ค้นหา

รายการที่พบทั้งหมด 48,754 รายการ


รวมเอกสารประวัติศาสตร์และบทความเกี่ยวกับการระบาดของกาฬโรคในสมัยรัชกาลที่ ๕ ซึ่งตรงกับการระบาดทั่วโลกครั้งที่ ๓ อันแสดงถึงมาตรการต่างๆ ในการป้องกันโรคระบาด


     วัดคงคาราม ตั้งอยู่หมู่ที่ ๓ ตำบลคลองตาคต อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี      ประวัติ วัดคงคารามเป็นวัดเก่าแก่สร้างมาตั้งแต่สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น โดยบรรพบุรุษชาวมอญกลุ่มรามัญ ๗ หัวเมืองพากันอพยพย้ายถิ่นโดยล่องตามแม่น้ำมาตั้งถิ่นฐานบริเวณริมแม่น้ำ แม่กลองในเขตอำเภอบ้านโป่ง และอำเภอโพธาราม ซึ่งต่อมาได้ขยายขนาดเป็นชุมชนขนาดใหญ่ และได้มีการสร้างวัดขึ้น เพื่อใช้เป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรมของสงฆ์ แบบรามัญนิกาย และเป็นศูนย์รวมของชาวมอญในจังหวัดราชบุรีและจังหวัดใกล้เคียง โดยเจ้าอาวาสของวัดคงคาราม มีตำแหน่งเป็นพระครูรามัญญาธิบดี      ที่มาของวัดคงคาราม เดิมชื่อว่า วัดกลาง ต่อมาเปลี่ยนมาเป็นวัดคงคาราม ส่วนภาษามอญจะเรียกว่า “เภี้ยโต้” ในสมัยรัชกาลที่ ๔ วัดคงคารามเจริญขึ้นถึงขั้นสูงสุด กล่าวกันว่าพระครูรามัญญาธิบดีองค์หนึ่ง เป็นที่      เคารพนับถือของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมาก แต่หลักฐานเอกสารที่เขียนขึ้นในปี พ.ศ. ๒๓๙๔ ยังคงเรียกวัดนี้ว่า วัดกลาง เจ้าจอมมารดากลิ่นในรัชกาลที่ ๔ ได้รับเป็นผู้อุปถัมภ์ให้ความช่วยเหลือในกิจการต่างๆ ของวัด ได้ทูลเกล้าถวายวัดกลางให้เป็นพระอารามหลวง พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงพระราชทานนามวัดใหม่ว่า “วัดคงคาราม”      สิ่งสำคัญภายในวัดคงคาราม มีดังนี้ อุโบสถ       อุโบสถ อาคารก่ออิฐถือปูนทรงไทยประเพณีแบบอย่างช่างหลวง (ส่วนประดับเครื่องบน) ผสมผสานลักษณะท้องถิ่น หน้าไปทางทิศตะวันออก หลังคาเครื่องไม้มุงกระเบื้องลดชั้น ๒ ชั้นซ้อนกันชั้นละ ๓ ตับ มีชายคาปีกนกโดยรอบทั้งสี่ด้านรองรับด้วยเสาปูนทรงกลม ช่อฟ้าใบระกาปูนปั้นประดับกระจก หน้าบันปูนปั้นลวดลายพันธุ์พฤกษา       ผนังก่ออิฐถือปูนด้านหน้ามีประตูทางเข้า ๒ ประตู บานประตูไม้แกะสลัก ส่วนบนเป็นรูปดอกไม้ส่วนล่างเป็นภาพเล่าเรื่องทั้งสองบาน เหนือกรอบประตูเขียนเป็นรูปซุ้มทรงมณฑป ส่วนบนของซุ้มด้านหนึ่งเป็นภาพเมขลาล่อแก้ว อีกด้านหนึ่งเป็นภาพรามสูรขว้างขวาน ตรงกลางระหว่างซุ้มประตูทั้งสองด้านเป็นภาพพุทธประวัติ ปางเสด็จลงจากดาวดึงส์ ผนังสกัดด้านหลังทึบ ผนังด้านข้างมีช่องหน้าต่างด้านละ ๔ บาน