ค้นหา
รายการที่พบทั้งหมด 48,755 รายการ
มะโรงนักษัตรชมโบราณวัตถุที่เกี่ยวเนื่องกับนาคในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ น่านมะโรง ความหมายตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสภา คือ น. ชื่อปีที่ ๕ ของรอบปีนักษัตร มีงูใหญ่เป็นเครื่องหมาย ในวรรณกรรม “เฉลิมไตรภพ” กล่าวว่า “ที่ห้าพระยาภุชงค์ เจ็ดเศียรหนึ่งองค์ นามปีมะโรงวาสุกี” ทางจีน ปีมะโรง คือ เซิน/เฉิน หรือ หลง/เล้ง เป็นมังกร มังกรเป็นสัตว์ที่สัมพันธ์กับฤดูกาล เทพเจ้าแห่งฟ้าฝน การเปลี่ยนแปลงของวันเวลามีความสำคัญต่อการทำเกษตรของคนจีน. งูใหญ่ มีรูปร่างแตกต่างกันไปตามจินตนาการของกลุ่มชนต่างๆ คนไทยรับคติความเชื่อจากศาสนาพุทธ และพราหมณ์ฮินดู งูใหญ่ จึงมีลักษณะอย่างนาค เป็นงูใหญ่ที่มีหงอน นาคเป็นสัตว์วิเศษ มีฤทธิ์ และเชื่อว่ามีอำนาจเหนือธรรมชาติ สัมพันธ์กับปรากฎการณ์ฝนตก ความอุดมสมบูรณ์ ทั้งนาคมีความสัมพันธ์กับศาสนาพุทธ และพราหมณ์ฮินดูอย่างแน่นแฟ้นปีมะโรง ล้านนา คือ “สี” ตัวเปิ้งหรือนักษัตร คือ งูใหญ่ . การบูชาพระธาตุประจำปีเกิด หรือการ “ชุธาตุ” เป็นความเชื่อเรื่องการบูชาพระธาตุองค์เจดีย์สำคัญในวัฒนธรรมล้านนา ๑๒ องค์ ตามปีนักษัตร ชาวล้านนามีความเชื่อว่าบุคคลใดๆ ก่อนที่จะมาเกิดเป็นชีวิตช่วงก่อนการปฏิสนธิจะก่อรูปเป็นภาวะจิตที่นิ่งสถิตอยู่ ณ องค์พระธาตุที่สำคัญที่ประจำในแต่ละรอบปี แล้วนำดวงจิตนั้นมาอยู่ที่ต้นไม้ต้นหนึ่งที่มีสัตว์อยู่เฝ้ารักษาแต่ละปีเกิด เมื่อครบวาระแล้วดวงจิตนั้นจะเปลี่ยนรูปเป็นลักษระของดาวกลายเข้าสู่ช่วงแห่งการปฏิสนธิก่อเกิดเป็นมนุษย์นั่นเอง โดยในปี “สี” หรือมะโรง บูชาพระธาตุวัดพระสิงห์หลวง จังหวัดเชียงใหม่. คติความเชื่อเรื่องงู หรือนาค ปรากฏในงานศิลปกรรมต่างๆ เช่น ราวบันได หน้าบัน ช่อฟ้า หงหงส์ คันทวย ฐานชุกชี ภาพจิตรกรรม ธรรมาสน์ สัตภัณฑ์ หรือตกแต่งในเครื่องพุทธบูชาต่างๆ ตัวอย่างงานศิลปกรรมที่โดดเด่น อาทิ บันไดนาคทางเข้าวิหารวัดภูมินทร์ จ.น่าน บันไดนาควัดพระธาตุแช่แห้ง จ.น่าน ฐานชุกชีนาคบัลลังก์วิหารวัดหนองแดง จ.น่าน นาคปูนปั้นเกี้ยวกระหวัดทางเข้าวิหาร วัดพระธาตุแช่แห้ง จ.น่าน เป็นต้น. สะพานนาคราชค่อยๆ เลื้อยคดเคี้ยวสู่อาคาร แสดงวัดหรืออาคารเป็นโลกสมมติของชาวพุทธ นาคคือรุ้ง โดยมีนาคราชเป็นสะพานเชื่อม ระหว่างเบื้องล่างคือโลกมนุษย์ กับเบื้องบนคือสวรรค์ ยังแสดงถึงทางเชื่อมของโลกียะ สู่โลกุตระ หรือให้พญานาคเป็นสะพานนำมาเข้าสู่โพธิญาณ. เมืองน่านกับความเชื่อเรือนาค เชื่อว่าคำว่า “น่าน” คือ “นาคนาม” ตามระบบภูมิทักษา เมืองน่านขึ้นต้นด้วยตัวอักษร “น” จากตำนานวังนาคินทร์คำชะโนดแสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่างเมืองน่านกับล้านช้าง โดนปรากฏตำนานการสร้างแม่น้ำโขง และแม่น้ำน่านโดยพญานาค บางคนเชื่อว่า “ขุนนุ่น” และ “ขุนฟอง” ราชบุตรบุญธรรมของพญาภูคา ปฐมกษัตริย์เจ้าผู้ครองน่าน ถือกำเนิดมาจากไข่ โดยไข่นั้นเป็นไข่พญานาค ราชบุตรทั้งสองจึงมี “เชื้อสายนาคเป็นปฐม” ทั้งนี้ “หัวเรือแข่งเมืองน่าน” มีการแกะสลักเป็นรูปนาค ซึ่งมีความเชื่อว่าถ้าหากปีใดแห้งแล้งจะนำเรือแข่งมางเล่นน้ำน้ำเพื่อให้ฝนตกต้องตามฤดูกาล ซึ่งแสดงโลกทัศน์และความเชื่อของชาวน่านที่ผูกแน่นกับศาสนา และเชื่อว่านาคเป็นผู้มีอำนาจ สามารถให้คุณและโทษได้ เกี่ยวข้องกับน้ำ มีอิทธิฤทธิ์บันดาลให้ฝนตกได้.เอกสารอ้างอิงยุทธพร นาคสุข. ประวัติเรือแข่งเมืองน่าน จากเอกสาร ตำนาน และเรื่องเล่า. เชียงใหม่ : มรดกล้านนา. ๒๕๕๒.ศิริศักดิ์ อภิศักดิ์มนตรี. พุทธศิลป์ล้านนา รูปแบบ แนวคิด และการวิเคราะห์. เชียงใหม่ : เชียงใหม่สแกนเนอร์. ๒๕๖๖.
ชื่อโบราณวัตถุ : ภาชนะดินเผาแบบศิลปะ : สมัยก่อนประวัติศาสตร์ชนิด : ดินเผาขนาด : สูง 36.3 เซนติเมตร ปากกว้าง 44 เซนติเมตรอายุสมัย : วัฒนธรรมบ้านเชียงสมัยต้น 4,500 - 3,000 ปีมาแล้วลักษณะ : ภาชนะดินเผามีเชิง ทรงกระบอก ปากแตร มีการตกแต่งด้วยลาย เชือกทาบ ขูดขีด ปั้นแปะ และรมควันให้เป็นสีดำสภาพ : ...ประวัติ : ...สถานที่จัดแสดง :พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ บ้านเชียง จังหวัดอุดรธานีแสดงภาพวัตถุหมุน คลิกที่นี่ http://www.virtualmuseum.finearts.go.th/banchiang/360/model/08/ที่มา: http://www.virtualmuseum.finearts.go.th/banchiang
พิพิธ(สาระ)ภัณฑ์ ตอน ครุฑที่เมืองคูบัว
ครุฑ (garuda) หมายถึง อมนุษย์หรือพญานกในเทพนิยาย มีลักษณะผสมระหว่างมนุษย์กับนก เป็นพาหนะของพระวิษณุ และใช้เป็นตราแผ่นดิน และเครื่องหมายทางราชการ
ตามคัมภีร์ฤคเวท กล่าวถึงกำเนิดครุฑว่า ครุฑเป็นโอรสองค์ที่สองของพระกัศยปะกับนางวินตา โดยนางวินตาขอพรให้โอรสสองคนที่มีความเก่งกล้าและมีอำนาจมากกว่านาคทั้งหลายซึ่งเป็นโอรสของนางกัทรุชายาอีกนางหนึ่ง พระกัศยปะจึงประทานพรเป็นไข่สองฟอง นางวินตาใจร้อนฟักไข่ใบแรกก่อนเวลา โอรสองค์แรกจึงมีร่างกายเพียงครึ่งองค์ส่วนบน นามว่า “อรุณ” อรุณโกรธมารดามากจึงสาปให้เป็นทาสรับใช้นางกัทรุจนกว่าไข่อีกฟองจะฟักออกมาช่วยให้พ้นความเป็นทาส เมื่อถึงเวลาไข่อีกฟองก็ฟักมาเป็นโอรสที่มีส่วนศีรษะ จะงอยปาก ปีกและเล็บเหมือนนกอินทรีย์ และมีร่างกายเหมือนมนุษย์ หน้าขาว ปีกสีแดง ลำตัวทอง
นามว่า “ครุฑ“
