ค้นหา
รายการที่พบทั้งหมด 48,777 รายการ
วันนี้ในอดีต 11 พฤศจิกายน 2451พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จเปิดพระบรมรูปทรงม้าพระบรมรูปทรงม้า สร้างขึ้นเนื่องในงานพระราชพิธีรัชมังคลาภิเษก ซึ่งเป็นพิธีที่ทรงบำเพ็ญพระราชกุศลถวายแด่สมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราช และสมโภชสิริราชสมบัติ ในมหามงคลสมัยที่ทรงครองแผ่นดินครบ 40 ปี ซึ่งยาวนานกว่าทุกพระองค์ โดยจ้างบริษัท Susse Frères (Fondeur) ทำการหล่อที่ประเทศฝรั่งเศสเมื่อพระบรมรูปสร้างเสร็จสมบูรณ์เรียบร้อย ส่งเข้ามาถึงกรุงเทพฯ เมื่อวันพุธที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2451 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จฯ เปิดด้วยพระองค์เองก่อนจะเสด็จสวรรคตอีก 2 ปีต่อมาขณะที่ประเพณีถวายบังคมและวางพวงมาลาถวายแด่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ณ ลานพระบรมรูปทรงม้า พระราชวังดุสิตนั้น เริ่มขึ้นครั้งแรกในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ภายหลังจากที่พระบรมชนกนาถ ผู้เป็นที่รักยิ่งของปวงชนชาวไทยเสด็จสวรรคต จึงมีพระบรมราชานุญาตให้ประชาชนถวายบังคมพระบรมรูปทรงม้า เพื่อแสดงความจงรักภักดีในวันที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2454 ซึ่งตรงกับวันพระราชพิธีฉัตรมงคลของพระองค์ในปีต่อมา มีพระบรมราชานุญาตให้เปลี่ยนวันถวายบังคมพระบรมรูปทรงม้ามาเป็นวันที่ 23 ตุลาคมแทน ซึ่งกลายเป็นพิธีสืบเนื่องต่อมา
ชื่อเรื่อง สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม(สงฺคิณี-มหาปัฏฐาน)
สพ.บ. อย.บ.3/2ประเภทวัสดุมีเดีย คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่ พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ 46 หน้า กว้าง 4.5 ซม. ยาว 55 ซม.หัวเรื่อง พุทธศาสนา ชาดก
บทคัดย่อ/บันทึก เป็นคัมภีร์ใบลาน เส้นจาร ฉบับทองทึบ ได้รับบริจาคมาจาก จ.พระนครศรีอยุธยา
ต้นไผ่ ไม้มงคลในวัฒนธรรมจีนต้นไผ่ (Bamboo) เป็นไม้พุ่มชนิดหนึ่งที่เป็นที่รู้จักกันดี จัดอยู่ในวงศ์ Poaceae มีลักษณะเป็นไม้ไม่ผลัดใบ ขึ้นเป็นกอ ลำต้นเป็นปล้อง มีความคงทนต่อสภาพอากาศที่แตกต่างกันและเจริญเติบโตได้ในหลายพื้นที่ทั่วโลก ไม้ไผ่จึงถูกนำมาใช้ประโยชน์ตั้งแต่อดีต ไม่ว่าจะเป็นอาหาร ข้าวของเครื่องใช้ กระดาษ เครื่องดนตรี ที่อยู่อาศัย เป็นต้น ทำให้ต้นไผ่มีอิทธิพลต่องานศิลปะและวัฒนธรรมของมนุษย์หลายแห่ง โดยเฉพาะในวัฒนธรรมจีนต้นไผ่ปรากฏอยู่ในหลักปรัชญาจีนมากมาย โดยเฉพาะแนวคิดสำคัญ ๒ แนวคิด ได้แก่ “สามสหายแห่งเหมันต์ (岁寒三友, Sui han sanyou)” หรือต้นไม้สามประเภทที่สามารถเจริญเติบโตได้ในฤดูหนาว คือ ต้นสน ต้นไผ่ และต้นบ๊วย อันเปรียบเสมือนคำอวยพรให้มีจิตใจเข้มแข็ง ทระนง องอาจ กล้าต่อสู้ฝ่าฟันอุปสรรค รวมถึงเป็นสัญลักษณ์ของความรัก ความสามัคคี และมิตรภาพที่ไม่เคยทอดทิ้งกัน แนวคิดที่สอง คือ “สี่สุภาพบุรุษ (四君子, Sìjunzi)” หรือต้นไม้ประจำฤดูกาล ๔ ชนิด ได้แก่ ต้นบ๊วย (ฤดูหนาว) ดอกกล้วยไม้ (ฤดูใบไม้ผลิ) ต้นไผ่ (ฤดูร้อน) และดอกเบญจมาศ (ฤดูใบไม้ร่วง) โดยถือเป็นตัวแทนคุณลักษณะของบัณฑิตตามคติของขงจื๊อ ในภายหลังแนวคิดทั้งสองนี้ได้รับการส่งต่อให้กับวัฒนธรรมอื่น ๆ เช่น เกาหลี ญี่ปุ่น และเวียดนาม ไม่เพียงเท่านั้น ไผ่ยังถูกใช้ทำกลองวิเศษของจางกว่อเหล่า (張果老, Zhang Guo Lao) ๑ ในแปดเซียนที่เป็นที่เคารพนับถือกันทั่วไป อีกทั้งชาวจีนโบราณยังเชื่อกันว่าต้นไผ่เป็นสัญลักษณ์ของความเข้มแข็ง ความทระนง ความซื่อตรง ความยืดหยุ่น และอายุขัยที่ยืนยาว เนื่องจากธรรมชาติของต้นไผ่ที่มีลำต้นตั้งตรง ไม่คด เขียวชอุ่มตลอดทั้งปีแม้ในหน้าหนาว และถึงจะพบกับลมพายุก็เพียงโค้งงอไปตามสายลมแต่ไม่หักโค่นลงไป นอกจากนี้ คำว่า “ไผ่” ซึ่งในภาษาจีนเรียกว่า จู๋ (竹) ยังออกเสียงใกล้เคียงกับคำว่า จู้ (祝) ที่แปลว่า อวยพร ทำให้ต้นไผ่เป็นสัญลักษณ์ของการอวยพร ทั้งยังเชื่อกันอีกว่าเสียงแตกของไม้ไผ่ในกองไฟสามารถขับไล่ภูตผีปีศาจได้ ชาวจีนจึงนิยมนำไม้ไผ่มาทำประทัดเพื่อป้องกันภูตผีปีศาจดังกล่าวด้วยความสำคัญข้างต้น ไผ่จึงถือเป็นสัญลักษณ์มงคลที่มักพบในงานศิลปะของจีนหลายแขนง อาทิ บทกลอน ภาพวาด หรือแม้แต่ลวดลายบนเครื่องปั้นดินเผาก็มีการตกแต่งด้วยลายต้นไผ่ ไม่ว่าจะเป็นภาพต้นไผ่ตามแนวคิดทั้งสอง ภาพต้นไผ่เพียงอย่างเดียว หรือภาพต้นไผ่กับลวดลายมงคลอื่น ๆ ก่อให้เกิดความหมายใหม่ เช่น ไผ่กับนกกระเรียน หมายถึง การอวยพรให้มีอายุยืนยาว ไผ่กับดอกโบตั๋นสื่อถึงความร่ำรวย มีเงินทอง โดยนอกจากจะเป็นการประดับเพื่อความสวยงามแล้ว ภาพของต้นไผ่บนข้าวของเครื่องใช้ต่าง ๆ ยังเป็นสิ่งย้ำเตือนให้ผู้พบเห็นตระหนักและยึดถือคุณธรรมอันเป็นลักษณะของบัณฑิตตามหลักปรัชญาจีนต่อไป
คำนางพฺรกณหาชินา (คำนางพฺรกรฺหาชินา) ชบ.บ 109/1
เอกสารโบราณ
(คัมภีร์ใบลาน)
สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สงฺคิณี-มหาปฎฺฐาน) ชบ.บ 157/3 เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)
ทับหลังนารายณ์บรรทมสินธุ์ ณ เมืองสุโขทัย หากกล่าวถึงทับหลับนารายณ์บรรทมสินธุ์ หรือวิษณุอนันตศายิน คนส่วนใหญ่จะนึกถึงปราสาทพนมรุ้งและทับหลังนารายณ์บรรทมสินธุ์ชิ้นโด่งดังที่ได้กลับคืนมาจากสหรัฐอเมริกา หรือหลายคนอาจคิดถึงปราสาทเขมรบริเวณพื้นที่ภาคอีสานของประเทศไทย น้อยคนนักที่จะทราบว่า เมืองสุโขทัยก็พบภาพสลักทับหลังนารายณ์บรรทมสินธุ์เช่นกัน ทับหลังหรือคานทับหลัง