กรอบหน้าต่างเขียนลวดลายเป็นรูปซุ้มยอดปราสาท มีภาพเทพนมถือดอกไม้อยู่ข้างซุ้ม ผนังด้านซ้ายของอุโบสถมีประตูทางเข้า ๑ ประตู ฐานอุโบสถเป็นฐานเขียงสูงมีระเบียงโดยรอบ มีบันไดก่ออิฐถือปูนเป็นทางขึ้น ที่เชิงบันไดมีรูปสิงห์ปูนปั้นประดับ ภายในอุโบสถ      ภายในอุโบสถประดิษฐาน พระพุทธรูปหินทรายพอกทับด้วยปูนปั้น ประทับนั่งแสดง ปางมารวิชัย ด้านข้างซ้าย – ขวา มีพระอัครสาวกยืนพนมมือ และพระพุทธรูปประทับนั่ง แสดงปางต่างๆ อีกหลายองค์ ที่ฝาผนังด้านในมีภาพจิตรกรรมฝีมือช่างสกุลกรุงเทพฯสมัยต้นรัตนโกสินทร์ (รัชกาลที่ ๓ ) ผนังสกัดด้านหน้าตอนบนเป็นภาพพุทธประวัติ ตอนผจญมาร ผนังด้านหลังพระประธาน ภาพไตรภูมิ แสดงสวรรค์ชั้นต่างๆ ส่วนฝาผนังด้านข้างจะวางรูปแบบในแนวยาวเป็น ๓ แถว คือ      แถวบนสุดเป็นภาพอดีตพระพุทธเจ้า ประทับนั่งอยู่บนบัลลังก์ แสดงปางมารวิชัย มีพระรัศมีล้อมรอบพระวรกาย ด้านข้างทั้งสองด้านมีพระอัครสาวกนั่งพนมมือ ด้านหลังมีฉัตรรูปดอกไม้ปักอยู่และมีดอกไม้ร่วงลงมาจากด้านบนภาพจะวางเรียงติดต่อกันเป็นแนวยาวในลักษณะที่คล้ายกัน แถวที่สองอยู่เหนือกรอบหน้าต่างเป็นภาพพุทธประวัติและทศชาติชาดก แถวที่สามอยู่ระหว่างช่องหน้าต่างเป็นภาพทศชาติชาดกบนไม้เพดานและชื่อ มีการตกแต่งลวดลายเป็นลายดอกไม้ และดาวเพดานทั้งหมดบนพื้นสีแดง ส่วนที่อยู่เหนือพระพุทธรูปประธานมีฉัตรทรงสี่เหลี่ยม โครงเป็นไม้ตกแต่งขอบด้วยไม้แกะสลักและผ้า พื้นเป็นสังกะสีเขียนลวดลายเป็นรูปท้องฟ้า มีภาพพระอาทิตย์และพระจันทร์กำลังทรงรถ และดวงดาราต่างๆ      อนึ่ง มีข้อสังเกตว่าในช่วงต้นกรุงรัตนโกสินทร์แบบแผนการเขียนจิตรกรรมฝาผนังช่วงบนของผนัง นิยมเป็นภาพเทพชุมนุม แต่การเขียนพระอดีตพุทธเจ้าของวัดคงคารามนี้แสดงถึงคติความเชื่อที่ชาวมอญ-พม่า ได้สืบทอดต่อๆ กันมาตั้งแต่สมัยเมืองพุกาม เจดีย์ ลักษณะเป็นเจดีย์ก่ออิฐถือปูน รายรอบอุโบสถจำนวน ๗ องค์ ลักษณะเป็น      เจดีย์แบบมอญตั้งอยู่บนฐานสี่เหลี่ยม ฐานเจดีย์ถัดขึ้นไปเป็นฐานแปดเหลี่ยม บางองค์มีการตกแต่งด้วยลวดลายปูนปั้นเป็นลายกระจัง หรือลายดอกไม้ องค์ระฆังของเจดีย์จะมีลักษณะกลมยาวคล้ายจอมแหมี      การตกแต่งลวดลายที่องค์ระฆัง ส่วนยอดมีลักษณะคล้ายดอกบัวตูม มีฉัตรโลหะปักอยู่บนยอดสุด      เจดีย์รายรอบอุโบสถนี้ตามประวัติกล่าวว่า หลังจากพระยามอญ ๗ องค์ สร้างอุโบสถแล้วเสร็จได้ร่วมกันสร้างเจดีย์ขึ้นไว้รอบๆอุโบสถจำนวน ๗ องค์ ซึ่งมีความหมายว่าเมืองหน้าด่านทั้ง ๗ ได้แก่ เมืองสิงห์ (สมิงขะบุรี) เมืองลุ่มสุ่ม เมืองท่าตะกั่ว เมืองท่าขนุน เมืองท่ากระดาน เมืองไทรโยค