ค้นหา

รายการที่พบทั้งหมด 48,771 รายการ

      50Royalinmemory ๓๐ พฤษภาคม ๒๔๒๓ (๑๔๒ ปีก่อน) - วันประสูติพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอรพัทธ์ประไพ [พระเจ้าวรวงศ์เธอ ชั้น ๔ พระองค์เจ้าชั้นโท]        พระธิดาในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจาตุรนต์รัศมี กรมพระจักรพรรดิพงศ์ กับหม่อมราชวงศ์สว่าง จักรพันธุ์ (พระนามเดิม : หม่อมเจ้าอรพัทธ์ประไพ จักรพันธุ์) ดำรงพระอิสริยยศ “พระเจ้าวรวงศ์เธอฯ” เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๔๓ สิ้นพระชนม์วันที่ ๑๖ กรกฎาคม ๒๔๗๓ พระชันษา ๕๐ ปี (ดูเพิ่มเติมใน กรมศิลปากร, ราชสกุลวงศ์, พิมพ์ครั้งที่ ๑๔, (กรุงเทพฯ: สำนักวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ กรมศิลปากร, ๒๕๕๔), ๑๕๘.)       Cigarette Cards ชุดเจ้านายไทย (๑ สำรับ ประกอบด้วย พระบรมฉายาสาทิสลักษณ์ พระฉายาสาทิสลักษณ์ และรูปเขียนคล้ายพระรูปพระบรมวงศานุวงศ์บนแผ่นกระดาษ จำนวน ๕๐ รูป) ลำดับที่ ๔๒ โดยบริษัท ยาสูบซำมุ้ย จำกัด (SUMMUYE & CO) ผลิตราวปี พ.ศ. ๒๔๗๗ (หมายเลขทะเบียน ๒/๒๕๑๖/๑) มีประวัติระบุว่า คุณหลวงฉมาชำนิเขต มอบให้เมื่อวันที่ ๙ มกราคม ๒๕๑๖     (เผยแพร่โดย ศรัญ กลิ่นสุคนธ์ ภัณฑารักษ์ / เทคนิคภาพ อริย์ธัช นกงาม ภัณฑารักษ์ปฏิบัติการ กลุ่มทะเบียน คลังพิพิธภัณฑ์และสารสนเทศ สำนักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กรมศิลปากร)



#มหามกุฏราชสันตติวงศ์ ๒๕ มิถุนายน ๒๔๓๔ วันประสูติพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวาปีบุษบากร.พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวาปีบุษบากร เป็นพระราชธิดาพระองค์ที่ ๖๘ ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ที่ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาพร้อม ประสูติเมื่อวันที่ ๒๕ มิถุนายน ๒๔๓๔.ทรงมีพระเชษฐา และพระเชษฐภคินีร่วมพระมารดา คือ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าประภาพรรณพิไลย, พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าประไพพรรณพิลาส และพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าสมัยวุฒิวโรดม.ในรัชกาลที่ ๕ เมื่อพระชันษา ๕ – ๖ ปี ทรงเริ่มการศึกษาชั้นต้นในพระบรมมหาราชวัง ทั้งพระอักษรภาษาไทย และภาษาอังกฤษ จนถึงพระชันษา ๑๖ ปี จึงทรงเริ่มศึกษาค้นคว้าด้วยพระองค์เอง.หลังเจ้าจอมมารดาพร้อม พระมารดาถึงแก่อนิจกรรม พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระเจ้าลูกเธอ พระองค์เจ้าวาปีบุษบากร พร้อมกับพระเจ้าลูกเธอ พระองค์เจ้าเยาวภาพงศ์สนิท พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้ารังสิตประยูรศักดิ์ และพระเจ้าลูกเธอ พระองค์เจ้าประภาพรรณพิไลย ให้อยู่ในการอภิบาลเป็นพระราชโอรสพระราชธิดาบุญธรรมของสมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนา พระบรมราชเทวี (สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า).พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวาปีบุษบากร เป็นพระราชธิดาในรัชกาลที่ ๕ ที่ดำรงพระชนม์อยู่เป็นลำดับสุดท้าย และมีพระชนมายุยืนยาวกว่าพระราชโอรสธิดาทั้งหมดในรัชกาลนั้น สิ้นพระชนม์ในรัชกาลที่ ๙ เมื่อวันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๒๕ สิริพระชันษา ๙๑ ปี .พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวาปีบุษบากรนับเป็นพระราชนัดดาในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระสยามเทวมหามกุฏวิทยมหาราช  รัชกาลที่ ๔ ที่สืบสายจากพระบรมชนกนาถ.ภาพ : พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวาปีบุษบากร


