ค้นหา
รายการที่พบทั้งหมด 48,759 รายการ
เลขทะเบียน : นพ.บ.558/1ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 36 หน้า ; 3.5 x 49 ซ.ม. : ชาดทึบ-รักทึบ-ลานดิบ-ล่องรัก ; ไม่มีไม้ประกับชื่อชุด : มัดที่ 182 (311-323) ผูก 1 (2566)หัวเรื่อง : ปุณณนาคกุมาร--เอกสารโบราณ คัมภีร์ใบลาน พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม
องค์ความรู้ : อุทยานประวัติศาสตร์พนมรุ้ง
เรื่อง : คติมงคลความอุดมสมบูรณ์ ณ ปราสาทพนมรุ้ง
ในสมัยโบราณ ปรากฏการณ์ธรรมชาติ ทรัพยากรทางธรรมชาติถือเป็นปัจจัยสำคัญในการดำรงชีวิตและแสดงถึงความเจริญรุ่งเรืองของถิ่นฐานบ้านเมืองนั้นๆ เป็นต้นว่ามีฟ้าฝนที่ดีตกต้องตามฤดูการ มีการทำนาได้ข้าวปลาธัญญาหารอุดมสมบูรณ์ ผู้คนในเมืองนั้นจึงอยู่ดีกินดีมีความสุขไม่อดอยากยากแค้น ผู้คนจึงให้ความสำคัญกับธรรมชาติ และแสดงออกผ่านคติความเชื่อการเคารพนอบน้อมต่อธรรมชาติ บูชาฟ้าฝน ภูเขาป่าไม้ สายน้ำต่างๆ ต่อมาเมื่อศาสนาพราหมณ์ – ฮินดูและพุทธศาสนาจากอินเดียแพร่เข้ามา ได้มีการยอมรับนับถือและยังคงให้ความสำคัญกับธรรมชาติ โดยถือเป็นศิริมงคลที่จะนำมาซึ่งความอุดมสมบูรณ์ ผ่านทางเทพเจ้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ตนนับถือที่เชื่อว่าสามารถดลบันดาลประทานพรความอุดมสมบูรณ์เหล่านั้นได้ ดังนั้นคติความอุดมสมบูรณ์จึงปรากฏตามศาสนสถานต่างๆ เช่นเดียวกับที่ปราสาทพนมรุ้ง ซึ่งสร้างขึ้นเนื่องในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ลัทธิวะนิกาย อันมีพระศิวะมหาเทพเป็นเทพเจ้าสูงสุด
การสร้างเทวาลัยถวายองค์พระศิวะเหนือยอดเขาพนมรุ้ง โดยมีผังปราสาทประธานอยู่ใจกลางเพื่อประดิษฐานองค์ศิวลึงค์ภายในห้องครรภคฤหะ แสดงถึงคติการให้กำเนิดของทุกสรรพสิ่งบนโลกและจักรวาล ก่อให้เกิดความอุดมสมบูรณ์ และยังมีภาพสลักประดับสถาปัตยกรรม ณ ปราสาทพนมรุ้ง ตัวอย่างภาพสลักที่เสาติดผนังซุ้มประตูมณฑปปราสาทพนมรุ้งด้านทิศตะวันออก แสดงถึงพิธีกรรมอันเกี่ยวเนื่องกับการเกษตรกรรมและความอุดมสมบูรณ์ ที่เรียกว่า “พิธีปูราณะธัณยกา” ปรากฏภาพสตรีสูงศักดิ์ยืนอยู่ที่ใต้ต้นไม้ใช้มือซ้ายเหนี่ยวกิ่งไม้ มือขวายื่นไปคล้ายจะหยิบหรือหว่านธัญพืชในพานที่สาวบริวารนั่งถือถวาย มีฤาษีกำลังสวดประกอบพิธีกรรม ซึ่งคาดว่าภาพนี้อาจแสดงถึงพิธีกรรมการเพาะปลูกการทำเกษตรกรรมเพื่อให้ได้ผลผลิตที่ดี เช่นเดียวกับพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ ในปัจจุบัน นอกจากนี้ปราสาทพนมรุ้งยังพบประติมากรรมรูป พระวรุณ เทพเจ้าแห่งสายฝน เทพผู้รักษาทิศตะวันตก สลักอยู่ที่บรรพแถลงประดับชั้นเรือนยอดปราสาทพนมรุ้งและที่แท่นลูกบาศก์หินทราย ที่หน้าบันชั้นลดปราสาทประธานพนมรุ้งยังพบภาพสลักพิธีกรรมมีบุคคลเทินหม้อน้ำมงคลหรือที่เรียกว่ากลศ เป็นหม้อใส่น้ำศักดิ์สิทธิ์ ลักษณะคล้ายแจกันใส่น้ำและดอกบัว สัญลักษณ์ของความเจริญงอกงามและความเป็นอมตะด้วย ส่วนภาพสลักที่เป็นสัญลักษณ์ความอุดมสมบูรณ์ ที่สำคัญอีกประการ คือ ภาพสลักดอกบัวแปดกลีบ ซึ่งเป็นที่นิยมอย่างมาก ยังแสดงถึงมีความบริสุทธิ์หลุดพ้น นอกจากนี้ยังเป็นสัญลักษณ์แผนผังศูนย์กลางจักรวาล โดยมีกลีบบัวแปดกลีบเปรียบดั่งทิศทั้งแปดล้อมรอบเขาพระสุเมรุนั่นเอง ที่ปราสาทพนมรุ้งพบทั้งแผ่นทองคำสลักลายดอกบัวแปดกลีบ ภาพสลักใจกลางสะพานนาคราช และภาพสลักนูนต่ำบนแท่นลูกบาศก์หินทรายเทพประจำทิศ ซึ่งลายดอกบัวเหล่านี้เป็นกลีบดอกบัวหลวงมีฝักเกสรอยู่กึ่งกลางดอก นอกจากนี้ยังพบภาพสลักดอกบัวขาบและบัวกุมุท ซึ่งเป็นพันธ์บัวสายชนิดหนึ่ง และลายดอกไม้พันธุ์พฤกษาต่างๆ สลักเป็นลายประดับที่ปราสาทประธานพนมรุ้งด้วย
ที่ปลายกรอบหน้าบันปราสาทพนมรุ้งและสะพานนาคราชชั้นที่ 2 และ3 จะพบว่ามีการสลักสวดลายเป็นมกรคายนาค และบางที่นาคยังคายพวงอุบะเพชรพลอยออกมาอีกด้วย ซึ่งมกรมีคติมาแต่อินเดีย เป็นสัตว์ในเทพนิยายอาศัยในทะเลลึก แสดงถึงความอุดมสมบูรณ์ มกรคายนาคออกมา ซึ่งนาคเป็นสัญลักษณ์ของสายน้ำ และนาคที่คายพวงอุบะดอกไม้และเพชรพลอยออกมาก็เพื่อให้เกิดความอุดมสมบูรณ์เป็นอย่างยิ่งเพื่อให้สถานที่นั้นเกิดแต่ความเป็นมงคลและอำนวยพรให้ผู้ที่เขามาภายในเทวาลัยได้รับแต่ความเป็นศิริมงคลความอุมดมสมบูรณ์อย่างไม่สิ้นสุดนั้นเอง
จากตัวอย่างเรื่องราวของสัญลักษณ์แห่งความอุมดสมบูรณ์และความเป็นสิริมงคลจากปราสาทพนมรุ้งนั้น แสดงให้เห็นถึงวิถีชีวิตของผู้คนในยุคสมัยนั้นได้เป็นอย่างดี เป็นต้นว่ามีสังคมเกษตรกรรม มีคติความเชื่ออันเกี่ยวเนื่องกับธรรมชาติ ซึ่งแม้ในปัจจุบัน ก็ยังมีคติความเชื่อและพิธีกรรมอันเกี่ยวเนื่องกับความอุดมสมบูรณ์อยู่ จะเห็นได้จากงานพระราชพิธีพืชมงคล จรดพระนังคัลแรกนาขวัญของราชสำนักไทย เพื่อเป็นขวัญกำลังใจให้แก่เกษตรกรและประชาชนทุกหมู่เหล่า และในแต่ละภูมิภาคก็มีความเชื่อพิธีกรรมแตกต่างกันไป เช่นพิธีแรกนาดูฤกษ์ยามก่อนไถนาครั้งแรก พิธีทำขวัญข้าว พิธีเสี่ยงทายฟ้าฝนและการเซ่นไหว้บวงสรวงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในช่วงฤดูทำนาเพื่อขอให้ฟ้าฝนตกต้องตามฤดูกาลและบังเกิดแต่ความอุดมสมบูรณ์นั่นเอง
เรียบเรียงโดย: นายสุทธินันท์ พรหมชัย นักโบราณคดี อุทยานประวัติศาสตร์พนมรุ้ง
เอกสารอ้างอิง:
สุริยวุฒิ สุขสวัสดิ์, หม่อมราชวงศ์. ปราสาทพนมรุ้ง ศาสนบรรพตที่งดงามที่สุดในประเทศไทย. พิมพ์ครั้งที่
๕. กรุงเทพฯ: มติชน, ๒๕๔๙.
พิสิฐ เจริญวงศ์ และคณะ. ปราสาทพนมรุ้ง. พิมพ์ครั้งที่ ๕. บุรีรัมย์: โรงพิมพ์วินัย, ๒๕๔¬๘.
สำนักโบราณคดี กรมศิลปากร. ศัพทานุกรมโบราณคดี. กรุงเทพฯ: รุ่งศิลป์การพิมพ์, ๒๕๕๐.
สวัสดิ์ จันทนี. นิทานชาวไร่ เล่ม ๖. กรุงเทพฯ: ศึกษาภัณฑ์พาณิชย์, ๒๕๑๕.
