์การ (องค์กร, องค์การที่เป็นที่เชื่อถือ และยอมรับจากทางราชการ)
สมาคม หมายถึง ต้องทำงานเกี่ยวข้องกับศาสนาซึ่งเป็นที่เชื่อถือและยอมรับจากทางราชการ
สถาบันที่เกี่ยวข้องกับศาสนา คือ พระสงฆ์ที่มีสมณศักดิ์ เป็นเจ้าอาวาส รองเจ้าอาวาส ผู้ช่วยเจ้าอาวาส หรือเลขาธิการสมเด็จพระสังฆราช เป็นผู้ลงนามรับรอง หรือบุคคลใดบุคคลหนึ่งที่เชื่อถือได้ว่าจะส่งหรือนำพระพุทธรูปออกนอกราชอาณาจักรเพื่อสักการบูชา เพื่อศึกษาวิจัย เพื่อเผยแพร่เกียรติคุณ หรือเพื่อแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมหรือโบราณคดี
ในกรณีที่เจ้าอาวาสวัด รองเจ้าอาวาสวัดฯ หรือผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัด รับรอง ต้องมีเอกสาร ดังนี้
๑. ทำหนังสือจากวัดถึงอธิบดีกรมศิลปากร
๒. สำเนาใบสุทธิประวัติเดิม – ปัจจุบัน
๓. สำเนาใบแต่งตั้งสมณศักดิ์ หรือหลักฐานยืนยันชื่อลงนามในหนังสือรับรอง
ในกรณีที่ข้าราชการรับรอง (ต้องเป็นข้าราชการตั้งแต่ ระดับ ๔ ขึ้นไป)
๑. ทำหนังสือจากผู้รับรองถึงอธิบดีกรมศิลปากร รับรองผู้ขออนุญาตส่งหรือนำพระพุทธรูปออกนอกราชอาณาจักร
๒. สำเนาบัตรข้าราชการ ด้านหน้า – หลัง
อนึ่ง เอกสารที่เป็นสำเนา ให้ผู้รับรองลงนามรับรองสำเนาถูกต้องทุกฉบับ
ภาพถ่ายของวัตถุ
ใช้ภาพสี ขนาด ๓ x ๕ นิ้ว จำนวน ๒ ภาพ ต่อวัตถุ ๑ รายการ ถ่ายภาพเฉพาะด้านหน้าให้ ชัดเจน หากมีพลาสติกห่อหุ้มให้เอาออกก่อนถ่ายภาพ นำวัตถุที่จะส่งหรือนำออกทุกชิ้นไปแสดงต่อคณะกรรมการตรวจพิสูจน์ฯ ในวันที่ยื่นคำร้อง (ศก.๖) ณ สำนักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เลขที่ ๘๑/๑ ถนนศรีอยุธยา (อาคารกรมศิลปากรใหม่) เทเวศร์ แขวงวชิระ เขตดุสิต กรุงเทพฯ ๑๐๓๐๐
ระยะเวลาออกใบอนุญาต ๒ วันทำการ
เวลาทำการตรวจพิสูจน์ เช้า เวลา ๑๐.๐๐ น.
บ่าย เวลา ๑๔.๐๐ น.
ฝ่ายบริหารงานทั่วไป สำนักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ
โทรศัพท์, โทรสาร ๐ ๒๖๒๘ ๕๐๓๓
ขั้นตอนและวิธีการ
การขอรับใบอนุญาตส่งหรือนำโบราณวัตถุหรือศิลปวัตถุออกนอกราชอาณาจักร
๑. ผู้ขออนุญาต ต้องกรอกในคำขอรับใบอนุญาตส่งหรือนำโบราณวัตถุหรือศิลปวัตถุออกนอกราชอาณาจักร(ศก.๖) พร้อมแนบเอกสารหลักฐานต่าง ๆ ตามที่ระบุไว้ในคำขอรับใบอนุญาต ณ สำนักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เลขที่ ๘๑/๑ ถนนศรีอยุธยา เทเวศร์ แขวงวชิระ เขตดุสิต กรุงเทพฯ ๑๐๓๐๐
๒. ผู้ขออนุญาต จะต้องนำโบราณวัตถุหรือศิลปวัตถุที่ขออนุญาตส่งออกทุกชิ้นไปให้คณะกรรมการตรวจพิสูจน์ ณ สำนักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หากไม่สามารถนำไปให้ตรวจพิสูจน์ ณ สถานที่ดังกล่าวได้ ผู้ขออนุญาตสามารถทำหนังสือพร้อมทั้งแสดงเหตุผลต่ออธิบดีขอให้มีการตรวจพิสูจน์ ณ สถานที่ที่เก็บรักษาโบราณวัตถุหรือศิลปวัตถุ ผู้ขอรับใบอนุญาตจะต้องเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายในการนี้ทั้งหมด
๓. เจ้าหน้าที่จะผูกตะกั่วประทับตราที่โบราณวัตถุหรือศิลปวัตถุทุกชิ้น ที่คณะกรรมการตรวจพิสูจน์ สรุปความ เห็นอนุญาตให้ส่งหรือนำออกนอกราชอาณาจักรได้
๔. ภายใน ๑ - ๒ วันทำการ ให้ผู้ขอรับใบอนุญาตไปรับใบอนุญาต พร้อมชำระค่าธรรมเนียม
ตามที่กำหนดไว้ในกฎกระทรวง ณ สำนักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ
ค่าธรรมเนียมศิลปวัตถุประเภทพระพุทธรูป สมัยรัตนโกสินทร์ ช่วงระหว่างปี พ.ศ. ๒๔๙๐ ถึงปัจจุบัน
- ขนาดยาวหรือสูงเกิน ๑๐๐ เซนติเมตร ชิ้นละ ๓๐๐ บาท