พระพุทธรูปในมณฑปประธานวัดพระสี่อิริยาบถวัดพระสี่อิริยาบถเป็นโบราณสถานที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือนอกเมืองกำแพงเพชร สิ่งก่อสร้างสำคัญที่เป็นแกนหลักของวัดประกอบด้วยวิหาร ด้านหลังวิหารคือมณฑปขนาดใหญ่ตั้งอยู่ภายในกำแพงแก้ว เป็นทรงจตุรมุข ทำมุขยื่นออกมาทั้ง 4 ทิศ มีแกนกลางเป็นโครงสร้างรับน้ำหนักของอาคารลักษณะก่อเป็นแท่งสี่เหลี่ยมแต่ละด้านก่อผนังให้เว้าเข้าไปและประดิษฐานพระพุทธรูปปูนปั้น โดยผนังด้านตะวันออกประดิษฐานพระพุทธรูปลีลา ด้านทิศใต้ประดิษฐานพระพุทธรูปนั่ง ด้านทิศตะวันตกประดิษฐานพระพุทธรูปยืน และด้านทิศเหนือประดิษฐานพระพุทธรูปนอน โดยปรากฏมณฑปลักษณะคล้ายกันนี้ที่วัดเชตุพน ตั้งอยู่นอกเมืองสุโขทัยทางด้านทิศใต้.. มณฑป ตามความหมายในศัพทานุกรมโบราณคดี มีสองความหมาย ได้แก่.ความหมายในสถาปัตยกรรมไทย หมายถึง อาคารสี่เหลี่ยมจัตุรัสสร้างขึ้นเพื่อประดิษฐานสิ่งที่ควรเคารพบูชา เช่น พระพุทธรูป อาจมีลักษณะคล้ายบุษบกแต่มีขนาดใหญ่กว่า และสามารถเข้าไปใช้สอยพื้นที่ด้านในได้.ความหมายในสถาปัตยกรรมอินเดียและเขมร หมายถึง อาคารสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่ตั้งอยู่ด้านหน้าปราสาทโดยมีมุขกระสันเป็นส่วนเชื่อมต่อ ใช้ประดิษฐานรูปเคารพและทำพิธีกรรมทางศาสนา..  เมื่อครั้งที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จประพาสหัวเมืองเหนือ (เสด็จประพาสต้น) ในปีพุทธศักราช 2449 ทรงพระราชนิพนธ์ถึงลักษณะมณฑปประดิษฐานพระสี่อิริยาบถ ความว่า.“...ชิ้นกลางเห็นจะเป็นวิหารยอดจัตุรมุข แต่สูงใหญ่เหลือเกิน มุขหน้าเป็นพระเดิน มุขหลังเป็นพระยืน มุขซ้ายเป็นพระนอน มุขขวาเป็นพระนั่ง ที่มุมปั้นเป็นรูปนารายณ์ขี่ครุฑใหญ่มาก จะรับหลังคาอย่างไรน่าคิด แต่พระเหล่านี้เป็นพระปั้นด้วยปูน ใครจะมาซ่อมมาทำเพิ่มเติมอย่างไรภายหลัง แต่รูปพรรณสัณฐานคงเป็นพระกำแพง ไม่ใช่ช่างเมืองอื่นมาทำ พระยืนนั้นขนาดพระโลกนาถวัดเชตุพน แต่ประเปรียวกว่า...”.พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวครั้งดำรงพระราชอิสริยยศเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ สยามมกุฎราชกุมารทรงเสด็จประพาสหัวเมืองเหนือในปีพุทธศักราช 2450 และพระราชนิพนธ์ถึงวัดพระสี่อิริยาบถ ความว่า.“...วัดพระสี่อิริยาบถมีชิ้นสำคัญอยู่คือ วิหารสี่คูหา มีพระยืนด้านหนึ่ง พระนั่งด้านหนึ่ง พระลีลาด้านหนึ่ง พระไสยาสน์ด้านหนึ่ง พระยืน พระนั่ง พระลีลา ยังพอเป็นรูปร่างเห็นได้ถนัด แต่พระนอนนั้นชำรุดจนไม่เป็นรูป รอบวิหารมีผนังลูกกรงโปร่ง มองเข้าไปข้างในได้ทั้งสี่ด้าน...”..ลักษณะพระพุทธรูปในอิริยาบถทั้งสี่ประดิษฐานรอบแกนกลางของมณฑปแต่ละด้านดังนี้..ด้านทิศตะวันออกประดิษฐานพระพุทธรูปในอิริยาบถเดิน หรือลีลา ซึ่งถือเป็นเอกลักษณ์อันโดดเด่นและปรากฏอย่างแพร่หลายในศิลปะแบบสุโขทัย ทั้งพระพุทธรูปแบบลอยตัวที่วัดพระศรีรัตนมหาธาตุเชลียง เมืองศรีสัชนาลัย และเป็นภาพปูนปั้นเพื่อสื่อถึงพุทธประวัติตอนเสด็จลงจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ที่มณฑปวัดตระพังทองหลาง เมืองสุโขทัย นอกจากนี้ยังพบการจารภาพพระพุทธรูปลีลาบนจารึกวัดสรศักดิ์ ระบุปีพุทธศักราช 1960 กล่าวถึงการสร้างวัดของนายอินทสรศักดิ์ มีการสร้างเจดีย์มีช้างรอบ และประดิษฐานพระพุทธรูปลีลา (พระเจ้าหย่อนตีน) ดังปรากฏข้อความในจารึกด้านที่ 1 บรรทัดที่ 15-16 ความว่า.“...พระมหาเถรเจ้า จึงพ่ออยู่หัว เจ้าธนิมนต์เข้าชุมนุมกับพระเชตุพน อยู่มาสบวันดี จึงพระมหาเถรเจ้าก็ระบิตริในใจแลมารจนามหาเจดีย์มีช้างรอบ ประกอบด้วยพระเจ้าหย่อนตีน แลพระวิหารแลหอพระแล้วเสร็จ...”.ด้านทิศใต้ประดิษฐานพระพุทธรูปอิริยาบถนั่ง หลงเหลือหลักฐานเฉพาะส่วนพระเพลาของพระพุทธรูปในลักษณะประทับนั่งสมาธิราบ แต่ส่วนพระกรและพระหัตถ์สำหรับแสดงมุทราของพระพุทธรูปไม่ปรากฏว่าแสดงปางมารวิชัย หรือปางสมาธิ.ด้านทิศตะวันตกประดิษฐานพระพุทธรูปยืนสูง 9.60 เมตร ส่วนพระกรซ้ายไม่สมบูรณ์ สันนิษฐานว่าแสดงปางประทานอภัย พุทธลักษณะของพระพุทธรูปองค์นี้แสดงศิลปะสุโขทัย สกุลช่างกำแพงเพชร อันได้แก่ พระพักตร์ยาวกว่าพระพุทธรูปหมวดใหญ่ ศิลปะสุโขทัย พระนลาฏกว้าง และพระหนุเสี้ยม.