ค้นหา

รายการที่พบทั้งหมด 48,765 รายการ

ทุเรียน: History             “ทุเรียน” ไม่ได้เป็นเพียงผลไม้เมืองร้อนที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวด้านกลิ่นและรสชาติเท่านั้น หากแต่ยังเป็นผลไม้ที่มีเรื่องราวการเดินทางอันยาวนานและน่าสนใจ จากถิ่นกำเนิดในแถบหมู่เกาะบอร์เนียว และได้แพร่กระจายไปสู่ภูมิภาคต่างๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงประเทศไทย ซึ่งมีทั้งบันทึกและข้อสันนิษฐานหลากหลายเกี่ยวกับเส้นทางการเข้ามาของพืชผลชนิดนี้ในดินแดนสยาม             ทุเรียนเป็นผลไม้ที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในประเทศไทย มีข้อสันนิษฐานหลักอยู่สองแนวทางเกี่ยวกับการเข้ามาของทุเรียน แนวทางแรก เชื่อว่าทุเรียนเริ่มเข้ามาทางกรุงเทพฯ ในสมัยสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก เมื่อครั้งเสด็จไปตีเมืองมะริดและตะนาวศรีของพม่า และได้นำเมล็ดทุเรียนกลับมาปลูกที่กรุงเทพฯ ในขากลับ ส่วนแนวทางที่สอง ซึ่งได้รับการยอมรับมากขึ้นในเชิงภูมิศาสตร์และประวัติศาสตร์ท้องถิ่น ระบุว่าทุเรียนเข้ามาทางภาคใต้ของไทย ผ่านเส้นทางการค้าทางเรือ             ในสมัยกรุงศรีอยุธยามีบันทึกของคณะราชทูตจากฝรั่งเศสที่นำโดยเมอร์ซิเออร์ เดอลาลูแบร์ ได้กล่าวถึงทุเรียนไว้อย่างชัดเจนได้ตีพิมพ์เป็นภาษาฝรั่งเศส เมื่อปีพ.ศ. 2336  แสดงให้เห็นว่ามีการปลูกทุเรียนในภาคกลางก่อนยุครัตนโกสินทร์อย่างแน่นอน แม้จะไม่ปรากฏหลักฐานชัดเจนว่าเข้ามาได้อย่างไรหรือผ่านช่องทางใดก็ตาม              สำหรับทุเรียนที่ปลูกในจังหวัดจันทบุรีนั้น มีความเชื่อว่าพันธุ์ดั้งเดิมที่เริ่มปลูกกันนั้น ได้มาจากทุเรียนพื้นเมืองทางภาคใต้ของไทย             จากพระราชนิพนธ์เรื่อง เสด็จประพาสจันทบุรี เมื่อปี พ.ศ. 2419 โดยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงบันทึกไว้ว่าขณะนั้น การทำสวนผลไม้ยังไม่แพร่หลายนัก สินค้าหลักที่ชาวบ้านให้ความสนใจคือ การขุดพลอย หากระวาน หารง หาไม้กฤษณา รวมถึงการปลูกอ้อยและยาสูบ มากกว่าจะเป็นการทำสวนผลไม้แบบจริงจัง ต่อมาเมื่อการคมนาคมในพื้นที่มีความสะดวกมากขึ้น จึงเริ่มมีการนำพันธุ์ทุเรียนจากกรุงเทพฯ เข้ามาปลูกในจันทบุรี โดยบุคคลสำคัญในท้องถิ่น เช่น ข้าราชการหรือคหบดีในยุคนั้น             หนึ่งในบุคคลที่มีบทบาทสำคัญคือ พระยาแพทย์พงศาวิสุทธาธิบดี (สุ่น สุนทรเวช) เกิดที่ตำบลท่าเรือจ้าง ตลาดใต้ อำเภอเมือง จังหวัดจันทบุรี เป็นนายแพทย์ประจำพระองค์ในรัชกาลที่ 6 และรัชกาลที่ 7 หลังเกษียณราชการ ท่านได้กลับมาทำสวนที่บ้านเกิด และเป็นผู้ตัดถนนจากหลังโรงสีนายหวานผ่านช่องเขาสระบาป และเขาไม้แก้ว เข้าไปบริเวณหลังเขาสระบาป กลายเป็นพื้นที่สวนผลไม้ขนาดใหญ่หลายสวน ของจังหวัดจันทบุรีมาจนถึงปัจจุบัน หากใครเคยอ่านหนังสือที่ท่านเขียน จะพบว่าท่านเป็นผู้แนะนำว่าทุเรียนจะเจริญเติบโตได้ดีในจังหวัดจันทบุรี และจะสร้างรายได้มหาศาลให้แก่ชาวบ้านในอนาคตอย่างแน่นอน            แม้ทุเรียนจะมีต้นกำเนิดอยู่ห่างไกลจากจันทบุรี แต่ด้วยสภาพภูมิประเทศที่อุดมสมบูรณ์และความตั้งใจของผู้คนในพื้นที่ ทุเรียนจึงสามารถเติบโตได้ดีและกลายเป็นผลไม้สำคัญของท้องถิ่น นับตั้งแต่ยุคเริ่มต้นของการทำสวน จนถึงปัจจุบันที่จันทบุรีเป็นหนึ่งในแหล่งผลิตทุเรียนคุณภาพของประเทศ เรื่องราวเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความรู้ ความพยายาม และการปรับตัวของชาวสวน ที่ช่วยกันยกระดับให้ทุเรียนเป็นผลไม้ที่มีคุณค่าทั้งในด้านเศรษฐกิจและวัฒนธรรมของจังหวัดอย่างแท้จริง   สามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ หอสมุดแห่งชาติรัชมังคลาภิเษก จันทบุรี   แหล่งข้อมูลอ้างอิง กรมส่งเสริมการเกษตร.  สำนักพัฒนาเกษตรกร.  ผลิตภัณฑ์ทุเรียน.  กรุงเทพฯ: กรมส่งเสริมการเกษตร สำนักพัฒนาเกษตรกร, 2547. บรรณ บูรณะชนบท.  สวนทุเรียน.  พิมพ์ครั้งที่ 6.  นนทบุรี: ฐานเกษตรกรรม, 2542. วัลลภ ยกสมาคม, บรรณาธิการ.  คู่มือการปลูกทุเรียน.  พิมพ์ครั้งที่ 2.  กรุงเทพฯ: โครงการหนังสือเกษตรชุมชน, (ม.ป.ป.). สุ่น สุนทรเวช.  ตำรายาไทย และ การทำสวนผลไม้.  สืบค้นเมื่อ 3 มิถุนายน 2568, จาก https://archive.org/details/unset00002423_a2o1     เรียบเรียงโดย นางสาวทิพวรรณ จันทร์ปัญญา บรรณารักษ์ปฏิบัติการ        หอสมุดแห่งชาติรัชมังคลาภิเษก จันทบุรี        สำนักศิลปากรที่ 5 ปราจีนบุรี  กรมศิลปากร  