- ขนาดยาวหรือสูงเกิน ๕๐ เซนติเมตร แต่ไม่เกิน ๑๐๐ เซนติเมตร ชิ้นละ ๒๐๐ บาท
- ขนาดยาวหรือสูงไม่เกิน ๕๐ เซนติเมตร ชิ้นละ ๑๐๐ บาท
ค่าธรรมเนียมศิลปวัตถุ สมัยรัตนโกสินทร์ ช่วงระหว่างปี พ.ศ. ๒๔๙๐ ถึงปัจจุบัน
- ขนาดยาวหรือสูงเกิน ๑๐๐ เซนติเมตร ชิ้นละ ๒๐๐ บาท
- ขนาดยาวหรือสูงเกิน ๕๐ เซนติเมตร แต่ไม่เกิน ๑๐๐ เซนติเมตร ชิ้นละ ๑๐๐ บาท
- ขนาดยาวหรือสูงไม่เกิน ๕๐ เซนติเมตร ชิ้นละ ๕๐ บาท
๕. เจ้าหน้าที่จะออกบัตรประจำวัตถุ (บัตรสีชมพู) เพื่อให้ผู้ขอรับใบอนุญาตนำไปผูกกับปลายเชือกที่ประทับตราตะกั่วที่โบราณวัตถุหรือศิลปวัตถุทุกชิ้น
๖. ผู้ขอรับใบอนุญาตจะต้องลงชื่อรับรองว่าจะนำบัตรประจำวัตถุไปผูกติดกับปลายเชือกตราตะกั่วที่ประทับวัตถุให้ถูกต้องตรงกับเลขหมายรายการในใบอนุญาต
"จดหมายเหตุ ถนนสายสำคัญเมืองอุบลราชธานี" เล่มนี้ทางหอจดหมายเหตุแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติฯ อุบลราชธานี
ได้รวบรวมข้อมูลจากคุณสุวิชช คูณผล ปราชญ์เมืองอุบลฯ และจัดทำเพื่อจ่ายแจกให้กับประชาชนผู้สนใจที่มาเยี่ยมชมงาน
"โครงการการอนุรักษ์สืบสานและพัฒนาการด้านวัฒนธรรมเมืองดอกบัวงาม" ณ หอประชุมไพพระยอม มหาวิทยาลัยราชภัฎ
อุบลราชธานี" ซึ่งจัดโดย สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดอุบลราชธานีเมื่อ 30 เม.ย.-2 พ.ค.2553
เนื้อหาในหนังสือเล่มนี้กล่าวถึงประวัติความเป็นมาของเมืองอุบลราชธานีโดยย่อ และที่มาของการตั้งชื่อถนนสายสำคัญๆ
ในเมืองอุบลราชธานี ตลอดจนภาพถ่ายถนนสายสำคัญทั้งในอดีตและปัจจุบัน
ข้อแนะนำการส่งหรือนำพระพุทธรูปออกนอกราชอาณาจักรบุคคลทั่วไป
๑. กรอกแบบฟอร์มการขออนุญาตที่ทางราชการจัดให้ (ศก.๖)
๒. ทำหนังสือถึงอธิบดีกรมศิลปากร ให้เหตุผลส่งหรือนำไปเพื่ออะไร ไว้ที่ใดโดยละเอียด
๓. ในกรณีที่นำติดตัวไปเอง ถ่ายสำเนาหนังสือเดินทางของผู้ขออนุญาต ๑ ชุด ในกรณีที่ส่งไปถ่ายสำเนาบัตรประจำตัวประชาชน หรือบัตรข้าราชการ
๔. ให้แสดงหลักฐานเป็นเอกสารรับรองจากองค์กร องค์การ (องค์กร, องค์การที่เป็นที่เชื่อถือ และยอมรับจากทางราชการ)
สมาคม หมายถึง ต้องทำงานเกี่ยวข้องกับศาสนาซึ่งเป็นที่เชื่อถือและยอมรับจากทางราชการ
สถาบันที่เกี่ยวข้องกับศาสนา คือ พระสงฆ์ที่มีสมณศักดิ์ เป็นเจ้าอาวาส รองเจ้าอาวาส ผู้ช่วยเจ้าอาวาส หรือเลขาธิการสมเด็จพระสังฆราช เป็นผู้ลงนามรับรอง หรือบุคคลใดบุคคลหนึ่งที่เชื่อถือได้ว่าจะส่งหรือนำพระพุทธรูปออกนอกราชอาณาจักรเพื่อสักการบูชา เพื่อศึกษาวิจัย เพื่อเผยแพร่เกียรติคุณ หรือเพื่อแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมหรือโบราณคดี
ในกรณีที่เจ้าอาวาสวัด รองเจ้าอาวาสวัดฯ หรือผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัด รับรอง ต้องมีเอกสาร ดังนี้
๑. ทำหนังสือจากวัดถึงอธิบดีกรมศิลปากร
๒. สำเนาใบสุทธิประวัติเดิม – ปัจจุบัน
๓. สำเนาใบแต่งตั้งสมณศักดิ์ หรือหลักฐานยืนยันชื่อลงนามในหนังสือรับรอง
ในกรณีที่ข้าราชการรับรอง (ต้องเป็นข้าราชการตั้งแต่ ระดับ ๔ ขึ้นไป)
๑. ทำหนังสือจากผู้รับรองถึงอธิบดีกรมศิลปากร รับรองผู้ขออนุญาตส่งหรือนำพระพุทธรูปออกนอกราชอาณาจักร
๒. สำเนาบัตรข้าราชการ ด้านหน้า – หลัง
อนึ่ง เอกสารที่เป็นสำเนา ให้ผู้รับรองลงนามรับรองสำเนาถูกต้องทุกฉบับ
ภาพถ่ายของวัตถุ
ใช้ภาพสี ขนาด ๓ x ๕ นิ้ว จำนวน ๒ ภาพ ต่อวัตถุ ๑ รายการ ถ่ายภาพเฉพาะด้านหน้าให้ ชัดเจน หากมีพลาสติกห่อหุ้มให้เอาออกก่อนถ่ายภาพ นำวัตถุที่จะส่งหรือนำออกทุกชิ้นไปแสดงต่อคณะกรรมการตรวจพิสูจน์ฯ ในวันที่ยื่นคำร้อง (ศก.๖) ณ สำนักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เลขที่ ๘๑/๑ ถนนศรีอยุธยา (อาคารกรมศิลปากรใหม่) เทเวศร์ แขวงวชิระ เขตดุสิต กรุงเทพฯ ๑๐๓๐๐
