ค้นหา
รายการที่พบทั้งหมด 48,765 รายการ
ชื่อผู้แต่ง วรรณคดีสมาคมแห่งประเทศไทย
ชื่อเรื่อง ในงานเปิดวรรณคดีสมาคมแห่งประเทศไทย นะทำเนียบสามัคคีชัย วันเสารที่ 21 มิถุนายน พ.ส.2485
ครั้งที่พิมพ์ -
สถานที่พิมพ์ พระนคร
สำนักพิมพ์ โรงพิมพ์พระจันทร์
ปีที่พิมพ์ 2485
จำนวนหน้า 101 หน้า
รายละเอียด
ในงานเปิดวรรณคดีสมาคมแห่งประเทศไทย นะทำเนียบสามัคคีชัย วันเสารที่ 21 มิถุนายน พ.ส.2485 ประกอบด้วยเรื่อง ความสำคัญของภาษาไทย จอมพล ป.พิบูลสงคราม หม่อมกอบแก้ว อาภากร ภาษากับชาติ วรรณคดีคืออะไร ฯลฯ พร้อมทั้งมีคำสั่งเรื่องตั้งกรรมการส่งเสริมวัฒนธรรมไทย รายงานการประชุม ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีเรื่องการปรับปรุงตัวอักษรไทยและข้อบังคับวรรณคดีสมาคมแห่งประเทศไทย
***บรรณานุกรม***
ผดุงถิ่นยุคข่าวเศรษฐกิจ
ปีที่ 18
ฉบับที่ 719
วันที่ 16-31 ธันวาคม 2536
ชื่อเรื่อง : นิราศพระแท่นดงรัง ของสามเณรกลั่น
ผู้แต่ง : กรมศิลปากร
ปีที่พิมพ์ : ๒๕๐๔
สถานที่พิมพ์ : กรุงเทพฯ
สำนักพิมพ์ : ศิวพร
เรื่องนิราศพระแท่นดงรังของสามเณรกลั่น สำนวนนี้ได้แต่งขึ้นในคราวติดตามพระภิกษุสุนทรภู่ไปนมัสการพระแท่นดงรัง สถานที่กล่าวถึงในนิราศพระแท่นดงรังและแผนที่แสดงเส้นทางผ่านไปพระแท่นดงรัง
โบราณสถานวัดพระนอนตั้งอยู่นอกกำแพงเมืองทางด้านทิศเหนือที่เป็นเขตอรัญญิกของเมืองกำแพงเพชร ผังของตัววัดเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าหันหน้าไปทางทิศตะวันออก อาคารต่างๆก่อสร้างด้วยศิลาแลงพื้นที่นอกกำแพงวัดด้านทิศตะวันออกมีอาคารศาลาโถง ที่อาบน้ำและบ่อน้ำที่ขุดเจาะลงไปในชั้นศิลาแลง ประตูทางเข้าอยู่ทิศตะวันออกทางเดินปูลาดด้วยศิลาแลงมีเสาปักตลอดสองฟากข้างทางเดิน สิ่งก่อสร้างที่สำคัญของวัดประกอบด้วยพระอุโบสถ เป็นอาคารที่ตั้งอยู่ตอนหน้าสุด ผังอาคารเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีมุขทั้งด้านหน้าและด้านหลัง รูปแบบของฐานอาคารเป็นฐานบัวลูกแก้วอกไก่ ภายในอาคารปรากฏแท่นชุกชีที่ใช้ประดิษฐานพระพุทธรูป มีเสาศิลาแลงรูปแปดเหลี่ยมเป็นเสารองรับเครื่องบน ด้านนอกอาคารมีเสาศิลาแลงรูปแปดเหลี่ยมเป็นเสาพาไลรองรับชายคาของอาคาร และมีฐานใบเสมา ๘ ฐานตั้งอยู่รอบพระอุโบสถ ใบเสมาสลักจากหินชนวนมีการแกะสลักลวดลายประเภทลายพรรณพฤกษา เป็นรูปดอกไม้อยู่ท่ามกลางเถาใบไม้มีกระหนกปลายแหลมและมีการแกะสลักเป็นภาพบุคคลเล่าเรื่องรามเกียรติ์ ตอน