คือ การเรียกแท่งหินรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าแนวนอน ตั้งอยู่ด้านบนหรือหลังของกรอบวงกบประตู จึงเป็นที่มีของของคำเรียกว่า “ทับหลัง” มีลักษณะค่อนข้างหนาเพราะต้องทำหน้าที่เป็นคานรับน้ำหนักของหน้าบรรพที่อยู่ด้านบน ทับหลังนารายณ์บรรทมสินธุ์พบที่วัดศรีสวาย เมืองสุโขทัย ซึ่งเป็นวัดที่มีรูปแบบทางสถาปัตยกรรมเป็นแบบวัฒนธรรมเขมรที่มีการคลี่คลายรูปแบบจนมีความเป็นพื้นเมืองแล้ว ซึ่งจากการดำเนินงานทางโบราณคดี พบเศษเครื่องถ้วยราชวงศ์ซุ่งใต้ปะปนกับเครื่องถ้วยราชวงศ์หยวนตอนต้น จึงกำหนดอายุที่เริ่มเข้ามาใช้พื้นที่ในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๗-๑๙ สอดคล้องกับหลักฐานทางด้านศิลปกรรมที่ได้มีการคลี่คลายจากศิลปะเขมรจนกลายเป็นรูปแบบที่เป็นท้องถิ่นแล้ว ด้วยเหตุนี้จึงสันนิษฐานได้ว่าวัดศรีสวายนี้ก่อสร้างภายหลังศาลตาผาแดง และวัดพระพายหลวง ประมาณครึ่งแรกพุทธศตวรรษที่ ๑๙ สันนิษฐานว่าแต่เดิมสร้างขึ้นเพื่อเป็นเทวสถาน แต่ก่อสร้างไปได้เพียงแค่ส่วนเรือนธาตุเท่านั้น ต่อมามีการสร้างเพิ่มเติม และได้แปลงเป็นวัดในพระพุทธศาสนา ลักษณะของทับหลังนารายณ์บรรทมสินธุ์ที่พบ แสดงภาพพระนารายณ์ (พระวิษณุ) บรรทมเหนือพญานาคราช (เศษะนาค) ที่กำลังแผ่พังพาน ปลายพระบาทเป็นพระนางลักษมี (พระชายา) ประคองพระชงฆ์ มีก้านดอกบัวผุดขึ้นมาจากพระนาภี ภายในดอกบัวมีพระพรหมประทับนั่ง ปลายพระบาทมีโยคีนั่งประนมมือ ซึ่งโยคีอาจแสดงความหมายถึง พระศิวะ โดยภาพสลักเล่าเรื่องตอนนี้ เป็นการกล่าวถึงตอนสร้างโลก ซึ่งพระนารายณ์ขณะกำลังบรรทมอยู่นั้น ได้สุบินถึงการสร้างสิ่งใหม่ๆ และเกิดดอกบัวผุดขึ้นจากพระนาภี บนดอกบัวมีพระพรหมที่ทรงเป็นผู้สร้างมนุษย์และสิ่งต่างๆ ขึ้นมา ทับหลังนารายณ์บรรทมสินธุ์ที่พบที่วัดศรีสวายนั้น ฝีมือช่างสลักมีความเป็นพื้นเมือง แต่โดยรวมของภาพเล่าเรื่องยังคงแสดงรายละเอียดตามคัมภีร์ของศาสนาฮินดู ..เอกสารอ้างอิง- กรมศิลปากร. อุทยานประวัติศาสตร์พนมรุ้ง ปราสาทเมืองต่ำ. พิมพ์ครั้งที่ 4. นครราชสีมา : โรงพิมพ์โจเซฟ, 2557.- ภานุวัฒน์ เอื้อสามาลย์. การใช้พื้นที่แหล่งศาสนสถานแบบเขมรในเมืองเก่าสุโขทัยในช่วงก่อนพุทธศตวรรษที่ ๒๔ จากการขุดค้นทางโบราณคดี วิทยานิพนธ์ระดับศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาโบราณคดีสมัยประวัติศาสตร์ ภาควิชาโบราณคดี บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร, 2556.- สันติ เล็กสุขุม. ศิลปะสุโขทัย. พิมพ์ครั้งที่ 3.กรุงเทพฯ : เมืองโบราณ, 2555.- สันติ เล็กสุขุม. งานช่าง คำช่างโบราณ ศัพท์ช่าง และข้อคิดเกี่ยวกับงานช่างศิลป์ไทย. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์มติชน, 2557.
