ค้นหา
รายการที่พบทั้งหมด 48,771 รายการ
#พิพิธภัณฑ์สรรหาสาระ : บทความออนไลน์จากพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ปราจีนบุรี“ทับหลังปราสาทเขาโล้น จังหวัดสระแก้ว” จากการที่ประเทศไทยได้รับทับหลังปราสาทหนองหงส์ จังหวัดบุรีรัมย์ และทับหลังปราสาทเขาโล้น จังหวัดสระแก้ว จากสหรัฐอเมริกากลับคืนสู่มาตุภูมิ เมื่อวันที่ ๒๘ พฤษภาคม ที่ผ่านมา นั้น พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ปราจีนบุรี ขอนำเสนอองค์ความรู้เกี่ยวกับทับหลังปราสาทเขาโล้น จังหวัดสระแก้ว จากหนังสือ “ศิลปะสมัยลพบุรี” โดยศาสตราจารย์ หม่อมเจ้า สุภัทรดิศ ดิศกุล ที่ตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อปีพุทธศักราช ๒๕๑๐ และภาพถ่ายเก่า เมื่อราวพุทธศักราช ๒๕๐๓ ปรากฏภาพถ่ายของทับหลังปราสาทเขาโล้นที่ยังคงประดับอยู่เหนือซุ้มประตูด้านตะวันออกของปราสาทเขาโล้น แสดงถึงตำแหน่งที่ตั้งเดิมของทับหลังก่อนที่จะถูกนำยังมาสหรัฐอเมริกา ซึ่งภาพถ่ายนี้ได้ถูกนำมาใช้เป็นหลักฐานสำคัญในการทวงคืนทับหลังชิ้นนี้กลับสู่ประเทศไทย ทับหลังปราสาทเขาโล้น แกะสลักจากหินทรายปรากฏเป็นรูปบุคคลประทับอยู่เหนือเกียรติมุข (หน้ากาล) อยู่กึ่งของภาพจำหลัก อนุมานได้ว่าบุคคลในภาพเป็นเทวดาประทับอยู่ภายในซุ้มเรือนแก้วในท่านั่งชันเข่าขวาขึ้น ขาซ้ายพับ พระหัตถ์ขวาทรงถือกระบอง เกียรติมุข (หน้ากาล) อ้าปากแลบลิ้นออกมา พร้อมเดียวกันก็ได้คายท่อนพวงมาลัยโดยมีมือประคองท่อนพวงมาลัยที่แยกออกมาไว้ทั้งสองด้าน ปลายท่อนพวงมาลัยเป็นลายใบไม้ม้วนโค้งสลับกัน จากสภาพที่ปรากฏในปัจจุบันเมื่อเปรียบเทียบกับภาพถ่ายเก่าที่บันทึกไว้นั้น เป็นที่น่าเสียดายว่ารูปเทวดานั่งชันเข่าที่มีอยู่เดิมได้ถูกกะเทาะหักหายไปบางส่วน อีกทั้งทับหลังได้ถูกตัดให้บางลง อาจเพื่อสะดวกแก่การขนย้าย ศาสนสถานในวัฒนธรรมเขมร มักพบภาพจำหลักเป็นรูปเทวดา หรือเทพองค์ต่าง ๆ ประทับเหนือเกียรติมุข หรือ หน้ากาล อมนุษย์ผู้เป็นบริวารของพระศิวะ มีใบหน้ารูปยักษ์ปนสิงห์ นัยน์ตาโปน อ้าปากแยกเขี้ยว ดูถมึงทึง ไม่มีริมฝีปากล่าง และลำตัว มีเพียงแขนสองข้างที่ยื่นออกมากจากศีรษะ ภาพจำหลักดังกล่าวนิยมประดับอยู่เหนือกรอบซุ้มประตู มีความหมายถึงผู้พิทักษ์ดูแลปกป้องศาสนสถานจากสิ่งชั่วร้ายต่างๆ และอาจมีความหมายถึงดินแดนหิมพานต์เชิงเขาพระสุเมรุอันเป็นศูนย์กลางของภูมิจักรวาลอีกด้วย จากรูปแบบศิลปกรรมที่ปรากฏบนทับหลังจำหลักภาพเทวดาประทับเหนือหน้ากาล ปราสาทเขาโล้น นั้น จัดเป็นทับหลังศิลปะเขมรในประเทศไทยแบบบาปวนตอนต้น กำหนออายุได้ในราวกลางพุทธศตวรรษที่ ๑๖ ทับหลังจำหลักภาพลักษณะนี้ยังพบได้จากโบราณสถานหลายแห่ง ดังเช่นที่ปราสาทเมืองต่ำ อำเภอประโคนชัย จังหวัดบุรีรัมย์ เป็นต้น นอกจากนี้ยังสามารถศึกษาเรื่องราวเพิ่มเติม"โบราณวัตถุสำคัญที่พบจากปราสาทเขาโล้น" ได้ที่ https://www.facebook.com/491291280909622/posts/4203555809683132/