ระยะเวลาออกใบอนุญาต ๒ วันทำการ
เวลาทำการตรวจพิสูจน์ เช้า เวลา ๑๐.๐๐ น.
บ่าย เวลา ๑๔.๐๐ น.
ฝ่ายบริหารงานทั่วไป สำนักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ
โทรศัพท์, โทรสาร ๐ ๒๖๒๘ ๕๐๓๓
ขั้นตอนและวิธีการ
การขอรับใบอนุญาตส่งหรือนำโบราณวัตถุหรือศิลปวัตถุออกนอกราชอาณาจักร
๑. ผู้ขออนุญาต ต้องกรอกในคำขอรับใบอนุญาตส่งหรือนำโบราณวัตถุหรือศิลปวัตถุออกนอกราชอาณาจักร(ศก.๖) พร้อมแนบเอกสารหลักฐานต่าง ๆ ตามที่ระบุไว้ในคำขอรับใบอนุญาต ณ สำนักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เลขที่ ๘๑/๑ ถนนศรีอยุธยา เทเวศร์ แขวงวชิระ เขตดุสิต กรุงเทพฯ ๑๐๓๐๐
๒. ผู้ขออนุญาต จะต้องนำโบราณวัตถุหรือศิลปวัตถุที่ขออนุญาตส่งออกทุกชิ้นไปให้คณะกรรมการตรวจพิสูจน์ ณ สำนักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หากไม่สามารถนำไปให้ตรวจพิสูจน์ ณ สถานที่ดังกล่าวได้ ผู้ขออนุญาตสามารถทำหนังสือพร้อมทั้งแสดงเหตุผลต่ออธิบดีขอให้มีการตรวจพิสูจน์ ณ สถานที่ที่เก็บรักษาโบราณวัตถุหรือศิลปวัตถุ ผู้ขอรับใบอนุญาตจะต้องเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายในการนี้ทั้งหมด
๓. เจ้าหน้าที่จะผูกตะกั่วประทับตราที่โบราณวัตถุหรือศิลปวัตถุทุกชิ้น ที่คณะกรรมการตรวจพิสูจน์ สรุปความ เห็นอนุญาตให้ส่งหรือนำออกนอกราชอาณาจักรได้
๔. ภายใน ๑ - ๒ วันทำการ ให้ผู้ขอรับใบอนุญาตไปรับใบอนุญาต พร้อมชำระค่าธรรมเนียม
ตามที่กำหนดไว้ในกฎกระทรวง ณ สำนักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ
ค่าธรรมเนียมศิลปวัตถุประเภทพระพุทธรูป สมัยรัตนโกสินทร์ ช่วงระหว่างปี พ.ศ. ๒๔๙๐ ถึงปัจจุบัน
- ขนาดยาวหรือสูงเกิน ๑๐๐ เซนติเมตร ชิ้นละ ๓๐๐ บาท
- ขนาดยาวหรือสูงเกิน ๕๐ เซนติเมตร แต่ไม่เกิน ๑๐๐ เซนติเมตร ชิ้นละ ๒๐๐ บาท
- ขนาดยาวหรือสูงไม่เกิน ๕๐ เซนติเมตร ชิ้นละ ๑๐๐ บาท
ค่าธรรมเนียมศิลปวัตถุ สมัยรัตนโกสินทร์ ช่วงระหว่างปี พ.ศ. ๒๔๙๐ ถึงปัจจุบัน
- ขนาดยาวหรือสูงเกิน ๑๐๐ เซนติเมตร ชิ้นละ ๒๐๐ บาท
- ขนาดยาวหรือสูงเกิน ๕๐ เซนติเมตร แต่ไม่เกิน ๑๐๐ เซนติเมตร ชิ้นละ ๑๐๐ บาท
- ขนาดยาวหรือสูงไม่เกิน ๕๐ เซนติเมตร ชิ้นละ ๕๐ บาท
๕. เจ้าหน้าที่จะออกบัตรประจำวัตถุ (บัตรสีชมพู) เพื่อให้ผู้ขอรับใบอนุญาตนำไปผูกกับปลายเชือกที่ประทับตราตะกั่วที่โบราณวัตถุหรือศิลปวัตถุทุกชิ้น
๖. ผู้ขอรับใบอนุญาตจะต้องลงชื่อรับรองว่าจะนำบัตรประจำวัตถุไปผูกติดกับปลายเชือกตราตะกั่วที่ประทับวัตถุให้ถูกต้องตรงกับเลขหมายรายการในใบอนุญาต
พระราชพิธีเปลี่ยนเครื่องทรงพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร (พระแก้วมรกต) มีมาตั้งแต่สมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ในสมัยนั้นได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างเครื่องทรงถวายพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากรสำหรับฤดูร้อนและฤดูฝน อย่างละสำรับ และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนเครื่องทรงตามฤดูกาล ครั้นถึงรัชกาลที่ 3 พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างเครื่องทรงสำหรับฤดูหนาวถวายอีกสำรับหนึ่ง พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร จึงทรงเครื่องทรง 3 อย่าง ตามฤดูกาลมาจนถึงทุกวันนี้