ด้านทิศเหนือสันนิษฐานว่าประดิษฐานพระพุทธรูปประทับนอนหรือไสยาสน์ แม้จะมีสภาพไม่สมบูรณ์แล้ว แต่สามารถสังเกตได้จากก้อนศิลาแลงที่วางเรียงต่อกันทรงสามเหลี่ยมเป็นพระเขนยสำหรับวางพระเศียรขององค์พระพุทธรูป..การตีความเรื่องคติการสร้างพระพุทธรูปสี่อิริยาบถที่ประดิษฐานในมณฑปนั้น มีนักวิชาการสันนิษฐานไว้ 3 แนวทาง ดังนี้. 1. ศาสตราจารย์เกียรติคุณ ดร. มรว. สุริยวุฒิ สุขสวัสดิ์ ในบทความ เรื่อง กลุ่มพระพุทธรูปสี่อิริยาบถในศิลปะสุโขทัย : ความหมายทางพระพุทธศาสนาบางประการ ได้เสนอความหมายของพระพุทธรูปสี่อิริยาบถว่า มีนัยยะถึงการปฏิบัติธรรมตามหลักพุทธศาสนา คือ หลักสติปัฏฐาน 4 อันเป็นหลักในการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ด้วยการกำหนดสติให้ตั้งมั่นในฐานทั้ง 4 ซึ่งประกอบด้วย กาย เวทนา จิต และธรรม โดยเฉพาะ ฐานกาย ซึ่งมีการกล่าวถึงการพิจารณาอิริยาบถหลักทั้ง 4 คือ ยืน เดิน นั่ง และนอน .2. นายพิเศษ เจียจันทร์พงษ์ เสนอว่าเป็นการแสดงถึงกิจวัตร และการพักผ่อนของพระพุทธเจ้าในรอบวัน คือ นั่ง หมายถึง การประทับนั่งในตอนเช้าก่อนเสด็จออกบิณฑบาต ยืน หมายถึง การประทับยืนในตอนเพลเพื่อแสดงโอวาท นอน หมายถึง การไสยาสน์ในตอนบ่ายและก่อนรุ่งแจ้ง และ เดิน หมายถึง การเสด็จพระราชดำเนินจงกรมเพื่อผ่อนคลายความเมื่อยล้าในเวลาหลังเที่ยงคืน .3. ศ.ดร. ศักดิ์ชัย สายสิงห์ สันนิษฐานว่าพระสี่อิริยาบถนี้สื่อถึงพุทธประวัติในตอนต่าง ๆ โดยพระพุทธรูปในอิริยาบถเดินแสดงถึงตอนเสด็จลงจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ พระพุทธรูปในอิริยาบถนั่งแสดงถึงตอนตรัสรู้ พระพุทธรูปในอิริยาบถยืนแสดงปางประทานอภัยสื่อถึงตอนประทานเทศนา และพระพุทธรูปในอิริยาบถนอนแสดงถึงตอนปรินิพพาน.. วัดพระสี่อิริยาบถสามารถกำหนดอายุได้จากการพบแผ่นจารึกลานเงินเสด็จพ่อพระยาสอย ที่ระบุว่าจารขึ้นเมื่อพุทธศักราช 1963 ตรงกับรัชสมัยสมเด็จพระนครินทราธิราช แห่งกรุงศรีอยุธยา และรัชสมัยพระมหาธรรมราชาที่ 4 (บรมปาล) แห่งเมืองสุโขทัย โดยเนื้อความในจารึกกล่าวถึง สมเด็จพ่อพระยาสอยได้เสวยราชย์ที่บุรีศรีกำแพงเพชร และสมเด็จพระมหามุนีรัตนโมลีฯ ได้ประดิษฐานผอบพระรัตนธาตุเจ้า...เอกสารอ้างอิง  กรมศิลปากร. ประชุมจารึก ภาคที่ 8 จารึกสุโขทัย. กรุงเทพฯ : สำนักหอสมุดแห่งชาติ, 2548.คณะกรรมการดำเนินงานจัดทำศัพทานุกรมด้านโบราณคดีและพิพิธภัณฑ์. ศัพทานุกรมโบราณคดี. กรุงเทพฯ : สำนักโบราณคดี กรมศิลปากร, 2550.นารีรัตน์ ปรีชาพีชคุปต์, ธาดา สังข์ทอง และอนันต์ ชูโชติ ; ผู้แปลภาษาอังกฤษ, นันทนา ตันติเวสสะ และ สุรพล นาถะพินธุ. นำชมอุทยานประวัติศาสตร์ สุโขทัย ศรีสัชนาลัย กำแพงเพชร (Guide to Sukhothai Si Satchanalai and Kamphaeng Phet historical parks) (พิมพ์ครั้งที่ 2). กรุงเทพฯ : สำนักโบราณคดีและพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ, 2542.พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว. เที่ยวเมืองพระร่วง. กรุงเทพฯ : มูลนิธิมหามกุฎราชวิทยาลัยในพระบรมราชูปถัมภ์, 2519.พิเศษ เจียจันทร์พงษ์. “พระสี่อิริยาบถ.” ศิลปวัฒนธรรม. 16,11 (กันยายน 2538) : 118-121.มหาวิทยาลัยราชภัฏกำแพงเพชร. ครบ ๑๐๐ ปี พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จประพาสต้น เมืองกำแพงเพชร วันที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2549. กรุงเทพฯ : จังหวัดกำแพงเพชร, 2549.มูลนิธิสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา. นามานุกรมพระมหากษัตริย์ไทย. กรุงเทพฯ : มูลนิธิสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา, 2554.ศักดิ์ชัย สายสิงห์. ศิลปกรรมโบราณในอาณาจักรสุโขทัย. นนทบุรี : มิวเซียมเพรส, 2561.ศิริปุณย์ ดิสริยะกุล. “การศึกษาประวัติศาสตร์สถาปัตยกรรมวัดพระสี่อิริยาบถ จังหวัดกำแพงเพชร” วิทยานิพนธ์ระดับศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาประวัติศาสตร์สถาปัตยกรรม ภาควิชาศิลปสถาปัตยกรรม บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร, 2556.สุริยวุฒิ สุขสวัสดิ์. “กลุ่มพระพุทธรูปสี่อิริยาบถในศิลปะสุโขทัย : ความหมายทางพระพุทธศาสนาบางประการ”. เมืองโบราณ. 13,3 (กรกฎาคม-กันยายน 2530) : 57-61.