เอกสารอ้างอิง :
- ศิลปากร, กรม. ปราสาทเมืองต่ำ [ออนไลน์]. แหล่งที่มา: http://virtualhistoricalpark.finearts.go.th [๑๖ มิถุนายน ๒๕๖๔]- สิขรินทร์ ศรีสุวิทธานนท์. “ปราสาทเขาโล้น อำเภอตาพระยา จังหวัดสระแก้ว” ใน ศิลปากร, ปีที่ ๖๓, ฉบับที่ ๓ (พฤษภาคม-มิถุนายน ๒๕๖๓): หน้า ๖๔-๘๕.- สุภัทรดิศ ดิศกุล, ม.จ.. ศิลปะสมัยลพบุรี. กรุงเทพฯ, ๒๕๑๐.- อรุณศักดิ์ กิ่งมณี. ทิพยนิยายจากปราสาทหิน. กรุงเทพฯ : เมืองโบราณ. ๒๕๖๒.- Asia Art Museum. Asian Art Museum Online Collection[online]. Available from: http://searchcollection.aisart.org [2021,June 16]
ผู้เรียบเรียง : นางสาววัชรี ชมภู ภัณฑารักษ์ชำนาญการพิเศษ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ปราจีนบุรี
พิธีแรกนาขวัญ หรือ"พระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ" เป็นพระราชประเพณีสำคัญในการสร้างขวัญและกำลังใจแก่เกษตรกร และเป็นสัญญาณให้เริ่มการทำนา ถือปฏิบัติมาแต่โบราณตั้งแต่ครั้งพุทธกาล นอกจากนี้ปรากฏหลักฐานว่ามีมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย และได้ถือปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง พระมหากษัตริย์ในอดีตทรงเห็นความสำคัญของพิธีนี้ เมื่อถึงเวลาเริ่มการเพาะปลูกพืชผล จึงทรงประกอบพระราชกรณียกิจ โดยเป็นผู้นำในการลงมือไถหว่านพืชพันธุ์ธัญญาหาร
“พระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ” ในประเทศไทยแต่เดิมมีเพียงการประกอบพิธีตามลัทธิพราหมณ์ ครั้นถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดพิธีสงฆ์เพิ่มขึ้น เป็นพิธีหนึ่งต่างหากเรียกว่า “พระราชพิธีพืชมงคล” โดยประกอบพิธีภายในอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม เรียกรวมกันว่า “พระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ” เป็นราชประเพณีมีกำหนดสองวัน จัดขึ้นในเดือนหก วันแรกเป็นพิธีสงฆ์ วันที่สองเป็นพิธีพราหมณ์ ประกอบด้วยการจัดริ้วขบวนพระยาแรกนา การบูชาเทวรูป ตลอดจนการเสี่ยงทายผ้านุ่ง และเสี่ยงทายพระโคกินเลี้ยง
ในสมัยรัชกาลที่ ๔ พระราชพิธีพืชมงคลกระทำที่ทุ่งพระเมรุ (สนามหลวงในปัจจุบัน) ส่วนพระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญกระทำที่ทุ่งส้มป่อย นอกพระนคร (บริเวณสนามม้าราชตฤณมัย หรือสนามม้านางเลิ้งในปัจจุบัน) โดยพระยาแรกนาขวัญกับเทพีทั้ง ๔ จะเข้าฟังพระสงฆ์สวดในปะรำพิธีพืชมงคลในวันแรกก่อน แล้วจึงไปแรกนาในวันรุ่งขึ้น