ต่อมานางวินตาแพ้พนันตกเป็นทาสของนางกัทรุ ครุฑจึงเดินทางไปขโมยน้ำอมฤต เพื่อไถ่ตัวมารดาจากความเป็นทาส และต้องรบกับพระอินทร์ พระวิษณุประทับใจในความแข็งแรงและกตัญญูของครุฑ จึงประทานพรแก่ครุฑ ครุฑขอพรว่า ขอให้อยู่สูงกว่าพระองค์ ขอเป็นผู้ไม่มีเวลาตาย ไม่มีเวลาเจ็บแม้ไม่ได้กินน้ำอมฤต และกินนาคได้พระวิษณุประธานพรตามที่ครุฑขอด้วยการให้ครุฑเป็นพาหนะและให้อยู่ที่เสาธงของพระองค์ จึงได้นามว่า “วิษณุวาหนะ” แปลว่า พาหนะของพระวิษณุ
ในพุทธศาสนาครุฑมีลักษณะเป็นอมนุษย์ มีจำนวนมากและหลายประเภท ตามคติไตรภูมิพบครุฑอาศัยอยู่บนต้นงิ้วที่เชิงเขาพระสุเมรุชั้น ๒ จึงพบการประดับครุฑแบกที่ฐานของเจดีย์ซึ่งเป็นการจำลองเขาพระสุเมรุ
พบหลักฐานของครุฑในประเทศไทยตั้งแต่สมัยทวารวดี พุทธศตวรรษที่ ๑๒-๑๖ ในรูปแบบตราประทับดินเผาและประติมากรรมประดับโบราณสถาน เช่น ตราประทับดินเผารูปครุฑ พบที่เมืองจันเสน จังหวัดนครสวรรค์ ประติมากรรมรูปครุฑดินเผา พบที่เมืองโบราณคูบัว จังหวัดราชบุรี ประติมากรรมรูปครุฑที่พบในเมืองโบราณคูบัวมีลักษณะใบหน้าเป็นมนุษย์มากกว่านก ไม่มีจะงอยปากแหลม โดยรวมมีลักษณะใบหน้ากลม ผมหยักศกเกล้าเป็นมวย มีเครื่องประดับรัดที่ยอดมวยทรงกรวยแหลม คิ้วต่อเป็นรูปปีกกา ตาโปน จมูกโด่ง ปากหนาและยิ้มเล็กน้อย ลำตัวอ้วนพุงพลุ้ย สวมเครื่องประดับ ได้แก่ ต่างหูรูปวงกลมแบน สร้อยคอลูกประคำ และกำไลต้นแขน มีปีกและกรงเล็บเหมือนนก นอกจากนี้ยังพบครุฑจำหลักจากหิน ที่วัดมหาธาตุวรวิหาร ราชบุรี มีลักษณะใบหน้าและร่างกายเป็นมนุษย์ มือทั้งสองข้างถือดอกบัวข้างละ ๑ ดอก
ครุฑในศิลปะอินเดีย มีลักษณะเป็นมนุษย์ มีปีก ไม่มีจะงอยปาก หรือมีลักษณะเป็นครึ่งคนครึ่งนก มีนาคพันที่คอเป็นสัญลักษณ์
สมัยพระเวท พระวิษณุเคยเป็นผู้ช่วยพระสูรยะ (พระอาทิตย์) ในการโคจรเพื่อส่องแสงให้จักรวาล จึงมีความสัมพันธ์กับพระอาทิตย์ พระองค์ทรงครุฑซึ่งเป็นนกแห่งแสงอาทิตย์ ครุฑจึงกลายเป็นพาหนะของพระวิษณุ
ในศิลปะเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ครุฑมีลักษณะเป็นนกมากกว่าศิลปะอินเดีย โดยมีจะงอยปากแหลม มีปีก และกรงเล็บ แต่ครุฑที่พบในสมัยทวารวดี มีลักษณะศีรษะและลำตัวเป็นมนุษย์ ไม่มีจะงอยปาก มีปีกและกรงเล็บ ซึ่งมีรูปแบบใกล้เคียงกับศิลปะอินเดียต้นแบบ แต่ครุฑสมัยต่อมามีลักษณะเหมือนนกมากกว่ามนุษย์
วันพุธ ที่ 18 ตุลาคม 2566 ( เวลา 12.00 - 00.00 น. )เจ้าหน้าที่หอสมุดแห่งชาติจังหวัดสุพรรณบุรี เฉลิมพระเกียรติ เข้าร่วมพิธีเจริญพระพุทธมนต์ ถวายพระพรชัยมงคลแด่ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ณ ศาลาสมเด็จพระนเรศวรมหาราช วัดป่าเลไลยก์วรวิหาร