ชื่อเรื่อง                                        สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม  (สงฺคิณี-มหาปฏฺฐาน) อย.บ.                                           55/4ประเภทวัดุ/มีเดีย                       คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่                                     พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ                               36 หน้า : กว้าง 5 ซม. ยาว 56 ซม.หัวเรื่อง                                        พุทธศาสนาบทคัดย่อ/บันทึก               เป็นคัมภีร์ใบลาน เส้นจาร ฉบับทองทึบ ไม้ประกับธรรมดา ได้รับบริจาคมาจาก จ.พระนครศรีอยุธยา


อวิชฺชามาติกา (อวิชฺชามาติกา) ชบ.บ 111/1จ เอกสารโบราณ(คัมภีร์ใบลาน)


สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สงฺคิณี-มหาปฎฺฐาน) ชบ.บ 158/4เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)


ชื่อผู้แต่ง         -         ชื่อเรื่อง           ที่ระลึกในงานพระราชทานเพลิงศพ พระยาอิศรพงศ์พิพัฒน์ ( ม.ล.สิริอิศรเสนา ) ครั้งที่พิมพ์       - สถานที่พิมพ์     ม.ป.ท สำนักพิมพ์       ม.ป.พ. ปีที่พิมพ์          2532   จำนวนหน้า      87 หน้า หมายเหตุ        ที่ระลึกในงานพระราชทานเพลิงศพพระยาอิศรพงศ์พิพัฒน์ (ม.ล.สิริ อิศรเสนา ) รายละเอียด      หนังสือที่ระลึกงานศพ ม.ล.สิริ อิศรเสนา เนื้อหาประกอบด้วยเชื้อพระวงศ์เจ้าพระยามหาเถระ (ขุนนาค ) พระราชธิดาในร.๕ วังหลวงและวังหน้าในกรุงรัตนโกสินทร์ ความรัก และความแค้นของกวีเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงภูวเนตรนรินทร์ฤทธิ์ (พระองค์เจ้าทิมกร) เจ้านายที่ต้องพระราชอาญาในกรุงรัตนโกสินทร์ มหาเปรียญ 18 ประโยค  สมญานามผู้มีบรรดาศักดิ์ ขรัวตา  ขรัวยาย  สกุลอิสลาม มอญ จีน บรรพบุรุษของราชนิกูล ร.5 การตายให้ถูกเวลา พระตำหนักสวนสี่ฤดู ทูลกระหม่อมฟ้าหญิง ความสัมพันธ์ของราชวงศ์จักรีและวงศ์เมืองนครศรีธรรมราชและพระมเหสีเทวี


แนะนำหนังสือน่าอ่าน วชิรพล วันเพ็ญ. Born to be หมอ Exclusive. นนทบุรี: ไอดีซีฯ, 2562. 280 หน้า. ภาพประกอบ. 195 บาท. เนื้อหาเป็นคู่มือที่บอกถึงเส้นทางสู่การเรียน และประกอบอาชีพแพทย์ ว่ามีความยากง่ายอย่างไร มีการเรียนอย่างไร โดยจะมีพี่รหัสมาถ่ายทอดประสบการณ์ในการเรียนแพทย์มาเล่าให้รับรู้ด้วยภาษาที่เข้าใจง่ายสำหรับคนที่สนใจจะเรียนต่อทางด้านการแพทย์ สามารถอ่านเนื้อหาได้จากหนังสือเล่มนี้จะทำให้เข้าใจอย่างละเอียดเพื่อการเตรียมพร้อมที่จะเข้าเรียนทางด้านนี้โดยตรง 610.92 ว151บ ( ห้องทั่วไป 2 )


เลขทะเบียน : นพ.บ.426/3ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 14 หน้า ; 4 x 59.5 ซ.ม. : ล่องชาด-ล่องรัก-ลานดิบ ; ไม่มีไม้ประกับชื่อชุด : มัดที่ 153  (109-119) ผูก 3 (2566)หัวเรื่อง : พระธัมสังคิณี--เอกสารโบราณ            คัมภีร์ใบลาน            พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา  สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม


เลขทะเบียน : นพ.บ.567/1                               ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณ                                                                                หมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 22 หน้า ; 5 x 56 ซ.ม. : ลานดิบ ; ไม่มีไม้ประกับชื่อชุด : มัดที่ 186  (347-356) ผูก 1 (2566)หัวเรื่อง : แทนน้ำนมแม่--เอกสารโบราณ            คัมภีร์ใบลาน            พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา  สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม


          กองโบราณคดีใต้น้ำ กรมศิลปากร ขอเชิญชวนผู้สนใจสมัครเข้าร่วมโครงการ “อาสาสมัครเครือข่ายโบราณคดีใต้น้ำ” เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการร่วมสอดส่องดูแลและแจ้งพบแหล่งโบราณคดีใต้น้ำ โดยในปีนี้ กองโบราณคดีใต้น้ำจะคัดเลือกผู้เข้าร่วมอบรม จำนวน 18 คน จากผู้สมัครทั้งหมด  กิจกรรมประกอบด้วยการบรรยายให้ความรู้เกี่ยวกับแหล่งมรดกวัฒนธรรมใต้น้ำ การทำงานโบราณคดีใต้น้ำ กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับงานโบราณคดีใต้น้ำ นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมนอกที่ตั้งโดยผู้เข้าอบรมจะร่วมเดินทางไปกับเรือสำรวจของเรา (เรือแววมยุรา) เพื่อชมและทดลองทำกิจกรรมสาธิตการเก็บข้อมูลทางโบราณคดีใต้น้ำเพื่อการแจ้งพบแหล่งโบราณคดี            กิจกรรมจะจัดระหว่างวันเสาร์และวันอาทิตย์ที่ 27-28 พฤษภาคม 2566 นี้ ณ สำนักงานกองโบราณคดีใต้น้ำ จังหวัดจันทบุรี และแหล่งดำน้ำหินบอยเซ็น จ.จันทบุรี  ผู้ที่ผ่านการอบรมจะได้รับการขึ้นบัญชีเป็นเครือข่ายอาสาสมัครท้องถิ่นในการดูแลรักษามรดกศิลปวัฒนธรรมของชาติ (อส.มศ.) มีบัตรประจำตัว มีสิทธิเข้าชมแหล่งเรียนรู้ของกรมศิลปากร ฟรี รวมถึงการเข้าร่วมกิจกรรม อส.มศ.ในอนาคต ปิดรับสมัคร :         14 พฤษภาคม 2566 ประกาศรายชื่อ :   16 พฤษภาคม 2566 อบรม :                  27-28 พฤษภาคม 2566 คุณสมบัติผู้สมัคร :           1) เป็นผู้มีสัญชาติไทย สุขภาพแข็งแรง มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง           2) มีความสนใจในเรื่องมรดกทางวัฒนธรรมใต้น้ำ           3) สามารถเข้าร่วมกิจกรรมได้ตลอดโครงการ           ผู้สนใจสามารถลงทะเบียนสมัครเพื่อเข้ารับการคัดเลือกผ่าน Google Forms ตามลิงค์นี้ได้เลย https://forms.gle/jRMbwSWuFLYa4bQC9