ในหนังสือเรื่องพระราชพิธีสิบสองเดือน พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงกล่าวว่าในสมัยรัชกาลที่ ๔ โปรดเกล้าฯ ให้มีพระราชพิธีแรกนาฯของหลวงในหัวเมืองไว้ด้วยดังความว่า
“…ครั้นมาในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินทอดพระเนตรแรกนาที่ทุ่งส้มป่อยครั้งหนึ่ง ภายหลังโปรดให้มีการแรกนาที่กรุงเก่าและที่เพชรบุรี ได้เสด็จพระราชดําเนินทอดพระเนตรพระยาเพชรบุรี (บัว) แรกนาที่เขาเทพนมขวดครั้งหนึ่งหรือสองครั้ง…” และทรงกล่าวถึงภาพบรรยากาศของพระราชพิธีนี้ไว้อย่างน่าสนใจความตอนหนึ่งว่า
“...ในการจรดพระนังคัลเป็นเวลาคนมาประชุมมาก ถึงจะอยู่บ้านไกลๆ ก็มักจะมาด้วยมีประโยชน์ความต้องการเมื่อเวลาโปรยข้าวปลูกลงในนา พอพระยากลับแล้วก็พากันเข้าแย่งเก็บข้าว จนไม่มีเหลืออยู่ในท้องนาเลย เมื่อรัชกาลที่ ๔ ได้โปรดให้ไปชันสูตรหลายครั้งว่ามีข้าวงอกบ้างหรือไม่ ก็ไม่พบเหลืออยู่จนงอกเลย เมื่อทอดพระเนตรแรกนาที่เพชรบุรี พอคนที่เข้ามาแย่งเก็บพรรณข้าวปลูกออกไปหมดแล้ว รับสั่งให้ตํารวจหลายคนออกไปค้นหาเมล็ดข้าวว่าจะเหลืออยู่บ้างหรือไม่ ก็ไม่ได้มาเลยจนสักเมล็ดหนึ่ง พันธุ์ข้าวปลูกซึ่งเก็บไปนั้น ไปใช้เจือในพรรณข้าวปลูกของตัว ให้เป็นสวัสดิมงคลแก่นาบ้าง ไปปนลงไว้ในถุงเงินให้เกิดประโยชน์งอกงามบ้าง การแรกนาจึงเป็นที่นิยมของคนทั้งปวงไม่จืด ยังนับว่าเป็นพระราชพิธีซึ่งเป็นที่ต้องใจคนเป็นอันมาก…”
ภาพ : ภาพท้องสนามหลวง ฝั่งทิศใต้มองเห็นพระบรมมหาราชวัง ด้านนี้คือบริเวณที่ประกอบพิธีแรกนาสมัยต้นรัตนโกสินทร์ โปรดดูรายละเอียดเพิ่มเติมในหนังสือ พระราชพิธีสิบสอง
องค์ความรู้ : กลุ่มภาษาและวรรณกรรม สำนักวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ เรื่อง "กรีนิรมิต" บทเสภาสรรเสริญพระคเณศ เทพแห่งศิลปวิทยา โดยนางสาวทิพพวรรณ บุญส่งเจริญ นักอักษรศาสตร์ชำนา่ญการ กลุ่มภาษาและวรรณกรรม
นายพนมบุตร จันทรโชติ รองอธิบดีกรมศิลปากร เปิดเผยว่า กรมศิลปากรได้พัฒนาการจัดแสดง นิทรรศการถาวรภายในอาคารมหาสุรสิงหนาท ตามโครงการอนุรักษ์และพัฒนาพระราชวังบวรสถานมงคล (วังหน้า) ระหว่าง พ.ศ.