ชื่อเรื่อง ศัพท์เข้ากรรม (สับเข้ากรรม)สพ.บ. 456/1หมวดหมู่ พุทธศาสนาหัวเรื่อง พุทธศาสนาประเภทวัสดุ/มีเดีย คัมภีร์ใบลานลักษณะวัสดุ 60 หน้า : กว้าง 5 ซม. ยาว 39 ซม.บทคัดย่อ/บันทึก เป็นคัมภีร์ใบลาน อักษรขอม ภาษาบาลี เส้นจาร ฉบับลานดิบ ได้รับบริจาคมาจากวัดลานคา ต.โคกคราม อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี
อุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัย ขอเผยแพร่ องค์ความรู้ประจำเดือนมิถุนายน ๒๕๖๗ เรื่อง "รอยพระพุทธบาทวัดเชิงคีรี ศรีสัชนาลัย จังหวัดสุโขทัย" รอยพระพุทธบาทเป็นสัญลักษณ์แทนองค์สัมมาสัมพุทธเจ้า สร้างขึ้นเพื่อเป็นเครื่องหมายแห่งการเสด็จเข้าบำเพ็ญพุทธกิจ และเครื่องหมายแห่งการเสด็จเข้ามา ส่วนวงกลมในรอยพระพุทธบาท คือ ธรรมจักรนั้นอาจเป็นเครื่องหมายแห่งคำสอนที่ประทานไว้ ความเชื่อเรื่องรอยพระพุทธบาท รวมทั้งการทำรอยพระพุทธบาทจำลองเกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศอินเดีย หลักฐานทางวรรณคดีที่เก่าที่สุดคือ ปุณโณวาทสูตร ในอัฏฐกถาของพระสุตตันตปิฎกมัชฌิมนิกายที่กล่าวถึงสถานที่ ๒ แห่งที่พระพุทธเจ้าทรงทิ้งรอยพระบาทไว้ คือ ริมฝั่งแม่น้ำนรรมทา และบนภูเขาสัจจพันธ์คีรี หลักฐานทางศิลปกรรมเกี่ยวกับการบูชารอยพระพุทธบาทมีพบอยู่ในประเทศอินเดียมาตั้งแต่สมัยอินเดียโบราณ คติความเชื่อเรื่องรอยพระพุทธบาทในประเทศศรีลังกา ปรากฏหลักฐานในพงศาวดารมหาวงศ์ซึ่งเชื่อว่าเขียนขึ้นเมื่อประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๐ กล่าวว่าการบูชารอยพระบาทในประเทศศรีลังกานั้นเริ่มแต่สมัยพุทธกาล เมื่อพระพุทธองค์ได้เสด็จมาเยือนประเทศนี้ ตามคำเชิญของเหล่าพระยานาคผู้อาศัยอยู่ในแม่น้ำกัลยาณี และในโอกาสนั้นได้ทรงประทับรอยพระบาทไว้บนยอดเขาสุมนกูฏ ซึ่งการประทับรอยพระบาทนี้เท่ากับเป็นการประกาศชัยชนะของพระพุทธเจ้าและพระพุทธศาสนาที่มีต่อเทพเจ้าและศาสนาดั้งเดิมของเกาะลังกา อันเป็นศาสนาที่นับถือและเกรงกลัวปรากฏการณ์ธรรมชาติ บรรพบุรุษ และวิญญาณต่างๆ ที่เชื่อว่ามีสิงสู่อยู่บนภูเขา พื้นดิน ป่า และแม่น้ำ ความเชื่อเรื่องรอยพระพุทธบาทในประเทศไทย ปรากฏหลักฐานการสร้างและเคารพบูชารอยพระพุทธบาทแล้วตั้งแต่ในสมัยทวารวดี คือ รอยพระพุทธบาทที่โบราณสถานสระมรกต อำเภอโคกปีบ จังหวัดปราจีนบุรี เป็นรอยพระพุทธบาทขนาดใหญ่สลักเป็นรอยลึกลงในศิลาแลงธรรมชาติ และสลักธรรมจักรนูนขึ้นที่กลางฝ่าพระบาท ลักษณะของพระบาททั้งคู่สลักเป็นรอยเท้ามนุษย์ตามธรรมชาติ มีปลายนิ้วพระบาทไม่เสมอกัน การสร้างรอยพระพุทธบาทในสมัยสุโขทัย