ค้นหา
รายการที่พบทั้งหมด 48,759 รายการ
ชื่อเรื่อง : สาวิตรี ความเรียงและบทละครร้อง
ผู้แต่ง : มงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว, พระบาทสมเด็จพระ
ปีที่พิมพ์ : 2528
สถานที่พิมพ์ : กรุงเทพฯ
สำนักพิมพ์ : ธนาคารออมสิน
กลองมโหระทึก เป็นกลองชนิดหนึ่งที่ใช้ในการประกอบพิธีกรรมทางความเชื่อ ซึ่งมีอายุประมาณ 2,000 – 3,000 ปีมาแล้ว ทำด้วยโลหะผสมระหว่างทองแดงกับดีบุกเป็นส่วนใหญ่ ลักษณะรูปร่างคล้ายทรงกระบอก ส่วนหน้ากลองและฐานนั้นผายออก มีด้านหนึ่งเป็นแผ่นเรียบซึ่งเป็นส่วนของหน้ากลอง ส่วนอีกด้านหนึ่งเป็นส่วนฐานเป็นรูปกรวยและกลวง กลองมโหระทึกนั้นมีกำเนิดในแถบเทือกเขาทางตอนเหนือของประเทศเวียดนาม จัดอยู่ในกลุ่มวัฒนธรรมดองซอน ต่อมาได้รับเอาวิธีการหลอมโลหะมาจากจีน ในส่วนของประเทศไทยนั้น มีหลักฐานปรากฏชัดว่า ได้มีการผลิตและใช้กลองมโหระทึกมาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ในยุคโลหะเป็นต้นมา รูปแบบกลองมโหระทึก แบ่งออกได้เป็น 4 แบบ คือ - แบบที่ 1 เป็นกลองที่มีขนาดใหญ่ แบ่งออกเป็น 3 ตอน คือ กลองทำเป็นรูปคล้ายกลองรำมะนา ส่วนที่อยู่เหนือหูมีลักษณะโค้งผายและปิดทึบ ถัดมาเป็นส่วนตรงกลางมีรูปเป็นทรงกระบอก ส่วนล่างสุดโค้งผายออกและกลวงคล้ายบาตรคว่ำ กลองแบบนี้เป็นกลองที่มีอายุเก่าแก่ที่สุด และทางใต้ของประเทศไทยนั้นส่วนใหญ่พบแบบที่ 1 - แบบที่ 2 เป็นกลองขนาดปานกลาง ส่วนของหน้ากลองมีลักษณะโค้งมากขึ้นจนดูคล้ายทรงกระบอก ส่วนหูจะมี 2 อัน คู่กัน กลองแบบนี้พวกมวงในประเทศเวียดนามยังคงใช้กันอยู่ - แบบที่ 3 เป็นกลองขนาดกลาง ส่วนตอนกลางและตอนล่างจะกลมกลืนกันจนแยกไม่ค่อยออก ส่วนหน้ากลองจะมีรูปกบประกอบเกาะแน่นอยู่หลายตัว กลองแบบนี้เรียกว่า แบบยางหรือแบบกระเหรี่ยง เพราะชาวกระเหรี่ยงยังคงใช้กันจนทุกวันนี้ แบบที่ 4 เป็นแบบที่คล้ายทรงกระบอกเตี้ยและมีขนาดเล็ก บางครั้งเรียกว่า แบบจีนและมีลวดลายตกแต่งเป็นลายจีน มีหูจับ 2 คู่ ปัจจุบันยังคงพบและมีการใช้กันตามวัดในประเทศจีน ลวดลายประดับ 1. ลายดวงดาวหรือดวงอาทิตย์ เป็นลายที่สำคัญที่สุด พบบนหน้ากลองมโหระทึกตั้งแต่รุ่นแรกๆ จนถึงรุ่นหลังสุด สัญนิษฐานว่ากลุ่มชนที่สร้างกลองมโหระทึกอาจนับถือหรือเคารพบูชาดวงอาทิตย์ 2. ลายนกบิน เป็นลายรูปสัตว์ที่สำคัญลายหนึ่งที่พบบนหน้ากลองมโหระทึก ลายนกบินที่พบส่วนใหญ่จะมีหลายตัวตั้งแต่ 4 ตัวขึ้นไป สัญนิษฐานว่าลายนกบินนั้นอาจหมายถึงนกส่งวิญญาณตามความเชื่อของกลุ่มชน คือใช้ในการประกอบพิธีกรรมเกี่ยวกับความตาย 3. ประติมากรรมลอยตัวรูปกบ ความสำคัญของกบบนขอบหน้ากลองสันนิษฐานว่าเนื่องจากกบเป็นสัตว์ที่คนในสังคมเกษตรคุ้นเคย