ชื่อเรื่อง                     สงฺคีติกถา (สองปิฎก)สพ.บ.                      1/1ประเภทวัสดุ/มีเดีย       คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่                   พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ               24 หน้า : กว้าง 4.2 ซม. ยาว 56 ซม.หัวเรื่อง                     สังคายนา                              พระธรรมวินัยภาษา                       บาลี/ไทยอีสานบทคัดย่อ/บันทึก          เป็นคัมภีร์ใบลาน อักษรธรรมอีสาน เส้นจาร ฉบับลานดิบ ไม่มีไม้ประกับ ได้รับมอบมาจากนางสุดา วงษ์พันธุ์


                สไว สุทธิพิทักษ์.  ประวัติศาสตร์ลัทธิเศรษฐกิจ.  พิมพ์ครั้งที่ 4.  พระนคร : โรงพิมพ์บรรณาคม,  2514                        ก่อนจะมาเป็นประวัติศาตร์ลัทธิเศรษฐกิจ เกิดจากผู้เขียนได้รวบรวมคำถาม - คำตอบ วิชาลัทธิเศรษฐกิจของม.วิชาธรรมศาสตร์และการเมือง ในการเรียนระดับปริญญาตรีเพื่อใช้เป็นคู่มือในการศึกษาในระดับที่สูงขึ้นและสำหรับเพื่อนๆเล่มที่จัดพิมพ์ครั้งที่ 4 จัดทำเป็นเนื้อหาเรื่องราวจำนวน 3 หัวข้อดังนี้ 1. ลัทธิเศรษฐกิจสมัยนั้น 2. ลัทธิเมอคันติลิสม์ 3. ลัทธิลิเบรัลหรืออินดิวิดูอาลิสม์ 4. ลัทธิสเตตโซเซียลลิสม์ 5. ลัทธิโปรเตคชั่นนิสม์ 6. โซเซียลลิลส์และคำถามข้อสอบระดับปริญญาตรีและระดับปริญญาโท


เลขทะเบียน : นพ.บ.697/12ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณ                                                                                หมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 24 หน้า ; 4 x 57 ซ.ม. : รักทึบ-ลานดิบ-ล่องชาด-ล่องรัก ; ไม่มีไม้ประกับชื่อชุด : มัดที่ 220 (227-242) ผูก 12 (2568)หัวเรื่อง : ขฺทกนิกายฎฺฐกถา--เอกสารโบราณ             คัมภีร์ใบลาน             พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา  สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม


เลขทะเบียน : นพ.บ.772/1ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณ                                                                                หมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 52 หน้า ; 4.5 x 55 ซ.ม. : ทองทึบ-ลานดิบ-ล่องรัก ; ไม่มีไม้ประกับชื่อชุด : มัดที่ 238 (417-423) ผูก 1 (2568)หัวเรื่อง : มหานิปาต--เอกสารโบราณ             คัมภีร์ใบลาน             พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา  สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม


ชื่อเรื่อง : 100 ปี บ้านตลาดสามย่าน (พ.ศ. 2451 – 2551) เมืองแกลง หัวเรื่อง :  แกลง -- ประวัติศาสตร์     แกลง -- ความเป็นอยู่และประเพณี              บ้านตลาดสามย่าน คำค้น : - รายละเอียด : - ผู้แต่ง : เทศบาลตำบลเมืองแกลง แหล่งที่มา : หอสมุดแห่งชาติรัชมังคลาภิเษก จันทบุรี หน่วยงานที่รับผิดชอบ/ โรงพิมพ์/ สำนักพิมพ์ : เทศบาลตำบลเมืองแกลง ปีที่พิมพ์ : 2552 วันที่เผยแพร่ : 1 สิงหาคม 2568 ผู้ร่วมสร้างสรรค์ผลงาน : - ลิขสิทธิ์ :  เทศบาลตำบลเมืองแกลง รูปแบบ : PDF. ภาษา : ภาษาไทย ประเภททรัพยากร : หนังสือท้องถิ่น ตัวบ่งชี้ : - รายละเอียดเนื้อหา : หนังสือเล่มนี้จัดทำขึ้นในโอกาสครบรอบ 100 ปีของการย้ายเมืองแกลง จากบ้านหนทางเกวียน (แถววัดโพธิ์ทองพุทธาราม) มาตั้งอยู่ที่บ้านตลาดสามย่าน ในปี พ.ศ. 2551 เนื้อหาในหนังสือเล่มนี้เล่าถึงประวัติความเป็นมาของเมืองแกลงตลอด 100 ปีที่ผ่านมา ทั้งด้านการปกครอง การใช้ชีวิต วัฒนธรรม ประเพณี และอัตลักษณ์ของชุมชน โดยใช้ภาพถ่ายเก่าเป็นสื่อในการเล่าเรื่อง เพื่อให้ผู้อ่านได้เห็นและเข้าใจบรรยากาศของเมืองแกลงในอดีต เลขทะเบียน : น. 68 บ. 79730 จบ. (ร) เลขหมู่ :     ท.           959.32503             ก889ร    


เลขทะเบียน  นม.บ.13/4ข



       พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ชาวนาไทย ขอเชิญชวนผู้ปกครอง พาลูกหลานมาเรียนรู้และร่วมสนุกในช่วงปิดเทอมนี้ กับกิจกรรม "สนุกคิดสร้างสรรค์ ตามรอยวิถีชาวนาไทย" ที่สืบสานวิถีชาวนาไทยแบบสร้างสรรค์ กิจกรรมมีตลอดเดือนตุลาคม - พฤศจิกายน 2568 พบกับกิจกรรมพิเศษที่ห้ามพลาด! ระบายสีถุงผ้า, ดินน้ำมันปั้นโมเดล วิถีชาวนา, ม้าก้านกล้วย, ต่อจิ๊กซอว์ สามารถเข้าร่วมกิจกรรมฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย เปิดให้บริการทุกวัน เวลา 09.00 - 16.00 น. (หยุดวันนักขัตฤกษ์)         มาเติมเต็มวันว่างให้มีค่า ได้ทั้งความรู้และความสุขกันได้ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ชาวนาไทย จังหวัดสุพรรณบุรี สอบถามเพิ่มเติม โทร. 0 3553 6116 Facebook: พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติชาวนาไทย สุพรรณบุรี Thai Farmers National Museum https://www.facebook.com/ThaiFarmersNationalMuseum  


สารคดีเชิงข่าว “วังหน้าแห่งกรุงรัตนโกสินทร์” ตอนที่ ๔ ฝีมือช่างผ่านความวิจิตรด้านศิลปวัฒนธรรม ออกอากาศช่วงข่าวภาคค่ำ ทางสถานีโทรทัศน์โมเดิร์นไนน์ เมื่อวันที่ ๒๓ กรกฎาคม ๒๕๕๘   ฝีมือเชิงช่างไทยไม่แพ้ชาติใดในโลก โดยเฉพาะงานด้านศิลปวัฒนธรรม พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร คือแหล่งท่องเที่ยวสำคัญที่รวบรวมสมบัติขอ­งชาติไว้มากมาย โดยเฉพาะภายในโรงราชรถที่จัดแสดงเครื่องใช­้ในงานพระเมรุ


