ค้นหา
รายการที่พบทั้งหมด 48,784 รายการ
วันภาษาไทยแห่งชาติ 29 กรกฎาคม
-------------------------
ในโลกนี้มีอะไรเป็นไทยแท้ ของไทยแน่นั้นหรือคือภาษา
ซึ่งผลิดอกออกผลแต่ต้นมา รวมเรียกว่าวรรณคดีไทย
อนึ่งศิลปงามเด่นเป็นของชาติ เช่นปราสาทปรางค์ทองอันผ่องใส
อีกดนตรีรำร่ายลวดลายไทย อวดโลกได้ไทยแท้อย่างแน่นอน
...
ได้รู้เช่นเห็นชัดสมบัติชาติ เหลือประหลาดล้วนเห็นเป็นศักดิ์ศรี
ล้วนไทยแท้ไทยแน่ไทยเรามี สิ่งเหล่านี้คือวัฒนธรรม
บทประพันธ์ของศาสตราจารย์ หม่อมหลวง ปิ่น มาลากุล ปูชนียบุคคลของไทยและบุคคลสำคัญของโลกด้านการศึกษา วัฒนธรรม (วรรณคดี) และการสื่อสารนี้ แสดงให้เห็นถึงความสำคัญและคุณค่าของภาษาไทยในฐานะวัฒนธรรมอันเป็นเอกลักษณ์ที่น่าภาคภูมิใจประการหนึ่งของไทยและเป็นสมบัติชาติที่สืบต่อมาแต่บรรพชน โดยพ่อขุนรามคำแหงมหาราช บูรพกษัตริย์แห่งกรุงสุโขทัย ได้ทรงประดิษฐ์คิดค้นอักษรไทย เมื่อพุทธศักราช 1826 ดังปรากฏหลักฐานในจารึกพ่อขุนรามคำแหงหรือศิลาจารึกหลักที่ 1 มรดกล้ำค่าของชาติ ซึ่งองค์การยูเนสโก (UNESCO) ได้ประกาศขึ้นทะเบียนเป็นมรดกความทรงจำแห่งโลก (Memory of the World) ด้วย
ในอดีต เด็กไทยมักเล่าเรียนเขียนอ่านกับพระสงฆ์ที่วัด จนกระทั่งรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเล็งเห็นความสำคัญของการศึกษาและมีพระราชประสงค์ให้ราษฎรรู้หนังสือถ้วนหน้าเพื่อพัฒนาตนเองตลอดจนชาติบ้านเมือง จึงโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งโรงเรียนหลวงสำหรับราษฎรทั้งในพระนครและหัวเมืองเพื่อขยายการศึกษาให้ทั่วถึง อีกทั้งให้บรรดาขุนนางนักปราชญ์แต่งตำราวิชาการต่าง ๆ สำหรับกุลบุตรไว้ศึกษาเล่าเรียน เช่น สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ อธิบดีกรมการศึกษาพระองค์แรก นิพนธ์แบบเรียนเร็วสำหรับสอนอ่าน เขียน และแต่งหนังสือ ซึ่งได้ใช้เป็นแบบเรียนภาษาไทยในโรงเรียนหลวง พระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย อาจารยางกูร) แต่งตำราปกีรณำพจนาดถ์และอนันตวิภาค การศึกษาเล่าเรียนภาษาไทยจึงได้เจริญก้าวหน้ากว้างขวางในหมู่ราษฎรนับแต่นั้นมา
ต่อมาเมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม พุทธศักราช 2505 พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เสด็จพระราชดำเนินเป็นการส่วนพระองค์ไปทรงร่วมอภิปรายปัญหาการใช้คำไทยกับผู้ทรงคุณวุฒิทางภาษาไทยของชุมนุมภาษาไทย คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งแสดงให้เห็นถึงพระปรีชาสามารถ ความสนพระราชหฤทัย และความห่วงใยในภาษาไทย ด้วยเหตุนี้ ในวโรกาสมหามงคลทรงเจริญพระชนมพรรษา 6 รอบ ในพุทธศักราช 2542 คณะรัฐมนตรีจึงกำหนดให้วันที่ 29 กรกฎาคม ของทุกปี เป็นวันภาษาไทยแห่งชาติ เพื่อเฉลิมพระเกียรติและกระตุ้นให้สถาบันการศึกษา องค์กรภาครัฐและเอกชน ตลอดจนประชาชน ได้ตระหนักถึงความสำคัญของภาษาไทย การใช้ภาษาไทยอย่างถูกต้อง และธำรงภาษาไทยอันเป็นภาษาของชาติไว้ให้ยั่งยืนสืบไป
เรียบเรียงโดย นางสาวพุธิตา ขำบุญลือ นักจดหมายเหตุปฏิบัติการ
-------------------------
อ้างอิง
คณะอนุกรรมการจัดทำหนังสือเฉลิมพระเกียรติในโอกาส 100 ปี แห่งการสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว. พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวในความทรงจำแห่งโลก. กรุงเทพฯ : อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง, 2554.