ชื่อเรื่อง                               กจฺจายนมูล (ศัพท์นาม - การก)สพ.บ.                                 429/ก/11ประเภทวัสดุ/มีเดีย            คัมภีร์ใบลาน หมวดหมู่                            พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ                      32 หน้า : กว้าง 4.8 ซม.  ยาว 56 ซม.หัวเรื่อง                              พุทธศาสนา                                            คัมภีร์สัททาวิเสส                                            ศัพท์การกบทคัดย่อ/บันทึก                เป็นคัมภีร์ใบลาน เส้นจาร อักษรธรรมอีสาน ภาษาบาลี-ไทยอีสาน ฉบับล่องชาด ไม่มีไม้ประกับ  ได้รับบริจาคมาจาก วัดลานคา ต.โคกคราม อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี


องค์ความรู้ : สำนักการสังคีต เรื่อง โอ้ะ! พี่เป็นห่วงนัก เจ้าดวงเดือนเอย... เรียบเรียงฉลองพระเดชพระคุณเนื่องในวาระคล้ายวันประสูติ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเพ็ญพัฒนพงศ์ กรมหมื่นพิไชยมหินทโรดม เป็นปีที่ ๑๔๐ ๑๓ กันยายน ๒๕๖๕ โดย ธำมรงค์ บุญราช นักวิชาการละครและดนตรีปฏิบัติการ บรรดาเพลงไทยหลาย ๆ เพลงคงมีเพียงไม่กี่เพลงเท่านั้น ที่ยังคงเป็นเพลงที่มีความทันสมัยใหม่เสมอและไม่เคยตกยุคสมัยหรือเลือนหายไปจากสังคมไทย ถึงแม้ว่าเพลงเหล่านั้นจะผ่านระยะเวลามานานเท่าใด แต่ทว่ายังสามารถนำมาปรับปรุงและดัดแปลงทำนองให้มีความสอดคล้องและตอบสนองกับความนิยมของคนในสังคมแต่ละยุคสมัยได้อยู่ตลอด หนึ่งในเพลงที่มีคุณสมบัติที่ว่านี้ คงไม่พ้นที่จะกล่าวถึง “เพลงลาวดำเนินเกวียน” หรือที่คนโดยทั่วไปนิยมเรียกเพลงนี้ว่า “เพลงลาวดวงเดือน” เพลงไทยซึ่งได้รับความนิยมในวงการดนตรีและขับร้องกันแพร่หลายมาอย่างยาวนานมากกว่าศตวรรษ ซึ่งบทขับร้องและทำนองของเพลงนั้นพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเพ็ญพัฒนพงศ์ กรมหมื่นพิไชยมหินทโรดมพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ประสูติแต่เจ้าจอมมารดามรกฎ ทรงพระนิพนธ์ขึ้นราวพุทธศักราช ๒๔๔๙-๒๔๕๐ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเพ็ญพัฒนพงศ์ กรมหมื่นพิไชยมหินทโรดมประสูติเมื่อวันพุธ ที่ ๑๓ กันยายน พุทธศักราช ๒๔๒๕ ทรงเป็นเจ้านายพระองค์หนึ่งที่โปรดดนตรีไทยเป็นอย่างมากดังจะเห็นได้จากการที่พระองค์ทรงมีวงปี่พาทย์ส่วนพระองค์อยู่วงหนึ่ง ด้วยสันนิษฐานว่านักดนตรีในวงนี้เป็นนักดนตรีที่เคยอยู่ในสังกัดของเจ้าพระยามหินทรศักดิธำรง (เพ็ง เพ็ญกุล) ผู้ก่อตั้งโรงละครปรินซ์เธียร์เตอร์ (Prince Theatre) ซึ่งมีศักดิ์เป็นตาของพระองค์มาก่อน ต่อมาเมื่อพระองค์ได้รับพระราชทานตำหนักใหม่จากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวในพื้นที่บ้านของเจ้าพระยามหินทรศักดิธำรง (เพ็ง เพ็ญกุล) แถวบริเวณท่าเตียนแล้ว จึงทรงตั้งวงดนตรีส่วนพระองค์ขึ้นและเป็นที่รู้จักกันโดยทั่วไปว่า “วงพระองค์เพ็ญ” โดยมีนักดนตรีประจำวงคนสำคัญ คือ นายปั้น บัวทั่ง ปู่ของนายพัฒน์ (พีรศิษย์) บัวทั่ง อดีตดุริยางคศิลปิน สังกัดกรมศิลปากร นอกจากนี้ในบางครั้งยังโปรดให้พระยาประสานดุริยศัพท์ (แปลก ประสานศัพท์) แต่เมื่อครั้งยังเป็นนายแปลก เข้าไปช่วยต่อเพลงให้กับนักดนตรีในวงดนตรีส่วนพระองค์อีกด้วย ต่อมาเมื่อพระองค์สิ้นพระชนม์ในพุทธศักราช ๒๔๕๒ แล้ว การบรรเลงและขับร้องดนตรีไทยวงพระองค์เพ็ญจึงยุติลง ถึงแม้ว่าพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเพ็ญพัฒนพงศ์ กรมหมื่นพิไชยมหินทโรดม จะทรงสิ้นพระชนม์ตั้งแต่พระชนมายุได้เพียง ๒๘ พรรษา แต่พระองค์ได้ทรงสร้างสรรค์ผลงานพระนิพนธ์ทำนองและบทขับร้องเพลงไทยไว้หลายเพลงด้วยกัน ดังที่ พูนพิศ อมาตยกุล ได้อธิบายไว้ว่า ในระหว่างพุทธศักราช ๒๔๕๐-๒๔๕๒ ได้ทรงนิพนธ์บทร้องเพลงไว้เป็นอันมาก อาทิ บทร้องเพลงลาวคำหอม ลาวดำเนินทราย เพลงแป๊ะ ฯลฯ เป็นที่น่าสังเกตว่า บทร้องที่ทรงนิพนธ์ส่วนมากมักจะมีเรื่องเกี่ยวกับพระจันทร์อันเกี่ยวด้วยพระนามเดิม “เพ็ญพัฒนพงศ์” และได้ทรงนิพนธ์เพลงขึ้นเพลงหนึ่ง ประทานชื่อว่า “ลาวดำเนินเกวียน” ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น “ลาวดวงเดือน” ซึ่งเป็นเพลงไทยที่รู้จักแพร่หลายมากที่สุด(พูนพิศ อมาตยกุลและคณะ, ๒๕๓๒: ๑๙๐) จากข้อมูลข้างต้น แสดงให้เห็นว่าพระนิพนธ์ที่มีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักมากที่สุดนั้น คือ เพลงลาวดวงเดือน ซึ่งเพลงนี้ทรงพระนิพนธ์ขึ้นขณะเสด็จไปทรงราชการที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและในระหว่างการเดินทางนั้น บางจุดพระองค์ต้องประทับเกวียนเป็นพาหนะ ด้วยเหตุนี้จึงประทานนามเพลงนี้แต่แรกว่า “เพลงลาวดำเนินเกวียน” แต่ด้วยบทขับร้องของเพลงนี้ขึ้นต้นว่า “...โอ้ละหนอ ดวงเดือนเอย...” ต่อมาคนโดยทั่วไปจึงเรียกเพลงนี้ว่า “เพลงลาวดวงเดือน” สำหรับลักษณะทำนองของเพลงนี้ เป็นเพลงไทยสำเนียงลาว อัตราจังหวะสองชั้น มี ๓ ท่อน หน้าทับลาว มีบันไดเสียงของเพลงอยู่ในกลุ่มเสียงทางเพียงออบน (กลุ่มเสียงปัญจมูลที่ ๔ ด ร ม X ซ ล X) ซึ่งเป็นกลุ่มเสียงที่นิยมใช้ในเพลงไทยสำเนียงลาวโดยทั่วไปโดยเพลงนี้ไม่ปรากฏการเปลี่ยนกลุ่มเสียงในระหว่างทำนองเพลง ส่วนการดำเนินทำนองของเพลงนั้น พบว่ามีลักษณะการดำเนินทำนองแบบบังคับทางนอกจากนี้ วาคภัฎ ศรีวรพจน์ ยังได้แสดงทรรศนะเกี่ยวกับทำนองของเพลงลาวดวงเดือนในประเด็นต่าง ๆ รวมถึงการตั้งข้อสันนิษฐานเกี่ยวกับการรับอิทธิพลและแรงบันดาลใจในการประพันธ์ทำนองเพลงลาวดวงเดือนที่มาจากเพลงตะวันตกไว้อย่างน่าสนใจ ความว่า ลักษณะทำนองและเสียงของลูกตกรวมถึงกลุ่มเสียงของเพลงลาวดวงเดือนนั้นหากพิจารณาดูแล้วจะพบว่ามีความคล้ายคลึงกันกับทำนองของเพลงลาวเล่นน้ำ ซึ่งสันนิษฐานว่าน่าจะเป็นระบบเสียงของการประพันธ์เพลงไทยสำเนียงลาวโดยทั่วไปที่นิยมกันในยุคสมัยนั้น นอกจากนี้เพลงลาวดวงเดือนยังมีทำนองและเสียงลูกตกของเพลงที่คล้ายกันกับเพลงฮิวเมอเรสก์ส (Humoresqueop.101 No.7)ในดนตรีตะวันตกอีกด้วยด้วยเหตุนี้จึงสันนิษฐานว่าคงเพราะด้วยเสด็จในกรมทรงเป็นนักเรียนนอก จึงอาจทรงเคยฟังการบรรเลงเพลงดนตรีในวัฒนธรรมตะวันตกมาก่อนและเมื่อทรงพระนิพนธ์เพลงลาวดวงเดือนขึ้น จึงอาจได้รับอิทธิพลหรือแรงบันดาลใจบางประการจากเพลงดังกล่าวมาใช้เป็นแนวทางในการประพันธ์เพลงลาวดวงเดือน (วาคภัฎ ศรีวรพจน์, สัมภาษณ์, ๒๙ สิงหาคม ๒๕๖๕) ในขณะที่ อัจยุติ สังข์เกษมยังได้อธิบายถึงความคล้ายคลึงกันระหว่างเพลงฮิวเมอเรสก์ส (Humoresqueop.101 No.7) กับเพลงลาวดวงเดือน ไว้อย่างสอดคล้อง ความว่า เพลงฮิวเมอเรสก์ส (Humoresqueop.101 No.7)ประพันธ์ทำนองโดยอันโตญีน ดโวชาก (Antonín Dvorak) คีตกวีชาวเช็กเมื่อคริสต์ศักราช ๑๘๙๔ หากพิจารณาทำนองของเพลงฮิวเมอเรสก์ส (Humoresqueop.101 No.7)ในช่วงTheme A กับเพลงลาวดวงเดือนท่อน ๑ แล้ว จะพบว่ามีการใช้ลักษณะของการประพันธ์เพลงที่คล้ายคลึงกันตรงที่ประพันธ์ให้โน้ตตัวแรกของเพลงและโน้ตตัวสุดท้ายของท่อนเพลงขึ้นและจบเป็นเสียงโน้ตตัวเดียวกันนอกจากนี้ถ้าหากนำเพลงฮิวเมอเรสก์ส (Humoresqueop.101 No.7)ในช่วงTheme A มาจดบันทึกเป็นโน้ตแบบไทยแล้วเปลี่ยนบันไดเสียง (Transpose) จากนั้นนำมาเทียบกับโน้ตเพลงลาวดวงเดือนแล้ว จะพบว่าโน้ตเพลงลาวดวงเดือนนั้น ได้ถูกขยายทำนองเพลงขึ้นเป็นอีกเท่าหนึ่งของเพลงฮิวเมอเรสก์ส (Humoresqueop.101 No.7)ในช่วงTheme A อีกด้วย(อัจยุติ สังข์เกษม, สัมภาษณ์, ๘ กันยายน ๒๕๖๕) จากข้อมูลข้างต้นที่มีการตั้งข้อสันนิษฐานเกี่ยวกับเพลงฮิวเมอเรสก์ส (Humoresqueop.101 No.7)และเพลงลาวดวงเดือนนั้น หากพิจารณาดูแล้วจะพบว่าเพลงฮิวเมอเรสก์ส (Humoresqueop.101 No.7)เป็นเพลงที่ประพันธ์ขึ้นเมื่อคริสต์ศักราช ๑๘๙๔ ตรงกับพุทธศักราช ๒๔๓๗ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ใกล้เคียงกันกับปีที่พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเพ็ญพัฒนพงศ์กรมหมื่นพิไชยมหินทโรดม เสด็จไปทรงศึกษาต่อที่ประเทศอังกฤษในพุทธศักราช ๒๔๓๙ พอดี จึงอาจเป็นไปได้ที่ลักษณะการประพันธ์เพลงในทำนองลักษณะนี้คงจะเป็นที่นิยมกันอยู่ในยุคสมัยนั้นและพระองค์อาจทรงเคยฟัง ซึ่งพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเพ็ญพัฒนพงศ์ กรมหมื่นพิไชยมหินทโรดม จะทรงนำเพลงฮิวเมอเรสก์ส (Humoresqueop.101 No.7) มาเป็นแนวทางสำหรับทรงพระนิพนธ์เพลงลาวดวงเดือนหรือไม่นั้น ผู้เขียนไม่สามารถยืนยันได้เพราะข้อมูลที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ เป็นแต่เพียงข้อมูลที่ผู้เขียนตั้งข้อสันนิษฐานขึ้นมาเพียงเท่านั้น สำหรับบทขับร้องของเพลงลาวดวงเดือนนั้น เนื่องจากผ่านระยะเวลามานานเกินศตวรรษ ด้วยเหตุนี้ประวัติของเพลงรวมถึงคำร้องบางคำที่นำมาร้องในแต่ละครั้งหรือแต่ละบุคคล จึงอาจกลายไปจากเดิมบ้างดังที่ชัยพัฒน์ อุดมมะนะ ทายาทรุ่นที่ ๕ ของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเพ็ญพัฒนพงศ์ กรมหมื่นพิไชยมหินทโรดม ได้แสดงทรรศนะถึงประวัติของเพลงและบทขับร้องของเพลงลาวดวงเดือนไว้ว่า เรื่องราวเกี่ยวกับความรักระหว่างเสด็จในกรมกับเจ้าหญิงล้านนา จนกลายเป็นเหตุให้เสด็จในกรมต้องทรงพระนิพนธ์เพลงลาวดวงเดือนนั้น จะจริงหรือไม่ไม่มีใครสามารถยืนยันได้เพราะในราชสกุลไม่ได้กล่าวถึงเรื่องราวที่ว่านี้แต่อย่างใด ส่วนผู้ที่ขับร้องเพลงนี้เป็นคนแรกนั้น คือ หลวงอำนาจณรงค์ราญ (ไพฑูรย์ เพ็ญกุล) โดยมีเสด็จในกรมเป็นผู้รับสั่งให้คุณหลวงร้อง สำหรับบทขับร้องของเพลงลาวดวงเดือนที่ใช้ในปัจจุบันนั้นมีความแตกต่างไปจากบทพระนิพนธ์ของเดิมอยู่บ้าง เพราะคำร้องที่ทรงพระนิพนธ์นั้น จะต้องปรากฏคำร้องจำพวก เอ๊ะ ! โอ้ะ ! เช่นนี้เป็นต้น ซึ่งบทขับร้องที่นำมาร้องกันในปัจจุบันไม่ปรากฏคำเหล่านี้แล้ว อย่างเช่นคำร้องในท่อนสามของเพลงนั้น ปัจจุบันร้องกันว่า “...หอมกลิ่นเกสร เกสรดอกไม้ หอมกลิ่นคล้าย คล้ายเจ้าสูเรียมเอย...” ถ้าจะร้องให้ถูกต้องตามบทขับร้องที่ทรงพระนิพนธ์ไว้แต่เดิมแล้วนั้นจะต้องเป็น “...หอมกลิ่นเกสร เกสรดอกไม้ เอ๊ะ ! หอมกลิ่นคล้าย กลิ่นสูเรียมเอย...” ซึ่งหลักฐานบทขับร้องที่ถูกต้องที่สุดนั้น คือ บทขับร้องเพลงลาวดวงเดือนที่ตีพิมพ์อยู่ในหนังสือที่ระลึกงานงานพระราชทานเพลิงศพหม่อมเจ้าเผ่าเพ็ญพัฒน์ เพ็ญพัฒน์ พระโอรสของเสด็จในกรม (ชัยพัฒน์ อุดมมะนะ, สัมภาษณ์, ๒๕ สิงหาคม ๒๕๖๕) “เพลงลาวดำเนินเกวียน” หรือ “เพลงลาวดวงเดือน” นอกจากจะนิยมนำมาบรรเลงและขับร้องโดยทั่วไปแล้ว ต่อมายังถูกนำมาบรรจุเป็นเพลงสำหรับประกอบการแสดงชุด “ฟ้อนดวงเดือน” อีกด้วย โดยการแสดงชุดนี้กรมศิลปากรได้ปรับปรุงขึ้นใหม่ เพื่อสนองพระเดชพระคุณพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตรและสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ในโอกาสที่พระราชทานเลี้ยงพระกระยาหารค่ำแก่พระราชอาคันตุกะเป็นการส่วนพระองค์ โดยมีนายมนตรี ตราโมท ศิลปินแห่งชาติเป็นผู้นำเพลงลาวดวงเดือนไปบรรเลงและขับร้องประกอบการแสดงนาฏศิลป์ถวายทอดพระเนตร ส่วนท่านผู้หญิงแผ้ว สนิทวงศ์เสนี ศิลปินแห่งชาติเป็นผู้ประดิษฐ์ท่ารำ เเละเนื่องจากบทขับร้องของเพลงนี้ เป็นการรำพันถึงความรักของชายหนุ่มที่มีต่อหญิงสาว การแสดงฟ้อนดวงเดือนที่ประดิษฐ์ขึ้นใหม่นี้ จึงแสดงลีลาท่าทางเกี้ยวพาราสีที่งดงามตามแบบนาฏศิลป์ไทย ฟ้อนดวงเดือนชุดนี้ได้จัดแสดงถวายทอดพระเนตรหลายครั้ง อาทิ ในโอกาสทรงรับรองพระราชอาคันตุกะ คือ เจ้าชายเฟรด เดริค วิลเฮล์ม ฟรอน บรัสสัน แห่งสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ณ สวนศิวาลัย ในพระบรมมหาราชวัง เมื่อวันที่ ๑๐ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๐๖ ในโอกาสพระราชทานเลี้ยงพระกระยาหารค่ำแก่เจ้าชายและเจ้าหญิงฮิตาชิ ณ พระตำหนักเรือนต้น สวนจิตรลดา พระราชวังดุสิต เมื่อวันที่ ๑ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๐๘ และครั้งที่ ๓ ในโอกาสพระราชทานเลี้ยงพระกระยาหารค่ำแก่พระสหาย ณ พระที่นั่งบรมพิมาน ในพระบรมมหาราชวัง เมื่อวันที่ ๙ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๐๙ นอกจากนี้กรมศิลปากรยังได้นำการแสดงชุดนี้ออกแสดงในโอกาสต่าง ๆ อีกหลายครั้งจนถึงปัจจุบัน ในบั้นปลายพระชนม์ชีพของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเพ็ญพัฒนพงศ์ กรมหมื่นพิไชยมหินทโรดมทรงพระประชวรด้วยพระโรควัณโรคภายในและสิ้นพระชนม์เมื่อวันพฤหัสบดี ที่ ๑๑ พฤศจิกายน พุทธศักราช๒๔๕๒สิริพระชนมายุได้๒๘พรรษา ถึงแม้พระองค์จะสิ้นพระชนม์มาเป็นเวลาถึง ๑๑๓ ปี ในพุทธศักราช ๒๕๖๕ นี้แต่ทว่าผลงานพระนิพนธ์เพลงลาวดวงเดือนของพระองค์นั้น ยังคงเป็นเพลงไทยที่ได้รับความนิยมและอยู่ในสังคมไทยมาตลอดมิได้สูญหายไปตามกาลเวลา กล่าวได้ว่า “เพลงลาวดำเนินเกวียน” หรือ “เพลงลาวดวงเดือน”นี้นับเป็นเพลงไทยเพลงหนึ่งที่มีความทันสมัยใหม่เสมอและยังคงอยู่ในความทรงจำและความประทับใจของคนไทยมาอย่างยาวนานมากกว่าศตวรรษ รายการอ้างอิง ชัยพัฒน์ อุดมมะนะ.สัมภาษณ์, ๒๕ สิงหาคม ๒๕๖๕. พูนพิศ อมาตยกุลและคณะ. นามานุกรมศิลปินเพลงไทยในรอบ ๒๐๐ ปี แห่งกรุงรัตนโกสินทร์. พิมพ์ครั้งที่ ๑. กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์เรือนแก้ว,๒๕๓๒. วาคภัฎศรีวรพจน์. ดุริยางคศิลปินชำนาญงาน สำนักการสังคีต กรมศิลปากร.สัมภาษณ์, ๒๙ สิงหาคม ๒๕๖๕. อัจยุติ สังข์เกษม. ดุริยางคศิลปิน สำนักการสังคีต กรมศิลปากร.สัมภาษณ์, ๘ กันยายน ๒๕๖๕.


อนุมานราชธน (ยง เสฐียรโกเศศ), พระยา.  ประเพณีเรื่องแต่งงานบ่าวสาวของไทย.      กรุงเทพฯ: กองวัฒนธรรม สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ, ๒๕๑๕.           ประเพณีเรื่องแต่งงานบ่าวสาวของไทยเป็นตอนหนึ่งของเรื่องประเพณีเกี่ยวกับชีวิตของชาวไทย กล่าวถึงเรื่องราวประเพณีการแต่งงานของไทย ประกอบด้วย ลักษณะวิธีแต่งงาน เฒ่าแก่ทาบทาม ขันหมากหมั้น ฤกษ์และวันเดือนเกี่ยวกับการแต่งงาน เรือนหอ ขันหมากเอกโท ขนมแต่งงาน ปิดประตูขันหมาก เปิดเตียบ วิธีไหว้ผี เรื่องตักบาตรของบ่าวสาว พิธีซัดน้ำ พิธีเกี่ยวก้อย นอนเฝ้าหอ และ ปูที่นอนและส่งตัวเจ้าสาว เป็นต้น


black ribbon.