http://virtualhistoricalpark.finearts.go.th/sithep        เมืองโบราณศรีเทพ ตั้งอยู่ที่ตำบลศรีเทพ อำเภอศรีเทพ จังหวัดเพชรบูรณ์ จัดอยู่ในบริเวณเขตที่สูง ภาคกลางอันเป็นจุดเชื่อมโยงเครือข่ายของการแลกเปลี่ยนสินค้า เส้นทางการค้าและ วัฒนธรรมระหว่างพื้นที่ภาคกลางและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ที่มีความสำคัญมาตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ตอนปลายต่อเนื่องจน ถึงวัฒนธรรมเขมรโบราณ (พุทธศตวรรษที่ 8-18)        เมืองใน ผังเมืองค่อนข้างกลม มีพื้นที่ประมาณ 1.87 ตารางกิโลเมตร (1,300 ไร่) ภายในตัวเมืองมี ภูมิประเทศเป็นพื้นที่ราบลอนลูกคลื่น มีโบราณสถานกระจายตัวอยู่ 48 แห่ง ที่เกี่ยวเนื่องกับพุทธศาสนาและ ศาสนาฮินดู มีรูปแบบศิลปกรรมในวัฒนธรรมทวารวดี (พุทธศตวรรษที่ 12-16) และวัฒนธรรมเขมรโบราณ (พุทธศตวรรษที่ 16-18) ซึ่งมีโบราณสถานที่สำคัญและมีขนาดใหญ่ ได้แก่ เขาคลังใน ปรางค์ศรีเทพ และ ปรางค์สองพี่น้อง ตั้งอยู่เกือบกึ่งกลางเมืองค่อนไปทางทิศตะวันตก นอกจากนี้ยังมีสระน้ำโบราณทั้งขนาดใหญ่ และเล็กอีกจำนวนกว่า 70 แห่ง        เมืองนอก ตั้งอยู่ทางด้านทิศตะวันออกของเมืองใน มีพื้นที่ประมาณ 2.83 ตารางกิโลเมตร (1,589ไร่) ผังเมืองค่อนข้างเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้ามุมมน ภายในตัวเมืองสำรวจพบโบราณสถาน จำนวน 64 แห่ง มีสระน้ำโบราณจำนวนมาก นอกคูเมืองกำแพงเมืองโบราณยังมีการสำรวจพบโบราณสถานอีกจำนวน 50 แห่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางทิศเหนือของเมือง ที่สำคัญ ได้แก่ เขาคลังนอก ปรางค์ฤๅษี กลุ่มเขาคลังสระแก้ว และสระแก้ว สระน้ำโบราณขนาดใหญ่ ส่วนทางด้านทิศตะวันตกนอกเมืองโบราณศรีเทพห่างออกไปประมาณ 15 กิโลเมตร เป็นที่ตั้งของ “เขาถมอรัตน์” ภูเขาหินปูนขนาดใหญ่ที่มีรูปลักษณ์เฉพาะ ซึ่งใช้เป็นจุดสังเกตใน การเดินทางที่สำคัญมาตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ โดยบริเวณเชิงเขาเป็นแหล่งผลิตเครื่องมือและกำไลหิน ที่สำคัญ ต่อมาในสมัยทวารวดีได้มีการดัดแปลงถ้ำหินปูนที่ตั้งอยู่ทางด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้ของภูเขาให้ เป็นศาสนสถานในพุทธศาสนาแบบมหายาน กำหนดอายุราวพุทธศตวรรษที่ 14