ณัฏฐา กล้าหาญ และพุธิตา ขำบุญลือ. 2565. “มรดกความทรงจำแห่งโลกของประเทศไทย.” ใน พิมพ์พรรณ ไพบูลย์หวังเจริญ. บรรณาธิการ. 111 ปี แห่งการสถาปนากรมศิลปากร. กรุงเทพฯ: อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง, 41 - 50.
ราชกิจจานุเบกษา. ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง วันภาษาไทยแห่งชาติ. เล่ม 116 ตอนที่ 67 ง หน้า 12. 24 สิงหาคม 2542.
สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ. เอกสารกรมราชเลขาธิการ รัชกาลที่ 5 กระทรวงศึกษาธิการ ร.5 ศ.2/1 เรื่อง พระบรมราชโองการ เรื่องตั้งโรงเรียนในกรุงและหัวเมือง (ม.ท.)
สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ. เอกสารเย็บเล่มชุดหนังสือกราบบังคมทูล ร.5 รล.-นก เล่ม 6/26 เรื่องพระศรีสุนทรโวหาร น้อมเกล้าถวายต้นฉบับหนังสือเรียนตัวสะกดคำกลอน เพื่อทรงพิจารณาให้โรงพิมพ์หลวงจัดพิมพ์ (จ.ศ. 1241)
สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ. เอกสารส่วนบุคคล หม่อมหลวงปิ่น มาลากุล สบ.5.26/1 เรื่อง ปรู๊ฟคำประพันธ์ร้อยเรื่อง (พ.ศ. 2461 - 2505)
สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ. ภาพชุดหอพระสมุดวชิรญาณ ภ 002 หวญ 5/33(12) ภาพพระกับลูกศิษย์
สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ. ภาพที่อัดจากฟิล์มกระจกผนึกบนกระดาษแข็ง (ภาพเม้าท์) 10M/27 ภาพพระองค์เจ้าชายดิศวรกุมาร สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ (พ.ศ. 2405 - 2486) พระราชโอรสในรัชกาลที่ 4 และเจ้าจอมมารดาชุ่ม โรจนดิศ ต้นสกุล ดิศกุล
สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ. ภาพบันทึกเหตุการณ์สำคัญ ฉ/จ/1629 ภาพพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร
สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ. ภาพบันทึกเหตุการณ์สำคัญ ฉ/จ/13331 ภาพพระบรมราชานุสาวรีย์พ่อขุนรามคำแหงมหาราช มีพนมหมากและพนมดอกไม้วางสักการะอยู่ที่แท่นฐาน ในงานฉลองลายสือไทย ณ อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย จังหวัดสุโขทัย วันที่ 17 พฤศจิกายน พุทธศักราช 2526
สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ. ภาพส่วนบุคคล หม่อมหลวงปิ่น มาลากุล ภ สบ10.1/1 ภาพหม่อมหลวงปิ่น มาลากุล ใส่ชุดสากล
สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ. ภาพอัลบั้มชุดหอพระสมุดวชิรญาณ ภอ 001 หวญ 14/7 ภาพพระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย อาจารยางกูร)
อุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัย ขอเผยแพร่ องค์ความรู้ประจำเดือนมกราคม ๒๕๖๗ เรื่อง "ประติมากรรมปูนปั้นช้างทรงเครื่อง วัดช้างล้อมศรีสัชนาลัย" ประติมากรรมปูนปั้นช้างเป็นคติการใช้ช้างประดับศาสนสถาน ซึ่งน่าจะมีความสำคัญเกี่ยวข้องกับความเชื่อทางศาสนา เพราะช้างเป็นสัตว์ที่มีความเกี่ยวพันกับคติความเชื่อทางศาสนามาตั้งแต่สมัยโบราณ และยังเป็นสัตว์ที่มีเรื่องราวเกี่ยวข้องกับพุทธประวัติเป็นอันมาก เจดีย์ฐานช้างล้อมนั้นมีต้นแบบจากเจดีย์หรือสถูปในศิลปะลังกาที่เข้ามาพร้อมกับพุทธศาสนาลังกาวงศ์ ซึ่งเจริญรุ่งเรืองอยู่ในแคว้นสุโขทัยพร้อมทั้งศิลปะลังกาที่มีอิทธิพลต่อรูปแบบทางศิลปะสถาปัตยกรรมของสุโขทัยอย่างเห็นได้ชัด ช้างทรงเครื่อง หรือช้างที่ประดับลวดลายปูนปั้น เป็นประติมากรรมปูนปั้นรูปช้างที่ยืน ๔ ขาเต็มตัวขนาดใกล้เคียงกับช้างจริง ที่ประดับอยู่ที่มุมทั้งสี่เชือกบริเวณรอบฐานของเจดีย์วัดช้างล้อม ศรีสัชนาลัย โดยมีลักษณะพิเศษ คือ มีขนาดใหญ่กว่าช้างตัวอื่น ๆ ซึ่งมีการตกแต่งลวดลายปูนปั้นประดับที่ต้นคอ ต้นขาหน้า ต้นขาหลัง รัดอก และรัดที่งาช้าง การนำเครื่องประดับมาใช้กับช้างปูนปั้นน่าจะคล้ายคลึงกับช้างที่ปราสาทนครวัดของเขมร วัดช้างล้อมมีช้างประจำมุมเจดีย์ทั้งสี่ทิศ โดยมีลักษณะยืนเฉียงหันหน้าไปตามทิศทั้ง ๔ มีลักษณะพิเศษกว่าช้างปูนปั้นธรรมดาที่ไม่มีลวดลายปูนปั้น ซึ่งเป็นช้างที่ทำด้วยศิลาแลง ลักษณะการก่อลำตัวโค้งเป็นรูปครึ่งวงกลม โดยใช้ศิลาแลงรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดเล็กก่อเอาด้านหนาชนกัน ซึ่งคล้ายคลึงกับการก่อ เตาสังคโลก และอาจจะได้รับอิทธิพลจากพุกามแล้วพอกลำตัวช้างด้วยปูนปั้นทับซ้อนกันหลายชั้น เช่น ช้างประจำทิศใต้ บริเวณก้นช้างมีการวาดหางแล้วพอกปูนปิดของเดิมแล้วขีดหางทับอีกชั้นหนึ่ง อาจเป็นการสร้างทับซ้อนหรือเพียงการซ่อมแซม อีกทั้งอาจเป็นเทคนิคการทำอย่างใดอย่างหนึ่งของช่างในสมัยนั้น ดังนั้น แถวช้างปูนปั้นที่วัดช้างล้อมน่าจะได้รับอิทธิพลทางด้านรูปแบบการทำช้างปูนปั้นรอบฐานเจดีย์มาจากมหาสถูปในลังกา ส่วนลักษณะแบบช้างยืนเต็มตัวนี้อาจจะได้รับอิทธิพลทางด้านรูปแบบจากนครวัด หรือสถูปในประเทศอินเดีย โดยช่างท้องถิ่นได้คิดดัดแปลงเอาเทคนิคการก่อเตาทุเรียง เมืองศรีสัชนาลัยมาใช้ก่อลำตัวช้างปูนปั้นอีกด้วย ลักษณะการปั้นปูนแต่งเป็นตัวช้างนั้นทำคล้ายคลึงกันทั้งสามเมือง คือ เมืองสุโขทัย เมืองศรีสัชนาลัย และเมืองกำแพงเพชร หรือแม้แต่ในแถบล้านนาเอกสารอ้างอิงกรมศิลปากร. “การศึกษาวิจัยเรื่อง วัดช้างล้อม” ในอุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัย อ.ศรีสัชนาลัย จ.สุโขทัย. ม.ป.ท. ๒๕๓๐.สุรพล ดำริห์กุล. เจดีย์ช้างล้อมกับประวัติศาสตร์บ้านเมืองและพระพุทธศาสนาลังกาวงศ์ในประเทศไทย. กรุงเทพฯ : จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๓๕.ศักดิ์ชัย สายสิงห์. ศิลปกรรมโบราณในอาณาจักรสุโขทัย. นนทบุรี : เรือนแก้วการพิมพ์, ๒๕๖๑.
ภาพปูนปั้นรูปบุรุษ
- ทวารวดี (พุทธศตวรรษที่ ๑๒ - ๑๔)
- ปูนปั้น
- ขนาด กว้าง ๙๑ ซม. ยาว ๘๕ ซม. หนา ๕ ซม.