ในโอกาสที่กรุงรัตนโกสินทร์ครบ 200 ปี สำนักพระราชวังได้ทำการบูรณะซ่อมแซมเครื่องทรงพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร ทั้ง 3 ฤดู เฉพาะในส่วนที่ชำรุดเนื่องจากได้ใช้งานต่อเนื่องมาโดยตลอด ต่อมาในภายหลังพบว่าเครื่องทรงพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากรชำรุดมากขึ้น ควรจะต้องซ่อมแซมอีก แต่ด้วยความที่เครื่องทรงพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากรชุดนี้เป็นยอดฝีมือของ ช่างโบราณช่วงสมัยปลายกรุงศรีอยุธยาต่อกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น จึงไม่สามารถหาช่างฝีมือซ่อมแซมให้เหมือนเดิมหรือทำให้เกิดความกลมกลืนทั้ง ในด้านวัตถุและฝีมือได้ กรมธนารักษ์ สำนักพระราชวัง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้พิจารณาเห็นพ้องต้องกันว่า สมควรอนุรักษ์และรักษาเครื่องทรงพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากรชุดเดิมไว้ให้ เป็นศิลปกรรมและมรดกอันล้ำค่ามิให้ชำรุดมากขึ้นกว่าเดิม และได้ดำริจัดสร้างเครื่องทรงพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากรชุดใหม่ขึ้นเพื่อใช้ ประกอบพระราชพิธีผลัดเปลี่ยนเครื่องทรงพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากรตามโบราณราช ประเพณีขึ้นเพื่อเป็นการทดแทน ถวายเป็นพุทธบูชา และเพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเนื่องในโอกาส มหามงคลพระราชพิธีกาญจนาภิเษก พุทธศักราช 2539
การจัดสร้างเครื่องทรงพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากรชุดใหม่ได้แล้วเสร็จ และได้นำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายตามลำดับ ดังนี้
วันที่ 25 พฤศจิกายน 2539 ทูลเกล้าฯ ถวายเครื่องทรงพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากรฤดูหนาว
วันที่ 23 มีนาคม 2540 ทูลเกล้าฯ ถวายเครื่องทรงพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากรฤดูร้อน
วันที่ 20 กรกฎาคม 2540 ทูลเกล้าฯ ถวายเครื่องทรงพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากรฤดูฝน
พระราชพิธีเปลี่ยนเครื่องทรงพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากรนั้นกระทำกัน 3 ครั้งในแต่ละปี ในสมัยก่อนพระมหากษัตริย์ทรงประพรมน้ำพระพุทธมนต์ในการพระราชพิธีเปลี่ยน เครื่องทรงพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากรพระราชทานแก่เจ้านายและขุนนางที่เฝ้าฯ อยู่ภายในพระอุโบสถเท่านั้น แต่ในรัชกาลปัจจุบัน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระมหากรุณาเสด็จฯ มาพระราชทานน้ำพระพุทธมนต์แก่ประชาชนที่มาคอยเฝ้าฯ รับเสด็จรอบ ๆ พระอุโบสถด้วย
พระราชพิธีเปลี่ยนเครื่องทรงพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร ในแต่ละปีมีกำหนดเวลา ดังนี้
วันแรม 1 ค่ำ เดือน 4 เสด็จฯ ไปทรงเปลี่ยนเครื่องทรงฤดูหนาวเป็นฤดูร้อน
วันแรม 1 ค่ำ เดือน 8 เสด็จฯ ไปทรงเปลี่ยนเครื่องทรงฤดูร้อนเป็นฤดูฝน
วันแรม 1 ค่ำ เดือน 12 เสด็จฯ ไปทรงเปลี่ยนเครื่องทรงฤดูฝนเป็นฤดูหนาว
(ที่มา : จดหมายข่าวสำนักราชเลขาธิการ ปีที่ 21 ฉบับที่ 1 ตุลาคม 2549 - มกราคม 2550 หน้า 68 - 69.)
เพลงดนตรีประวัติ ศาสตร์ เป็นบทร้อยกรองบรรยายเรื่องราวในประวัติศษสตร์ของชนชาติไทย ซึ่งหลวงวิจิตรวาทการแต่งเป็นคำกลอนสำหรับขับร้อง และบรรเลงทางสถานีวิทยุกระจายเสียง เพื่อให้ความรู้ความเป็นมาของชนชาติไทย และปลูกจิตสำนึกความรักชาติแก่ประชาชน...