นิทานชาวไร่เป็นการเล่าเรื่องประวัติศาสตร์ทั้งเก่าและใหม่ พร้อมเกร็ดประวัติของผู้เล่าแทรกเข้าไปด้วย และยังสอดแทรกสาระ ความรู้ ความสนุกและน่าติดตามเรื่องราวต่างๆ
สำนักหอสมุดแห่งชาติขอเชิญเข้าร่วมกิจกรรมส่งเสริมการอ่านสำหรับเด็ก "Kids Inspiration" ปีที่ 6 ครั้งที่ 5 ในหัวข้อ "แทนคำบอกรักด้วยการ์ดวันแม่" ในวันที่ 9 สิงหาคม 2566 เวลา 10.00 - 12.00 น. ณ ห้องหนังสือเด็กและเยาวชน ชั้น 2 อาคาร 1 สำนักหอสมุดแห่งชาติ และยังสามารถรับชมการถ่ายทอดสดผ่านทาง Facebook Live ของหอสมุดแห่งชาติ NationalLibraryThailand ได้ในวันและเวลาดังกล่าว
งานของมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพฯ ได้แพร่ขยายออกไปทั่วพระราชอาณาจักร มีศูนย์ฝึกงานใหญ่หลายแห่ง เช่น สวนจิตรลดา พระราชวังดุสิต กรุงเทพมหานคร ที่อำเภอบางไทร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และที่บ้านกุดนาขาม อำเภอเจริญศิลป์ จังหวัดสกลนคร ราษฎรได้รับประโยชน์จากโครงการของมูลนิธิอย่างมาก ต่อมาเมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๘ รัฐบาลจึงได้จัดตั้ง “กองศิลปาชีพ” ขึ้นในสำนักราชเลขาธิการ เป็นหน่วยงานรองรับและสนับสนุนการดำเนินงานของมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพฯ
เมื่อผลงานของสมาชิกมูลนิธิเพิ่มมากขึ้น พระองค์ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดหาตลาดโดยการจำหน่ายในโอกาสสำคัญ ณ “ร้านจิตรลดา” ซึ่งเป็นศูนย์กลางจำหน่ายสินค้าศิลปาชีพหลายสาขา และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดงาน “ศิลป์แผ่นดิน” ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม เพื่อเปิดให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวเข้าชมผลงาน นอกจากนี้พระองค์ยังทรงนำงานชิ้นเอกไปเผยแพร่ให้นานาประเทศได้รู้จักฝีมือของชาวไทยด้วยพระองค์เองหลายครั้ง ยังผลให้ชาวต่างประเทศประจักษ์ในคุณค่า ความงาม และความประณีตของศิลปหัตถกรรมไทย ต่างชื่นชมฝีมือสร้างสรรค์งานศิลปะของชาวไทย นับว่างานศิลปาชีพได้สร้างรายได้ตลอดจนยกระดับคุณภาพชีวิตราษฎรในชนบทได้เป็นอย่างดี
เมื่อ พ.ศ. ๒๕๕๓ รัฐบาลยกฐานะ “โรงฝึกศิลปาชีพ สวนจิตรลดา” พระราชวังดุสิต ขึ้นเป็น “สถาบันสิริกิติ์” ด้วยตระหนักในศักยภาพที่สร้างสรรค์งานศิลปะก่อให้เกิดประโยชน์แก่ชาติอย่างยั่งยืนหลายมิติ และเพื่อเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ในมหามงคลสมัยทรงเจริญพระชนมพรรษา ๘๐ พรรษา
ต่อมา เมื่อวันที่ ๒๑ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๕ คณะรัฐมนตรีมีมติน้อมเกล้าฯ ถวายพระราชสมัญญา “อัคราภิรักษศิลปิน” หมายความว่า “ศิลปินยิ่งใหญ่ผู้ปกปักรักษางานศิลปะ” เฉลิมพระเกียรติให้ปรากฏไว้คู่กับ “อัครศิลปิน” ซึ่งหมายความว่า “ผู้มีศิลปะอันเลอเลิศ” ซึ่งเป็นพระราชสมัญญาของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ด้วยตระหนักว่าทรงบำเพ็ญพระราชกรณียกิจน้อยใหญ่ด้านการส่งเสริมวัฒนธรรมแก่ราษฎร สนองพระราชดำริในพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ผดุงความร่มเย็นเป็นสุขแก่อาณาประชาราษฎร์ บำรุงงานช่าง ซึ่งเป็นศิลป์แผ่นดินให้ธำรงอยู่คู่ชาติไทย
อ้างอิง :
(๑) คณะกรรมการจัดทำหนังสือจดหมายเหตุงานเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๘๐ พรรษา ๑๒ สิงหาคม ๒๕๕๕. จดหมายเหตุเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๘๐ พรรษา ๑๒ สิงหาคม ๒๕๕๕. ปทุมธานี : หอจดหมายเหตุแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช, ๒๕๕๘.
(๒) คณะกรรมการฝ่ายจัดทำหนังสือจดหมายเหตุงานเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๗ รอบ ๑๒ สิงหาคม ๒๕๕๙. จดหมายเหตุงานเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๗ รอบ ๑๒ สิงหาคม ๒๕๕๙. กรุงเทพฯ : กระทรวงศึกษาธิการ, ๒๕๖๑.