เดิมประดับที่ฐานลานประทักษิณด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้ ของเจดีย์จุลประโทน อ.เมืองนครปฐม จ.นครปฐม ได้จากการขุดค้นทางโบราณคดี เมื่อ พ.ศ.๒๕๑๑ ภาพปูนปั้น แสดงภาพบุรุษคล้ายยืนสนทนากัน คนทางขวามือของภาพไว้ผมยาวเป็นลอน ในมือถือสิ่งของลักษณะคล้ายอาวุธ
แสดงภาพวัตถุหมุน คลิกที่นี่ https://smartmuseum-v2.finearts.go.th/3d_object/?obj=40100
ที่มา: https://smartmuseum.finearts.go.th
เมื่อวันที่ ๒๒ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๐๙พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถ และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เสด็จพระราชดำเนินไปทรงประกอบพิธีเปิดเขื่อนแก่งกระจาน อำเภอท่ายาง จังหวัดเพชรบุรีรหัสเอกสาร ภ หจภ (๓) กษ ๑.๑/๘
แบบฟอร์ม ศก.๗ คำขอรับใบอนุญาตส่งหรือนําโบราณวัตถุหรือศิลปวัตถุออกนอกราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราว
กรมศิลปากรได้จัดทำโครงการอนุรักษ์พระพุทธสิหิงค์ ซึ่งประดิษฐาน ณ พระที่นั่งพุทไธสวรรย์ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร มุ่งเน้นไปที่การใช้วีธีการทางวิทยาศาสตร์เพื่อการอนุรักษ์ เสริมความมั่งคงแข็งแรง และปรับสภาพพื้นผิวให้มีความกลมกลืน เงางาม ด้วยวิธีการและสารเคมีที่เหมาะสม มีความปลอดภัยต่อโบราณวัตถุและผู้ปฏิบัติงานเป็นสำคัญ โดยไม่เกิดผลกระทบต่อเนื้อโลหะและวัสดุดั้งเดิม ให้พระพุทธสิหิงค์กลับมามีสภาพสวยงาม คงหลักฐานความเป็นของแท้ดั้งเดิมไว้ให้มากที่สุด และป้องกันการเสื่อมสภาพในอนาคต เพื่อรักษาไว้ซึ่งพระพุทธรูปที่สำคัญของประเทศ
กรมศิลปากร ขอเชิญผู้มีจิตศรัทธา ร่วมบริจาคบูชาวัตถุมงคลพระพุทธสิหิงค์เพื่อสมทบทุนบูรณะองค์พระพุทธสิหิงค์ และยอดฉัตร
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ฝ่ายพัสดุ กลุ่มคลังและพัสดุ สำนักบริหารกลาง อาคารกรมศิลปากร เทเวศร์ โทร. ๐ ๒๑๒๖ ๖๕๕๙ หรือ Facebook : พระพิฆเนศวร ๑๐๘ ปี กรมศิลปากรทั้งนี้ สามารถสั่งเช่าบูชาได้ผ่านทางกล่องข้อความ facebook หรือหากสะดวกสามารถเข้ามาบูชาได้ด้วยตนเองได้ทุกวัน เวลา ๐๙.๓๐ - ๑๕.๓๐ น. *หมายเหตุ : บางรายการอาจมีผู้ศรัทธาเช่าบูชาหมดแล้วอ่านข่าวเพิ่มเติม https://www.finearts.go.th/promotion/view/54326-กรมศิลปากรบวงสรวงพระพุทธสิหิงค์-พระพุทธรูปคู่วังหน้า-ก่อนดำเนินการอนุรักษ์ด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ให้คงไว้ซึ่งความเป็นของแท้ดั้งเดิม
ชื่อเรื่อง สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สงฺคิณี-มหาปฎฐาน)อย.บ. 136/1หมวดหมู่ พุทธศาสนาประเภทวัสดุ/มีเดีย คัมภีร์ใบลานลักษณะวัสดุ 30 หน้า : กว้าง 4.6 ซม. ยาว 55.6 ซม.บทคัดย่อ/บันทึก เป็นคัมภีร์ใบลาน ฉบับล่องชาด ไม้ประกับธรรมดา ได้รับจาก จ.พระนครศรีอยุธยา
ชื่อเรื่อง สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สงฺคิณี, ธาตุกถา-มหาปฏฐาน) อย.บ. 100/6กหมวดหมู่ พุทธศาสนาประเภทวัสดุ/มีเดีย คัมภีร์ใบลานลักษณะวัสดุ 18 หน้า : กว้าง 5 ซม. ยาว 54 ซม.บทคัดย่อ/บันทึก เป็นคัมภีร์ใบลาน ฉบับล่องชาด ไม้ประกับธรรมดา ได้รับจาก วัดประดู่ทรงธรรม จ.พระนครศรีอยุธยา
ชื่อเรื่อง : เรื่องพระราชพิธีพืชมงคลแลจรดพระนังคัล
หัวเรื่อง : พิธีพืชมงคล
พระราชพิธีพืชมงคล
คำค้น : -
รายละเอียด : เจ้าพระยาพลเทพฯ พิมพ์แจกในการแรกนาขวัญ เมื่อวันที่ 8 พฤศภาคม พ.ศ. 2465
ผู้แต่ง : จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว, พระบาทสมเด็จพระ, 2396 – 2453
แหล่งที่มา : หอสมุดแห่งชาติรัชมังคลาภิเษก จันทบุรี
หน่วยงานที่รับผิดชอบ : โรงพิมพ์โสภณพิพรรฒธนากร
ปีที่พิมพ์ : 2465
วันที่เผยแพร่ : พฤษภาคม 2568
ผู้ร่วมสร้างสรรค์ผลงาน : -
ลิขสิทธิ์ : -
รูปแบบ : PDF.