เลขวัตถุ
ชื่อวัตถุ
ขนาด (ซม.)
ชนิด
สมัยหรือฝีมือช่าง
ประวัติการได้มา
ภาพวัตถุจัดแสดง
36/2553
(7/2549)
ขวานหินกะเทาะ
ย.14 ก.6.8 หนา 2
หิน
สมัยก่อนประวัติศาสตร์ตอนปลาย อายุราว 2,500-2,000 ปีมาแล้ว
ได้จากบ้านเขาเพิ่ม อำเภอบ้านนา จ.นครนายก เมื่อประมาณ พ.ศ. 2539
เลขทะเบียน : นพ.บ.424/1ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 94 หน้า ; 4 x 53 ซ.ม. : ล่องรัก ; ไม้ประกับธรรมดา ชื่อชุด : มัดที่ 152 (104-108) ผูก 1 (2566)หัวเรื่อง : พระปาฏิโมกข์--เอกสารโบราณ คัมภีร์ใบลาน พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม
เลขทะเบียน : นพ.บ.565/1 ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณ หมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 48 หน้า ; 4 x 55 ซ.ม. : ล่องชาด ; ไม้ประกับธรรมดาชื่อชุด : มัดที่ 184 (337-339) ผูก 1 (2566)หัวเรื่อง : ลำมหาโมกคัลลาน์--เอกสารโบราณ คัมภีร์ใบลาน พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม
องค์ความรู้ : คนแรกเริ่มที่หนองบัวแดงบ้านเรา : เหลียวหลังมองมนุษย์โบราณ ผ่านหลักฐานทางโบราณคดี และข้อมูลใหม่ ! ที่พบจากการขุดค้น ณ แหล่งโบราณคดีบ้านห้วยหัน 2 ตำบลวังชมภู อำเภอหนองบัวแดง จังหวัดชัยภูมิ
ในวันนี้พี่นักโบขอพาทุกคนไปลัดเลาะยัง จังหวัดชัยภูมิ ดินแดนที่อุดมไปด้วยองค์ความรู้ทางโบราณคดี เพื่อไปสืบหาร่องรอยของมนุษย์โบราณ ยุคก่อนประวัติศาสตร์ สมัยเหล็ก หรือราว 2,500-1,500 ปีมาเเล้ว ในพื้นที่ อำเภอหนองบัวแดง จังหวัดชัยภูมิ แดนดินที่ราบที่ถูกล้อมรอบด้วยเทือกเขา 3 ด้าน อันได้แก่ เทือกเขาเพชรบูรณ์ (ทิศตะวันตก) เทือกเขาเขียว (ทิศเหนือ) เเละเทือกเขาภูแลนคา (ทิศใต้) เเละยังเป็นพื้นที่ ต้นกำเนิดแม่น้ำชี แม่น้ำที่ยาวที่สุดในประเทศไทย ลักษณะภูมิประเทศเหล่านี้เป็นปัจจัยธรรมชาติที่โดดเด่นเพราะมีความอุดมสมบูรณ์ทั้งพืชพันธุ์ธัญญาหาร เเละสัตว์ป่า จึงเป็นอีกหนึ่งหมุดหมายให้มนุษย์โบราณ ยุคก่อนประวัติศาสตร์ สมัยเหล็ก เข้ามาตั้งถิ่นฐานเป็นจำนวนมาก โดยจากการสำรวจทางโบราณคดีในพื้นที่อำเภอหนองบัวแดง พบแหล่งโบราณคดียุคก่อนประวัติศาสตร์ ตอนปลาย บริเวณที่ราบรอกว่า 32 แหล่ง
นับตั้งเเต่ปี 2553 เป็นต้นมา กลุ่มโบราณคดี สำนักศิลปากรที่ 10 นครราชสีมาของเรา ได้ดำเนินการขุดค้นทางโบราณคดีในแหล่งโบราณคดี ยุคก่อนประวัติศาสตร์ สมัยเหล็ก มาเเล้ว 2 แหล่ง ได้แก่ 1. แหล่งโบราณคดีบ้านห้วยกนทา ตำบลคูเมือง (2553) 2. แหล่งโบราณคดีโนนบ้านนางแดดเหนือ ตำบลวังชมภู (2563) และในปีงบประมาณนี้ กลุ่มโบราณคดีได้ดำเนินการขุดค้น ณ แหล่งโบราณคดีโนนบ้านห้วยหัน 2 ตำบลวังชมภู อำเภอหนองบัวแดง จังหวัดชัยภูมิ เมื่อเดือนธันวาคม ปี 2565 โดยพบหลักฐานทางโบราณคดีที่น่าสนใจหลายรายการที่สะท้อนให้เห็นร่องรอยกิจกรรมของมนุษย์พื้นที่อำเภอหนองบัวแดง จังหวัดชัยภูมิ ในช่วงเวลานั้น.. พี่นักโบ จึงขอหยิบยกเนื้อหาบางส่วนมาบอกเล่าให้ทุกท่านได้ร่วมกันสืบร่องรอยมนุษย์โบราณยุคก่อนประวัติศาสตร์ สมัยเหล็ก ในพื้นที่จังหวัดชัยภูมิ ไปพร้อมๆกัน