๒๕๕๕ – ๒๕๖๔ โดยบูรณะอาคารและพัฒนาการจัดแสดงนิทรรศการถาวรทั้งอาคาร มาตั้งแต่ ปี ๒๕๖๒ ปัจจุบันอาคารมหาสุรสิงหนาทจัดแสดงศิลปะเอเชีย และหลักฐานทางประวัติศาสตร์ - โบราณคดีที่พบบนผืนแผ่นดินไทยตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์จนถึงสมัยประวัติศาสตร์ก่อนพุทธศักราช ๑๘๐๐ อันเป็นช่วงเวลาที่ดินแดนในประเทศไทยปัจจุบันปรากฏหลักฐานการอยู่อาศัยของมนุษย์ จนถึงยุคที่รับวัฒนธรรมจากภายนอกโดยเฉพาะประเทศอินเดีย ก่อเกิดการพัฒนาจากบ้านสู่รัฐ ได้แก่ ห้องศิลปะเอเชีย ห้องก่อนประวัติศาสตร์ ห้องทวารวดี ห้องลพบุรี และห้องศรีวิชัย ห้อง ๔๐๑ : ห้องศิลปะเอเชีย จัดแสดงโบราณวัตถุที่เป็นงานศิลปกรรมในภูมิภาคเอเชียใต้ เอเชียตะวันออกและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้แก่ ศิลปะอินเดีย ศิลปะลังกา ศิลปะจีน ศิลปะญี่ปุ่น ศิลปะจาม และศิลปะพุกาม-พม่า ส่วนมากเป็นประติมากรรมในพุทธศาสนาซึ่งแสดงถึงการแพร่กระจายและความหลากหลายของรูปแบบศิลปกรรมในภูมิภาคเอเชีย ซึ่งพุทธศิลป์บางประเทศได้เป็นต้นแบบการสร้างพระพุทธรูปในศิลปะไทย อาทิ ศิลปะลังกาที่ส่งอิทธิพลให้กับศิลปะสุโขทัย หรือศิลปะพม่าที่ส่งอิทธิพลให้กับการสร้างพระพุทธรูปในศิลปะล้านนา ห้อง ๔๐๒ : ห้องก่อนประวัติศาสตร์ ประเทศไทยพบหลักฐานเครื่องมือที่ทำจากหินกะเทาะของคนสมัยก่อนประวัติศาสตร์ตั้งแต่เมื่อประมาณ ๕๐๐,๐๐๐ ปีมาแล้ว และมีพัฒนาการมาเป็นลำดับจนประมาณ ๔,๐๐๐ ปีมาแล้ว จึงพบการผลิตเครื่องมือหินขัด ภาชนะเครื่องปั้นดินเผา การทอผ้า เมื่อเข้าสู่สมัยโลหะมีการนำแร่โลหะ เช่น ทองแดง ดีบุก เหล็ก มาหลอมทำอาวุธ เครื่องมือ เครื่องใช้ในชีวิตประจำวัน ช่วงเวลานี้มีการค้นพบโบราณวัตถุที่แลกเปลี่ยนกับชุมชนอื่นที่ห่างไกล จากการติดต่อสัมพันธ์ส่งผลให้เกิดพัฒนาการทางสังคมเข้าสู่สมัยประวัติศาสตร์ในเวลาต่อมา ห้อง ๔๐๓ : ห้องทวารวดี “ทวารวดี” คำจารึกบนเหรียญเงินซึ่งพบตามชุมชนโบราณหลายแห่งใน พื้นที่ภาคกลางของประเทศไทย นักวิชาการสันนิษฐานว่าคืออาณาจักร “โตโลโปตี” ที่ปรากฏในเอกสารจีนสมัยราชวงศ์ถัง วัฒนธรรมทวารวดีแพร่กระจายไปตามชุมชนโบราณหลายแห่งของประเทศไทย นับตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ ๑๒ – ๑๖ หรือ ๑,๐๐๐-๑,๔๐๐ ปีมาแล้ว ส่วนใหญ่ได้รับแรงบันดาลใจจากพระพุทธศาสนา โดยพบหลักฐานจำนวนมากในพื้นที่ภาคกลางและภาคตะวันตก ส่วนในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือได้มีรูปแบบที่คลี่คลายผสมผสานกับวัฒนธรรมท้องถิ่น โบราณวัตถุสำคัญ เช่น ธรรมจักร วัดเสน่หา (ร้าง) นครปฐม พระพุทธรูปปางแสดงธรรม คูบัว ราชบุรี ฯลฯ ห้อง ๔๐๔ : ห้องลพบุรี “ลพบุรี” มาจากชื่อเมืองหรือรัฐ “ลวปุระ” ใช้เรียกรูปแบบศิลปกรรมที่มี ความใกล้ชิดกับรูปแบบศิลปกรรมวัฒนธรรมเขมรในราชอาณาจักรกัมพูชา สะท้อนให้เห็นถึงพัฒนาการทางสังคมและวัฒนธรรมในพื้นที่ภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทยปัจจุบัน ตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ ๑๒ หรือประมาณ ๑,๔๐๐ ปีมาแล้ว ต่อมาช่วงพุทธศตวรรษที่ ๑๕-๑๘ หรือประมาณ ๘๐๐-๑,๑๐๐ ปีมาแล้ว พบหลักฐานงานศิลปกรรมสร้างขึ้นเนื่องในความเชื่อทางศาสนาพราหมณ์ และศาสนาพุทธ ผ่านระบบการเมืองการปกครอง ห้อง ๔๐๕ : ห้องลพบุรี ศาสนสถานในศิลปะลพบุรีสร้างด้วยถาวรวัตถุ ประเภทอิฐหรือหิน จึงปรากฏหลักฐานชิ้นส่วนประดับสถาปัตยกรรมต่างๆ อาทิ ทับหลัง เสาประดับกรอบประตู สำหรับประติมากรรมรูปเคารพมีทั้งที่สลักจากศิลาและหล่อจากสำริด รูปแบบศิลปะลพบุรีมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับศิลปะเขมรสมัยเมืองพระนคร และต่อยอดเป็นพื้นฐานงานศิลปกรรมในสมัยอยุธยาตอนต้น นอกเหนือจากหลักฐานงานศิลปกรรมด้านศาสนา ปรากฏหลักฐานงานศิลปกรรมเกี่ยวเนื่องกับวิถีชีวิต ประเภทเครื่องปั้นดินเผาที่รังสรรค์เป็นงานศิลปกรรมประดับอาคาร และเครื่องมือเครื่องใช้ในชีวิตประจำวัน ห้อง ๔๐๖ : ห้องศิลปะศรีวิชัย ศรีวิชัย เป็นชื่อรัฐในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๑๓-๑๘ หรือประมาณ ๘๐๐-๑,๓๐๐ ปีมาแล้ว ตั้งอยู่บริเวณคาบสมุทรแหลมมลายูภาคใต้ของประเทศไทยจนถึงเกาะสุมาตรา ประเทศอินโดนีเซีย ในประเทศไทยพบหลักฐานทางโบราณคดีวัฒนธรรมศรีวิชัย อาทิ โบราณสถาน จารึก รูปเคารพในศาสนาพราหมณ์ทั้งไศวนิกายและไวษณพนิกาย ศาสนาพุทธฝ่ายมหายาน สำหรับประติมากรรมศิลปะชวา เป็นโบราณวัตถุที่ได้รับมอบในคราวพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ เสด็จประพาสชวา ครั้งที่ ๒ พ.ศ. ๒๔๓๙ และอีกส่วนหนึ่งได้รับเพิ่มเติมในสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๗ ทั้งนี้ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ได้เปิดให้ประชาชนเข้าชมการจัดแสดงนิทรรศการถาวร ภายในอาคารมหาสุรสิงหนาท คงเหลือการจัดแสดงนิทรรศการถาวรห้องลพบุรี ซึ่งจะแล้วเสร็จในเดือนธันวาคม ๒๕๖๔ และจะมีพิธีเปิดอย่างเป็นทางการต่อไป ผู้สนใจสามารถเข้าชมการจัดแสดงนิทรรศการประวัติศาสตร์-โบราณคดีก่อนพุทธศตวรรษที่ ๑๘ อาคารมหาสุรสิงหนาท พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร เปิดให้บริการทุกวันพุธ - วันอาทิตย์ ระหว่างเวลา ๐๘.๓๐ – ๑๖.๐๐ น. ติดต่อสอบถามเพิ่มเติม โทรศัพท์ ๐ ๒๒๒๔ ๑๔๐๒ , ๐ ๒๒๒๔ ๑๓๓๓ โทรสาร ๐ ๒๒๒๔ ๑๔๐๔
ชื่อผลงาน: พระบรมสาทิสลักษณ์พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 4)
ศิลปิน: นายอี ปีแยร์ เฟอร์รี่
เทคนิค: จิตรกรรมสีน้ำมันบนผ้าใบ
ขนาด: กว้าง 80 ซม. สูง 110 ซม.