ภาษา : ภาษาไทย
ประเภททรัพยากร : หนังสือหายาก
ตัวบ่งชี้ : -
รายละเอียดเนื้อหา : หนังสือว่าด้วยเรื่องพระราชพิธีพืชมงคลแลจรดพระนังคัล ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระราชนิพนธ์ และพระราชทานพระบรมราชาธิบายไว้ในหนังสือเรื่องพระราชพิธีสิบสองเดือน ท้ายเล่มได้เรียบเรียงเรื่องตำนานการแรกนาขวัญจากหนังสือราชกิจจานุเบกษามาไว้ด้วย
เลขทะเบียน : -
เลขหมู่ : 390.22
จ657ร
ชื่อเรื่อง สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สงฺคิณี-มหาปฏฺฐาน)อย.บ. 129/6ประเภทวัสดุ/มีเดีย คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่ พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ 18 หน้า กว้าง 4.7 ซม. ยาว 53.8 ซม.หัวเรื่อง พระอภิธรรมปิฎก พระยมกบทคัดย่อ/บันทึก เป็นคัมภีร์ใบลาน ฉบับล่องชาด ไม้ประกับธรรมดา ได้รับจาก จ.พระนครศรีอยุธยา
วันเข้าพรรษาและประเพณีแห่เทียนพรรษาจังหวัดนครราชสีมา: จากพุทธบัญญัติสู่มหกรรมทางวัฒนธรรม
วันเข้าพรรษา ถือเป็นวันสำคัญยิ่งในพุทธศาสนา มีความสำคัญทั้งในทางพระวินัย ราชประเพณี และเป็นรากฐานของวัฒนธรรมประเพณีอันงดงามที่สืบทอดกันมายาวนาน ตามพุทธบัญญัติ วันเข้าพรรษาตรงกับวันแรม 1 ค่ำ เดือน 8 เป็นวันที่พระภิกษุสงฆ์ต้องอธิษฐานอยู่จำพรรษา ณ อาวาสใดอาวาสหนึ่งตลอดระยะเวลา 3 เดือน โดยไม่ไปค้างคืนที่อื่น
เหตุผลหลักของการจำพรรษาคือเพื่อป้องกันความเสียหายแก่พืชพรรณธัญญาหารของชาวบ้าน และเพื่อส่งเสริมการศึกษาพระธรรมวินัยของพระภิกษุสงฆ์ในช่วงฤดูฝน ซึ่งเป็นที่มาของคำว่า "พรรษา" ที่แปลว่า "ฤดูฝน" หรือ "การอยู่จำ" เนื้อหาเกี่ยวกับการบัญญัติให้พระภิกษุอยู่จำพรรษาในทางพระวินัยนั้นปรากฏอยู่ในพระวินัยปิฎก เล่มที่ 4 มหาวรรค ภาค 1 ในหัวข้อ "วัสสูปนายิกขันธกะ" (หมวดว่าด้วยการเข้าจำพรรษา) [1]
ความสำคัญของวันเข้าพรรษายังปรากฏในราชประเพณีมาอย่างยาวนาน โดยหลักฐานที่กล่าวถึงประเพณีถวายเทียนพรรษาคือใน "จารึกนครชุม" ซึ่งสร้างขึ้นในสมัยพระมหาธรรมราชาที่ 1 (ลิไทย) แห่งกรุงสุโขทัย ราวพุทธศตวรรษที่ 19 ได้มีการกล่าวถึงการถวาย "เทียนจำพรรษา" เพื่อใช้จุดให้แสงสว่างแก่พระภิกษุสงฆ์ในระหว่างจำพรรษา อันเป็นเครื่องยืนยันว่าประเพณีนี้มีมาตั้งแต่สมัยสุโขทัยและได้รับการสืบทอดเรื่อยมา [2]
ประเพณีแห่เทียนพรรษาโคราช: ความงดงามแห่งศรัทธาและศิลปะ
สำหรับจังหวัดนครราชสีมา การหล่อเทียนและถวายเทียนพรรษาเพื่อใช้เป็นพุทธบูชามีมาอย่างยาวนานด้วยเหตุที่มีวัดวาอารามอยู่มากมาย จึงเป็นประเพณีที่ปฏิบัติกันมาอย่างต่อเนื่องในแต่ละชุมชน และนอกจากการหล่อเทียนและถวายเทียนแล้ว ยังมีอีกหนึ่งประเพณีที่สำคัญนั่นก็คือ การแห่เทียนพรรษา
การแห่เทียนพรรษาโคราช เป็นประเพณีที่ปฏิบัติสืบเนื่องกันมาช้านาน ด้วยความร่วมมือของทางราชการทั้งฝ่ายทหารและพลเรือน รวมถึงพ่อค้า คหบดี และประชาชน มีการตกแต่งประดับประดาเทียนเข้าพรรษาด้วยขี้ผึ้งล้วน ๆ หรือด้วยเครื่องประดับอื่นๆ แล้วนำขึ้นตั้งบนล้อเลื่อนหรือรถยนต์ ประกอบด้วยเครื่องสูง พัดโบก จามร ฉัตร และมีภาพเทพบุตร เทพธิดาในสวรรค์ชั้นฟ้าเหาะลงมาเพื่อประคับประคองเทียนเข้าพรรษา พร้อมทั้งคติธรรมต่าง ๆ ที่เป็นเรื่องราวชาดก หรือคำสอนด้วยภาพ ด้วยข้อความ และคำโฆษณาอันประทับใจผู้ที่ได้พบเห็นและได้ฟัง
