ค้นหา
รายการที่พบทั้งหมด 48,784 รายการ
โบราณสถานกู่พราหมณ์จำศีล ตำบลนางรำ อำเภอประทาย จังหวัดนครราชสีมา
#โบราณสถานกู่พราหมณ์จำศีล มีปราสาทประธาน 3 หลัง เรียงกันตามแนวแกนทิศเหนือ-ใต้ ตั้งอยู่บนฐานเดียวกัน ปราสาททั้ง 3 หลัง มีประตูทางเข้าเฉพาะด้านทิศตะวันออก ทางด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือและทิศตะวันออกเฉียงใต้มีบรรณาลัยตั้งอยู่ ศาสนสถานถูกล้อมรอบด้วยกำแพงแก้ว และคูน้ำเว้นทางเข้าตามแนวแกนทิศด้านทิศตะวันออก-ตะวันตก ใช้วัสดุศิลาแลงและหินทราย ทั้งนี้ ปรากฏภาพสลักทับหลังที่น่าสนใจ ที่ติดกับตัวงปราสาท จำนวน 6 ชิ้น ดังนี้
#ชิ้นที่1 ทับหลังปราสาทหลังกลาง #สลักภาพพระอินทร์ทรงช้างเอราวัณ ประทับนั่งในท่ามหาราช (นั่งชันเข่า) ซึ่งเป็นเทพประจำทิศตะวันออก ประทับยืนอยู่เหนือหน้ากาล ห้อมล้อมด้วยลายพันธุ์พฤกษา ซึ่งเป็นพรรณพฤกษาที่ออกมาจากปากของหน้ากาล
#ชิ้นที่2 ทับหลังปราสาทหลังทิศเหนือ #สลักภาพบุคคลนั่งชันเข่า อยู่ในกรอบซุ้มเรือนแก้ว เหนือหน้ากาลคายท่อนพวงมาลัย ห้อมล้อมด้วยลายพันธุ์พฤกษา ซึ่งเป็นพรรณพฤกษาที่ออกมาจากปากของหน้ากาล
#ชิ้นที่3 ทับหลังบรรณาลัยด้านทิศใต้ #สลักภาพบุคคลไว้เครา ประทับนั่ง ขนาบข้างด้วยสตรี ซ้ายและขวา ห้อมล้อมด้วยลายพันธุ์พฤกษา ซึ่งเป็นพรรณพฤกษาที่ออกมาจากปากของหน้ากาล
#ชิ้นที่4 ทับหลังบรรณาลัยด้านทิศเหนือ #สลักภาพบุคคลนั่งชันเข่า มือขวาถือดาบ อยู่ในซุ้มเรือนแก้ว เหนือหน้ากาล คายท่อนพวงมาลัย ขนาบด้วยสิงห์มือจับท่อนพวงมาลัย สันนิษฐานว่าเป็นเทพผู้ปกปักรักษาศาสนสถานแห่งนี้
#ชิ้นที่5 ทับหลังฝั่งตะวันออกของโคปุระด้านตะวันตก #สลักภาพพระนารายณ์ทรงครุฑ เหนือหน้ากาลคายท่อนพวงมาลัย ห้อมล้อมด้วยลายพันธุ์พฤกษา ซึ่งเป็นพรรณพฤกษาที่ออกมาจากปากของหน้ากาล
#ชิ้นที่6 ทับหลังฝั่งตะวันออกของโคปุระด้านตะวันตก #สลักภาพพระวรุณทรงหงส์ ซึ่งเป็นเทพประจำทิศตะวันตก ยืนอยู่เหนือหน้ากาล ห้อมล้อมด้วยลายพันธุ์พฤกษา ซึ่งเป็นพรรณพฤกษาที่ออกมาจากปากของหน้ากาล
จากรูปแบบศิลปกรรมของภาพสลักทับหลัง มีลักษณะคล้ายกับทับหลังศิลปะเขมร แบบาปวน จึงกำหนดอายุสมัยโบราณสถานกู่พราหมณ์จำศีล มีอายุอยู่ในช่วง ครึ่งหลังพุทธศตวรรษที่ 16
หลายคนคงสงสัยว่า #ทับหลังแบบบาปวน ดูจากอะไร? ขอให้ทุกคนสังเกต โครงสร้างหลักของทับหลังแบบบาปวน คือ หน้ากาลอยู่กึ่งกลางด้านล่างของทับหลัง เหนือหน้ากาลมีรูปบุคคล ซึ่งอาจมีพาหนะหรือไม่ก็ได้ หน้ากาลคายท่อนพวงมาลัยวกขึ้นแล้วตกลงเป็นกรอบสี่เหลี่ยม ใต้ท่อนพวงมาลัยเป็นใบไม้ม้วน เหนือท่อนพวงมาลัยเป็นใบไม้ตั้ง ทั้งนี้อาจมีรูปแบบอื่นปรากฏ เช่น สลักเป็นภาพเล่าเรื่อง นั่นเอง