เว็ปไซต์หอสมุดแห่งชาติรัชมังคลาภิเษก จันทบุรี: www.finearts.go.th/chantaburilibrary           หอสมุดแห่งชาติปัจจุบันของไทย สถาปนาขึ้นด้วยพระมหากรุณาธิคุณสมเด็จพระมหากษัตราธิราชในพระบรมราชจักรีวงศ์ โดยการรวมหอพระมณเฑียรธรรม หอพระสมุดวชิรญาณ และหอพุทธสาสนสังคหะเข้าด้วยกัน ในรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีพระบรมราชโองการประกาศจัดการ หอพระสมุดวชิรญาณ ให้เป็น หอสมุดสำหรับพระนคร เมื่อ วันที่ ๑๒ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๔๔๘ และได้วิวัฒนาการเป็นสำนักหอสมุดแห่งชาติปัจจุบัน           หอพระสมุดวชิรญาณ เดิมตั้งอยู่ในพระบรมมหาราชวัง ต่อมาได้ย้ายมาตั้งอยู่ข้างนอกประตูพิมานไชยศรี คือศาลาสหทัยสมาคม แต่การบริหารและการให้บริการของหอพระสมุดเป็นสมาคม และเป็นสโมสรสำหรับสมาชิกเท่านั้น ในปีพุทธศักราช ๒๔๔๐ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จประพาสยุโรปได้เสด็จทอดพระเนตรกิจการหอสมุดแห่งชาติอังกฤษและหอสมุดแห่งชาติฝรั่งเศส เมื่อเสด็จนิวัติพระนคร มีพระราชดำริว่า หอพระสมุดวชิรญาณที่ทรงร่วมกันจัดตั้งขึ้นนั้นเป็นหอพระสมุดสำหรับราชสกุล แม้จะก่อให้เกิดประโยชน์ในทางวิชาการความรู้ยังไม่กว้างขวาง เพราะส่วนมากเป็นสมาชิกและอยู่ในวงแคบ หากขยายกิจการหอพระสมุดออกไปให้เป็น หอสมุดสำหรับพระนคร เพื่อพสกนิกรจะได้แสวงหา ประโยชน์ต่างๆจะได้จากการอ่านหนังสือ คงจะเป็นประโยชน์มากยิ่งขึ้นสมตามพระราชประสงค์ที่จะทรงเฉลิมพระเกียรติยศสนองพระเดชพระคุณ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้จัดตั้งหอพระสมุดวชิรญาณ เป็นหอสมุดสำหรับพระนครขึ้นเมื่อวันที่ ๑๒ ตุลาคม ๒๔๔๘ และพระราชทานนามว่า หอพระสมุดวชิรญาณสำหรับพระนคร ตามพระสมณนามาภิไธยในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ต่อมา พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ ขณะดำรงพระอิสริยยศ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ สยามมกุฎราชกุมาร เป็นสภานายกหอพระสมุดวชิรญาณสำหรับพระนครได้พัฒนาและเจริญรุ่งเรืองตามลำดับ เมื่อพระองค์เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติบรมราชาภิเษกแล้ว จึงโปรดเกล้าฯให้ย้ายหอพระสมุดวชิรญาณสำหรับพระนคร มาไว้ที่ ตึกใหญ่ริมถนนหน้าพระธาตุซึ่งเรียกว่าตึกถาวรวัตถุ และพระองค์ได้เสด็จพระราชดำเนินทรงประกอบพิธีเปิด เมื่อวันที่ ๖ มกราคม ๒๔๕๙          กิจการของหอพระสมุดวชิรญาณสำหรับพระนครเจริญก้าวหน้าขึ้นเป็นลำดับได้มีการรวบรวมหนังสืออันมีค่ายิ่งของประเทศไว้ได้เป็นจำนวนมาก และยังได้วางรากฐานการจัดห้องสมุดตามมาตรฐานสากลหลายประการ เช่น การจัดหมวดหมู่หนังสือ ทำบัตรรายการค้นหนังสือ ทำบรรณานุกรม และการจัดพิมพ์หนังสือที่มีคุณค่าต่างๆ จำนวนมาก เป็นต้น           ใน ปีพุทธศักราช ๒๔๖๙ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๗ โปรดเกล้าฯให้แยกหอพระสมุด วชิรญาณสำหรับพระนครออกเป็น ๒ หอ คือ หอพระสมุดวชิราวุธ ตั้งอยู่ที่ตึกถาวรวัตถุเช่นเดิมให้เป็นที่เก็บหนังสือฉบับพิมพ์และ หอพระสมุดวชิรญาณ ให้ใช้เป็นที่เก็บหนังสือตัวเขียนและตู้พระธรรม           ปีพุทธศักราช ๒๔๗๖ รัฐบาลจัดตั้งกรมศิลปากรขึ้นและมีพระราชกฤษฎีกาแบ่งส่วนราชการกำหนดให้หอพระสมุดสำหรับพระนคร มีฐานะเป็นกองหนึ่งในกรมศิลปากรเรียกว่า กองหอสมุดและได้มีการเปลี่ยนแปลงชื่อหอพระสมุดสำหรับพระนครเป็นหอสมุดแห่งชาติในเวลาต่อมา หอสมุดแห่งชาติได้พัฒนากิจการเจริญรุ่งเรืองขึ้นตามลำดับมี ผู้ใช้บริการจำนวนมากจนถึง พุทธศักราช ๒๕๐๕ รัฐบาลได้อนุมัติงบประมาณก่อสร้างอาคารหอสมุดแห่งชาติเป็นอาคารทรงไทย สูง ๕ ชั้นขึ้น ที่บริเวณท่าวาสุกรี ถนนสามเสน และได้มีพิธีเปิดอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ ๕ พฤษภาคม ๒๕๐๙ สำนักหอสมุดแห่งชาติ เป็นอาคารทรงไทย ๕ ชั้น บนเนื้อที่ประมาณ ๑๗ ไร่ ปัจจุบันตั้งอยู่ที่ท่าวาสุกรี ถนนสามเสน เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร สังกัดกรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม            หอสมุดแห่งชาติรัชมังคลาภิเษก จันทบุรีเกิดขึ้นจากดำริของ ฯพณฯ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี และรัฐบุรุษ เมื่อครั้งยังดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ประสงค์จะให้มีการจัดตั้หอสมุดแห่งชาติประจำภาคตะวันออกขึ้น เพื่อถวายเป็นราชสดุดีแด่องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในวโรกาสมหามงคลเฉลิมฉลองปีรัชมังคลาภิเษก พุทธศักราช ๒๕๓๑  จึงได้มอบหมายให้กองทัพภาคที่ ๑ จังหวัดจันทบุรี รวมทั้งหน่วยราชการอื่นที่เกี่ยวข้อง ร่วมกันดำเนินการวางแนวนโยบายจัดหาทุนในการก่อสร้างอาคารหอสมุดฯ และกรมศิลปากรเป็นผู้ดำเนินการ จัดทำโครงการ ออกแบบอาคาร ควบคุมการก่อสร้าง จนแล้วเสร็จสมบูรณ์ และรับผิดชอบดำเนินงาน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ใช้ชื่อว่า “หอสมุดแห่งชาติรัชมังคลาภิเษกจันทบุรี”            สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าเสด็จเป็นองค์ประธานเปิดอาคารหอสมุดแห่งชาติรัชมังคลาภิเษก จันทบุรี ในวันพฤหัสที่ ๙ สิงหาคม ๒๕๓๓            อาคารหอสมุดฯ มีลักษณะแบบทรงไทยประยุกต์ รูปสี่เหลี่ยมจตุรัส กว้าง ๗๕ เมตร ยาว ๗๖ เมตร เป็นอาคาร ๒ ชั้น ๔ หลังเชื่อมติดกัน โดยมีที่ว่างตรงกลางจัดเป็นสวน รวมพื้นที่ใช้สอยประมาณ ๒,๕๕๓ ตารางเมตร และมีเนื้อที่ทั้งหมด ๒ ไร่ ๖๔ ตารางวา            เดิมหอสมุดแห่งชาติรัชมังคลาภิเษก จันทบุรี อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของสำนักหอสมุดแห่งชาติ แต่มาวันที่ ๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๙ กรมศิลปากรได้ปรับปรุงโครงสร้างของกรมใหม่ ให้หอสมุดแห่งชาติฯ จันทบุรี ไปอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของสำนักศิลปากรที่ ๕ ปราจีนบุรี กรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม  