และเมื่อจัดทำรายงานฉบับสมบูรณ์เเล้วเสร็จ จะทำให้เราทราบธรรมชาติโบราณ ด้วยวิธีการศึกษาละอองเรณู ตลอดทราบร่องรอย DNA โบราณ ของมนุษย์ เเละกระดูกสัตว์ที่พบจากการขุดค้น ในอนาคตพี่นักโบคงได้นำมาบอกเล่าผลการวิเคราะห์ในด้านอื่น ๆ ให้ทุกท่านได้ทราบ ต่อไปครับ
เรียบเรียงนำเสนอโดย นายวรรณพงษ์ ปาละกะวงษ์ ณ อยุธยา นักโบราณคดีปฏิบัติการ
กรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม ขอเชิญชมนิทรรศการ Vision of Silpa Bhilasri : Immersive experience เปิดประสบการณ์รับรู้สุนทรียภาพแบบ Immersive Art ระหว่างวันที่ 6 – 28 พฤษภาคม 2566 ณ อาคารนิทรรศการ 6 พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หอศิลป ถนนเจ้าฟ้า กรุงเทพฯ
นิทรรศการ Vision of Silpa Bhilasri : Immersive experience เป็นนิทรรศการต่อเนื่องของนิทรรศการ 100 ปี ศิลปสู่สยาม สุนทรียศิลปแห่งนวสมัย ซึ่งกรมศิลปากร โดยพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หอศิลป สำนักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ จัดขึ้นเนื่องในวาระครบรอบ 100 ปี ที่ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี ชาวอิตาเลียนพร้อมกับครอบครัวได้ย้ายมาพำนักในประเทศไทย นำเสนอในรูปแบบศิลปะดิจิทัล ผ่านภาพเคลื่อนไหว ด้วยแสงและเสียงประกอบ เพื่อให้ผู้ชมได้มีประสบการณ์ชมงานศิลปะในพิพิธภัณฑ์อีกรูปแบบหนึ่ง โดยมีผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ศุภชัย อารีรุ่งเรือง อาจารย์คณะมัณฑนศิลป์ มหาวิทยาลัยศิลปากร เป็นผู้สร้างสรรค์งานศิลปะ Immersive Art ภายใต้โครงการวิจัย “งานศิลปะมรดกของชาติในกรุพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หอศิลป สู่งานสร้างสรรค์ศิลปะดิจิทัล” ภายในห้องจัดแสดงนิทรรศการพิเศษ จะชวนให้ผู้ชมได้เห็นภาพเคลื่อนไหวจากการฉายสู่ผืนผ้าโปร่งแสงขนาดใหญ่ที่มีมิติซับซ้อน ส่งผลให้ภาพผลงานของ อ.ศิลป์ และลูกศิษย์ที่ผู้ชมคุ้นชินกลับกลายเป็นภาพที่มีมิติใหม่ ๆ ต่างออกไป ศิลปะดิจิทัลจึงทำหน้าที่ “เชื่อมความรู้สึกและการรับรู้ระหว่างผู้ชมรุ่นใหม่กับงานศิลปะอันทรงคุณค่า” ซึ่งแนวคิดหลักของการออกแบบนิทรรศการของ ศุภชัย อารีรุ่งเรือง คือความพยายามให้ผลงานศิลปกรรมทรงคุณค่าที่อยู่ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หอศิลป ได้เผยแพร่ให้สังคมไทยและชาวต่างชาติได้เห็น เพราะผลงานศิลปะสมัยใหม่จนถึงร่วมสมัยในประเทศไทยที่อยู่ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สามารถสะท้อนความคิดของศิลปินผู้สร้างไปสู่การสะท้อนประเด็นทางสังคมในแต่ละยุคสมัยได้