ติดกันด้านทิศเหนือ ยังมี #ปราสาทนางรำ ซึ่งเป็น โบราณสถานประเภท “อโรยคศาล” หรือศาสนสถานประจำโรงพยาบาล ในรัชสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 18 ด้วยนะครับ หากมีโอกาส ลองแวะเวียนไปเยี่ยมชมกันดูนะครับ ทั้งนี้ “กู่พราหมณ์จำศีล” และ “ปราสาทนางรำ” เป็นร่องรอยหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่าบริเวณเป็นชุมชนโบราณที่มีผู้คนอยู่เป็นจำนวนมาก มาตั้งแต่ช่วงครึ่งหลังพุทธศตวรรษที่ 16 โดยมีศาสนสถานขนาดใหญ่ อย่างกู่พราหมณ์จำศีล เป็นศาสนสถานประจำชุมชน และในช่วงพุทธศตวรรษที่ 18 จึงมีดำริให้สร้างโรงพยาบาลในพื้นที่ใกล้เคียงกัน
ข้อมูลโดย นายวรรณพงษ์ ปาะละกะวงษ์ ณ อยุธยา นักโบราณคดีปฏิบัติการ
เอกสารอ้างอิง
-กรมศิลปากร. ทำเนียบโบราณสถานขอมในประเทศไทย เล่ม 1. กรุงเทพฯ: กองโบราณคดี กรมศิลปากร. 2535
-รุ่งโรจน์ ธรรมรุ่งเรือง. ปราสาทขอมในดินแดนไทย. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ: มติชน. 2551.
ชื่อผู้แต่ง สำนักราชเลขาธิการ
ชื่อเรื่อง ประมวลพระราชดำรัสและพระบรมราโชวาทที่พระราชทานในโอกาสต่างๆตั้งแต่พุทธศักราช 2498 – 2508
ครั้งที่พิมพ์ -
สถานที่พิมพ์ กรุงเทพฯ
สำนักพิมพ์ พระจันทร์
ปีที่พิมพ์ 2516
จำนวนหน้า 232 หน้า
รายละเอียด
สำนักราชเลขาธิการรับพระราชดำรัสเหนือเกล้าฯ ให้จัดพิมพ์หนังสือประมวลพระราชดำรัสและ พระบรมราโชวาทที่พระราชทานในโอกาสต่างๆ ตั้งแต่พุทธศักราช 2498 จนถึง พ.ศ. 2508 สำรับพระราชทานแจกเป็นที่ระลึกในงานพระราชทานเพลิงศพ นายจำนงราชกิจ (จรัญ บุณยรัตนพันธุ์) ม.ป.ช., ม.ว.ม., ท.จ.ว. ณ เมรุหน้าพลับพลา อิศริยาภรณ์ วัดเทพศิรินทราวาส วันที่ 8 มีนาคม พุทธศักราช 2516 เป็นหนังสือที่มีประโยชน์และ มีความสำคัญเกี่ยวเนื่องถึงนายจำนงราชกิจ ในฐานะที่รับราชการสนองพระเดชพระคุณในสำนักราชเลขาธิการยั่งยืนมาช้านานตลอดชีวิต
ชื่อผู้แต่ง -
ชื่อเรื่อง พระอภิธรรม – พระมหาชัย
ครั้งที่พิมพ์ -
สถานที่พิมพ์ -
สำนักพิมพ์ -
ปีที่พิมพ์ -
จำนวนหน้า ๑๕๘ หน้า
หมายเหตุ. -
(เนื้อหา) พระอภิธรรมเจ็ดคัมภีร์ประกอบด้วยพระสังคิณี พระวิภังค์ พระธาตุกถา พระบุคคลบัญญัติ พระกถาวัตถุ พระยมก และพระมหาปัฏฐาน พระมหาชัยเป็นบทสวดเพื่อความเป็นสิริมงคล ชนะแก่ศัตรูหมู่มาร ทั้งปวง