ทรพีสู้กับพาลี (ปัจจุบันจัดแสดง ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กำแพงเพชร) ถัดจากพระอุโบสถไปทางด้านทิศตะวันตกเป็นวิหาร มีแผนผังอาคารเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส ก่อเป็นฐานหน้ากระดานและบัวคว่ำ ภายในอาคารปรากฏแท่นอาสนสงฆ์และแท่นฐานชุกชีที่ใช้ประดิษฐานพระพุทธรูปในอิริยาบถไสยาสน์(นอน) องค์พระพุทธรูปพังทลายคงเหลือแต่ส่วนโกลนของพระบาทที่บริเวณด้านทิศเหนือของแท่นฐานชุกชี เสาวิหารที่รองรับโครงสร้างเครื่องไม้และหลังคาเป็นเสาศิลาแลงสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ กว้างด้านละ ๑ เมตร สูง ๖ เมตร มีน้ำหนักกว่า ๑๔ ตัน เป็นเสาศิลาแลงที่เป็นแบบชิ้นเดียวที่ใหญ่ที่สุด ในประเทศไทย และถือเป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่นที่แสดงถึงความสมบูรณ์ในทรัพยากรและความสามารถในเชิงช่างในสมัยโบราณของเมืองกำแพงเพชร เจดีย์ประธานอยู่ถัดจากวิหารไปทางด้านทิศตะวันตก เป็นแบบเจดีย์ทรงกลม หรือทรงระฆัง ฐานหน้ากระดานล่างสุดก่อเป็นฐานรูปสี่เหลี่ยม ด้านหน้าทำเป็นมุขเพื่อประดิษฐานพระพุทธรูป ถัดจากฐานหน้ากระดานรูปสี่เหลี่ยม เป็นฐานหน้ากระดานรูปแปดเหลี่ยมที่ซ้อนลดหลั่นกัน ๓ ชั้น ถัดไปเป็นฐานบัวลูกแก้วอกไก่ ต่อด้วยชุดบัวคว่ำ ๓ ชั้น หรือชั้นบัวถลา รองรับองค์ระฆังและบัลลังก์รูปสี่เหลี่ยม ส่วนยอดเจดีย์หักพังทลายไป พระราชนิพนธ์ “เสด็จประพาสต้น” ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ได้ระบุถึงการเสด็จประพาสต้นครั้งที่ ๒ เมื่อปีพุทธศักราช ๒๔๔๙ โดยได้เสด็จประพาสเมืองกำแพงเพชรโบราณในเขตอรัญญิก ในวันที่ ๒๔ สิงหาคม พ.ศ.๒๔๔๙ และได้ทรงมีพระราชนิพนธ์บรรยายเกี่ยวกับโบราณสถานวัดพระนอน ดังนี้ “...ถัดไปจึงถึงวัดพระนอน ซึ่งอยู่ใกล้ ๆ กัน วัดเหล่านี้ มักจะมีวิหารหรืออุโบสถใหญ่อยู่ข้างหน้า มีทักษิณล่างชั้นหนึ่งแล้วจึงถึงฐานบัตร ลักษณะวัดสุทัศน์ วิหารเหล่านี้ไม่เกิน ๕ ห้อง แต่คงมีมุขเด็จด้านหน้าอย่างวัดหน้าพระธาตุเมืองลพบุรี พนักเป็นช่องลูกฟัก เสาเป็นแปดเหลี่ยม ตัดแลงเป็น ๘ เหลี่ยมทีเดียว ด้านหลังมีมุขตั้งทักษิณชั้นล่างจนผนัง แลเสาใช้แลงอย่างเดียวไม่มีอิฐปน ใช้พื้นโบสถ์พื้นวิหารสูง ไม่ต่ำเหมือนอย่างกรุงเก่า เหตุที่เขารวยแลง แต่หลังคาจะหาตัวอย่างให้เห็นว่าเป็นอย่างไรไม่มีสักหลังเดียว ถัดโบสถ์หรือวิหารนี้ไป จึงมีก้อนกลางต่าง ๆ กัน ชิ้นหลังก็ยักไปต่าง ๆ กัน บางทีมีแต่ ๒ ชิ้น จะว่าด้วยวัดพระนอนนี้ วิหารหน้าใหญ่มาก แต่โทรมไม่มีอะไรอัศจรรย์ ในทักษิณชั้นล่างตั้งสิงห์เบือน เห็นจะมากคู่แต่เดี๋ยวนี้เหลือ ๒ ตัว ชิ้นกลางเป็นวิหาร ๕ ห้อง กันไว้ข้างหน้า ๒ ห้อง ห้องหลัง ๒ ห้องเหมือนวิหารพระศาสดาวัดบวรนิเวศแลวิหารพระอัฏฐารสวัดสระเกศแต่ใหญ่มาก เสาใช้แลงท่อนเดียว เป็นเสา ๔ เหลี่ยมสูงใหญ่ ห้องข้างหน้ามีพระนอน ห้องข้างหลังมีพระนั่ง ๒ องค์ ชิ้นหลังเป็นพระเจดีย์ฐาน ๘ เหลี่ยม ระฆังกลมรูปแจ้งามมาก เกือบจะสู้พระเจดีย์กลางถนนเมืองย่างกุ้งได้ ยังดีไม่ซวดเซอันใด เหตุด้วยพื้นเป็นแลงแข็งไม่ต้องทำราก ชั่วแต่ยอดหักแต่ที่เหลืออยู่บัดนี้สูงกว่า ๑๕ วา ที่หน้าพระเจดีย์นี้มีที่บูชา เป็นศาลาหลังคา ๒ ตอน ลักษณะเดียวกับที่ทูลกระหม่อมไปสร้างไว้ในที่ต่าง ๆ ต่อไปข้างหลังมีฐานโพธิ์ แลมีวิหารอะไรอีกหลังหนึ่งชำรุดมากดูไม่ออก เป็นวัดใหญ่มาก แต่จะเรียกว่าวัดพระนอนก็ควร เพราะมี พระนอนเป็นสำคัญ ...” การเสด็จประพาสหัวเมืองเหนือที่ปรากฏในพระราชนิพนธ์เรื่อง “เที่ยวเมืองพระร่วง” ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ เมื่อครั้งยังดำรงพระยศเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชเมื่อปีพุทธศักราช ๒๔๕๐ ได้เสด็จประพาสเมืองกำแพงเพชรโบราณในเขตอรัญญิก ในระหว่างวันที่ ๑๕ – ๑๗ มกราคม พ.ศ.๒๔๕๐ และได้ทรงมีพระราชนิพนธ์บรรยายเกี่ยวกับโบราณสถานวัดพระนอน ดังนี้ “…ที่วัดพระนอนนั้นยังมีชิ้นสำคัญอยู่ คือวิหารพระนอน ซึ่งทำด้วยฝีมือดี การก่อสร้างใช้แลงทั้งนั้น เสาเป็นเสากลมก่อด้วยแลงก้อนใหญ่ ๆ รูปอย่างศิลาโม่ ก้อนใหญ่ ๆ และหนา ๆ มาก ผนังวิหารมีเป็นช่องลูกกรง ลูกกรงทำด้วยแลงแท่งสี่เหลี่ยม สูงราว ๓ ศอก ดูทางข้างนอกงามดีมาก…” วัดพระนอนจึงถือเป็นโบราณสถานอีกแห่งในอุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชรที่มีความสำคัญยิ่งเป็นหลักฐานที่สะท้อนให้เห็นถึงความเจริญรุ่งเรืองในอดีตของแผ่นดินเมืองกำแพงเพชร ทั้งความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรและงานฝีมือศิลปกรรมในรูปแบบของสกุลช่างกำแพงเพชร ที่ปรากฏผ่านงานสถาปัตยกรรมและประติมากรรม ตลอดจนเรื่องราวทางประวัติศาสตร์โบราณคดี -------------------------------------------------------ที่มาของข้อมูล : อุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชร -------------------------------------------------------เอกสารอ้างอิง :กรมศิลปากร. นำชมอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย ศรีสัชนาลัย กำแพงเพชร. กรุงเทพฯ: บริษัทบางกอกอินเฮ้าส์จำกัด, ๒๕๖๑. พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ. เสด็จประพาสต้นในรัชกาลที่ ๕. พิมพ์ครั้งที่ ๒๖. กรุงเทพฯ : ไทยร่มเกล้า, ๒๕๒๙. พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว. เที่ยวเมืองพระร่วง. พิมพ์ครั้งที่ ๒. กรุงเทพฯ : มหามกุฏราชวิทยาลัย, ๒๕๑๙. ศักดิ์ชัย สายสิงห์. ศิลปกรรมโบราณในอาณาจักรสุโขทัย. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์มิวเซียมเพรส, ๒๕๖๑.
ศิลปะอินเดีย พุทธศตวรรษที่ ๒๔ หรือประมาณ ๒๐๐ ปีมาแล้ว
โลหะผสม สูงพร้อมฝา ๒๙ เซนติเมตร
สมบัติเดิมของพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร
คนโทบังกะรีทอง รูปทรงกลมมีเชิง คอทรงกระบอกยาว ปากแคบ มีฝาปิด ตกแต่งด้วยการฝังแผ่นโลหะสีทองลงบนพื้นผิวที่มีสีดำ ที่ลำตัวและส่วนกลางของคอฝังแผ่นโลหะสีทองเป็นลวดลายก้านแย่งพันธุ์พฤกษา สำหรับลายที่บ่าฝังแผ่นโลหะเป็นลายก้านขดพันธุ์พฤกษา คนโทบังกะรี เป็นโลหะผสมของสังกะสีและทองแดง ขึ้นรูปด้วยการหล่อแม่พิมพ์ จึงมีน้ำหนักมากกว่าคนโทโลหะสำหรับใส่น้ำดื่ม (น้ำเย็น) ชนิดอื่น
เครื่องบังกะรีเป็น เครื่องใช้โลหะที่คนไทยนำเข้าจากอินเดียจึงมีรูปทรงและลวดลายที่แตกต่างจากภาชนะของไทย ชาวมุสลิมในอินเดียใช้คนโทบังกะรีสำหรับใส่เหล้าองุ่น สำหรับในสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ เครื่องบังกะรีเป็นเครื่องโลหะที่พระมหากษัตริย์พระราชทานเป็นเครื่องยศแก่ข้าราชการชั้นหัวหมื่นนายเวรมหาดเล็กอีกด้วย
สำหรับเทคนิค “บังกะรี” (Bidri work) เป็นเทคนิคการฝังเส้นหรือฝังแผ่นโลหะลงบนผิวโลหะผสมของสังกะสีกับทองแดง จากนั้นนำไปชุบลงในน้ำที่ต้มกับน้ำประสานดีบุก (เกลือแอมโมเนียคลอไรด์) เพื่อให้ผิวโลหะเปลี่ยนเป็นสีดำต่างกับเส้นเงินหรือทองเหลืองที่ฝังลงไป
ชื่อเรื่อง เทศนาสังคิณี-มหาปัฎฐานสพ.บ. 147/1ประเภทวัสดุมีเดีย คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่ พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ 20 หน้า กว้าง 4 ซ.ม. ยาว 55 ซ.ม. หัวเรื่อง พระอภิธรรม บทสวดมนต์
บทคัดย่อ/บันทึก
เป็นคัมภีร์ใบลาน อักษรขอม เส้นจาร ฉบับล่องชาด ได้รับบริจาคมาจากวัดป่าเลไลยก์ ต.รั้วใหญ่ อ.เมืองฯ จ.สุพรรณบุรี
ชื่อผู้แต่ง อำนวย จันทโรจวงศ์