ผู้สนใจสามารถเข้าชมนิทรรศการ Vision of Silpa Bhilasri : Immersive experience ณ อาคารนิทรรศการ 6 พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หอศิลป ตั้งแต่วันที่ 6 - 28 พฤษภาคม 2566 เวลา 09:00 – 16:00 น. (ปิดวันจันทร์ - อังคาร และวันหยุดนักขัตฤกษ์) ค่าเข้าชม ชาวไทย 30 บาท ชาวต่างชาติ 200 บาท
ชื่อเรื่อง มหานิปาตวณฺณนา (เวสฺสนฺตรชาดก) ชาตกฏฐกถา ขุทฺทกนิกายฏฐกถา (ทสพร-นครกัณฑ์) สพ.บ. 423/11ประเภทวัสดุ/มีเดีย คัมภีร์ใบลาน หมวดหมู่ พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ 40 หน้า : กว้าง 4.5 ซม. ยาว 54.5 ซม.หัวเรื่อง พุทธศาสนา--การศึกษาและการสอน ชาดกบทคัดย่อ/บันทึก
เป็นคัมภีร์ใบลาน อักษรขอม-ธรรมอีสาน เส้นจาร ภาษาบาลี-ไทย-ไทยอีสาน ฉบับล่องชาด ทองทึบ รักทึบ ลานดิบ ไม่มีไม้ประกับ ได้รับบริจาคมาจากวัดลานคา ต.โคกคราม อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี
องค์ความรู้ จากสำนักการสังคีต
วรรณกรรม เรื่องเงาะป่า สู่การแสดงของกรมศิลปากร
เรื่องเงาะป่า เป็นบทพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชนิพนธ์ขึ้นเป็นกลอนบทละคร แล้วเสร็จในวันที่ ๒ กุมภาพันธ์ ร.ศ. ๑๒๔ พุทธศักราช ๒๔๔๘ นับเป็นบทละครที่ทรงคุณค่า สามารถนำมาแสดงเป็นละครได้อย่างดี มีคุณค่าครบทุกอรรถรส ดังปรากฏในบทชมธรรมชาติ บทรัก บทโศกเศร้า บทแค้น เป็นต้น ที่มาของเรื่องปรากฏตามพระราชนิพนธ์คำนำ คำเริ่ม และบทสุดท้ายของเรื่องที่ว่า
จะเริ่มร่างต่างว่าไปเที่ยวป่า ขึ้นสงขลาตามใจคิดหมายมุ่ง
แล้วลงเรือมาดใหญ่ไปพัทลุง ตามเขตคุ้งทะเลสาบคลื่นราบดี
แวะเกาะยอซื้อหม้อเขาปั้นขาย แล้วแจวกรายไปเที่ยวเลาะชมเกาะสี่
บรรลุถึงพัทลุงรุ่งราตรี ออกจากนี้ขึ้นช้างวางเข้าไพร
ถึงชายแดนแคว้นเขาเข้าหยุดพัก ที่วัดถ้ำสำนักคนอาศัย
เที่ยวเล่นตามถิ่นฐานบ้านพวกไทย เขาเล่าไขเรื่องเงาะที่เจาะจง
จึงวานช่วยพาไปให้ถึงทับ มันต้อนรับชื่นชมสมประสงค์
พบยายลมุดแก่แม่เฒ่าดง ชวนให้ตรงขึ้นไปนั่งยังนอกชาน
นายสินนุ้ยช่วยพุ้ยภาษาเงาะ ฟังก็เพราะคล้ายฝรั่งดังฉาดฉาน
ยายลมุดเล่าความตามเหตุการณ์ คล้ายนิทานเก่งเหลือไม่เบื่อเลย
จึงจดจำมาทำเป็นกลอนไว้ หวังมิให้ลืมคำร่ำเฉลย
แม้นใครอ่านคงจะคิดผิดเช่นเคย เงาะเงยก็ว่างามหลามแหลกไป
ที่แต่งไว้หวังจะให้เป็นคำเงาะ เห็นหมดเหมาะงดงามตามวิสัย
ผู้ใดจะใคร่ฟังเชิญตั้งใจ วางตัวไว้ว่าเป็นเงาะอย่าเยาะมันฯ
........................................