(๓) คณะอนุกรรมการจัดทำหนังสือจดหมายเหตุงานเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ. จดหมายเหตุเฉลิมพระเกียรติเนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๖ รอบ ๑๒ สิงหาคม ๒๕๔๗. กรุงเทพฯ : สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ กรมศิลปากร, ๒๕๔๘.
#เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง
#พระราชประวัติ
#จดหมายเหตุ
ผู้สนใจสามารถสืบค้นเอกสารจดหมายเหตุเพิ่มเติมได้ที่
https://archives.nat.go.th/Home/
หรือสนใจสั่งซื้อหนังสือออนไลน์ที่
https://shorturl.asia/nQ5WZ
-- องค์ความรู้จากเอกสารจดหมายเหตุ : วิบากกรรมหลังน้ำท่วม -- ในเดือนกันยายน พ.ศ. 2472 เกิดเหตุการณ์อุทกภัยขึ้นที่จังหวัดแพร่ สร้างความเสียหายให้กับบ้านเรือนและทรัพย์สินของประชาชนไปเป็นจำนวนมาก รวมถึงทรัพย์สินของทางราชการด้วย ซึ่งข้อมูลจากเอกสารจดหมายเหตุ ชุดกรมราชเลขาธิการ รัชกาลที่ 7 กระทรวงมหาดไทย ได้ปรากฏรายงานข่าวชิ้นหนึ่งจากหนังสือพิมพ์บางกอกการเมือง ฉบับวันที่ 3 ตุลาคม 2472 กล่าวถึงความเดือดร้อนของประชาชนและข้าราชการในจังหวัดแพร่หลังจากเหตุการณ์อุทกภัยในหลายๆ เรื่อง ซึ่งเป็นเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยที่อาจไม่ปรากฏในเอกสารใดๆ ของทางราชการ- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - ตำรวจยกของหาย นายโกระซิง แขกซึ่งเปิดร้านขายผ้าติดกับสถานีตำรวจ เล่าให้ฟังว่า วันที่น้ำท่วม เขาและภรรยาขนของหนีน้ำไม่ทัน หมออิสุมิ หมอชาวญี่ปุ่นที่อยู่บ้านตรงข้ามรู้สึกสงสาร จึงแนะนำให้ไปขอแรงตำรวจมาช่วยขนของไปไว้บนสถานีตำรวจ ตำรวจก็มาขนของไปเกือบหมดร้าน แต่เมื่อนายโกระซิงไปตรวจดูพบว่าของหายไปส่วนหนึ่ง เหลืออยู่เกือบไม่ถึงครึ่ง มูลค่าประมาณสามพันบาทเศษ เจ้าตัวถึงกับร้องไห้ด้วยความเสียใจ พลางต่อว่าหมออิสุมิว่าไม่น่าแนะนำจนทำให้เสียหาย วันต่อมาข่าวเรื่องนี้เริ่มแพร่สะพัดไปมากขึ้น ตำรวจคนหนึ่งได้มาต่อว่าแขกโกระซิง หมออิสุมิได้ยินจึงมาแก้แทนว่าตำรวจขนไปจริงๆ ตำรวจผู้นั้นก็พูดไม่ออก ที่สุดแล้วผู้ว่าราชการจังหวัดได้สั่งให้มีการสอบสวนในเรื่องนี้ แต่รายงานข่าวชิ้นนี้ไม่ได้บอกว่าผลสุดท้ายแล้วจบลงอย่างไร - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - เงินเรียกเก็บไม่ผ่อนผัน ผลจากน้ำท่วมคราวนี้ ทำให้ราษฎรจังหวัดแพร่ได้ความเดือดร้อนอย่างมาก ทั้งบ้านเรือนเสียหาย วัวควายที่เลี้ยงไว้ก็ล้มตายหรือลอยพัดไปกับน้ำ ส่งผลให้มีขอทานมากขึ้น และการที่ราษฎรได้รับความเสียหายจนต้องสิ้นเนื้อประดาตัวนี้ ย่อมส่งผลต่อการเก็บเงินรัชชูปการ หรือเงินที่ทางราชการเรียกเก็บจากชายฉกรรจ์ทุกคนที่มีอายุระหว่าง 18 - 60 ปีอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยสมุหเทศาภิบาลมณฑลพายัพ (ในขณะนั้นคือพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าทศศิริวงศ์ – ผู้เขียน) ทรงถามผู้ว่าราชการจังหวัดเกี่ยวกับประมาณการความเสียหายจากอุทกภัย ผู้ว่าฯ ได้ทูลรายงานว่าเสียหายประมาณ 50,007 บาท และเสนอว่าไม่ควรผ่อนผันเงินรัชชูปการ แต่แล้วก็เกิดความขัดแย้งกับผู้ใต้บังคับบัญชาขึ้น เนื่องจากนายอำเภอสูงเม่นรายงานประมาณการว่าเสียหายเกือบครึ่งของในเวียง และเสนอให้ผ่อนผัน ผู้ว่าฯ จึงเรียกนายอำเภอมาให้ลดค่าเสียหายลง