แนะนำหนังสือหายากจดหมายจางวางหร่ำเล่มนี้ จัดพิมพ์เป็นที่ระลึกในงานพระราชทานเพลิงศพอำมาตย์เอก พระยาเกษตรรักษา (เจียง โปษะกฤษณะ)เป็นพระนิพนธ์พระราชวรวงศ์เธอ กรมหมื่นพิทยาลงกรณ์ เป็นวรรณกรรมคำสอนในรูปแบบของจดหมายจากพ่อ คือ นายจางวางหร่ำ เศรษฐีเมืองฉะเชิงเทรา ไปถึงลูกชาย นายสนธิ์ ผู้ออกไปเรียนวิชาอยู่ในเมืองอังกฤษ จดหมาย 7 ฉบับ ที่ถ้อยคำในเล่มแม้สำนวนจะดูเก่าตามยุคสมัย เนื่องจากผ่านกาลเวลามายาวนาน แต่เนื้อหาคำสอนยังคงไม่ล้าสมัย ให้ข้อคิดเตือนใจในการดำเนินชีวิตไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเรียน การใช้เงิน การมีครอบครัวได้จนถึงปัจจุบันจดหมายฉบับที่ 1 ถึงนายสนธิ์ บุตร์ ผู้ออกไปเปนนักเรียนอยู่ในประเทศอังกฤษจดหมายฉบับที่ 2 มีถึงบุตร์ชาย เมื่อได้เห็นใช้เงินฟุ่มเฟือยนักจดหมายฉบับที่ 3 ถึงนายสนธิ์ ผู้บุตร์ ผู้ได้บอกว่าจะขอไปเรียนยุนิเวอร์ซิตี เมื่อไล่ได้เปน บี.เอ. แล้วจึงจะกลับจดหมายฉบับที่ 4 มีถึงนายสนธิ์ผู้บุตร์ เมื่อนายสนธิ์บอกเข้ามาว่าเวลากลับจากยุโรป จะขออ้อมกลับทางอเมริกาแลญี่ปุ่น ด้วยการเที่ยวดูภูมิฐานบ้านเมืองต่างประเทศ ย่อมนับว่าเปนการเรียนวิชาประเภทหนึ่งเหมือนกันจดหมายฉบับที่ 5 เขียนถึงนายสนธิ์ ผู้บัตร์ เมื่อนายสนธิ์ขอถอนคำเรื่องที่คิดจะกลับอ้อมทางอเมริกาและญี่ปุ่น อนึ่งเมื่อได้เขียนจดหมายฉบับที่ 4 ไปถึงบุตร์ชายแล้ว จางวางหร่ำก็ออกจากฉะเชิงเทราไปธุระทางเชียงใหม่ นายสนธิ์กลับมาจากยุโรปยังไม่ได้พบกับบิดา แต่ได้เข้าทำการในบริษัทไม่สู้พอใจอยู่บ้าง จึงเขียนหนังสือฟ้องไปยังบิดาจดหมายฉบับที่ 6 เขียนถึงนายสนธิ์ ผู้บัตร์ เมื่อได้ทราบว่าลูกชายคิดจะมีเมียจดหมายฉบับที่ 7 (ฉบับที่ผู้แต่งเขียนเพิ่มขึ้น)"การที่จะเรียนวิชาได้ด้วยวิธีใดนั้นไม่สำคัญ ข้อสำคัญอยู่กับตัวผู้เรียนต่างหาก เปรียบเหมือนแตงกวาจะดองด้วยน้ำซ่มฝรั่งก็ได้ ดองด้วยน้ำกระเทียมก็ได้ เมื่อดองแล้วอร่อยทั้งสองอย่าง ข้อสำคัญคือ แตงกวาที่เอาลงดองจะต้องเปนแตงที่ยังไม่เน่า บุคคลที่สืบเสาะร่ำเรียนวิชาก็เหมือนแตงกวาดอง ถ้านิสัยใจคอมันเน่าเสียแล้วถึงจะร่ำเรียนด้วยวิธีใด มันก็คงไม่เปนเรื่องทั้งสิ้น"สามารถสแกนคิวอาร์โค้ดเพื่ออ่านในรูปแบบ e-book ได้ค่ะ