พระราชนิพนธ์เงาะป่าว่าตามเค้า คนังเล่าแต่งต่อล้อมันเล่น
ใช้ภาษาเงาะป่าว่ายากเย็น แต่พอเห็นเงื่อนเงาเข้าใจกัน
ทำแปดวันครั้นมาถึงวันศุกร์ สิ้นสนุกไม่มีที่ข้อขัน
วันที่สองของเดือนกุมภาพันธ์ ศกร้อยยี่สิบสี่มั่นจบหมดเอยฯ
..............................................
ดังความซึ่งปรากฏในพระราชนิพนธ์คำนำตอนต้นเรื่อง แม้จะทรงปรารภไว้ว่า “เอากระดาษมาเขี่ยๆ เรื่องที่ไม่เป็นแก่นสาร คุมเป็นเรื่องขึ้นเล่นพอให้เพลินใจ” ทั้ง “หนังสือ แต่งนี้ไม่ได้ตั้งใจจะเล่นละคร และไม่รู้ว่าจะดีเพราะแต่งเรื่องชาวป่า” พระราชประสงค์นั้นทรงหวังเพียงเพื่อใช้ร้องฟังกันเป็นสำคัญ เรื่องเงาะป่า ให้ความรู้ในหลากหลายแง่มุม องค์ประกอบแห่งวรรณคดีครบถ้วน สำนวนกลอนไพเราะ ซาบซึ้ง อีกทั้งยังให้แง่คิดในคติชนวิทยา วัฒนธรรมการดำรงชีวิต ที่ผู้อ่านมองเห็นภาพพจน์ของปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้น
กรมศิลปากรได้จัดการแสดงละครเรื่องเงาะป่าเป็นครั้งแรกเนื่องในงานครบรอบ ๑๐๐ ปี แห่งการครองราชย์ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเมื่อวันที่ ๒๑ ตุลาคม ๒๕๑๑ ณ โรงละครแห่งชาติ ซึ่งท่านผู้หญิงแผ้ว สนิทวงศ์เสนี เป็นผู้เรียบเรียงบท นายปัญญา นิตยสุวรรณ เป็นผู้ช่วย ในโอกาสนี้ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เสด็จพระราชดำเนินทอดพระเนตรการแสดง เมื่อวันที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๕๑๑
การแสดงของกรมศิลปากร โดยสำนักการสังคีต จัดการแสดงตามบทพระราชนิพนธ์ ดำเนินเรื่องตั้งแต่เริ่มต้นจนจบ ภายในระยะเวลา ๒ ชั่วโมง แบ่งออกเป็น ๓ องก์ ๗ ตอน คือ
องก์ที่ ๑ พบนาง
ตอนที่ ๑ ซมพลารำพึง
ตอนที่ ๒ พบนาง
องก์ที่ ๒ พิธีแต่งงาน
ตอนที่ ๑ เจ้าบ่าว
ตอนที่ ๒ เจ้าสาว
ตอนที่ ๓ แต่งงาน
องก์ที่ ๓ ตายเพราะรัก
ตอนที่ ๑ จากนาง
ตอนที่ ๒ ชิงรัก