และเมืองทองผาภูมิ เสาหงส์ ตั้งอยู่บริเวณปากทางเข้าด้านหน้าวัด เพื่อเป็นสัญลักษณ์ของวัดของชาวรามัญเป็นหงส์สำริด ตั้งอยู่บนเสาสูง      กุฏิสงฆ์เจ็ดห้อง อาคารไม้สักทรงไทยยกพื้นสูงขนาดด้านยาว ๗ ห้อง ด้านกว้าง ๑ ห้อง หลังคาเครื่องไม้มุงกระเบื้อง ชายคามีเสาไม้นางเรียงกลมรองรับ ฝาไม้ประกน หน้าต่างด้านผนังสกัด ๓ ช่อง ด้านข้าง ๗ ช่อง บานหน้าต่างไม้แกะสลักลวดลายประจำยาม เรียงต่อกันเป็นตาข่าย ด้านล่างเป็นภาพเล่าเรื่อง ที่กรอบมีลวดลายเป็นแท่นด้านล่าง      กุฏิสงฆ์เก้าห้อง อาคารไม้สักทรงไทย รูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาด ๗x๒๖ เมตร วางด้านยาวขนานกับทิศตะวันออก หลังคาเครื่องไม้มุงกระเบื้อง ชายคาโดยรอบมีเสานางเรียงไม้กลมรองรับ ช่อฟ้าใบระกาไม้แกะสลักประดับกระจก หน้าบันแกะสลักเป็นลายก้านแย่งปิดทองประดับกระจกลวดลายนี้คล้ายกับหน้าบันอุโบสถวัดเทพอาวาส ฝาไม้ประกน บานหน้าต่างไม้แกะสลักปิดทองล่องชาด      ซุ้มประตูหมู่กุฏิสงฆ์ ลักษณะเป็นซุ้มประตูก่ออิฐถือปูนทรงประตูยอด กรอบประตูซุ้มทรงสี่เหลี่ยม ส่วนยอดเป็นรูปเจดีย์ทรงระฆังสี่เหลี่ยม ๑ องค์ ด้านหน้าทางขึ้นเป็นเชิงบันไดเตี้ยมีขั้นบันได ๓ ขั้น ด้านข้างซุ้มมีระเบียงเป็นกำแพงก่ออิฐถือปูนทึบ มีการประดับด้วยช่องลมทรงกลมเป็นกระเบื้องเคลือบสีเขียวแบบจีน จากลักษณะของซุ้มประตู สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๓-๔ กรุงรัตนโกสินทร์      หอสวดมนต์ ศาลาไม้ทรงไทยใต้ถุนต่ำเปิดโล่ง หลังคาเครื่องไม้มุงกระเบื้อง ชายคามีเสากลมรองรับโดยรอบ มีช่อฟ้าใบระกาประดับกระจก หน้าบันมีลวดลายไม้แกะสลักปิดทองประดับกระจก เป็นภาพพระนารายณ์ทรงครุฑ ด้านข้างเป็นลายก้านขดมีเทพพนมแยกออกที่ตัวลาย ผนังโปร่งยกพื้นเป็นชั้นสำหรับพระภิกษุนั่งสวดมนต์ เสาด้านบนมีลวดลายลงรักปิดทองเป็นรูปมังกร ๑ ตัวพันรอบเสา ปัจจุบันเปลี่ยนหน้าที่การใช้งานมาเป็นหอพระประดิษฐานพระพุทธรูป   เรียบเรียง : นางจิรนันท์ คอนเซพซิออน นักโบราณคดีชำนาญการ สำนักศิลปากรที่ ๑ ราชบุรี



ชื่อผู้แต่ง          - ชื่อเรื่อง           ที่ระลึกในงานพระราชทานเพลิงศพ พลเอก พลเรือเอก พลอากาศเอก มังกร พรหมโยธี ครั้งที่พิมพ์       พิมพ์ครั้งที่ ๑ สถานที่พิมพ์     พระนคร สำนักพิมพ์       โรงพิมพ์กรมสรรพสามิต ปีที่พิมพ์          ๒๕๐๙ จำนวนหน้า      ๑๗๔ หน้า หมายเหตุ        -                       หนังสือที่ระลึกในงานพระราชทานเพลิงศพ พลเอก พลเรือเอก พลอากาศเอก มังกร พรหมโยธี เล่มนี้ ได้รวบรวมประวัติ เครื่องราชอิสริยาภรณ์ของไทย เครื่องราชอิสริยาภรณ์ของต่างประเทศ คำไว้อาลัยของบุคคลสำคัญๆในวงการราชการและมิตรสนิท เกียรติประวัติทางทหาร และพลเอกมังกร พรหมโยธี ในทัศนะของนักหนังสือพิมพ์