ซึ่งรับคติการสร้างรวมถึงการทำลายลักษณ์มงคล ๑๐๘ ประการตามแบบของลังกา เนื่องจากสัญลักษณ์มงคล ๑๐๘ นี้ปรากฏเฉพาะในศิลปะของลังกา พุกามและสุโขทัยเท่านั้น โดยการใช้คัมภีร์ชินลังการฎีกาที่แต่งขึ้นโดยพระภิกษุชาวลังกา แต่งขึ้นในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๔ ที่อธิบายลายมงคลในลักษณะที่เป็นสิ่งอันสื่อให้เห็นถึงความอุดมสมบูรณ์ ความเป็นมงคล ความเป็นจักรพรรดิ และเป็นสัญลักษณ์แทนภพภูมิจักรวาล ซึ่งคัมภีร์นี้ถือเป็นแบบฉบับในการสร้างรอยพุทธบาทในลังกา เช่น รอยพุทธบาทที่เจดีย์โลกนันทะ และที่เจดีย์ชเวชิกอน ประเทศพม่า รวมทั้งรอยพุทธบาทที่สร้างขึ้นในสมัยพญาลิไท ก็ถือว่าสร้างขึ้นตามคัมภีร์ชินาลังการฎีกาเช่นเดียวกัน จากการสร้างรอยพระพุทธบาทในสมัยสุโขทัยนี้เอง จึงมีการรับอิทธิพลการสร้างรอยพระพุทธบาทไปยังดินแดนใกล้เคียงอื่นๆด้วย รอยพระพุทธบาทที่วัดเชิงคีรี ศรีสัชนาลัย จังหวัดสุโขทัย เป็นรอยพุทธบาทข้างซ้าย กว้าง ๒๒ นิ้ว ยาว ๕๙ นิ้ว มีความแตกต่างจากรอยพระพุทธบาทที่วัดตระพังทอง สุโขทัย หลายแห่งคือ เป็นรอยพุทธบาทที่เรียงลายลักษณ์ในระเบียบของตาราง แต่ไม่ปรากฏว่ามีตารางขีดคั่นแบ่งพื้นที่ระหว่างสัญลักษณ์มงคลแต่ละสัญลักษณ์ นอกจากนั้นขนาดของธรรมจักรตรงกลางรอยพุทธบาทก็มีขนาดใหญ่กว่าที่วัดตระพังทองมาก คือ มีเส้นผ่าศูนย์กลางถึง ๑๘ นิ้ว ในขณะที่รอยพุทธบาทที่วัดตระพังทองมีเส้นผ่าศูนย์กลางธรรมจักรเพียง ๘.๔ นิ้วเท่านั้น และยังปรากฏรูปหอยสังข์ที่นิ้วพระบาททั้ง ๕ อีกด้วย อีกทั้งรูปสัญลักษณ์แทนชั้นพรหมโลกและเทวโลกบนรอยพระพุทธบาทที่วัดเชิงคีรี ก็มีลักษณะที่ต่างออกไป คือ มีการทำเป็นรูปอาคารที่มีมุขยื่นออกมา ๔ ด้าน ส่วนของหลังคามีลักษณะคล้ายหน้าจั่ว หรือกรอบซุ้มหน้าบัน ที่บางรูปมีการซ้อนชั้นของหลังคา และบางรูปไม่มีการซ้อนชั้น ต่างจากรอยพระพุทธบาทอีก ๓ รอย ที่เป็นรูปปราสาทซ้อนชั้น สำหรับลายลักษณ์ที่ปรากฏในรอยพุทธบาทแห่งนี้ มีสภาพเกือบสมบูรณ์ รอยพระพุทธบาทวัดเชิงคีรี สันนิษฐานว่าน่าจะสร้างหลังรอยพระพุทธบาททั้ง ๓ รอยในจารึกหลักที่ ๓ (จารึกนครชุม) ซึ่งเป็นจารึกที่ทำขึ้นในสมัยพญาลิไท ที่โปรดเกล้าฯ ให้มีการจำลองรอยพระพุทธบาทจากเขาสุมนกูฏในลังกามาประดิษฐานไว้บนภูเขาในเมืองสำคัญ ๔ แห่ง ได้แก่ เขาสุมนกูฏ สุโขทัย ศรีสัชนาลัย เขานางทอง ในเมืองบางพาน กำแพงเพชร และเขาปากพระบาง (ปัจจุบัน คือ เขากบ จังหวัดนครสวรรค์) เพราะทั้ง ๓ รอยไม่ปรากฏการประดับรูปหอยสังข์ที่นิ้วพระบาท และที่ปลายรอยพระพุทธบาทยังปรากฏจารึกระบุ พ.ศ. ๒๐๕๓ แต่เนื้อหาในจารึกก็มิได้บอกว่าสร้างขึ้นใน พ.ศ.