กรมศิลปากร ขอเชิญรับชมถ่ายทอดสด Facebook Live รายการไขความรู้จากครูกรมศิลป์ ตอน “ทิศทางการพัฒนากับก้าวสู่ปีที่ ๗๐ ของหอจดหมายเหตุแห่งชาติ” วิทยากรโดย นางณิชชา จริยเศรษฐการ ผู้อำนวยการสำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ นายนภดล ภู่ชัย ผู้อำนวยการกลุ่มบันทึกเหตุการณ์ และนางภาวิดา สมวงศ์ ผู้อำนวยการกลุ่มอนุรักษ์เอกสาร สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ ดำเนินรายการโดย นางกมลชนก พรภาสกร นักวิชาการโสตทัศนศึกษา กลุ่มเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ ในวันพฤหัสบดีที่ ๑๘ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕ ตั้งแต่เวลา ๑๑.๐๐ – ๑๑.๔๕ น. ผู้สนใจสามารถติดตามชมได้ทาง Facebook Live : กรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม Facebook Live : กลุ่มเผยแพร่ฯ กรมศิลปากร และ Youtube Live : กรมศิลปากร
วัดสุริโย หรือ วัดสุริโยกำแมด หมู่ที่ ๑ บ้านกำแมด ตำบลกำแมด อำเภอกุดชุม จังหวัดยโสธร ตามประวัติระบุว่าตั้งขึ้นเมื่อประมาณ พ.ศ. ๒๔๕๔ ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาเมื่อวันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๖๓ ภายในวัดมีโบราณสถานสำคัญ ได้แก่ อุโบสถ (สิม) หลังเก่า
อุโบสถ (สิม) หลังเก่า ตามประวัติระบุว่าสร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๒ โดยพระปลัดสี ซึ่งเป็นเจ้าอาวาสในขณะนั้น พร้อมคณะศิษย์และชาวบ้าน ลักษณะทางสถาปัตยกรรมและศิลปกรรมได้รับอิทธิพลญวน ดังจะเห็นได้จากเป็นอาคารก่ออิฐถือปูน ทำวงโค้งประดับระหว่างช่วงเสาและเหนือขอบหน้าต่าง ระหว่างช่วงเสาผนังด้านนอกทำปูนปั้นลายท่อนพวงมาลัยห้อยอุบะประดับ ทาสีน้ำเงิน สีเหลืองสีแดง ตกแต่งปูนปั้นเป็นหลัก
ตัวอาคารมีขนาด ๓ ห้อง ทำมุขด้านหน้าทางทิศตะวันออก มีบันไดทางขึ้นที่กึ่งกลางด้านผายออก หัวเสาประดับด้านหน้าทำเป็นบัวแวงทาสี ถัดขึ้นไปเป็นขอบหน้าบันมีข้อความเขียนด้วยสีน้ำเงินว่า “ต่อมา (อ.จ.ท พันธ์) ทำลาย พ.ศ. ๒๔๙๐ สิมานี้ (พระปลัดสี) พร้อมศิษย์และชาวบ้าน สร้าง พ.ศ. ๒๔๘๒” ถัดขึ้นไปเป็นหน้าบันประดับปูนปั้นรูปเทพเทวาผุดจากดอกบัว มือทั้งสองข้างถือเครื่องสูง และทำลายเครือเถาประดับทั้งสองข้าง หน้าบันด้านหลังทำเป็นปูนปั้นรูปหนุมาน ไม่มีลายอื่นใดประกอบ ในอดีตน่าจะมุงด้วยแป้นเกล็ดหรือกระเบื้องดินเผา ปัจจุบันมุงด้วยสังกะสี
กรมศิลปากรประกาศขึ้นทะเบียนและกำหนดเขตที่ดินโบราณสถานวัดสุริโย (วัดกำแมด) ในราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๑๐ ตอนที่ ๒๒๐ ฉบับพิเศษ หน้า ๑๗ วันที่ ๒๔ ธันวาคม ๒๕๓๖ พื้นที่โบราณสถานประมาณ ๒ ไร่ ๑ งาน ๒๐ ตารางวา