ชื่อเรื่อง ประชุมพงศาวดาร เล่ม 20 (ประชุมพงศาวดาร ภาคที่ 33 และ 34)ผู้แต่ง -ประเภทวัสดุ/มีเดีย หนังสือหายากหมวดหมู่ ประวัติศาสตร์ทวีปเอเชียเลขหมู่ 959.3 ป247 ล.20สถานที่พิมพ์ พระนครสำนักพิมพ์ โรงพิมพ์คุรุสภาลาดพร้าวปีที่พิมพ์ 2510ลักษณะวัสดุ 366 หน้าหัวเรื่อง ไทย – ประวัติศาสตร์ พงศาวดารภาษา ไทยบทคัดย่อ/บันทึก เนื้อหาภายในประกอบด้วย ประชุมพงศาวดาร เล่ม 20 (ประชุมพงศาวดาร ภาคที่ 33 และ 34) : บุรพภาคพระธรรมเทศนา เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชนิพนธ์ ในพระบาทสมเด็จฯ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
๑. ชื่อโครงการ
การแสดงเผยแพร่แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมในงานเทศกาลรามายณะนานาชาติ ครั้งที่ ๒
๒.วัตถุประสงค์
๒.๑ เพื่อเผยแพร่การแสดงโขนซึ่งเป็นศิลปะการแสดงชั้นสูงของไทย และเป็นเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมประจำชาติ ให้เป็นที่รู้จักและชื่นชอบในหมู่ประเทศอาเซียน และประเทศที่มีวรรณกรรม
เรื่อง รามายณะ
๒.๒ เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์มรดกทางศิลปวัฒนธรรมโดยใช้วรรณกรรมเรื่อง รามายณะ หรือ รามเกียรติ์ เป็นสื่อกลางในการเชื่อมโยงสายใยและความรู้ทางวัฒนธรรมร่วมกัน
๒.๓ เพื่อส่งเสริมความเข้าใจด้านวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ ศาสนา และอารยธรรมระหว่างประเทศในภูมิภาคเอเซียใต้และเอเซียตะวันออกเฉียงใต้
๓. กำหนดเวลา
ระหว่างวันที่ ๙ – ๑๗ ตุลาคม ๒๕๕๙
๔. สถานที่
๔.๑ Kamani Auditorium เมืองนิวเดลี
๔.๒ Ramlila Ground เมืองลัคเนาว์
๔.๓ เมืองอโยธยา
๔.๔ Indira Gandhi National Centre for the Arts เมืองนิวเดลี
๕. หน่วยงานผู้จัด
กระทรวงการต่างประเทศ
๖. หน่วยงานสนับสนุน
กระทรวงวัฒนธรรม
๗. กิจกรรม
วันอาทิตย์ที่ ๙ ตุลาคม ๒๕๕๙
๑๓.๐๐ น.
๑๔.๓๐ น.
๑๗.๕๕ น.
(เวลาท้องถิ่น) ๒๐.๕๕ น.
๒๓.๐๐ น.
- คณะนาฏศิลป์เดินทางออกจากสำนักการสังคีต กรมศิลปากร
- เดินทางถึงสนามบินสุวรรณภูมิ เคาร์เตอร์ B๑๗ เช็คอิน Group และผ่าน
กระบวนการตรวจคนเข้าเมือง
- เดินทางออกจากประเทศไทย โดยสายการบินไทย TG ๓๑๕
- คณะนาฏศิลป์เดินทางถึงท่าอากาศยาน Indira Gandhi
- เข้าพักและรับประทานอาหารมื้อค่ำ ณ Hotel Forest Green
วันจันทร์ที่ ๑๐ ตุลาคม ๒๕๕๙
๐๗.๓๐ น.
๑๑.๐๐ น.
๑๔.๐๐ น.
๑๕.๐๐ น.
๑๙.๓๐ น.
๒๓.๐๐ น.
- รับประทานอาหารมื้อเช้า ณ โรงแรมที่พัก
- ซ้อมการแสดงที่ Kamani Auditorium
- รับประทานอาหารมื้อกลางวัน ณ โรงแรมที่พัก
- เตรียมพร้อมการแสดงที่ Kamani Auditorium
- แสดงโขน ตอนลักสีดา (๓๐ นาที) ณ Kamani Auditorium
- เข้าพักและรับประทานอาหารมื้อค่ำ ณ โรงแรมที่พัก
วันอังคารที่ ๑๑ ตุลาคม ๒๕๕๙
๐๖.๐๐ น.
๐๗.๐๐ น.
๐๙.๐๕ น.
๑๐.๑๐ น.
๑๒.๐๐ น.
๑๔.๐๐ น.
๑๖.๐๐ น.
๑๙.๓๐ น.
๒๑.๐๐ น.