นี้ จึงอาจเป็นไปได้ว่ารอยพระพุทธบาทที่วัดเชิงคีรี อาจสร้างขึ้นก่อน พ.ศ. ๒๐๕๓ ก็ได้ เอกสารอ้างอิงปัทมา เอกม่วง. “การเปรียบเทียบรูปแบบทางศิลปกรรมบนรอยพระพุทธบาท ที่วัดศรีโคมคำ จังหวัดพะเยา และที่วัดตระพังทอง จังหวัดสุโขทัย.” วิทยานิพนธ์ปริญญาศิลปศาสตร์มหาบัณฑิต สาขาวิชาประวัติศาสตร์ศิลปะ บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร, ๒๕๔๙.วิราภรณ์ สุวดีปฐมพงศ์. “ประเด็นใหม่ : ระบบการวางลายมงคลบนรอยพระพุทธบาทในประเทศไทย ตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ ๑๙ ถึงพุทธศตวรรษที่ ๒๔.” วิทยานิพนธ์ปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาประวัติศาสตร์ศิลปะ บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร, ๒๕๕๒.สุธนา เกตุอร่าม. “การสร้างรอยพุทธบาทสมัยพญาลิไท.” วิทยานิพนธ์ปริญญาศิลปศาสตร์บัณฑิต ภาควิชาโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร, ๒๕๒๓.
โบราณสถานหมายเลข ๑๘ (วัดโขลงสุวรรณคีรี)
โบราณสถานหมายเลข ๑๘ (วัดโขลงสุวรรณคีรี) ตั้งอยู่ที่ตำบลคูบัว อำเภอเมืองราชบุรี จังหวัดราชบุรี สันนิษฐานว่าเป็นศาสนสถานสำคัญเนื่องในศาสนาพุทธลัทธิมหายานที่มีขนาดสูงใหญ่ที่สุดในโบราณสถานทั้งหมดและตั้งอยู่เกือบใจกลางเมืองโบราณคูบัว โดยใช้เป็นวิหารจากลักษณะคล้ายคลึงกับฐานโบราณสถานเขาคลังใน กลางเมืองโบราณศรีเทพ อำเภอศรีเทพ จังหวัดเพชรบูรณ์ ที่สร้างขึ้นเนื่องในวัฒนธรรมทวารวดี (พุทธศตวรรษที่ ๑๑-๑๖)
กรมศิลปากรได้ทำการขุดแต่งในปี พ.ศ.๒๕๓๗ พบฐานอาคารขนาดความกว้าง ๒๒.๒๐ เมตร
ความยาว ๔๓.๕๐ เมตร และสูง ๕.๕ เมตร ทางด้านทิศตะวันออกมีบันไดก่อด้วยอิฐขึ้นไปสู่ลานประทักษิณชั้นบน ส่วนฐานเป็นศิลาแลงประดับตกแต่งด้วยซุ้มและเสาอิงที่แต่เดิมเคยมีรูปพระโพธิสัตว์ทำด้วยปูนปั้นประดับตกแต่ง ติดกับฐานโบราณสถานทางทิศตะวันออกเฉียง เหนือมีฐานอาคารก่ออิฐขนาดเล็ก แผนผังรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในระยะหลัง
กรมศิลปากรประกาศขึ้นทะเบียนโบราณสถานหมายเลข ๑๘ ในราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๗๙ ตอนที่ ๙๗ วันที่ ๓๐ ตุลาคม ๒๕๐๕
The Ancient Monument No. 18 (Wat Khlong Suwankhiri)
The Ancient Monument No. 18 (Wat Khlong Suwankhiri) is situated in Khu Bua Subdistrict, Mueang Ratchaburi District, Ratchaburi Province. Presumably a religious sanctuary of Mahayana Buddhism, it is the largest and tallest of all monuments and is located almost at the center of the ancient Khu Bua city. Based on its form, which is akin to the foundation of Khao Khlang Nai, a Dvaravati culture (6th-11th centuries) building of the Ancient Town of Si Thep located in Si Thep District, Phetchabun Province, it is assumed that Ancient Monument No. 18 served as an assembly hall (Vihara).