------------------------------------------------------------------
อ้างอิงจาก
กองพุทธศาสนสถาน, กรมการศาสนา. ประวัติวัดทั่วราชอาณาจักร เล่ม ๑๔. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์การศาสนา,
๒๕๓๘. หน้า ๔๕๒
------------------------------------------------------------------
ที่มาของข้อมูล : กลุ่มโบราณคดี สำนักศิลปากรที่ ๙ อุบลราชธานี
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สมเด็จพระนารายณ์ ขอเชิญชมนิทรรศการพิเศษ และร่วมฟังการเสวนาวิชาการ เนื่องในวันพิพิธภัณฑ์ไทย ประจำปีพุทธศักราช ๒๕๖๕ เรื่อง "จารึกศาลสูง : บันทึก ๑,๐๐๐ ปี เมืองลพบุรี" โดยมีพิธีเปิดนิทรรศการและงานเสวนาในวันพฤหัสบดีที่ ๒๙ กันยายน ๒๕๖๕ เวลา ๑๓.๐๐ ณ หมู่พระที่นั่งพิมานมงกุฎ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สมเด็จพระนารายณ์ วิทยากรโดย รศ.ดร.ศานติ ภักดีคำ รองเลขาธิการราชบัณฑิตยสภา นายเจตน์กมล วงษ์ท้าว นักโบราณคดีชำนาญการ สำนักศิลปากรที่ ๔ ลพบุรี และพันเอกปราโมทย์ เกตุอำไพ ผู้จัดการศาลพระกาฬ ดำเนินรายการโดย นางสาวนันทลักษณ์ คีรีมา ภัณฑารักษ์ชำนาญการ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สมเด็จพระนารายณ์
นิทรรศการพิเศษ "จารึกศาลสูง : บันทึก ๑,๐๐๐ ปี เมืองลพบุรี" จัดแสดงตั้งแต่วันที่ ๒๙ กันยายน - ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๕ ณ หมู่พระที่นั่งพิมานมงกุฎ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สมเด็จพระนารายณ์ เปิดให้เข้าชมวันพุธ - วันอาทิตย์ ๐๙.๐๐ - ๑๖.๐๐ น. ปิดวันจันทร์ - วันอังคาร
สำนักหอสมุดแห่งชาติ ขอเชิญชมนิทรรศการออนไลน์ เรื่อง "ทีฆายุวัฒนมงคล 100 ปี ศาสตราจารย์พิเศษคุณหญิงแม้นมาส ชวลิต" ซึ่งจัดขึ้นเนื่องในวาระครบรอบอายุ 100 ปี ศาสตราจารย์พิเศษ คุณหญิงแม้นมาส โดยเนื้อหานิทรรศการประกอบด้วย ประวัติชีวิตและการทำงาน รางวัลและเกียรติคุณ คุณูปการที่มีต่องานสำคัญ ๆ ของประเทศชาติและนานาชาติ ทั้งด้านวิชาชีพบรรณารักษศาสตร์และห้องสมุด ด้านการศึกษา ด้านการประพันธ์และแปลหนังสือ
ผู้สนใจสามารถเข้าชมนิทรรศการออนไลน์ได้ที่เว็บไซต์ของสำนักหอสมุดแห่งชาติ https://www.nlt.go.th/service/1552
ชื่อเรื่อง สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สงฺคิณี-มหาปฏฺฐาน) อย.บ. 25/5ประเภทวัสดุ/มีเดีย คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่ พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ 44 หน้า : กว้าง 4.6 ซมง ยาว 55.8 ม.หัวเรื่อง พุทธศาสนาบทคัดย่อ/บันทึก เป็นคัมภีร์ใบลาน เส้นจาร ฉบับทองทึบ ไม้ประกับธรรมดา ได้รับบริจาคมาจาก จ.พระนครศรีอยุธยา