เลขทะเบียน : นพ.บ.147/11ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ :  52 หน้า ; 4 x 51 ซ.ม. : ล่องรัก ; ไม้ประกับธรรมดา  ชื่อชุด : มัดที่ 90 (377-391) ผูก 11 (2564)หัวเรื่อง : ธมฺมปปทวณฺณนา ธมฺมปทฎกถา ขุทฺทกนิกายฎฐกถา (ธรรมบท)--เอกสารโบราณ            คัมภีร์ใบลาน            พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา  สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม


เลขทะเบียน : นพ.บ.127/1ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ :  26 หน้า ; 4.5 x 50.5 ซ.ม. : ล่องรัก ; ไม้ประกับธรรมดา  ชื่อชุด : มัดที่ 73 (257-266) ผูก 1 (2564)หัวเรื่อง : อานิสงส์ 8 หมื่นสี่พันขันธ์ (ฉลอง 8 หมื่น)--เอกสารโบราณ            คัมภีร์ใบลาน            พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา  สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม



สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สังคิณี-มหาปัฎฐาน) เลขที่ ชบ.บ.16/1-4 เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)


ชื่อเรื่อง : ประชุมพงศาวดาร เล่ม 27 ประชุมพงศาวดาร ภาคที่ 45 (ต่อ)ชื่อผู้แต่ง : -ปีที่พิมพ์ : 2511 สถานที่พิมพ์ : กรุงเทพฯ สำนักพิมพ์ : องค์การค้าของคุรุสภา จำนวนหน้า : 340 หน้าสาระสังเขป : ประชุมพงศาวดารเป็นหนังสือที่รวบรวมเรื่องเก่าๆ ที่มีสาระและคำอธิบายของผู้มีความรู้ในวิชาดังกล่าวไว้โดยละเอียด โดยประชุมพงศาวดารเล่ม 27 ภาคที่ 45 เล่มนี้ เป็นการอธิบายเรื่องทูตไทยไปประเทศอังกฤษ เมื่อ พ.ศ. 2400



          โบสถ์หรือสิมวัดบ้านซิน ตำบลค้างพลู อำเภอโนนไทย จังหวัดนครราชสีมา ตั้งทางด้านทิศตะวันตกของโบสถ์หลังใหม่ เป็นวัดในชุมชนบ้านซิน หมู่ ๒ ลักษณะเป็นโบสถ์หรือสิมที่ได้รับอิทธิพลวัฒนธรรมล้านช้าง วัดตั้งอยู่ทางด้านทิศใต้ของหมู่บ้าน ติดกับลำเชียงไกร วัดบ้านซิน เป็นวัดในสังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย ตามประวัติการก่อสร้างของวัดระบุว่าสร้างวัดเมื่อประมาณ พ.ศ.๒๓๒๓ ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาเมื่อ พ.ศ. ๒๓๓๕ ภายในวัดยังเหลืออาคารที่เป็นโบราณสถานคือพระอุโบสถหรือสิมที่ข้อมูลของวัดกล่าวว่าสร้างขึ้นในราว ๓๐๐ ปีมาแล้ว ชาวบ้านได้ร่วมกันบูรณะซ่อมแซมกันเองในราว พ.