- คณะนาฏศิลป์เดินทางออกจากที่พัก
- ถึงท่าอากาศยาน Indira Gandhi เมืองนิวเดลี เช็คอิน Group
และผ่าน กระบวนการตรวจสัมภาระ
- เดินทางออกจากท่าอากาศยาน Indira Gandhi เมืองนิวเดลี
โดยเที่ยวบินภายในประเทศ เที่ยวบินที่ ๖E ๑๘๔
- ถึงท่าอากาศยาน Chaudhary Charan Singh เมืองลัคเนาว์
- เข้าพักและรับประทานอาหารมื้อกลางวัน ณ Hotel Gomti
- ทัศนศึกษา ณ Bara Imambara
- ทัศนศึกษา ชมเมืองโดยรอบ
- รับประทานอาหารมื้อค่ำ ณ ร้านอาหาร Dastarkhwan
- เข้าพัก ณ โรงแรมที่พัก
วันพุธที่ ๑๒ ตุลาคม ๒๕๕๙
๐๘.๓๐ น.
๑๒.๐๐ น.
๑๓.๐๐ น.
๑๓.๓๐ น.
๑๙.๐๐ น.
- รับประทานอาหารมื้อเช้า ณ โรงแรมที่พัก
- รับประทานอาหารมื้อกลางวัน ณ โรงแรมที่พัก
- คณะนาฏศิลป์เดินทางออกจากที่พัก
- เข้าพบผู้จัดงาน และ ประชุมจัดเตรียมการแสดง ณ Ramlila Ground
- เข้าพักและรับประทานอาหารมื้อค่ำ ณ โรงแรมที่พัก
วันพฤหัสบดีที่ ๑๓ ตุลาคม ๒๕๕๙
๐๘.๓๐ น.
๑๐.๐๐ น.
๑๓.๐๐ น.
๑๕.๐๐ น.
๒๐.๓๐ น.
๒๒.๐๐ น.
๒๔.๐๐ น.
- รับประทานอาหารมื้อเช้า ณ โรงแรมที่พัก
- คณะนาฏศิลป์เดินทางออกจากที่พัก
- ทัศนศึกษาชมเมืองโดยรอบ
และ รับประทานอาหารกล่องมื้อกลางวันขณะเดินทาง
- เตรียมพร้อมการแสดง ณ Ramlila Ground
- แสดงโขน ตอนลักสีดา (๖๐ นาที) ณ Ramlila Ground
- รับประทานอาหารมื้อค่ำ ณ Ramlila Ground
- เข้าพัก ณ โรงแรมที่พัก
วันศุกร์ที่ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๕๙
๐๘.๐๐ น.
๐๙.๐๐ น.
๑๓.๐๐ น.
๑๕.๐๐ น.
๒๐.๐๐ น.
๒๒.๐๐ น.
๒๑.๐๐ น.
๐๑.๐๐ น.
- รับประทานอาหารมื้อเช้า ณ โรงแรมที่พัก
- ออกเดินทางจากโรงแรมที่พัก ไปเมืองอโยธยา โดยรถ
- รับประทานอาหารมื้อกลางวัน ณ Hotel Krishna Place
- เตรียมพร้อมการแสดง ณ ศูนย์ศิลปวัฒนธรรม เมืองอโยธยา
- แสดงโขน ตอนลักสีดา (๖๐ นาที)
- รับประทานอาหารมื้อค่ำ ณ Hotel Krishna Place
- ออกเดินทางจากเมืองอโยธยา โดยรถ
- เข้าพัก ณ Hotel Gomti เมืองลัคเนาว์
วันเสาร์ที่ ๑๕ ตุลาคม ๒๕๕๙
๐๖.๐๐ น.
๐๗.๓๐ น.
๑๐.๔๐ น.
๑๑.๔๕ น.
๑๔.๐๐ น.
๑๔.๔๕ น.
๑๖.๐๐ น.
๒๐.๐๐ น.
๒๒.๐๐ น.
- คณะนาฏศิลป์เดินทางออกจากที่พัก
- ถึงท่าอากาศยาน Chaudhary Charan Singh เมืองลัคเนาว์
เช็คอิน Group และผ่านกระบวนการตรวจสัมภาระ
- เดินทางออกจากท่าอากาศยาน Chaudhary Charan Singh เมืองลัคเนาว์
โดยเที่ยวบินภายในประเทศ เที่ยวบินที่ ๖E ๑๔๗
- ถึงท่าอากาศยาน Indira Gandhi เมืองนิวเดลี
- เข้าพักและรับประทานอาหารมื้อกลางวัน ณ Hotel Forest Green
- คณะนาฏศิลป์เดินทางออกจากที่พัก
- เดินทางถึง Indira Gandhi National Centre for the Arts
เตรียมการแสดง และรับประทานอาหารกล่อง
- แสดงโขน ตอนลักสีดา (๓๐ นาที)
- เข้าพักที่โรงแรมที่พัก
วันอาทิตย์ที่ ๑๖ ตุลาคม ๒๕๕๙
๐๗.๓๐ น.
๑๑.๐๐ น.
๑๒.๐๐ น.
๑๔.๐๐ น.
๑๔.๐๙ น.
๑๔.๓๐ น.
๑๗.๐๐ น.
๑๘.๐๐ น.
๑๙.๓๐ น.
๒๓.๓๐ น.