พระพุทธรูปประทับยืนเหนือพนัสบดีที่สุโขทัย.พระพุทธรูปประทับยืนเหนือพนัสบดีองค์นี้พบที่วัดตระพังมะพลับ (วัดตระพังพลับ, โบราณสถานร้าง ก.38, AT.C4) ตั้งอยู่ห่างจากประตูอ้อมาทางทิศตะวันออกประมาณ 300 เมตร โบราณสถานภายในวัดประกอบด้วยฐานวิหารก่ออิฐ และฐานเจดีย์รายขนาดเล็กก่ออิฐจำนวน 6 ฐาน โดยประติมากรรมที่พบมีลักษณะเป็นพระพุทธเจ้าประทับยืนยกพระหัตถ์ทั้งสองข้างแสดงปางแสดงธรรม ครองจีวรห่มคลุมแนบพระวรกาย พระพักตร์แบน พระขนงทั้งสองต่อกันเป็นรูปปีกกา พระเนตรโปน พระนาสิกโด่ง พระโอษฐ์หนา มีบุคคลยืนขนาบทั้งสองข้าง ด้านล่างคือ พนัสบดีที่ทำหน้าที่เป็นฐานรองพระพุทธเจ้า ซึ่งเชื่อว่าเป็นการรวมกันของสัตว์ทั้งสามคือ หงส์ โค และครุฑ ทั้งนี้ประติมากรรมพระพุทธรูประทับยืนเหนือพนัสบดีนั้นเป็นเอกลักษณ์พิเศษของศิลปะทวารวดี ซึ่งเหตุที่ประติมากรรมชิ้นนี้มาพบที่โบราณสถานในเมืองสุโขทัยนั้น สันนิษฐานได้ว่าอาจมีการเคลื่อนย้ายมา เนื่องด้วยขนาดของประติมากรรมมีขนาดไม่ใหญ่มากนัก.คำว่า พนัสบดี นี้ มีที่มาจากคำว่า Vanaspati สันนิษฐานว่าหมายถึง เจ้าป่า ซึ่งการทำพระพุทธเจ้าประทับเหนือพนัสบดีอาจเป็นการสื่อความหมายว่า พระพุทธเจ้าได้รับการยอมรับในหมู่สรรพสัตว์ ทั้งนี้ พนัสบดีนั้นมีลักษณะเป็น สัตว์ที่มีเขาและหูแบบโค มีปากคล้ายครุฑ และมีปีกเป็นหงส์ และยังมีการพบเป็นสัตว์ผสมชนิดอื่นๆ อีกเช่น สิงห์มีปีกและเขา ครุฑ หน้ากาล และรูปบุคคล เป็นต้น และองค์ประกอบโดยรวมของพระพุทธรูปปางนี้จะเหมือนกันคือ พระพุทธเจ้าประทับยืนอยู่ตรงกลาง มีบุคคลถือแส้ประกบอยู่ทั้งสองข้าง หรืออาจประทับยืนองค์เดียวเหนือพนัสบดี เช่นที่พบที่เมืองพระรถ จังหวัดชลบุรี.ที่มาหรือนัยยะของการสร้างประติมากรรมพนัสบดีนี้ มีผู้สันนิษฐานว่าอาจมาจากพระพุทธประวัติตอนเสด็จลงจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ทั้งนี้ ศ.ฌอง บวสเซอลิเยร์ ไม่เชื่อว่าเป็นตอนเสด็จลงจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เพราะในคัมภีร์หรืองานศิลปกรรมตั้งแต่สมัยอินเดียโบราณ ไม่เคยปรากฏภาพพระพุทธเจ้าเสด็จจากดาวดึงส์โดยประทับเหนือสัตว์เหล่านี้เลย หรืออาจเป็นการแสดงเชิงสัญลักษณ์ว่าศาสนาพุทธอยู่เหนือศาสนาพราหมณ์ เพราะเชื่อว่าเป็นการนำเอาพาหนะของเทพเจ้าสูงสุดในศาสนาพราหมณ์มาผสมกัน