นายอำเภอยืนยันว่าไม่แก้ไข เพราะสำรวจข้อมูลมาตามจริง ที่สุดแล้วสมุหเทศาภิบาลจึงทรงให้ผ่อนผันเงินรัชชูปการทั้งจังหวัดเป็นเวลา 3 เดือน- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - ข้าราชการหัวหมุน ไม่เพียงแต่ราษฎรทั่วไปเท่านั้นที่เดือดร้อนจากปัญหาอุทกภัย ข้าราชการเองก็วุ่นวายไม่แพ้กัน เนื่องจากต้องทำรายงานชี้แจงตามคำสั่งของผู้ว่าราชการจังหวัดว่าทรัพย์สินของทางราชการเสียหายหรือไม่ นอกจากนี้ในช่วงวันทำการแรกๆ หลังจากน้ำท่วม เจ้าหน้าที่ต้องนำเอกสาร เงินตราและธนบัตรออกมาผึ่งแดดให้แห้ง มีเจ้าหน้าที่ชั้นผู้ใหญ่ควบคุมดูแลอย่างใกล้ชิด เคราะห์ดีที่ธนบัตรในคลังไม่เปื่อยยุ่ย แต่ก็มีการเผากระดาษกองมหึมาซึ่งสันนิษฐานว่าเป็นเอกสารที่เสียหายจากน้ำท่วม โดยเผากันทั้งวันทั้งคืน ทั้งหมดนี้คือเรื่องราวของผลกระทบที่เกิดขึ้นหลังจากเหตุการณ์อุทกภัยเมื่อเกือบร้อยปีก่อน ซึ่งแม้ว่าเรื่องราวเหล่านี้จะมีที่มาจากบทความในหนังสือพิมพ์ แต่ก็ช่วยให้เห็นภาพของวิถีชีวิต สภาพสังคมและเศรษฐกิจ และการปฏิบัติตนของข้าราชการในยุคนั้นว่าเป็นอย่างไร ซึ่งผู้ค้นคว้าสามารถนำไปเชื่อมโยงกับเอกสารจดหมายเหตุชุดอื่นๆ ที่กล่าวถึงเหตุการณ์นี้เพื่อเติมเต็มข้อมูลทางประวัติศาสตร์ได้ผู้เขียน: นายธัชพงศ์ พัตรสงวน (นักจดหมายเหตุปฏิบัติการ หอจดหมายเหตุแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติฯ พะเยา)เอกสารอ้างอิง: สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ. เอกสารกรมราชเลขาธิการ รัชกาลที่ 7 กระทรวงมหาดไทย ร.7 ม. 26.5 ก/49 เรื่อง จังหวัดแพร่ [ 27 ส.ค. 2471 – 22 พ.ย. 2472 ].#จดหมายเหตุ #องค์ความรู้จากจากจดหมายเหตุ #หอจดหมายเหตุแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติฯพะเยา #เอกสารจดหมายเหตุ
องค์ความรู้ ส่งเสริมการอ่านผ่านออนไลน์
เรื่อง “น้อมรำลึกในหลวงรัชกาลที่ ๙ พระมหากรุณาธิคุณต่อชาวจันท์”
แม้กาลเวลาจะผ่านเนิ่นนานไปหลายปี แต่เชื่อว่ายังไม่มีใครลืมพระผู้ให้ พระผู้เป็นศูนย์รวมดวงใจของคนทั้งชาติ ในหลวงรัชกาลที่ ๙ พระองค์จะเป็นพระผู้สถิตอยู่ในดวงใจของคนเมืองจันท์และคนไทยทุกคนตราบนิรันดร์
เหตุการณ์ที่ยังคงจดจำไปอีกนาน เพราะนำมาซึ่งความวิปโยคของคนไทยทั้งชาติ ถึงแม้จะเป็นเพียงความทรงจำ แต่ก็เป็นความทรงจำที่มิรู้ลืม
ย้อนหลังไปเมื่อวันที่ ๑๓ ตุลาคม ปีพุทธศักราช ๒๕๕๙ พสกนิกรที่รักในองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพล อดุลยเดชฯ (พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร) ในหลวงรัชกาลที่ ๙ ต่างเดินทางมาที่โรงพยาบาลศิริราชกันอย่างเนืองแน่นหลังจากได้ทราบข่าวทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจที่พระอาการประชวร ของพระองค์ท่านทรุดลง ทุกคนต่างมารวมจิตรวมใจเป็นหนึ่งเดียวกัน ส่งกำลังใจ หวังให้อาการพระประชวรของพระองค์ทุเลาลง
นับตั้งแต่เดือนตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๗ ในหลวงรัชกาลที่ ๙ ได้เสด็จแปรพระราชฐานไปประทับรักษาพระอาการ พระโรคไข้หวัดและพระปัปผาสะอักเสบ ณ อาคารเฉลิมพระเกียรติ โรงพยาบาลศิริราช ตลอดมา แต่พระอาการประชวรได้ทรุดหนักลงตามลำดับ
พสกนิกรทุกหมู่เหล่าที่มาเฝ้ารอคอยที่โรงพยาบาลศิริราช ต่างสวมใส่เสื้อสีชมพูและอธิษฐานขอพรให้พระอาการประชวรของพระองค์ดีขึ้น จนผู้คนล้นหลามแน่นโรงพยาบาลในวันที่ ๑๓ ตุลาคม ช่วยกันส่งกำลังใจเพื่อให้พระอาการประชวรดีขึ้น ในวันนั้นมีกระแสข่าวว่าพระองค์เสด็จสวรรคต ผู้คนต่างไม่เชื่อว่าเป็นความจริง ต่างภาวนาอย่าให้เป็นเช่นนั้นเลย
แต่แล้วคำอธิษฐานของหลายคนที่หวังให้ศูนย์รวมดวงใจ ได้คงอยู่เป็นมิ่งขวัญจะไม่เป็นผล เหมือนสายฟ้าฟาดผ่าเปรี้ยงลงมากลางใจ เมื่อโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจออกแถลงการณ์ถึงข่าวการเสด็จสวรรคตของพระองค์เมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๑๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๙ เวลา ๑๕:๕๒ น. สิริพระชนมพรรษา ๘๘ พรรษา ๓๑๓ วัน
เสียงร้องระงมร่ำไห้ คร่ำครวญ ของประชาชนในโรงพยาบาล และที่ติดตามทางจอโทรทัศน์ ดังไปทั่วประหนึ่งว่าน้ำตาจะท่วมท้นแผ่นดิน เพราะคนที่รักมาจากไป ต่อแต่นี้ไม่มีอีกแล้วสำหรับพระเจ้าอยู่หัวอันเป็นที่รักยิ่งของปวงชนชาวไทย พระมหากรุณาธิคุณของพระองค์นั้นยิ่งใหญ่สุดที่จะพรรณนา
ชาวจันทบุรีเองต่างรักและอาลัยพระองค์ และสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่ ที่พระราชทานคลองภักดีรำไพ เพื่อแก้ปัญหาน้ำท่วมเมืองจันท์ นับเป็นโครงการในพระราชดำริสุดท้ายที่พระราชทานแก่ชาวจันท์ก่อนที่จะเสด็จสวรรคต
คงไม่มีใครรู้ว่าช่วงเวลาที่เกิดน้ำท่วมใหญ่ที่เมืองจันท์ เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๔๒ ได้มีเครื่องบินลำหนึ่งบินอยู่เหนือน่านฟ้าจันทบุรี เพื่อสำรวจอุทกภัยครั้งนี้ และเครื่องบินลำนี้ได้เป็นที่มาของการสร้างคลองภักดีรำไพ มีใครรู้บ้างว่าผู้ที่อยู๋ในเครื่องบิน ลำนี้เป็นใคร คำตอบคงอยู่ที่ใจของชาวจันท์
เมื่อวันที่ ๒๘ พฤศจิกายน ๒๕๔๖ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชฯ ในหลวงรัชกาลที่ ๙ มีพระราชดำริกับคณะมูลนิธิราชประชานุเคราะห์ ณ วังไกลกังวล สรุปความได้ว่า
“จังหวัดจันทบุรีประสบปัญหาอุทกภัยเนื่องจากมีถนน ๓ สาย ขวางกั้นเส้นทางน้ำ วิธีแก้ไข คือ ต้องไปสำรวจดูว่า น้ำผันมาจากทางไหน แล้วหาช่องระบายน้ำให้สอดคล้องกัน”
ต่อมา เมื่อวันที่ ๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๑ ในหลวงรัชกาลที่ ๙ มีพระราชดำริกับนายสุเมธ ตันติเวชกุล ประธานกรรมการบริหารสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำและการเกษตร ณ พระตำหนักเปี่ยมสุข วังไกลกังวล จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ สรุปบางส่วนได้ ดังนี้
“...พื้นที่จังหวัดจันทบุรี ระยอง และชลบุรี เป็นที่เป็นเขาอยู่ใกล้ชายหาด ฝนก็พอ แต่การจัดเก็บทำได้ยากเนื่องจากพื้นที่จากเขาที่ลาดลงมาถึงชายฝั่งนั้น ทำให้น้ำไหลเร็วเก็บไว้ลำบาก น้ำมานองท่วมตามแนวถนน หากช่วงฤดูฝนระบายน้ำทิ้งทะเล แก้ปัญหาน้ำท่วมก็จะขาดน้ำในฤดูแล้ง...” ทรงรับสั่ง “ให้ศึกษาหาแนวทางแก้ไขจัดการน้ำให้พอดี” และทรงย้ำเรื่อง “การประสานความร่วมมือกัน”
นี่คือที่มาของคลองภักดีรำไพ คลองนี้ที่ในหลวงรัชกาลที่ ๙ พระราชทานแก่ชาวจันทบุรี
นอกจากนี้ในหลวงรัชกาลที่ ๙ ยังได้เสด็จพระราชดำเนินมายังจันทบุรี เพื่อประกอบพระราชกรณียกิจถึง ๖ ครั้ง เป็นที่ปลาบปลื้มแก่พสกนิกรชาวจันท์ยิ่งนัก