- รับประทานอาหารมื้อเช้า ณ โรงแรมที่พัก
- รับประทานอาหารมื้อกลางวัน ณ โรงแรมที่พัก
- คณะนาฏศิลป์เดินทางออกจากที่พัก ทัศนศึกษา ณ Sarojini Nagar
- คณะนาฏศิลป์เดินทางถึงสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงนิวเดลี
- คณะข้าราชการผู้ปฏิบัติหน้าที่เผยแพร่ศิลปวัฒนธรรมไทย
ณ สาธารณรัฐอินเดีย ร่วมลงนามถวายความอาลัย
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และร่วมถ่ายภาพ
- คณะนาฏศิลป์เดินทางออกจากที่สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงนิวเดลี
ทัศนศึกษา ณ Janpath
- รับประทานอาหารมื้อค่ำ ณ โรงแรมที่พัก
- คณะนาฏศิลป์เดินทางออกจากที่พัก
- ถึงท่าอากาศยาน Indira Gandhi เคาร์เตอร์ H เช็คอิน Group
และผ่านกระบวนการตรวจสัมภาระ
- เดินทางออกจากสาธารณรัฐอินเดีย โดยสายการบินไทย TG ๓๑๖
วันจันทร์ที่ ๑๗ ตุลาคม ๒๕๕๙
๐๕.๒๕ น.
๐๖.๓๐ น.
- คณะนาฏศิลป์เดินทางถึงท่าอากาศยาน สุวรรณภูมิ
- คณะนาฏศิลป์เดินทางถึงสำนักการสังคีต กรมศิลปากร
๘. คณะผู้แทนไทย ประกอบด้วยข้าราชการ ของสำนักการสังคีต กรมศิลปากร จำนวน ๑๒ คน
๘.๑ นายเจตน์ ศรีอ่ำอ่วม นาฎศิลปินอาวุโส/หัวหน้าคณะเดินทาง
๘.๒ ว่าที่ ร.ต.เอกสิทธิ์ เนตรานนท์ นาฏศิลปินชำนาญงาน
๘.๓ นายธรรมนูญ แรงไม่ลด นาฏศิลปินชำนาญงาน
๘.๔ นายปรัชญา ชัยเทศ นาฏศิลปินชำนาญงาน
๘.๕ นายภีระเมศร์ ทิพย์ประชาบาล นาฏศิลปินชำนาญงาน
๘.๖ นางสาวเอกนันท์ พันธุรักษ์ นาฏศิลปินชำนาญงาน
๘.๗ นางสาวปภาวี จึงประวัติ นาฏศิลปินชำนาญงาน
๘.๘ นายบุญสร้าง เรืองนนท์ ดุริยางคศิลปินอาวุโส
๘.๙ นายพรศักดิ์ คำส้อม ดุริยางคศิลปินชำนาญงาน
๘.๑๐ ว่าที่ ร.ต.ชัยพฤกษ์ สิทธิ ดุริยางคศิลปินชำนาญงาน
๘.๑๑ นายนิรันดร์ หรุ่นทะเล ดุริยางคศิลปินปฎิบัติงาน
๘.๑๒ นายปกรณ์ หนูยี่ คีตศิลปินปฎิบัติงาน
๙. สรุปสาระของกิจกรรม
กระทรวงการต่างประเทศ และ สำนักงานปลักกระทรวงวัฒนธรรม สำนักความสัมพันธ์ต่างประเทศ ร่วมมือกับสภาความสัมพันธ์ทางวัฒนธรรมอินเดีย สาธารณรัฐอินเดีย (ICCR : Indian Council for Cultural Relations) ในการจัดงานเทศกาลรามายณะนานาชาติ ครั้งที่ ๒ ณ เมืองนิวเดลลี เมืองลัคเนาว์ และเมืองอโยธยา ระหว่างวันที่ ๙ – ๑๗ ตุลาคม ๒๕๕๙ เพื่อเผยแพร่ศิลปวัฒนธรรมไทยและวัฒนธรรมในกลุ่มประเทศเอเชียที่มีรากฐานทางวัฒนธรรมรามายณะ ให้เป็นที่รู้จัก ชื่นชอบ อย่างกว้างขวางในกลุ่มชนสาธารณรัฐอินเดีย และกลุ่มประเทศเอเชียผ่านการแสดงนาฏศิลป์ไทยและนาฏศิลป์นานาชาติของประเทศต่างๆ โดยทางสำนักการสังคีต กรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม ได้รับมอบหมายให้จัดการแสดงเพื่อมาเผยแพร่ในเทศกาลรามายณะ คือ การแสดงโขน เรื่อง รามเกียรติ์ ตอนลักสีดา
๑๐. ข้อเสนอแนะจากการจัดกิจกรรม
๑. การจัดงานโครงการเทศกาลรามายณะควรมีอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ อีกทั้งเป็นการแลกเปลี่ยนความรู้ทางวัฒนธรรมระหว่างประเทศ
๒. คณะผู้ปฏิบัติงานจำนวน ๑๒ คน มีหน้าที่แสดงบนเวทีทุกคน เมื่อต้องมีการประสานงานกับสถานที่ เวทีการแสดงทั้ง ๔ เวที ที่มีลักษณะแตกต่างกัน และด้วยเวลาการทำงานของทางอินเดีย มีการเปลี่ยนแปลงในเรื่องของเวลาที่ไม่แน่นอน เมื่อประสานเตรียมความพร้อมของเวทีทั้งหมด อาทิเช่น การใช้พื้นที่ แสง เสียง และลำดับพิธีการ ลำดับการแสดง จึงทำให้เหลือเวลาเตรียมความพร้อมของการแสดงน้อยลง