นิทรรศการ เรื่อง “มรดกล้ำค่าสมเด็จพระปิยมหาราชในมิวเซียมหลวง”   นับตั้งแต่กรมศิลปากรได้สถาปนาขึ้นเมื่อวันที่ ๒๗ มีนาคม พุทธศักราช ๒๔๕๔ ล่วงเลยมาเป็นเวลานานนับศตวรรษ กรมศิลปากรได้มีการปรับปรุงพัฒนาโครงการสร้างการบริหารจัดการองค์กร มีการถ่ายโอนภารกิจ การขยายส่วนราชการและการแบ่งส่วนราชการภายใน ทั้งนี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการ ให้กรมศิลปากรมีความทันสมัยอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันกรมศิลปากรได้ดำเนินงานด้านการอนุรักษ์ สืบทอด และธำรงรักษามรดกทางศิลปวัฒนธรรมของชาติมาอย่างยาวนานก้าวเข้าสู่ปีที่ ๑๐๒ และจะยังคงเป็นสถาบันหลักในด้านการปกป้อง คุ้มครองมรดกทางศิลปวัฒนธรรมของชาติต่อไป ตามวิสัยทัศน์ และนโยบายในเชิงรุกที่ตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงทางด้านสังคม เศรษฐกิจ และนโยบายของประเทศ สำหรับกิจการพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กรมศิลปากร เริ่มมาตั้งแต่สมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อถึงสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงตระหนักดีว่าพิพิธภัณฑสถานเป็นสื่อแสดงถึงความเจริญรุ่งเรืองทางวัฒนธรรมของชาติ ในวันที่ ๑๙ กันยายน พุทธศักราช ๒๔๑๗ พระองค์ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานอาคารหอคองคอเดีย (Concordia Hall) หรือ ศาลาสหทัยสมาคม จัดเป็นพิพิธภัณฑสถาน เรียกว่า ตั้งมิวเซียม โดยจัดแสดงสิ่งของล้ำค่าและหาชมยากประเภทต่างๆ ทั้งที่ผลิตโดยชาวสยามและของจากห้างร้านของชาวต่างประเทศมาเปิดให้ประชาชนได้เข้าชมเป็นครั้งแรก ต่อมาเมื่อปีพุทธศักราช ๒๔๓๐ โปรดให้ย้ายพิพิธภัณฑสถานมาตั้ง ณ วังหน้า และเปิดให้ประชาชนได้ชมเป็นการถาวร กรมศิลปากร สำนักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ได้สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ท่านที่ทรงวางรากฐานการพิพิธภัณฑ์ไทยมาแต่อดีตจนกระทั่งกลายมาเป็นพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติปัจจุบัน ด้วยเหตุนี้ สำนักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ จึงกำหนดจัดนิทรรศการพิเศษเรื่อง “มรดกล้ำค่าสมเด็จพระปิยมหาราชในมิวเซียมหลวง” ขึ้น โดยนำมรดกอันล้ำค่าในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มาจัดแสดงให้ประชาชนได้มีโอกาสชื่นชม โบราณวัตถุทุกชิ้นที่นำมาจัดแสดงในครั้งนี้ล้วนแต่เป็นโบราณวัตถุที่ทรงคุณค่าและหาชมได้ยากยิ่ง อาทิ ตราแผ่นดินประจำรัชกาล หีบทองคำลงยาเหรียญที่ระลึกพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จประพาสยุโรปครั้งที่ ๑  กล้องเมียร์ชอม  เหล็กไหล ไม้กลายเป็นหิน ฯลฯ  นิทรรศการนี้จะเปิดให้เข้าชมโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ระหว่างวันที่ ๒๕ – ๒๗ มีนาคม ๒๕๕๖  เวลา ๐๙.๐๐ น. – ๑๘.๐๐ น. ณพระที่นั่งศิวโมกขพิมาน พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร นอกจากนี้ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ได้อัญเชิญ พระพุทธรูปคันธารราฐ มาประดิษฐาน ณ พระที่นั่งพุทไธสวรรย์ ให้ประชาชนได้สักการะ เพื่ออำนวยความอุดมสมบูรณ์ และความเป็นสิริมงคลสืบไป พระพุทธรูปคันธารราฐ เป็นพระพุทธรูปปางขอฝน ที่สร้างขึ้นสำหรับพระราชพิธีพิรุณศาสตร์ และงานพระราชพิธีพืชมงคล เพื่ออำนวยให้ฝนตกต้องตามฤดูกาล พื้นดินอุดมพร้อมพืชพันธุ์ธัญญาหารบริบูรณ์ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดให้สร้างขึ้นในปีพุทธศักราช ๒๔๕๓ โดยโปรดให้นายอัลฟอนโซ ทอร์นาเรลลี (Alfonso Tornarelli) ช่างชาวอิตาเลียน ปั้นพระพุทธปฏิมายืน ปางขอฝน เลียนแบบพระพุทธรูปในศิลปะอินเดียแบบคันธารราฐ  โดยเปิดให้ประชาชนเข้าสักการะระหว่างวันที่ ๒๕– ๒๗ มีนาคม ๒๕๕๖  เวลา ๐๙.๐๐ น. – ๑๘.๐๐ น. โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทร. ๐ ๒๒๒๔ ๑๔๐๒, ๐ ๒๒๒๔ ๑๓๓๓


          การจัดแสดงในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ขอนแก่น แบ่งออกเป็น  ๓  ส่วน ดังนี้             ส่วนที่ ๑  อาคารจัดแสดงส่วนหน้า ชั้นล่างและชั้นบน จัดแสดงเรื่องราวเกี่ยวกับลักษณะทางภูมิศาสตร์  ธรณีวิทยาในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ  จัดแสดงหลักฐานทางโบราณคดีที่แสดงเรื่องราวและพัฒนาการทางด้านประวัติศาสตร์และโบราณคดีตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์  การตั้งถิ่นฐาน ประเพณี สังคม ศาสนา การรับอิทธิพลทางศิลปะ  พัฒนาการของเมืองและชุมชนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ  ตลอดจนพัฒนาการทางศิลปะในประเทศไทย             ส่วนที่ ๒  อาคารจัดแสดงส่วนหลัง  จัดแสดงโบราณวัตถุ  ศิลปวัตถุ ประเภทใบเสมาและประติมากรรมศิลา ตลอดจนแสดงเรื่องราวเกี่ยวกับประเพณี  วิถีชีวิต  ความเชื่อ  เครื่องมือเครื่องใช้พื้นบ้านที่แสดงถึงภูมิปัญญาของกลุ่มชนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ             ส่วนที่ ๓  อาคารโรงเก็บใบเสมาและการจัดแสดงภายนอกอาคาร  จัดแสดงใบเสมา  ใบเสมาศิลาจารึก  ชิ้นส่วนประติมากรรมหินทรายและส่วนประกอบสถาปัตยกรรมหินทรายที่พบในเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน              โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้             ๑.  อาคารพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ขอนแก่น  จัดแสดงทั้งหมด  ๗  ส่วน  คือ                      ๑.๑  ห้องก่อนประวัติศาสตร์ (ชั้น ๑)                      ๑.๒  ห้องประวัติศาสตร์ : ทวารวดี (ชั้น ๑)                      ๑.๓  ห้องประวัติศาสตร์ : ลพบุรี (ชั้น ๒)                       ๑.๔  ห้องประวัติศาสตร์ : ล้านช้าง (ชั้น ๒)                       ๑.๕  ห้องประวัติศาสตร์ :รัตนโกสินทร์ ประวัติเมืองขอนแก่น (ชั้น ๒)                      ๑.๖  ระเบียงอาคารจัดแสดง :กลุ่มประติมากรรมศิลาและใบเสมา                      ๑.๗  ห้องศิลปวัฒนธรรมพื้นบ้านอีสาน (ชั้น ๑ ด้านหลังปีกทิศตะวันตก)             แบ่งหัวข้อการจัดแสดงได้ดังนี้                          ๑.  ประวัติและวิวัฒนาการ                        ๑.๑  สมัยก่อนประวัติศาสตร์                       จัดแสดงในหัวข้อ การตั้งถิ่นฐาน สังคมและการดำรงชีวิต เครื่องมือเครื่องใช้ที่ทำด้วยหินและโลหะ ประเพณีฝังศพ ศิลปะถ้ำ แหล่งโบราณคดีที่สำคัญ แหล่งโบราณคดีบ้านสร้างดู่ แหล่งโบราณคดีโนนนกทา แหล่งโบราณคดีโนนชัย แหล่งโบราณคดีบ้านโนนเมืองและแหล่งโบราณคดีบ้านเชียง                         ๑.๒  สมัยประวัติศาสตร์                       ห้องประวัติศาสตร์ ทวารวดี  ชั้น ๑  จัดแสดงในหัวข้อ สถาปัตยกรรม อักษรจารึก ประติมากรรมปูนปั้น  ศาสนาและความเชื่อ เสมาหิน อิทธิพลวัฒนธรรมทวารวดี พระพิมพ์ทวารวดี เมืองฟ้าแดดสงยาง                      ห้องประวัติศาสตร์ศิลปะในประเทศไทย  ชั้น ๒  จัดแสดงในหัวข้อ อีสานในสมัยลพบุรี เมืองและชุมชน ศาสนาและความเชื่อ แผนที่แสดงที่ตั้งโบราณสถานที่สำคัญ ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ อิทธิพลวัฒนธรรมเขมร เครื่องปั้นดินเผา พระพุทธรูปตั้งแต่สมัยล้านช้างจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์  งานศิลปกรรมเนื่องในพระพุทธศาสนา  และตัวอย่างเครื่องใช้ที่พบในแถบภาคตะวันออกเฉียงเหนือ                        ห้องประวัติศาสตร์ขอนแก่น ชั้น ๒   จัดแสดงในหัวข้อ การตั้งเมืองขอนแก่น การย้ายเมืองขอนแก่น ความสัมพันธ์ระหว่างเมืองขอนแก่นกับศูนย์กลางอำนาจกรุงเทพ                      ห้องศิลปวัฒนธรรมพื้นบ้านอีสาน (ชั้น ๑ ปีกด้านหลังทิศตะวันตก)                      ๑.ประเพณี  วิถีชีวิต  จัดแสดงในหัวข้อ  อีสานยุควัฒนธรรมไทย –ลาว กลุ่มชนในภาคอีสาน ประเพณีสำคัญในภาคอีสาน งานเทศกาลไหมและประเพณีผูกเสี่ยว ขอนแก่นแดนดนตรี โปงลางและเรือนอีสาน                              ๒.ภูมิปัญญา  จัดแสดงในหัวข้อ  ผ้าพื้นเมืองอีสาน เครื่องมือในการผลิตเส้นด้าย ศาสนาและประเพณีความเชื่อ ครัวไฟ เครื่องมือในการดักจับสัตว์น้ำและเครื่องมือทำนา                    ๒.  โรงเก็บใบเสมา  จัดแสดงใบเสมา  ใบเสมาศิลาจารึก  ชิ้นส่วนประติมากรรมหินทรายและส่วนประกอบสถาปัตยกรรมหินทรายที่พบในเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน และจัดแสดงกลุ่มใบเสมาที่ได้จากการสำรวจและขุดค้นในเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือภายนอกอาคารจัดแสดง


วันที่5สิงหาคม2558 เวลา 09.00น. นักศักษามหาวิทยาลัยแม่โจ้ จังหวัดเชียงใหม่ ได้มาเยี่ยมชมและศึกษาหาความรู้ศิลปวัตถุ โบราณวัตถุ ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระปฐมเจดีย์


black ribbon.