ชาวจันทบุรีต่างสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราชบรมนาถบพิตร ในหลวงรัชกาลที่ ๙ ที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯพระราชทานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริสำคัญหลายโครงการให้กับประชาชนในพื้นที่ อาทิ ศูนย์ศึกษาการพัฒนาอ่าวคุ้งกระเบน อันเนื่องมาจากพระราชดำริ ศูนย์พัฒนาไม้ผลตามพระราชดำริ รวมถึงโครงการบรรเทาอุทกภัยเมืองจันทบุรี (คลองภักดีรำไพ) จึงทรงเป็นศูนย์รวมจิตใจและความตั้งมั่นของ
ชาวจันทบุรี ขอน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ของในหลวงรัชกาลที่ ๙
ผู้เขียน : นายประพนธ์ รอบรู้
นักวิชาการโสตทัศนศึกษาชำนาญการ หอสมุดแห่งชาติรัชมังคลาภิเษก จันทบุรี สำนักศิลปากรที่ 5 ปราจีนบุรี
องค์ความรู้สุพรรณบุรี เรื่อง ละว้าสุพรรณ
ผู้เรียบเรียง :
นางอภิญญานุช เผ่าพงษ์คล้าย บรรณารักษ์ชำนาญการ
หอสมุดแห่งชาติจังหวัดสุพรรณบุรี เฉลิมพระเกียรติ
คนโทรูปพระคเณศ
พุทธศตวรรษที่ ๑๘
นายโยธิน-นางวิวรรณ ธาราหิรัญโชติ มอบให้เมื่อวันที่ ๒๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๔
ปัจจุบันจัดแสดง ณ ห้องลพบุรี อาคารมหาสุรสิงหนาท พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร
คนโทดินเผาเคลือบเขียว ปากกลม ฐานกลม ตัวภาชนะแบ่งออกเป็นสองส่วน ส่วนล่างเว้ายืดสูง ส่วนบนของภาชนะเป็นรูปพระคเณศ ๒ กร ประทับขัดสมาธิราบบนฐานบัวคว่ำ พระเศียรตกแต่งเป็นลายเส้นตารางซ้อนกันสามชั้น (สันนิษฐานว่าเลียนแบบกรัณฑมงกุฎ) พระเนตรเปิดมองตรง งวงยาวถึงพระนาภี พระกรรณใหญ่ พระหัตถ์ขวาทรงถือทันต์ หรืองาที่หัก พระอุระแสดงการทรงสังวาลไขว้กันเป็นกากบาท ทรงพระภูษาสั้น ลักษณะผ้าเป็นริ้วคล้ายผ้าพลีต รัดองค์ประดับแถบลายสามเหลี่ยม
งาในพระหัตถ์ของพระคเณศนั้น ปุราณะหลายคัมภีร์เล่าต่างกัน อาทิ เกิดจากพระคเณศต่อสู้กับพระศิวะจนถูกขวานพระศิวะตัดงาไปข้างหนึ่ง หรือบางปุราณะกล่าวว่าเศียรช้างที่มาต่อกลับให้กับพระคเณศนั้นมีงาข้างเดียว หรือในอินเดียใต้อธิบายว่าคราวที่พระคเณศต่อสู้กับคชมุขาสูร พระคเณศเสียทีถูกหักงา แต่แย่งงาข้างที่หักได้และใช้เป็นอาวุธขว้างใส่คชมุขาสูร นอกจากนี้บางปุราณะยังกล่าวว่าเมื่อครั้งที่พระคเณศต่อสู้กับปรศุราม (อวตารของพระนารายณ์) ปรศุรามใช้ขวานวิเศษซึ่งได้รับมาจากพระศิวะขว้างใส่พระคเณศ เมื่อพระคเณศเห็นจึงจำได้ว่าเป็นขวานของบิดา จึงไม่ต่อสู้กลับแต่ใช้งาข้างหนึ่งรับขวานไว้ ทำให้งานั้นหักไปเหลืองาข้างเดียว นับแต่นั้นงาข้างที่หักจึงใช้เป็นอาวุธ*ของพระองค์รวมถึงใช้จารหนังสือในฐานะที่เป็นเทพแห่งอักษรศาสตร์ อีกทั้งพระคเณศที่ปรากฏงาข้างเดียวยังมีนามว่า “เอกทันตะ”
รูปเคารพพระคเณศนั้นปรากฏหลักฐานนับตั้งแต่ช่วงพุทธศตวรรษที่ ๑๒-๑๓ แล้ว สำหรับประเทศไทย พบประติมากรรมพระคเณศที่พบในช่วงเวลานี้ มีทั้งแบบสองกร และสี่กร อาทิ พระคเณศศิลาประทับมหาราชลีลาสนะ ประดิษฐานในเทวสถานโบสถ์พราหมณ์ กรุงเทพมหานคร พระคเณศสองกรทรงยืนพบที่เมืองโบราณศรีมโหสถ จังหวัดปราจีนบุรี พระคเณศศิลาประทับมหาราชลีลาสนะเก็บรักษาในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ มัชฌิมาวาส จังหวัดสงขลา และพระคเณศศิลาพบที่ปราสาทหินพนมรุ้ง จังหวัดบุรีรัมย์ ปัจจุบันเก็บรักษาที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พิมาย
นับตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ ๑๖ เป็นต้นมา เมื่อวัฒนธรรมเขมรโบราณแพร่กระจายเข้ามาในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคกลางของประเทศไทย จึงพบประติมากรรมพระคเณศหลากหลายรูปแบบทั้งประติมากรรมศิลา ประติมากรรมสำริด ประติมากรรมดินเผาเคลือบสีดำ และประติมากรรมนูนสูง เช่นรูปสลักบนทับหลังปราสาทหินพิมาย จังหวัดนครราชสีมา และทับหลังปราสาทศีขรภูมิ จังหวัดสุรินทร์
*กรณีการใช้งาของพระองค์เป็นอาวุธ มีตัวอย่างในปกรณัมของ “พระจันทร์” ความว่าครั้งหนึ่งพระคเณศเสด็จกลับจากงานเลี้ยง ปรากฏว่าพระองค์เผลอตกจากหลังมูสิกะ (หนูพาหนะของพระองค์) จนพระอุทร (ท้อง) แตก พระองค์จึงทรงโกยขนมคืนพระอุทร ขณะนั้น “พระจันทร์” ผ่านมาเห็นจึงหัวเราะเยาะ พระคเณศพิโรธจึงขว้างงาของพระองค์ปักพระจันทร์ทำให้โลกมืดมิด ต่อมาเทวดาร้องขอให้พระองค์อภัยพระจันทร์ จึงทรงยอมแต่พระจันทร์ยังต้องรับโทษอยู่ให้มีรูปทรงเว้าแหว่งทุกครึ่งเดือน
อ้างอิง
กรมศิลปากร. พระคเณศ เทพเจ้าแห่งศิลปวิทยา. กรุงเทพฯ: อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง, ๒๕๔๕.
อรุณศักดิ์ กิ่งมณี. ทิพยนิยายจากปราสาทหิน. กรุงเทพฯ: เมืองโบราณ, ๒๕๕๕.
สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ ขอเชิญชวนผู้สนใจเข้าร่วมฟังการเสวนาทางวิชาการ เรื่อง “ต้นร่างสร้างเมืองเรืองรองศิลปกรรม” กิจกรรมประกอบนิทรรศการพิเศษเนื่องในงานสัปดาห์วันอนุรักษ์มรดกไทย พุทธศักราช 2567 เรื่องเอกสารล้ำค่าจารึกสยาม ในวันเสาร์ที่ 15 มิถุนายน 2567 เวลา 13.00 – 16.00 น. ณ ห้องประชุมอาคารดำรงราชานุภาพ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร วิทยากรโดย ดร.วสุ โปษยะนันท์ สถาปนิกเชี่ยวชาญ ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านสถาปัตยกรรม (บูรณปฏิสังขรณ์หรือสถาปัตยกรรมไทย) นายจักริน อุตตะมะ มัณฑนากรเชี่ยวชาญ ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านมัณฑนศิลป์ ดร.พรธรรม ธรรมวิมล ผู้อำนวยการกลุ่มภูมิสถาปัตยกรรม สำนักสถาปัตยกรรม และนางพัชรินทร์ ลั้งแท้กุล ผู้อำนวยการกลุ่มเอกสารจดหมายเหตุและบริการ สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ ดำเนินรายการโดย นางสาวชนาธิป พฤกษ์อุดม มัณฑนากรปฏิบัติการ
ผู้สนใจสามารถลงทะเบียนเข้าร่วมกิจกรรมได้ผ่านการสแกน QR Code หรือกดลิ้งค์ https://forms.gle/UGW6v45Em9D3iygb8 (พร้อมรับของที่ระลึกภายในงาน) รับจำนวนจำกัดเพียง 100 ท่าน สามารถลงทะเบียนได้ตั้งแต่บัดนี้จนถึงวันพฤหัสบดีที่ 13 มิถุนายน 2567 หรือจนกว่าจะเต็ม ติดตามผลการประกาศรายชื่อผู้เข้าร่วมงานรับฟังการเสวนาได้ที่ Facebook : สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ
ภาพปูนปั้นรูปบุรุษ
- ทวารวดี (พุทธศตวรรษที่ ๑๒ - ๑๔)
- ปูนปั้น
- ขนาด กว้าง ๙๑ ซม. ยาว ๘๕ ซม. หนา ๕ ซม.
เดิมประดับที่ฐานลานประทักษิณด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้ ของเจดีย์จุลประโทน อ.เมืองนครปฐม จ.นครปฐม ได้จากการขุดค้นทางโบราณคดี เมื่อ พ.ศ.๒๕๑๑ ภาพปูนปั้น แสดงภาพบุรุษคล้ายยืนสนทนากัน คนทางขวามือของภาพไว้ผมยาวเป็นลอน ในมือถือสิ่งของลักษณะคล้ายอาวุธ
แสดงภาพวัตถุหมุน คลิกที่นี่ https://smartmuseum-v2.finearts.go.th/3d_object/?obj=40100
ที่มา: https://smartmuseum.finearts.go.th