อายุสมัย: รัตนโกสินทร์ สมัยรัชกาลที่ 4 พุทธศักราช 2399
รายละเอียดเพิ่มเติม: พระบรมสาทิสลักษณ์พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 4) ซึ่งวาดโดย ศิลปินชาวตะวันตกชิ้นนี้ อาจถือได้ว่าเป็นผลงานจิตรกรรมภาพเหมือนบุคคลชิ้นแรก ๆ ที่พบในประเทศ นับเป็นจุดเริ่มต้นที่สะท้อนความนิยมในงานศิลปะตะวันตก โดยเฉพาะงานภาพเหมือนบุคคลในราชสำนักสยามในเวลาต่อมา ซึ่งเป็นผลมาจากการเปิดรับศิลปะวิทยาการจากวันตก ในรัชกาลของพระองค์ ภายหลังจากการทำสนธิสัญญาทางการค้ากับชาติตะวันตก
Title: a portrait of His Majesty King Mongkut (Rama IV)
Artist: E. Peyre Ferry
Technique: oil on canvas
Size: 80 × 110 cm.
Period: Rattanakosin era, 1856 in the reign of King Mongkut (Rama IV)
Detail: A portrait of His Majesty King Mongkut (Rama IV) which was painted by Mr. E. Peyre Ferry (a foreign artist), is considered as the earliest clue of person portrait ever found in a country. This portrait is an evidence that marked the beginning of Siamese court's favor on western art, especially on the art of portraiture. Western art favor in Siamese court is also regarded as a result of royal policy on obtaining western sciences and knowledge, in order to modernise the country on the first phase, right after commercial treaty was made upon His Majesty reign.
ชื่อเรื่อง ชมฺพูปติสุตฺต (ชมพูบดี)
สพ.บ. 271/2ขประเภทวัสดุมีเดีย คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่ พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ 64 หน้า กว้าง 4.5 ซม. ยาว 58 ซม.หัวเรื่อง ธรรมเทศนา
บทคัดย่อ/บันทึก เป็นคัมภีร์ใบลาน อักษรขอม-ธรรมอีสาน ภาษาบาลี-ไทย-ไทยอีสาน เส้นจาร ฉบับล่องชาด ได้รับบริจาคมาจากวัดบ้านหมี่ ต.บางปลาม้า อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี
องค์ความรู้ เรื่อง หอนาฬิกาเมืองตรัง
ข้อมูลจากหอจดหมายเหตุแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ตรัง