The excavation by the Fine Arts Department in 1994 uncovered the rectangular-shaped base of the monument. The base is about 22.20 meters in width, 43.50 meters in length, and 5.5 meters in height. On the east side, there is a brick staircase to the Pradakshina path (a pathway for walking clockwise to do religious worship) of the upper level. The base is made from laterite and decorated with niches and pilasters. It is presumed that a stucco sculpture of Bodhisattva was previously adorned inside each niche. In the northeast direction, next to the monument, there is a small square-shaped brick building that was presumed to be built after the monument.
The Fine Arts Department announced the registration of the Ancient Monument No. 18 as an ancient monument in the Royal Gazette, Volume 79, Part 97, dated 30th October 1962.
ชื่อเรื่อง สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สงฺคิณี-มหาปฎฐาน)อย.บ. 76/6หมวดหมู่ พุทธศาสนาประเภทวัสดุ/มีเดีย คัมภีร์ใบลานลักษณะวัสดุ 36 หน้า : กว้าง 4.5 ซม. ยาว 57 ซม.บทคัดย่อ/บันทึก เป็นคัมภีร์ใบลานได้รับจาก วัดประดู่ทรงธรรม อ.พระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยา
ชื่อเรื่อง เวสสันดรชาดกในมหานิบาตผู้แต่ง -ประเภทวัสดุ/มีเดีย หนังสือหายากหมวดหมู่ นิทานคติธรรมเลขหมู่ 294.3184 ว918สถานที่พิมพ์ พระนครสำนักพิมพ์ - ปีที่พิมพ์ 2503ลักษณะวัสดุ 47 หน้าหัวเรื่อง นิทานคติธรรมภาษา ไทยบทคัดย่อ/บันทึก จัดพิมพ์เป็นอนุสรณ์ในงานนมัสการพระพุทธชินราช วัดเบญจมบพิตร ประจำปี พ.ศ.2503 โดยมีการเทศน์มหาชาติทำนองหลวงในเรื่อง อริยสัจ 4 และ เวสสันดรชาดก จากนิบาตชาดก เล่มที่ 22 ตอนมหานิบาต ในเล่มนี้จะจัดพิมพ์เวสสันดรชาดก กัณฑ์ที่ 3 คือ ทานกัณฑ์ และกัณฑ์ที่ 4 คือ วนประเวศน์
ชื่อเรื่อง สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สงฺคิณี-มหาปฎฐาน)อย.บ. 94/4หมวดหมู่ พุทธศาสนาประเภทวัสดุ/มีเดีย คัมภีร์ใบลานลักษณะวัสดุ 24 หน้า : กว้าง 4.5 ซม. ยาว 54 ซม.บทคัดย่อ/บันทึก เป็นคัมภีร์ใบลาน ฉบับล่องชาด ไม้ประกับธรรมดา ได้รับจาก วัดประดู่ทรงธรรม จ.พระนครศรีอยุธยา