ก่อนวันงาน ที่วัดจะมีการเล่นมหรสพประเภทฉลองเทียนเข้าพรรษา อาทิ ภาพยนตร์ ลิเก ลำตัด เพลงโคราช ฯลฯ 1 คืน รุ่งขึ้นวัดต่าง ๆ ที่จัดเทียนเข้าพรรษาจะนำเทียนมารวมกันที่จุดศูนย์กลางคือหน้าศาลากลางจังหวัด เมื่อพร้อมกันแล้วจะตั้งริ้วขบวนและแห่ไปตามถนนสำคัญหลายสายในตัวเมือง แล้วมารวมกันยังที่เดิม เพื่อรับการพิจารณาของคณะกรรมการซึ่งทางราชการจัดตั้งขึ้น ว่าเทียนเข้าพรรษาของวัดใดจะงดงาม มีคติธรรมดี และมีการตกแต่งเป็นเยี่ยม เพื่อรับรางวัลที่ 1, 2 และ 3 ตามลำดับ ส่วนเทียนเข้าพรรษาที่เข้าขบวนแห่รอง ๆ ไปก็มีรางวัลพิเศษให้ เช่น เงิน ข้าวสาร น้ำปลา น้ำมันก๊าด ตู้ยาตำราหลวง ยาชา ธูปเทียน ไม้ขีดไฟ และเครื่องใช้สอยอื่น ๆ เป็นต้น เสร็จแล้วก็แยกขบวนกลับวัดของตน ทางราชการจะเชิญข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ทั้งฝ่ายทหารและพลเรือนเป็นผู้ถวายเทียนเข้าพรรษาตามวัดต่าง ๆ ต่อไป
พิธีแห่เทียนเข้าพรรษาจัดเป็นประเพณีใหญ่และขึ้นหน้าขึ้นตาของจังหวัดนครราชสีมา ในวันนั้นพุทธศาสนิกชนชาวนครราชสีมา ทั้งเด็ก หนุ่มสาว และผู้ใหญ่ จำนวนหลายหมื่นคนจากทุกทิศทุกทาง แต่งกายโอ่อ่ามาชมขบวนแห่ ประเพณีการแห่แหนนี้เป็นการส่งเสริมศีลธรรมและวัฒนธรรมไปในตัวด้วย [3]
อนึ่ง แต่ก่อนทางราชการได้จัดอย่างมโหฬาร โดยมีการนำช้าง ม้า ของขบวน และจัดให้มีการล่อช้าง ล่อม้า ณ สนามหน้าศาลากลางจังหวัดด้วย ดังนั้นในบางปีบริเวณสนามจังหวัดจะคับแคบไป ทางราชการจึงจัดให้มีการฉลองเทียนเข้าพรรษาประจำปี ณ สนามหนองบัวหน้ากองบัญชาการทหารบกนครราชสีมาก็เคยทำ [3]
การเติบโตสู่ "มหกรรมแห่เทียนพรรษาโคราช"
การเติบโตของประเพณีแห่เทียนโคราชพัฒนาต่อเนื่องเป็น "มหกรรมแห่เทียนพรรษาโคราช" หนึ่งในงานประเพณีสำคัญและมีชื่อเสียงของไทยในปัจจุบัน อาจเป็นผลพวงมาจากงานฉลองกึ่งพุทธกาล เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๐ [4] ซึ่งรัฐบาลมีโครงการให้เงินอุดหนุนบำรุงพุทธศาสนาอย่างกว้างขวาง ภายใต้บริบทของการใช้นโยบายทางด้านศาสนาเพื่อแสวงหาความชอบธรรมทางการเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การเกิดขึ้นของโครงการอุดหนุนสมทบทุนบูรณะวัดรายปีและโครงการฉลอง 25 พุทธศตวรรษ [5] ทั่วประเทศจึงมีการจัดกิจกรรมทางศาสนาและบำเพ็ญบุญกุศลอย่างคึกคัก เพื่อฟื้นฟูพระพุทธศาสนาเป็นแรงผลักดันสำคัญให้ประเพณีทางศาสนาเริ่มมีความยิ่งใหญ่ขึ้นตามลำดับ จากประเพณีดั้งเดิมเริ่มพัฒนาไปสู่การแห่เทียนอย่างเป็นทางการและยิ่งใหญ่ขึ้น จนกลายเป็นมหกรรมประจำปีที่จัดขึ้น ณ ลานอนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี ถนนราชดำเนิน และลานศาลากลางประจำจังหวัด สะท้อนถึงศรัทธา ศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่น และประวัติศาสตร์อันเป็นเอกลักษณ์ของชาวโคราช
การประกวดเทียนพรรษาในจังหวัดนครราชสีมา
การประกวดต้นเทียนพรรษาในจังหวัดนครราชสีมาแบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลัก เพื่อรองรับความหลากหลายของขนาดและรูปแบบการสร้างสรรค์ ดังนี้ [6]
1. ประเภท ก. (ขนาดใหญ่):
o ต้นเทียนที่มีความสูงจากฐานถึงยอดไม่น้อยกว่า 3 เมตร และมีพื้นที่จัดแสดงไม่น้อยกว่า 25 ตารางเมตร
o ต้นเทียนประเภทนี้มักมีความอลังการ วิจิตรบรรจง และใช้เทคนิคการแกะสลักที่ซับซ้อน มักบอกเล่าเรื่องราวพุทธประวัติ ชาดก หรือเรื่องราวทางศาสนาที่สำคัญอย่างละเอียด
o ผู้เข้าประกวดส่วนใหญ่เป็นวัดที่มีความพร้อมและประสบการณ์ในการสร้างต้นเทียนขนาดใหญ่ ซึ่งมักจะคว้ารางวัลชนะเลิศถ้วยพระราชทานมาครอง
2. ประเภท ข. (ขนาดกลาง):
o ต้นเทียนที่มีความสูงจากฐานถึงยอดไม่น้อยกว่า 2.5 เมตร แต่ไม่เกิน 3 เมตร และมีพื้นที่ไม่น้อยกว่า 18 ตารางเมตร แต่ไม่เกิน 25 ตารางเมตร