#ภาพเก่าเล่าเรื่อง ตอน ตลาดวโรรสและความคึกคักในอดีต ในสมัยพระเจ้าอินทวิชยานนท์ (พ.ศ. ๒๔๑๓ - ๒๔๓๙) ชุมชมบ้านช้างม่อย เป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจที่สำคัญ มีอาณาเขตตั้งแต่รอบข่วงเมรุ แนวกำแพงเมืองชั้นนอก คูคลองแม่ข่าถึงริมฝั่งแม่น้ำปิง คุ้มท่าเจดีย์กิ่วถึงท่าน้ำแพ ซึ่งเป็นท่าจอดเรือของเจ้าหลวงเชียงใหม่ เจ้านายสยาม พ่อค้า หมอศาสนา ผู้คนต่างบ้านต่างเมือง ทำให้ชุมชนขยายใหญ่ขึ้น เมื่อพระเจ้าอินทวิชยานนท์ถึงแก่พิราลัยในปี พ.ศ. ๒๔๓๙ จึงเตรียมทำพิธีบริเวณข่วงเมรุ (ในอดีตเป็นสุสานของบรรดาเจ้านายในล้านนา) แต่มีบ้านของชาวบ้านรุกล้ำพื้นที่ ทำให้เจ้าราชวงศ์แก้วนวรัฐลงทุนซื้อบ้านที่รุกล้ำและจ่ายค่ารื้อถอนเกิดเป็นลานโล่ง ต่อมาเจ้าอุปราชแก้วนวรัฐ ได้ขายพื้นที่บริเวณดังกล่าวให้เจ้าอินทวโรรสสุริยวงศ์ และได้จัดดำเนินการในนาม “ตลาดวโรรส” ตามพระนามของเจ้าหลวงเชียงใหม่องค์ที่ ๘ เมื่อเจ้าทิพเนตร พระราชมารดาของเจ้าราชบุตรถึงแก่พิราลัย เจ้าราชบุตรประสงค์จะจัดพิธีทำศพให้สมพระเกียรติจึงนำตลาดไปจำนำกับขุนอนุสารสุนทรกิจและไม่สามารถไถ่ถอนได้ตามกำหนด ในปี พ.ศ. ๒๔๕๒ พระราชชายาเจ้าดารารัศมี ในรัชกาลที่ ๕ เสด็จกลับมาประทับที่เมืองเชียงใหม่ชั่วคราว และได้อัญเชิญพระอัฐิเจดีย์หรือกู่ของเจ้านายบริเวณข่วงเมรุไปไว้ที่วัดสวนดอก เมื่องานฉลองพระอัฐิสิ้นสุดลง พระราชชายาต้องการพัฒนาให้ตลาดวโรรสเป็นแหล่งรายได้ของสายสกุล ณ เชียงใหม่ จึงได้ทูลขอรัชกาลที่ ๖ ให้กู้ยืมเงินจากพระคลังเพื่อซื้อตลาดมาเป็นกรรมสิทธิ์ส่วนพระองค์ หลังจากนั้นได้มีพ่อค้าแม่ค้าหาบเปี๊ยดใส่สิ่งของหลายชนิด อาทิ อาหารพื้นเมือง ของป่า เครื่องนุ่มห่ม มาวางขายกันเนืองแน่น และได้ปรับปรุงตลาดเรื่อยมา จนถึงปี พ.ศ. ๒๕๑๑ เกิดเหตุเพลิงไหม้ตลาด จนทำให้ตลาดวโรรสและตลาดต้นลำไยเสียหายอย่างมาก เจ้าดารารัศมีจึงตัดสินใจขายหุ้นที่เหลือทั้งหมดแก่ห้างหุ้นส่วนอนุสารเชียงใหม่ และ บริษัท อนุสาร จำกัด ของสกุลชุติมาและนิมมานเหมินท์ ต่อจากนั้นบริษัทในเครืออนุสารได้ก่อสร้างตลาดวโรรสและตลาดต้นลำไยให้สะดวกและทันสมัยมากขึ้น และยังคงเปิดดำเนินการมาจนถึงปัจจุบัน ผู้เรียบเรียง : นางสาวอริสรา คงประเสริฐ นักจดหมายเหตุภาพ : หอจดหมายเหตุแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เชียงใหม่. ภาพส่วนบุคคล ชุดนายบุญเสริม สาตราภัย.อ้างอิง : ๑. เสรินทร์ จิรคุปต์. ๒๕๕๓. “ตลาดวโรรสในรอบทศวรรษ.” ใน สุภาภรณ์ อาภาวัชรตม์ และ ดวงจันทร์ อาภาวัชรุตม์ เจริญเมือง, เรื่องเล่าชาวกาด เล่ม ๗. เชียงใหม่ : มูลนิธิสถาบันพัฒนาเมือง (เชียงใหม่), ๑-๙. ๒. เนื้ออ่อน ขรัวทองเขียว. ๒๕๖๐. เปิดแผนยึดล้านนา. พิมพ์ครั้งที่ ๒. นนทบุรี : สำนักพิมพ์มติชน.