ศ. ๒๕๑๔           สิมวัดบ้านซิน ลักษณะเป็นสิมโปร่ง (สิมโปร่งเป็นอาคารโปร่งโล่งขนาดกะทัดรัดประกอบด้วยเสาไม้ตั้งอยู่บนฐานยกพื้นรองรับหลังคาไม่มีผนัง ถ้าจะทำผนังก็มักจะทำแต่ด้านที่มีพระประธานและมักสร้างเล็กๆเพื่อให้พระสงฆ์ทำสังฆกรรมเพียงสี่ห้าองค์) เป็นสิมขนาด ๒ ห้อง (สามเสา) หันหน้าไปทางทิศตะวันออก มีขนาดประมาณ ๓ X ๖ เมตร มีชายคาต่อเป็นเพิงอยู่ทางด้านหน้า หลังคาชั้นเดียว สีหน้าหรือหน้าบันตีเป็นแผ่นไม้กระดานทั้งสองด้านไม่มีการตกแต่ง            อาคารมีลักษณะเป็นฐานก่ออิฐ สูงจากพื้นประมาณ ๑.๕๐ เมตร มีแผนผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า หันหน้าไปทางทิศตะวันออก ประตูทางเข้าอยู่ทางด้านทิศตะวันออก มีผนังเตี้ยๆสูงประมาณ ๕๐ เซนติเมตรทั้งสามด้าน ด้านตะวันออกเว้นเป็นช่องทางเข้าตรงกลางประมาณ ๕๐ เซนติเมตร ด้านข้างทางด้านท้ายอาคาร ทำผนังลาดค่อยๆสูงขึ้นไปจนถึงหัวเสา ผนังอาคารทางด้านหลังพระประธานก่อผนังสูงเต็มจนถึงหัวเสา ด้านท้ายอาคารก่อเป็นฐานพระเป็นแนวยาวตลอดผนังกว้างประมาณ ๕๐ เซนติเมตร ตรงกลางก่อเป็นแท่นพระขนาดประมาณ ๑X๑ เมตร แทรกอยู่ ใช้สำหรับตั้งพระประธาน ก่อด้วยอิฐฉาบปูนทาสีตกแต่ง ฐานพระก่อเป็นฐานบัวคว่ำบัวหงายแบบฐานเอวขันแบบเดียวกับฐานอาคาร มีเสาไม้หกต้นอยู่ที่ผนังด้านเหนือและใต้ ด้านละ ๓ ต้นฝังลงไปจนถึงฐานสิม อิฐที่ก่อปิดเสาที่ส่วนฐานหลุดออก หลังคาเป็นหลังคาเครื่องไม้ ชั้นเดียวมุงด้วยแผ่นสังกะสี ไม่มีเครื่องตกแต่งชั้นหลังคา           พื้นที่ดินโดยรอบสิมได้รับการถมปรับขึ้นมาอีกประมาณ ๐.๕๐ เมตร จากระดับพื้นดินเดิม จนฐานเขียงหายไป จึงเริ่มปรากฎชั้นฐานที่ชั้นบัวคว่ำ บริเวณรอบโบสถ์พบแท่นก่ออิฐพังเป็นกองอิฐตั้งอยู่โดยรอบ จำนวน ๘ จุด มีจุดที่ค่อนข้างเห็นได้ชัดเจนอยู่ทางด้านหลังอาคารทำเป็นฐานใบเสมา ตัวใบเสมา ก่อด้ายอิฐฉาบปูนเป็นรูปดอกบัวทรงพุ่ม มีร่องรอยใบเสมาทำจากหินทรายสีแดงปักจมอยู่ที่พื้นด้านหน้าสิม การสำรวจพบว่าสิมมีสภาพชำรุดมาก ฐานสิมที่ก่ออิฐชำรุดจากการแยกบริเวณส่วนเสาทั้ง ๖ ต้น จนถึงบริเวณโคนเสา ส่วนฐานที่อยู่ด้านล่างปูนที่ฉาบไว้หลุดออกเกือบหมด และมีอิฐหลุดออกมา ปรากฏร่องรอยการซ่อมแซมโดยใช้ดินเหนียวผสมกับฟางละเอียดคลุกเคล้ากันมาพอกปิดไว้ และฉาบด้วย ปูนขาว สันนิษฐานว่าน่าจะซ่อมในปี พ.ศ.