o ต้นเทียนประเภทนี้ยังคงความสวยงามและรายละเอียดที่ประณีต แต่มีขนาดกะทัดรัดกว่าประเภท ก. เหมาะสำหรับวัดหรือชุมชนที่ต้องการแสดงฝีมือแต่มีข้อจำกัดด้านพื้นที่หรืองบประมาณเล็กน้อย
3. ประเภท ค. (ประติมากรรมเทียน/ขนาดเล็ก):
o ประติมากรรมเทียนที่มีความสูงไม่ต่ำกว่า 1.20 เมตร และมีพื้นที่ไม่น้อยกว่า 2 ตารางเมตร
o เทียนประเภทนี้มักเน้นที่ความคิดสร้างสรรค์ การออกแบบ และการถ่ายทอดเรื่องราวผ่านประติมากรรมขนาดเล็กที่สามารถจัดแสดงในพื้นที่จำกัดได้
o ประเภท ค จะตั้งโชว์ ณ จุดจัดแสดงหลัก (เช่น ลานอนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี) และไม่ได้เข้าร่วมในขบวนแห่หลัก วัด โรงเรียน หรือสถาบันการศึกษาก็สามารถส่งผลงานเข้าร่วมได้
รางวัลและการเชิดชูเกียรติ
รางวัลสูงสุดในการประกวดต้นเทียนพรรษาของจังหวัดนครราชสีมา คือ ถ้วยพระราชทานสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ซึ่งมอบให้กับผู้ชนะเลิศในแต่ละประเภท รวมถึงเงินรางวัลและเกียรติบัตรต่าง ๆ การที่ได้รับถ้วยพระราชทานถือเป็นความภาคภูมิใจสูงสุดของวัดและชุมชนที่ร่วมสร้างสรรค์ผลงาน
การประกวดต้นเทียนพรรษาไม่เพียงแต่เป็นเวทีแสดงออกถึงฝีมือและศิลปะของช่างเทียนโคราชเท่านั้น แต่ยังเป็นกลไกสำคัญที่ช่วยกระตุ้นให้เกิดการสืบทอดและพัฒนาประเพณีอันดีงามนี้ให้คงอยู่คู่เมืองโคราชและประเทศไทยสืบไป จากการรวมพลังของชุมชน วัด และหน่วยงานภาครัฐ ทำให้งานแห่เทียนพรรษาโคราชกลายเป็นหนึ่งในมหกรรมทางวัฒนธรรมและศรัทธาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
การจัดงานแห่เทียนโคราช ประจำปี 2568
สำหรับปี 2568 เทศบาลนครนครราชสีมา ได้กำหนดจัดงานประเพณีแห่เทียนพรรษา ภายใต้งาน “แห่เทียนโคราชศาสตร์ศิลป์ถิ่นย่าโม" จัดขึ้นระหว่างวันที่ 9 - 11 กรกฎาคม 2568 ณ บริเวณลานอนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี มีวัตถุประสงค์เพื่ออนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมประเพณีอันดีงามของไทยให้คงอยู่สืบไป ตลอดจนเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวและกระตุ้นเศรษฐกิจของจังหวัดนครราชสีมา
ภายในงานมีการประกวดต้นเทียนพรรษาชิงถ้วยรางวัลพระราชทานสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในประเภท ก. และ ประเภท ข. อีกทั้งยังมีการประกวดต้นเทียนพรรษา ประเภท ค การประกวดขบวนแห่ การแสดงแสง สี เสียง การแสดงของขบวนอารยธรรมที่เป็นวิถีของท้องถิ่นโคราช และขบวนการแสดงที่บ่งบอกถึงความเป็นมรดกโลกของผืนป่าเขาใหญ่ ป่าสะแกราช ซึ่งเป็นการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ซอฟต์พาวเวอร์และความเป็นมรดกโลกของจังหวัดนครราชสีมา [6]
โดยในงานจะมีการจัดแสดงรถแห่เทียนพรรษา ประเภท ก. ได้แก่ วัดใหม่สระประทุม, วัดนอก, วัดเดิม, วัดโบสถ์คงคาล้อม, วัดบิง และประเภท ข. ได้แก่ วัดเก่าประตูชัย, วัดศรีพุทธาราม (วัดใน), วัดใหม่ประตูชัย, วัดสระเพลง, ทีมงานส่วยศิลป์, วัดบูรพาพิมล, โรงเรียนพิมายวิทยา และในวันที่ 11 กรกฎาคม 2568 เวลา 09.00 น. จะมีพิธีปล่อยขบวนรถเทียนพรรษาจำนวน 12 วัด และการประกวดขบวนแห่จำนวน 5 ขบวน [6]
เอกสารอ้างอิง
[1] พระวินัยปิฎก เล่มที่ 4 มหาวรรค ภาค 1. [ออนไลน์]. สืบค้นเมื่อ 5 กรกฎาคม 2568, จาก: https://84000.org/tipitaka/pitaka_item/sutta_item.php?book=4&item=219
[2] จารึกสุโขทัย ของพระเจ้าเลอไทย. พระนคร: โรงพิมพ์กรมแผนที่, 2473.