คือ ปากเป็นครุฑ (พาหนะของพระนารายณ์) หูและเขาเหมือนโค (พาหนะของพระศิวะ) และปีกเป็นหงส์ (พาหนะของพระพรหม) ซึ่งแนวความคิดการสร้างประติมากรรมแสดงความยิ่งใหญ่เหนือศาสนาพราหมณ์นั้น ได้พบที่ถ้ำพระโพธิสัตว์ จังหวัดสระบุรี หรืออินเดียในช่วงพุทธศตวรรษที่ 14-17 ก็ปรากฏงานศิลปะที่พยายามแสดงถึงการข่มกันของศาสนาพุทธและศาสนาพราหมณ์ ซึ่งอาจมีการแพร่แนวคิดนี้เข้ามาในทวารวดีก็เป็นได้ นอกจากนี้ ดร.พิริยะ ไกรฤกษ์ ได้เสนอว่า ประติมากรรมนี้อาจสร้างขึ้นในลัทธิมหายาน นิกายสุขาวดี ที่พบในประเทศจีน โดยภาพบุคคลที่ปรากฏทั้งสองข้างของพระพุทธเจ้าก็คือ พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร กับพระโพธิสัตว์สถามาปราปตะ โดยพระพุทธเจ้าจะประทับอยู่เหนือครุฑเพื่อเสด็จลงมานับดวงวิญญาณของผู้ที่พ้นทุกข์ แต่ทั้งนี้ นิกายสุขาววดีไม่เคยปรากฏว่าพระพุทธเจ้าประทับอยู่เหนือสัตว์ที่เป็นพาหนะใดๆ ส่วนใหญ่จะประทับอยู่เหนือก้อนเมฆ รวมทั้งยังไม่เคยพบหลักฐานว่าศิลปะทวารวดีมีความเกี่ยวข้องกับลัทธิสุขาวดีที่นิยมในจีน เกาหลี และญี่ปุ่นเลย หลักฐานที่พบโดยส่วนใหญ่ล้วนแต่เป็นลัทธิเถรวาทที่มีความใกล้เคียงอินเดียเป็นอย่างมาก.เอกสารอ้างอิง1) กรมศิลปากร. พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ รามคำแหง. กรุงเทพ : บริษัท ประชาชน จำกัด.2) ศักดิ์ชัย สายสิงห์. ทวารวดี ศิลปกรรมยุคเริ่มแรกในดินแดนไทย. เอกสารคำสอน รายวิชา 317 403 ศิลปะในประเทศไทยตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 6-14. ภาควิชาประวัติศาสตร์ศิลปะ บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร. (อัดสำเนา)3) ผาสุข อินทราวุธ. ทวารวดี การศึกษาเชิงวิเคราะห์จากหลักฐานทางโบราณคดี. กรุงเทพฯ : คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร, 2542.4) อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย. ทำเนียบโบราณสถาน อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย ฉบับปรับปรุง พุทธศักราช 2561. พิมพ์ครั้งที่ 2. สุโขทัย : อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย กรมศิลปากร, 2561.
สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สงฺคิณี-มหาปฎฺฐาน) ชบ.บ 128/4
เอกสารโบราณ
(คัมภีร์ใบลาน)
สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สงฺคิณี-มหาปฎฺฐาน) ชบ.บ 164/3 เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)