ชื่อเรื่อง เรื่อง “สำเนียงพยัญชนะบาลี”
ครั้งที่พิมพ์ -
สถานที่พิมพ์ พัทลุง
สำนักพิมพ์ โรงพิมพ์ครูชาญ
ปีที่พิมพ์ ๒๕๐๗
จำนวนหน้า ๑๖ หน้า
หมายเหตุ -
สัปคับ เจ้าจักรคำขจรศักดิ์ เจ้าผู้ครองนครลำพูน
+++สัปคับ หมายถึง ที่นั่งสำหรับผูกติดบนหลังช้าง ในภาษาถิ่นเหนือหรืออีสาน เรียกว่า แหย่ง ประกอบหลังคาด้านบนสำหรับกันแดดกันฝนเรียกว่ากูบ เมื่ออยู่บนพาหนะใดๆแล้ว ก็มักจะเรียกชื่อตามพาหนะนั้น เช่น กูบช้าง เป็นต้น
+++สัปคับพร้อมกูบในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หริภุญไชย ประวัติกล่าวว่าเป็นของเจ้าจักรคำขจรศักดิ์ เจ้าผู้ครองนครลำพูนองค์สุดท้าย
+++พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๗ โปรดเกล้าฯ ให้มีการเสด็จพระราชดำเนินเลียบมณฑลฝ่ายเหนือ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๙ ได้แก่มณฑลพิษณุโลก และมณฑลพายัพ ในส่วนของมณฑลพายัพนั้น ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดพิธีรับเสด็จเข้าเมืองกับพิธีทูลพระขวัญตามธรรมเนียมหัวเมืองฝ่ายเหนือที่จังหวัดเชียงใหม่แห่งเดียว ครั้งนั้นได้มีการเตรียมการอย่างยิ่งใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกระบวนเสด็จเข้าเมือง ได้มีการนำช้างจากเจ้าผู้ครองนครฝ่ายเหนือในขณะนั้น มาร่วมในกระบวนอย่างมากมาย
+++ในจดหมายเหตุเสด็จพระราชดำเนินเลียบมณฑลฝ่ายเหนือ พระพุทธศักราช ๒๔๖๙ ได้ระบุถึงช้างของเจ้าจักรคำขจรศักดิ์ เจ้าผู้ครองนครลำพูน ที่ได้นำมาร่วมขบวนในครั้งนั้นถูกจัดให้เป็นช้างทรงพระชัย ซึ่งหมายถึงพระชัยหลังช้าง อันเป็นพระพุทธรูปสำคัญที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช อัญเชิญไปในกระบวนเสด็จอยู่เสมอ นำเสด็จในการเข้าเมืองเชียงใหม่ครั้งนี้ ตามด้วยขบวนช้างทรงของรัชกาลที่ ๗ และสมเด็จพระบรมราชินี
++++ปัจจุบันสัปคับอยู่ในการดูแลของพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หริภุญไชย
ที่มา : กรมศิลปากร.จดหมายเหตุเสด็จพระราชดำเนินเลียบมณฑลฝ่ายเหนือ พระพุทธศักราช ๒๔๖๙. พิมพ์ครั้งที่ ๗ กรุงเทพฯ : กรมศิลปากร, ๒๕๖๐.
ธงทอง จันทรางศุ. ประพาสเวียงพิงค์. กรุงเทพฯ: จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย, ๒๕๖๑.
สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สังคิณี-มหาปัฎฐาน) เลขที่ ชบ.บ.35/1-3 เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)