จารึกสมัยสุโขทัย. กรุงเทพ: กรมศิลปากร, 2527. (ออนไลน์เข้าถึงได้จาก: https://www.finearts.go.th/songkhlalibraryk/view/18499)
[3] คณะกรรมการประชาสัมพันธ์และพิมพ์เอกสารการจัดงานฉลอง 25 พุทธศตวรรษ พ.ศ. 2500. จังหวัดนครราชสีมา. รวบรวมโดย ผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์อุดม, 2500.
[4] ประมวลเอกสาร คำกราบบังคมทูล พระราชดำรัสตอบ สุนทรพจน์เป็นพุทธบูชา รายงานการสร้างพระพุทธรูป สุนทรพจน์ต้อนรับ และรับมอบของที่ระลึก ลิขิตอนโมทนาฯลฯ เนื่องในงานฉลอง 25 พุทธศตวรรษ : 12-18 พฤษภาคม 2500. พระนคร: โรงพิมพ์รุ่งเรืองธรรม, 2500. (ออนไลน์เข้าถึงได้จาก: http://digital.nlt.go.th/dlib/files/original/5972077c3561a07b86b664a1ca554dc0.pdf)
[5] ณัฐวุธ จารุลักขณา. นโยบายของรัฐบาลเกี่ยวกับเงินบำรุงพุทธศาสนา ระหว่าง พ.ศ. 2475 - 2505. วิทยานิพนธ์ศิลปศาสตร์มหาบัณฑิต สาขาวิชาประวัติศาสตร์. คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2565. (ออนไลน์เข้าถึงได้จาก: https://ethesisarchive.library.tu.ac.th/thesis/2022/TU_2022_6106030015_15420_26282.pdf)
[6] ข่าวประชาสัมพันธ์เทศบาลนครราชสีมา เว็บไซต์: www.koratcity.go.th และ Facebook: ประชาสัมพันธ์ เทศบาลนครนครราชสีมา
เรียบเรียงข้อมูลและแนะนำโดย: นางแพรว ธนภัทรพรชัย เจ้าพนักงานห้องสมุดชำนาญงาน
ออกแบบกราฟิกโดย: นายพีรยุทธ กษิติบดินทร์ชัย บรรณารักษ์ปฏิบัติการ
ชื่อเรื่อง : พระราชหัตถเลขาพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เล่ม 3
หัวเรื่อง : ไทย -- ประวัติศาสตร์ -- รัชกาลที่ 4
คำค้น : จดหมาย
รายละเอียด : -
ผู้แต่ง : จอมเกล้าเจ้าอยู่หัว, พระบาทสมเด็จพระ, 2347-2411
แหล่งที่มา : หอสมุดแห่งชาติรัชมังคลาภิเษก จันทบุรี
หน่วยงานที่รับผิดชอบ/โรงพิมพ์/สำนักพิมพ์ : องค์การค้าของคุรุสภา
ปีที่พิมพ์ : 2506
วันที่เผยแพร่ : 17 กรกฎาคม 2568
ผู้ร่วมสร้างสรรค์ผลงาน : -
ลิขสิทธิ์ : -
รูปแบบ : PDF.
ภาษา : ภาษาไทย
ประเภททรัพยากร : หนังสือหายาก
ตัวบ่งชี้ : -
รายละเอียดเนื้อหา : หนังสือรวบรวมพระราชหัตถเลขาในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นพระราชหัตถ์ในกิจส่วนพระองค์ที่ทรงมีถึงผู้หนึ่งผู้ใด โดยพระราชหัตถเลขาในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เล่ม 3 นี้ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพได้ทรงรวบรวมครั้งที่ 5 พิมพ์เมื่อ พ.ศ. 2469 และรวมครั้งที่ 6 พิมพ์เมื่อ พ.ศ. 2470
เลขทะเบียน : น. 30 ร. 1509
เลขหมู่ : ห
959.3056
จ196พ