๒๕๑๔ ซึ่งการซ่อมในส่วนนี้บางส่วนก็พังแล้วเช่นกัน ผนังทางด้านทิศตะวันตกที่ก่อขึ้นมาสูงเสมอเสา ค่อนข้างชำรุดเสียหายมาก มีรอยแตกร้าวเป็นแนวยาว จากฐานจนถึงด้านบนของผนัง โครงสร้างหลังคาค่อนข้างดีอยู่ แต่ชำรุดจากปลวกและการเสื่อมสภาพของไม้ ส่วนประดับหลังคา หักหายไปหมดแล้ว            จากหลักฐานทางโบราณคดีที่พบ อาคารสถาปัตยกรรมประเภทสิมโปร่ง เป็นสถาปัตยกรรมเฉพาะของวัฒนธรรมแบบล้านช้าง มักพบในพื้นที่ที่เป็นเขตวัฒนธรรมของกลุ่มคนในวัฒนธรรมล้านช้าง เช่นพื้นที่ในจังหวัดร้อยเอ็ด มหาสารคาม ขอนแก่น เช่น สิมวัดราษี อำเภอวาปีปทุม จังหวัดมหาสารคาม สิมวัดไตรภูมิ บ้านผือฮี ตำบลดงแดง อำเภอจตุรพักตร์พิมาน จังหวัดร้อยเอ็ด แสดงให้เห็นถึงการเคลื่อนย้ายของกลุ่มคนที่ใช้วัฒนธรรมล้านช้างเข้าสู่ดินแดนจังหวัดนครราชสีมาซึ่งใช้รูปแบบวัฒนธรรมอยุธยา – รัตนโกสินทร์ จากภาคกลาง อย่างน้อยก็ในราวพุทธศตวรรษที่ ๒๓ เป็นต้นมา จากสภาพของตัวโบราณสถานน่าจะมีอายุประมาณ ๑๕๐ – ๒๐๐ ปีมาแล้ว จากข้อมูลหมู่บ้านแต่เดิมบ้านซินเป็นหมู่บ้านที่มีชาวมอญและชาวลาวอพยพเข้ามาอยู่อาศัย ต่อมามีคนจากภายนอกเข้ามาจึงทำให้รูปแบบวัฒนธรรมดั่งเดิมหายไป ซึ่งก็สอดคล้องกับหลักฐานทางโบราณคดีที่พบ ---------------------------------------------------------ข้อมูลโดย : นายกิตติพงษ์ สนเล็ก นักโบราณคดีชำนาญการพิเศษ กลุ่มโบราณคดี สำนักศิลปากรที่ ๑๐ นครราชสีมา---------------------------------------------------------




     สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพกับพระนครคีรี คราวที่พระองค์ได้รับพระราชกระแสรับสั่งให้เสด็จฯ มาเมืองเพชรบุรีเพื่อเตรียมการในการรับเสด็จฯ ดยุคโยฮันอัลเบิร์ต ผู้สำเร็จราชการบรันซวิก และดัชเชสอลิสซาเบธ รอตซาลา พระชายาที่จะเสด็จฯ ประพาสเมืองเพชรบุรี และพระนครคีรี ความตอนหนึ่งในราชกิจจานุเบกษาความว่า         “…เสด็จขึ้นรถไฟไปประพาศเมืองเพ็ชร์บุรี ถึงเมืองเพ็ชร์บุรี เวลา ๔ โมง พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงดำรงราชานุภาพเสด็จล่วงน่ามาคอยรับเจ้าเสด็จโดยรถยนตร์ไปเสด็จขึ้นเก้าอี้หาม ขึ้นพักบนพระที่นั่งเพ็ชรภูมิ์ไพโรจน์บนพระนครคีรี…” นอกจากนี้ ยังมีลายพระหัตถ์สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ถึงสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ได้ทรงกล่าวถึงเหตุการณ์ในครั้งนี้ความว่า       “... เมื่อตอนปลาย รัชชกาลที่ ๕ สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงโปรดฯ ให้หม่อมฉันซ่อมพระนครคิรีรับดุ๊กโยฮันอันเบรท ได้ซ่อมถึงพระที่นั่งเวไชยันต์วิเชียรปราสาทด้วย...” สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ยังโปรดให้พระธิดาตามเสด็จไปในคราวนี้ ได้แก่หม่อมเจ้าจงจิตรถนอม ดิศกุล พระธิดาองค์ใหญ่และหม่อมเจ้าพูนพิศมัย ดิศกุล โดยหม่อมเจ้าจงจิตรถนอมได้ทรงเล่าถึงเหตุการณ์ในครั้งนี้ว่า       “...