๓. การเดินทางปฏิบัติงานในครั้งนี้ ได้มีการประสานงานขอล่าม เพื่ออำนวยความสะดวก ซึ่งได้รับความอนุเคราะห์เป็นอย่างดีจากทางสถานทูตไทย ทำให้การปฏิบัติงานราบรื่น ทั้งในส่วนของการแสดง และการเดินทางภายในประเทศ จนถึงการเดินทางกลับประเทศไทย
พุทธศาสนิกชนในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย ต่างมีความเชื่อตาม “ตำนานพระเจ้าเลียบโลก” ว่าเมื่อครั้งสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังคงพระชนม์ชีพอยู่ เคยเสด็จมาโปรดสรรพสัตว์ยังดินแดนแถบนี้ และมีพุทธทำนายไว้หลายประการเกี่ยวกับบ้านเมืองต่าง ๆ รวมทั้งทรงประทับรอยพระบาทไว้เป็นที่สักการะบูชาแก่สรรพสัตว์และมวลมนุษย์ทั้งหลาย ดังตำนาน เรื่องเล่า เกี่ยวกับรอยพระพุทธบาทสำคัญต่าง ๆ ในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย เช่น พระพุทธบาทตากผ้า อำเภอป่าซาง จังหวัดลำพูน พระพุทธบาทสี่รอย อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ พระพุทธบาทเวินปลา อำเภอท่าอุเทน จังหวัดนครพนม พระพุทธบาทเชิงชุม อำเภอเมือง จังหวัดสกลนคร ในปี 2557 สำนักศิลปากรที่ 11 อุบลราชธานี (ขณะนั้น) ได้ดำเนินงานสำรวจแหล่งโบราณคดีในเขตพื้นที่ตอนเหนือของจังหวัดอุบลราชธานี และได้พบรอยสลักคล้ายกับรอยเท้ามนุษย์บนพื้นหินในบริเวณเขตพื้นที่ภูถ้ำพระยายืน ตำบลหนามแท่ง อำเภอศรีเมืองใหม่ จำนวน 2 รอย เป็นรอยเท้าข้างซ้ายและรอยเท้าข้างขวา ไม่มีลวดลายใด ๆ ประดับ โดยมีรอยเท้าขวาอยู่หน้า รอยเท้าซ้ายอยู่หลัง ระยะห่างกันประมาณ 125 เมตร ซึ่งแสดงการก้าวเดินของเท้าทั้งสองข้างนั่นเอง ปลายเท้าค่อนข้างเสมอกัน มุ่งไปทางทิศเหนือ รอยเท้ามีขนาดใกล้เคียงกัน คือ รอยเท้าข้างซ้ายยาวประมาณ 40 เซนติเมตร ปลายเท้ากว้างประมาณ 15 เซนติเมตร ส้นเท้ากว้างประมาณ 10 เซนติเมตร รอยเท้าข้างขวายาวประมาณ 42 เซนติเมตร ปลายเท้ากว้างประมาณ 16 เซนติเมตร ส้นเท้ากว้างประมาณ 10 เซนติเมตร ลักษณะเป็นรอยจมลึกลงไปในพื้นหินประมาณ 2 เซนติเมตร สภาพภูมิประเทศเป็นลานหินกว้างบนภูเขา สูงจากระดับน้ำทะเลปานกลางประมาณ 250 เมตร มีต้นไม้ขึ้นเป็นหย่อม ๆ ใกล้เคียงมีเพิงผาหินทางทิศเหนือและลำห้วยแซะทางทิศตะวันตก จากการสอบถามชาวบ้านในพื้นที่ ทราบความว่ารอยเท้าทั้ง 2 รอยนี้มีมานานแล้ว ไม่ทราบว่าสร้างขึ้นเมื่อใดหรือใครมาสร้างไว้ แต่มีผู้ศรัทธาขึ้นมาสักการะบูชาอยู่เสมอ และเรียกบริเวณนี้ว่า “ภูถ้ำพระยายืน” ดังนั้นในเบื้องต้นจึงสันนิษฐานว่า รอยสลักรูปเท้าทั้งสองรอยนี้ ผู้สร้างน่าจะสลักขึ้นเพื่อให้เป็นรอยพระพุทธบาทจำลองในอิริยาบถก้าวเดิน ศิลปะกรรมแบบพื้นถิ่นอีสาน (ลาว-ล้านช้าง) ซึ่งเน้นความเรียบง่าย ในช่วงพุทธศตวรรคที่ ๒๓ ข้อมูล : วสันต์ เทพสุริยานนท์ กลุ่มโบราณคดี สำนักศิลปากรที่ 9 อุบลราชธานี อ้างอิง : สำนักศิลปากรที่ 11 อุบลราชธานี. รายงานการสำรวจแหล่งโบราณคดีและโบราณสถาน โครงการสำรวจและขุดค้นทางโบราณคดีเพื่อศึกษาแหล่งผลิตกลองมโหระทึกในพื้นที่ฝั่งขวาแม่น้ำโขงตอนกลาง ปีที่ 2 พ.ศ. 2557. เอกสารอัดสำเนา. 2557. : นาคฤทธิ์. พุทธตำนานพระเจ้าเลียบโลก ฉบับชำระสะสาง. เชียงใหม่ : ลานนาการพิมพ์, 2545.
เลขทะเบียน : นพ.บ.1/3กห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 42 หน้า ; 4.5 x 57 ซ.ม. : รักทึบ-ล่องรัก ; ไม้ประกับธรรมดา มีฉลากบอกชื่อคัมภีร์ 1 แผ่น ชื่อชุด : มัดที่ 1 (1-10) ผูก 7หัวเรื่อง : แปดหมื่นสี่พันขันธ์--เอกสารโบราณ คัมภีร์ใบลาน พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม