ค้นหา
รายการที่พบทั้งหมด 48,771 รายการ
องค์ความรู้ : อุทยานประวัติศาสตร์พนมรุ้ง
เรื่อง : ลูกดิ่ง เครื่องมือช่าง สร้างปราสาทพนมรุ้ง
ปราสาทหิน ในวัฒนธรรมเขมรโบราณ นับเป็นสิ่งก่อสร้างที่มหัศจรรย์สำหรับคนยุคปัจจุบันอย่างเราท่าน จะระลึกนึกตามไปถึง ว่าคนโบราณนั้นสร้างปราสาทหินขึ้นมาได้อย่างไร หินก้อนใหญ่น้ำหนักมากชักลากมาด้วยวิธีใด นำขึ้นไปเรียงบนยอดปราสาทสูงได้อย่างไร ใช้เครื่องมืออะไรแกะสลักลวดลายลงบนหินที่แข็งแกร่ง มีวัสดุอุปกรณ์ใดในการคิดคำณวนออกแบบแผนผังได้อย่างมหัศจรรย์ ทั้งๆ ที่เทคโนโลยีสมัยนั้น ยังไม่มีเครื่องยนต์กลไกหรือระบบเทคโนโลยีที่ทันสมัย เฉกเช่นทุกวันนี้
จากการศึกษาที่ผ่านมา ได้เผยให้เห็นถึงร่องรอยและหลักฐาน ตลอดจนองค์ความรู้ด้านเทคโนโลยีของคนโบราณในการก่อสร้างปราสาทหิน ตามหลักกลศาสตร์ดั้งเดิม เช่น คานดีด คานงัด รอก แรงโน้มถ่วง จุดศูนย์ถ่วง การใช้ดวงอาทิตย์และดาราศาสตร์ช่วยในการวางผังอาคาร และที่สำคัญคือความมุมานะอุตสาหะภายใต้ความเชื่อความศรัทธาทางศาสนาอย่างแรงกล้า
ที่ปราสาทหินพนมรุ้ง จังหวัดบุรีรัมย์ ก็ได้ปรากฏร่องรอยหลักฐานดังกล่าวมานี้ และมีสิ่งหนึ่งที่น่าสนใจ ใคร่จะนำเสนอไว้เป็นอีกหนึ่งหลักฐานสำคัญของ เครื่องมืองานช่างก่อสร้างโบราณ นั่นก็คือ ลูกดิ่ง
ดิ่ง หรือ ลูกดิ่ง (plumb) คือ เครื่องมือช่างสำหรับการอ้างอิงแนวดิ่ง มีลักษณะเป็นตุ้มน้ำหนัก ทรงกรวยหงาย ด้านบนมีห่วงผูกเชือก ใช้ตรวจสอบแนวดิ่งของสิ่งก่อสร้าง เช่น เสา กำแพง ว่าตั้งตรงหรือไม่ หรือบ้างก็ใช้วัดระดับความลึกของน้ำในสระ
เมื่อวันที่ ๒๑ เมษายน ๒๕๖๓ เจ้าหน้าที่อุทยานประวัติศาสตร์พนมรุ้ง ได้ตรวจสอบพบลูกดิ่งดินเผา และลูกดิ่งหิน เก็บรักษา ณ สำนักงานอุทยานฯ มาแต่เดิม กระทั่ง ๑ ปี ผ่านไป (เมื่อวันที่ ๒๑ เมษายน ๒๕๖๔) นายวิเชียร อริยเดช อดีตนายช่างที่เคยร่วมงานบูรณะปราสาทหินพนมรุ้ง ได้มาเล่าให้ฟังว่า เมื่อปี ๒๕๑๘ ตนเองได้เคยขุดพบลูกดิ่งดินเผาและลูกดิ่งหิน ที่สระน้ำใกล้ปราสาทพนมรุ้ง (สระน้ำหมายเลข ๕) โดยลูกดิ่งที่เป็นดินเผานั้นมีสภาพสมบูรณ์ และลูกดิ่งที่ทำจากหินส่วนล่างจะแตกชำรุด จึงได้นำลูกดิ่งที่เก็บรักษาไว้ออกมาให้นายวิเชียรดูและยืนยันได้ว่าคือลูกดิ่งที่พบเมื่อปี ๒๕๑๘ นั่นเอง
ในการนี้ อุทยานประวัติศาสตร์พนมรุ้ง ได้บันทึกข้อมูลประวัติของลูกดิ่งดังกล่าวทั้ง ๒ ชิ้น และมีลูกดิ่งที่พบเพิ่มเติมอีก ๑ ชิ้น รวมเป็น ๓ รายการ ส่งมอบให้พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพิมาย เพื่อเก็บรักษาอย่างเป็นระบบ เป็นแหล่งอ้างอิงศึกษาค้นคว้าสำหรับผู้ที่สนใจต่อไป ดังนี้
#ลูกดิ่งพนมรุ้ง_รายการที่๑ ทำจากดินเผา ขนาดกว้าง ๔.๗ เซนติเมตร ยาว ๙.๑ เซนติเมตร น้ำหนัก ๑๑๐ กรัม ตกแต่งส่วนบนเป็นเส้นลวดซ้อนกันหลายเส้น สภาพค่อนข้างสมบูรณ์ มีรอยบิ่นเล็กน้อย พบที่ สระน้ำโบราณหมายเลข ๕ ณ อุทยานประวัติศาสตร์พนมรุ้ง เมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๘
#ลูกดิ่งพนมรุ้ง_รายการที่๒ ทำจากหิน ขนาดกว้าง ๔.๑ เซนติเมตร ยาว ๗.๓ เซนติเมตร น้ำหนัก ๑๒๗ กรัม ตกแต่งส่วนบนขีดเป็นลายฟันปลา สภาพชำรุด ส่วนล่างหักหาย พบที่ สระน้ำโบราณหมายเลข ๕ ณ อุทยานประวัติศาสตร์พนมรุ้ง เมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๘
#ลูกดิ่งพนมรุ้ง_รายการที่๓ ทำจากดินเผา ขนาดกว้าง ๔.๐ เซนติเมตร ยาว ๕.๕ เซนติเมตร น้ำหนัก ๕๗ กรัม ผิวเรียบไม่มีลวดลายตกแต่ง สภาพชำรุดที่ส่วนบนและส่วนล่าง ประวัติ เก็บรักษา ณ สำนักงานอุทยานประวัติศาสตร์พนมรุ้ง มาแต่เดิม
อนึ่งนอกจากปราสาทพนมรุ้งแล้ว ที่ปราสาทแห่งอื่นๆ ก็เคยค้นพบลูกดิ่งด้วย เช่นที่ ปราสาทพิมาย จังหวัดนครราชสีมา และปราสาทหนองหงส์ อำเภอโนนดินแดง จังหวัดบุรีรัมย์ เป็นต้น
สันนิษฐานว่า ลูกดิ่ง ดังกล่าวน่าจะเป็นเครื่องมือช่าง ใช้ตรวจสอบแนวดิ่ง ในงานก่อสร้างปราสาทหิน นับเป็นอีกหนึ่งหลักฐานทางโบราณคดีสำคัญที่ช่วยให้เราเห็นภาพบรรยากาศของงานช่างและการก่อสร้างในสมัยโบราณ ที่ยังคงรักษารูปทรงของวัตถุและวิธีการใช้งานจากอดีตสู่ปัจจุบัน
เรียบเรียงโดย : นายภาณุวัฒน์ เอื้อสามาลย์ นักโบราณคดีชำนาญการ อุทยานประวัติศาสตร์พนมรุ้ง
อ้างอิง:
ทนงศักดิ์ หาญวงษ์. รายงานการขุดแต่งศึกษาโบราณสถานปราสาทหนองหงส์ ตำบลโนนดินแดง อำเภอโนนดินแดง จังหวัดบุรีรัมย์. เสนอ สำนักงานโบราณคดีและพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติที่ ๙ นครราชสีมา, ๒๕๔๕.
ราชบัณฑิตยสถาน. พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔. กรุงเทพฯ: ราชบัณฑิตยสถาน, ๒๕๕๖.
วิเชียร อริยเดช, อายุ ๗๖ ปี ข้าราชการบำนาญกรมศิลปากร อดีตนายช่างศิลปกรรม ๖, สัมภาษณ์เมื่อ ๒๑ เมษายน ๒๕๖๔.
https://th.wikipedia.org/wiki/ลูกดิ่ง_(เครื่องมือ) เข้าถึงเมื่อ ๒๗ มิถุนายน ๒๕๖๔.
ขอขอบคุณ: พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพิมาย เอื้อเฟื้อภาพลูกดิ่ง ที่เก็บรักษา ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพิมาย
ชื่อเรื่อง มหานิปาตวณฺณนา (ทสชาติ) ชาตกฏฐกถา ขุทฺทกนิกายฏฐกถา (วิธูรบัณฑิต)สพ.บ. 407-4หมวดหมู่ พุทธศาสนาภาษา บาลี/ไทยอีสานหัวเรื่อง พุทธศาสนา ธรรมเทศนาประเภทวัสดุ/มีเดีย คัมภีร์ใบลานลักษณะวัสดุ 52 หน้า : กว้าง 5 ซม. ยาว 56 ซม. บทคัดย่อเป็นคัมภีร์ใบลาน อักษรธรรมอีสาน เส้นจาร ฉบับลานดิบ ภาษาบาลี-ไทยอีสาน ได้รับบริจาคมาจากวัดลานคา ต.โคกคราม อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี
ชื่อเรื่อง มหานิปาตวณฺณนา (ทสชาติ) ชาตกฏฐกถา ขุทฺทกนิกายฏฐกถา (มโหสถ)
สพ.บ. 408/9
หมวดหมู่ พุทธศาสนา
ภาษา บาลี/ไทยอีสาน
หัวเรื่อง พุทธศาสนา นิทานชาดก
ประเภทวัสดุ/มีเดีย คัมภีร์ใบลาน
ลักษณะวัสดุ 52 หน้า : กว้าง 5 ซม. ยาว 58.8 ซม.
บทคัดย่อ
เป็นคัมภีร์ใบลาน อักษรธรรมอีสาน เส้นจาร ฉบับล่องชาด ได้รับบริจาคมาจากวัดลานคา ต.โคกคราม อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี
เลขทะเบียน: กจ.บ.2/1-7:1ก-7ก ชื่อเรื่อง: พระอภิธมฺมสงฺคิณีปกรณ พระสมนฺตมหาปฏฺฐานปริจฺเฉท ข้อมูลลักษณะ: อักษรขอม ภาษาบาลี-ไทย เส้นจาร ฉบับล่องชาด ประวัติ : ได้มาจากวัดห้วยสะพาน ต.หนองโรง อ.พนมทวน จ.กาญจนบุรี เมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2533 จำนวน 1คัมภีร์ 14 ผูก จำนวนหน้า: 40 หน้า
ชื่อเรื่อง ตำนานเมืองชะโน (พื้นเมืองชะโน)
สพ.บ. 214/1ประเภทวัสดุมีเดีย คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่ พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ 22 หน้า กว้าง 4.5 ซ.ม. ยาว 57 ซ.ม. หัวเรื่อง พุทธศาสนา ชาดก เทศน์มหาชาติ คาถาพัน
บทคัดย่อ/บันทึก
เป็นคัมภีร์ใบลาน อักษรธรรมอีสาน ภาษาบาลี-ไทยอีสาน เส้นจาร ฉบับลานดิบ ได้รับบริจาคมาจากวัดกกม่วง ต.บางปลาม้า อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี
ชื่อเรื่อง สตฺตปฺปกรณาอภิธมฺม (สังคิณี-มหาปัฏฐาน)
สพ.บ. 380/7ประเภทวัสดุมีเดีย คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่ พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ 40 หน้า กว้าง 5 ซม. ยาว 55 ซม.หัวเรื่อง ธรรมะ
บทคัดย่อ/บันทึก เป็นคัมภีร์ใบลาน อักษรขอม ภาษาบาลี-ไทย เส้นจาร ฉบับล่องชาด ได้รับบริจาคมาจากวัดลานคาต.โคกคราม อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี
// “เลี้ยงผีบ่อเหล็ก” พิธีกรรมโบราณของ “ลัวะทำเหล็กบ้านบ่อหลวง”//#โบราณโลหะวิทยาดินแดนล้านนา #ลัวะทำเหล็ก #บ้านบ่อหลวง- เรียบเรียงโดย นายยอดดนัย สุขเกษม นักโบราณคดีปฏิบัติการ.- ลัวะ กลุ่มชาติพันธุ์ดั้งเดิมของดินแดนล้านนา มีบทบาทสำคัญต่อการก่อกำเนิดรัฐบ้านเมือง และมีความรู้ความเชี่ยวชาญที่โดดเด่นโดยเฉพาะด้านการทำเหล็ก ดังจะเห็นได้จาก ตำนานพระธาตุดอยตุง ซึ่งระบุว่า ปู่เจ้าลาวจก (ต้นราชวงศ์ของพญามังราย) เป็นผู้นำชาวลัวะตั้งถิ่นฐานอยู่บนดอยตุง ที่มี “จก” หรือ “จอบ” (ทำจากเหล็ก) อยู่ในครอบครองถึง 500 เล่ม (อรุณรัตน์ วิเชียรเขียว, 2541, น.4) แสดงให้เห็นว่ากลุ่ม ลัวะ มีเทคโนโลยีด้านการถลุงเหล็กที่ก้าวหน้าในยุคนั้น และได้ผลิตเหล็กมาแลกเปลี่ยนกับกลุ่มคนพื้นราบ ก่อนที่จะพัฒนาเป็นกลุ่มชนชั้นปกครองในช่วงเวลาต่อมา.- การศึกษาชาติพันธุ์วรรณาทางโบราณคดีพบว่า ยังคงมีกลุ่มคนลัวะที่สืบทอดองค์ความรู้ด้านการถลุงเหล็กมาจนกระทั่ง 100 ปีที่ผ่านมา คือ กลุ่มลัวะบ้านบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งสอดคล้องกับหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่ระบุว่า ลัวะบ้านบ่อหลวง มีความรู้เฉพาะด้านการถลุงเหล็กซึ่งเป็นทรัพยากรที่หายากในยุคนั้น จึงเป็นกลุ่มคนที่มีสถานะพิเศษได้รับการยกเว้นการเกณฑ์แรงงาน แต่ต้องส่งส่วยเป็น “เหล็ก” ให้แก่เจ้าหลวงเมืองเชียงใหม่แทน ส่วยเหล็กจึงเป็นส่วยสำคัญของรัฐและน่าจะมีผลผลิตสูงในยุคนั้น (สรัสวดี อ๋องสกุล, 2559, 94).- จากองค์ความรู้เฉพาะและสถานะทางสังคมที่พิเศษ ส่งผลให้ให้กลุ่มลัวะบ่อหลวง มีพิธีกรรมที่สำคัญที่เกี่ยวข้องกับภูมิปัญญาดังกล่าว คือ พิธีกรรมเลี้ยงผีบ่อเหล็ก ซึ่งในงานศึกษาของ Hutchinson ซึ่งลงพื้นที่เก็บข้อมูลเมื่อปี พ.ศ. 2475 ระบุว่า ลัวะบ้านบ่อหลวงให้ความสำคัญกับการนับถือผีบ่อเหล็ก การประกอบพิธีกรรมเลี้ยงผีบ่อเหล็กจะกระทำกันที่เหมืองซึ่งอยู่ในพื้นที่แม่โถในช่วงเดือน 5 ของทุก ๆ 3 ปี โดยใช้วัวสีครีมตั้งแต่หัวยันหาง เพื่อให้ผีบ่อเหล็กยอมรับเครื่องเส้นไหว้ และชาวลัวะบ้านบ่อหลวงจะยกครอบครัวไปสกัดแร่เหล็กที่แม่โถในช่วงหลังฤดูการเก็บเกี่ยว (Hutchinson, 1934).- ปัจจุบัน ถึงแม้ลัวะบ้านบ่อหลวง จะเลิกการถลุงเหล็กมาไม่ต่ำกว่า 80 ปีแล้ว แต่พิธีกรรมโบราณเลี้ยงผีบ่อเหล็กยังคงกระทำสืบเนื่องกันอยู่ การสัมภาษณ์นายประเสริฐ ทาหล้า กำนันตำบลบ่อหลวง ได้ให้ข้อมูลว่า พิธีกรรมเลี้ยงผีบ่อเหล็กเป็นเสมือนพันธสัญญาจากบรรพบุรุษ เพื่อตอบแทนผีบ่อเหล็กผู้ดูแลรักษาทรัพยากร ที่ดลบันดาลให้สามารถขุดได้แร่เหล็กได้ในปริมาณมากในอดีต .- การลงพื้นที่เก็บข้อมูลของทีมนักโบราณคดี สำนักศิลปากรที่ 7 เชียงใหม่ พบว่า การประกอบพิธีกรรมจะกำหนดจัดทุก ๆ 3 ปี การประกอบพิธีกรรมเริ่มต้นโดยผู้เฒ่าชาวลัวะบ้านบ่อหลวงที่เชื้อสายตระกูล "ขุนแก้ว" (ตระกูลผู้นำโบราณของชาวลัวะบ้านบ่อหลวง) ถวายเครื่องเซ่นไหว้ คือ ข้าว ไก่ เหล้า เป็นต้น และบอกกล่าวให้ผีบ่อเหล็ก เตรียมมารับเครื่องสังเวย"ดอกแดง" (วัวตัวผู้ขนสีแดง) ที่จัดไว้ถวาย หลังจากนั้นจะทำการล้มวัวตัวดังกล่าว และแล่เนื้อชิ้นส่วนต่าง ๆ เพื่อนำไปถวายผีบ่อเหล็กที่มาสื่อสารผ่านร่างทรงบนศาลผีที่ตั้งอยู่กลางดง เมื่อเครื่องสังเวยถูกนำมาตั้งบนศาลผีจนครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว ร่างทรงชาวลัวะจะเชิญผีบ่อเหล็กลงมาประทับร่างเพื่อสื่อสารและรับการสังเวย ซึ่งผีบ่อเหล็กดังกล่าวมีนามว่า "แสงเมือง" หรือ “แสนเมือง” ผีผู้เป็นใหญ่เหนือผีดูแลบ่อเหล็กทั้งหลาย ทำการสื่อสารโดยใช้ “คำเมือง” ไม่ได้ใช้ภาษาลัวะเหมือนที่ร่างทรงเคยพูดอยู่ก่อนหน้า ทั้งนี้หลังจากผีบ่อเหล็กรับเครื่องสังเวยเรียบร้อยแล้ว ก็จะเปิดโอกาสให้ลูกหลานชาวลัวะสอบถามถึงเรื่องต่าง ๆ เช่น เรื่องความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรธรรมชาติ และความเป็นอยู่ของลูกหลานชาวลัวะในช่วงระยะเวลาอีก 3 ปี นับต่อจากนี้ไป หลังจากนั้นจึงให้พรแด่ผู้มาร่วมพิธีกรรมทุกคน ถือเป็นอันเสร็จพิธี.- ถึงแม้ในปัจจุบันพิธีกรรมเลี้ยงผีบ่อเหล็กของชาวลัวะบ้านบ่อหลวง จะเป็นเพียงประเพณีท้องถิ่นที่กระทำกันเป็นการภายใน แต่ถือเป็นมรดกวัฒนธรรมที่มีคุณค่าและความสำคัญสูงยิ่งทั้งในเชิงโบราณคดีและคติชนวิทยา ที่เป็นภาพสะท้อนให้เห็นถึงองค์ความรู้และภูมิปัญญาเรื่องเหล็กจากโลกยุคโบราณที่เป็นพื้นฐานในการก่อให้เกิดรัฐ บ้านเมือง ซึ่งมีกระทำมาต่อเนื่องถึงปัจจุบัน นับเป็นพิธีกรรมโบราณที่ยังคงหลงเหลืออยู่กี่แห่งในดินแดนล้านนา ควรค่าแก่การอนุรักษ์ สืบทอด และรักษาต่อไป
สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สังคิณี-มหาปัฎฐาน)
ชบ.บ.43/1-4
เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)
คาถาจุนฺทสูกริกสุตฺต (คาถาจุนทสูกริกสูตร)
ชบ.บ.85/1-1ก
เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)
มหานิปาตวณฺณนา(เวสฺสนฺตรชาตก) ชาตกฎฺฐกถา ขุทฺทกนิกายฎฺฐกถา (ทสพร-กุมาร)
ชบ.บ.106ก/1-7ค
เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)
เลขทะเบียน : นพ.บ.333/5ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 54 หน้า ; 4 x 54.5 ซ.ม. : รักทึบ-ล่องรัก-ลานดิบ ; ไม้ประกับธรรมดาชื่อชุด : มัดที่ 133 (359-369) ผูก 5 (2565)หัวเรื่อง : มหานิปาตวณฺณนา(ทศชาติ) ชาตกฏฐกถา ขุทฺทกนิกายฏฐกถา ภูริทัตต์--เอกสารโบราณ คัมภีร์ใบลาน พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม
ศิลปะรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๕
คณะสตรีอาสาสมัครพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร มอบให้เมื่อวันที่ ๔ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๔๗
ปัจจุบันจัดแสดงอยู่ ห้องรัตนโกสินทร์ อาคารประพาสพิพิธภัณฑ์ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร
หีบบุหรี่ทำด้วยทองคำลงยา ฝาหีบดุนนูนเป็นรูปมัจฉานุ (บุตรของหนุมานและนางสุพรรณมัจฉา จากวรรณคดีเรื่องรามเกียรติ์) ลงยา ๗ สี ที่มุมบนด้านซ้าย มีพระปรมาภิไธยย่อ จ.ป.ร. ประดับเพชรเหลี่ยมกุหลาบ ภายในกล่องมีข้อความเขียนด้วยหมึก “ given to me by the king of Siam, August 6 1897 ”
หีบบุหรี่ใบนี้มีประวัติว่า พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ พระราชทาน ให้แก่ เซอร์ วิลเลี่ยม คาริงตัน (Sir William Carington) ราชองครักษ์ (ขณะมียศเป็นพันโท) ในสมเด็จพระราชินีวิคตอเรีย แห่งสหราชอาณาจักร ซึ่งรัฐบาลอังกฤษจัดให้มาประจำรับสนองเบื้องพระยุคลบาท ในคราวที่พระองค์เสด็จมาถึงกรุงลอนดอน ตลอดระยะเวลาที่พระองค์ประทับอยู่ที่กรุงลอนดอนได้เสด็จพระราชดำเนินไปทอดพระเนตรสถานที่ต่าง ๆ เช่น พระราชวังบักกิ้งแฮม (Buckingham Palace) โรงเรียนฮาโรว์* (Harrow School) รัฐสภา สวนพฤกษศาสตร์คิวการ์เดน (Kew gardens) เป็นต้น ครั้นเสด็จออกจากกรุงลอนดอน พันโทคาริงตันได้ติดตามส่งพระองค์ถึงเมืองคาเล** ประเทศฝรั่งเศส ดังความในพระราชโทรเลขวันที่ ๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๔๐ ความตอนหนึ่งกล่าวว่า “...ออกจากลอนดอนเช้าวันนี้เวลา ๕ โมง มีทหารม้าแห่แลมีแถวกาด ออฟออเนอด้วย กินกลางวันที่เมืองคาเลล์ แลลอดแบก็อต กับนายพันโทแคริงตันได้ตามมาส่งฉันถึงที่นี้...”
การเสด็จประพาสยุโรปในปี พ.ศ. ๒๔๔๐ พระองค์ได้เสด็จพระราชดำเนินไปยังประเทศต่าง ๆ เช่น รัสเซีย สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส เบลเยี่ยม เยอรมนี อิตาลี สวิตเซอร์แลนด์ ฯลฯ ด้วยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวนั้นทรงมีจุดมุ่งหมายอยู่ ๓ ประการ ได้แก่ ประการแรกทำให้สยามเป็นที่รู้จักแก่นานาประเทศทางยุโรป ประการที่สอง เพื่อได้เรียนรู้วิทยาการต่าง ๆ ในประเทศยุโรป และประการที่สามเพื่อแก้ไขข้อเสียเปรียบทางการค้าและการเมืองระหว่างสยามกับฝรั่งเศส โดยเสด็จออกจากกรุงเทพฯ เมื่อวันที่ ๗ เมษายน พ.ศ. ๒๔๔๐ และเสด็จนิวัตถึงกรุงเทพฯ เมื่อวันที่ ๑๖ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๔๐ รวมระยะเวลาเสด็จพระราชดำเนินประพาสยุโรปครั้งที่ ๑ ทั้งสิ้น ๒๕๓ วัน
*ในช่วงเวลานั้น พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้าบุรฉัตรไชยากรและหม่อมเจ้าเสฐศิริ (โอรสในพระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นนเรศวรฤทธิ์) กำลังทรงศึกษาอยู่
**เมืองคาเล (Calais) เป็นเมืองท่าชายฝั่งของประเทศฝรั่งเศสตั้งอยู่บริเวณช่องแคบโดเวอร์ (Strait of Dover)
อ้างอิง
สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ. การเสด็จประพาสยุโรปของสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ร.ศ. ๑๑๖ เล่ม ๒. กรุงเทพฯ: กรมศิลปากร, ๒๕๕๑.
ธิดา สาระยา. พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว-เจ้าแผ่นดินสยาม. พิมพ์ครั้งที่ ๒. นนทบุรี: เมืองโบราณ, ๒๕๖๑.