เสด็จพ่อล่วงหน้าไปคอยรับเจ้าที่เมืองเพชรบุรี มีข้าพเจ้าแลหญิงพูนพิศมัย พระองค์เจ้าจรูญศักดิ์กฤดากร สมเด็จพระบรมราชินีนาถทรงจัดข้าหลวงส่งไปด้วย ๔ คน นายนากเป็นผู้ใหญ่ควบคุมไป เพื่อทำหน้าที่จัดห้องบรรทมดุ๊กแลดัสเชสส์ ส่วนพระองค์เจ้าจรูญศักดิ์กฤดากรทรงดูแลอาหารฝรั่งเลี้ยงเจ้า ข้าพเจ้าต้องดูแลจัดดอกไม้โต๊ะ แลทำดอกไม้เป็นบุหงาถวายดัสเชสส์ทุกวันๆ ระหว่างที่อยู่เมืองเพชรบุรี ข้าพเจ้าได้อาศรัยคุณข้าหลวงของสมเด็จพระบรมราชินีนาถ ๔ คนช่วยในการจัดทำดอกไม้ ข้าพเจ้ามีช่างดอกๆไม้ไปด้วย ๒ คน ที่เคยอยู่เป็นข้าหลวงของสมเด็จพระปิตุจฉา คือนางนารถแลนางลูกตาล ต้องขึ้นไปอยู่บนเขาวังที่สันถาคาร สถาน ดุ๊กแลดัสเชสส์ประทับที่พระที่นั่งเพชรภูมิไพโรจน์ การรับรองเป็นหน้าที่ของกระทรวงมหาดไทย ต้องจัดตั้งโรงครัวบนเขาวังเวลาจะขึ้นลงทีต้องมีพวกเด็กชาคอยหามกันทุกๆ วัน ตอนนี้ข้าพเจ้าต้องพบกับดุ๊กแลดัสเชสส์ทุกวันเวลาเสยกลางคืนเสด็จพ่อทรงจัดสมุหเทศา เจ้าเมืองในมณฑลราชบุรีผลัดกันมาร่วมโต๊ะเสวยพร้อมกับดุ๊กแลดัสเชสส์  พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงสมรรัตนสิริเชษฐ์ได้ทรงจัดดอกไม้แบบโบราณ เช่น ระย้า ๒ ชั้น แลชั้นเดียวส่งจากกรุงเทพฯ ไปแขวนบนพระที่นั่งเพชรภูมิไพโรจน์...”         ภาพ : สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ, หม่อมเจ้าจงจิตรถนอม ดิศกุล, หม่อมเจ้าพูนพิศมัย  ดิศกุล, ดยุคโยฮันอัลเบิร์ต, ดัชเชสอลิสซาเบธ รอตซาลา และคณะ ประทับบริเวณหน้าพระที่นั่งเพชรภูมิไพโรจน์ พระนครคีรี


ชื่อเรื่อง                               จนฺทฆาตชาตก(จันทฆาต) สพ.บ.                                  402/6ประเภทวัสดุมีเดีย                    คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่                               พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ                           50 หน้า กว้าง 5 ซ.ม. ยาว 56 ซ.ม. หัวเรื่อง                                 พุทธศาสนา                                           ชาดก                                           เทศน์มหาชาติ                                           คาถาพัน บทคัดย่อ/บันทึก เป็นคัมภีร์ใบลาน อักษรธรรมอีสาน ภาษาบาลี-ไทยอีสาน เส้นจาร ฉบับชาดทึบ ได้รับบริจาคมาจากวัดลานคา ต.โคกคราม อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี


black ribbon.