เป็นสัตว์ที่บ่งบอกถึงความอุดมสมบูรณ์ คาดว่ากลองมโหระทึกแบบนี้น่าจะเกี่ยวกับการเกษตรกรรมวัตถุประสงค์ในการผลิตกลองมโหระทึก มีผู้ศึกษาเกี่ยวกับกลองมโหระทึก โดยศึกษาจากชนเผ่าที่ยังใช้กลองมโหระทึกกันอยู่ในปัจจุบัน รวมถึงตีความจากลวดลายที่ปรากฏบนหน้ากลอง และจากหลักฐานทางโบราณคดี พบว่ากลองมโหระทึกนั้นผลิตขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกันไป อาทิเช่น - ใช้เป็นสิ่งแสดงถึงฐานะและความมั่งมี พวกเหลียว (Liao) ในประเทศจีน ถือว่าผู้ใดมีกลองใบใหญ่จะได้รับการยกย่องให้เป็นทู-ลาว (Tu-lao) ซึ่งเป็นผู้ที่ได้รับการยกย่องนับถือจากคนในชุมชน - ใช้เป็นสิ่งสำคัญในพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับความตาย พบว่าพวกกระเหรี่ยงในพม่าและภาคตะวันตกของไทยใช้กลองมโหระทึกในการตีเพื่อเรียกวิญญานของผู้ตาย โดยเชื่อว่าผู้ตายนั้นจะแปลงร่างเป็นนก และใช้กลองมโหระทึกเป็นแท่นวางเครื่องสังเวย นอกจากนี้ยังมีการตีความลายนกบินทวนเข็มนาฬิกาที่ปรากฏบนหน้ากลองว่า อาจเป็นกลองที่ใช้ในพิธีกรรมเกี่ยวกับความตาย และในทางตอนใต้ของจีน ที่สุสานสือไจ้ซาน มณฑลหยุนหนาน ได้มีการขุดพบกลองมโหระทึกในพื้นที่สุสานด้วย - ใช้ตีเป็นสัญญาณในคราวออกศึกสงคราม ที่ปาเซมะ(Pasemah) เกาะสุมาตรา ประเทศอินโดนีเซีย ได้มีการค้นพบประติมากรรมนักรบมีกลองมโหระทึกขนาดกลางแขวนอยู่ด้านหลัง - ใช้ตีในการประกอบพิธีกรรมขอฝน พบว่ากลองมโหระทึกบางใบมีการทำรูปสัตว์ต่าง เช่น กบ หอยทาก ช้าง จักจั่น ติดบนหน้ากลอง ซึ่งเชื่อว่าสัตว์เหล่านี้เกี่ยวข้องกับฝน ในทางตอนใต้ของจีนเชื่อว่า กบ และคางคกจะบอกเหตุล่วงหน้าว่าฝนจะตก - ใช้ในการประกอบพิธีกรรมอื่นๆ เช่น ในประเทศพม่าจะมีการตีกลองมโหระทึกในงานประเพณีของกลุ่มชนพื้นเมือง ส่วนในประเทศไทยพบว่ามีการตีกลองในงานมงคล และใช้ตีในงานพระราชพิธี อย่างเช่น พระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ ภาพ : มโหระทึกและฆ้องชัยในพระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ กลองมโหระทึกที่พบจากชุมชนโบราณเขาสามแก้ว พบในบริเวณเขาสามแก้ว ตำบลนาชะอัง อำเภอเมือง จังหวัดชุมพร ปัจจุบันจัดแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ชุมพร ภาพ : กลองมโหระทึก ขนาด (ฐาน) ศก.18.5 ซม. สูง 16.5 ซม. (หน้ากลอง) ศก.15.5 ซม. ชนิด สำริด สมัยก่อนประวัติศาสตร์ พุทธศตวรรษที่ 5-10 ลักษณะวัตถุ : หน้ากลองตกแต่งลายดวงอาทิตย์หรือดาว 8 แฉก ล้อมรอบด้วยลายนกกระสาบินทวนเข็มนาฬิกา ประวัติ : พบที่แหล่งโบราณคดีเขาสามแก้ว อำเภอเมือง จังหวัดชุมพร นำมาจาก พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2540 ภาพ : กลองมโหระทึก ขนาด กว้าง 76 ซม. สูง 56 ซม. (หน้ากลอง) ศก.68.5 ซม. ชนิด สำริด สมัยก่อนประวัติศาสตร์ พุทธศตวรรษที่ 5-10 ลักษณะวัตถุ : หน้ากลองตกแต่งลายดวงอาทิตย์หรือดาว 12 แฉก คั่นด้วยลายหางนกยูงล้อมรอบด้วยลายนกกระสาบินทวนเข็มนาฬิกาและลายเรขาคณิต ด้านข้างกลองตอนบนมีหู 4 หู โดยรอบ ตัวกลองตกแต่งลายวงกลมมีจุดตรงกลางมีเส้นทแยงในแนวตั้ง ประวัติ : พบที่แหล่งโบราณคดีเขาสามแก้ว อำเภอเมือง จังหวัดชุมพร นำมาจาก พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2540 ภาพ : กลองมโหระทึก ขนาด สูง 51 ซม. ศก.หน้ากลอง 69 ซม. ชนิด สำริด สมัยก่อนประวัติศาสตร์ พุทธศตวรรษที่ 5-10 ลักษณะวัตถุ : ทรงกลมสีเทาดำ หน้ากลองแบนราบ ตัวกลองป่องออกแล้วคอดเข้า ก่อนผายออกเป็นฐานมีหูสี่คู่ ภายในกรวง หน้ากลองตกแต่งลายดวงอาทิตย์สิบสี่แฉกล้อมรอบด้วยลายเส้น ลายจุด ลายนกยูงเหลียวหลังจำนวนหกตัว ลายปีกใบพัดจำนวนสิบสองตัว และลายนกกระสาสิบหกตัว บินทวนเข็มนาฬิกา ด้านข้างกลองตกแต่งลายเส้น ลายวงกลม ลายเส้นทแยง ในกรอบสี่เหลี่ยมผืนผ้าและลายวงกลมขนาดเล็ก ประวัติ : พบในคลองท่าตะเภา ตำบลบางลึก (เขาสามแก้ว) อำเภอเมือง จังหวัดชุมพร นำมาจากพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ นครศรีธรรมราช เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2554 ภาพ : ลวดลายบนหน้ากลองมโหระทึก-----------------------------------------ข้อมูลโดย : พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ชุมพร -----------------------------------------เอกสารอ้างอิงภาพลายเส้นจาก พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ นครศรีธรรมราช เขมชาติ เทพไชย. "รายงานการสำรวจและศึกษากลองมโหระทึก ณ บ้านยวนเฒ่า ตำบลเทพราช อำเภอสิชล จังหวัดนครศรีธรรมราช" ใน ศิลปากร ปีที่ ๒๙ ฉบับที่ ๔, หน้า ๘๒-๙๘. เมธินี จิระวัฒนา. กลองมโหระทึกในประเทศไทย. กรุงเทพฯ : สำนักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กรมศิลปากร, ๒๕๔๒. สารานุกรมวัฒนธรรมไทยภาคใต้ พ.ศ.๒๕๒๙ เล่ม ๑. ระบบทะเบียนโบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ชุมพร
ชื่อผู้แต่ง จอมเกล้าเจ้าอยู่หัว, พระบาทสมเด็จพระ
ชื่อเรื่อง อักษรอริยกะ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงคิดประดิษฐ์ ลายพระหัตถ์ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ทูลสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช
ครั้งที่พิมพ์ -
สถานที่พิมพ์ พระนคร
สำนักพิมพ์ โรงพิมพ์มหามกุฎราชวิทยาลัย
ปีที่พิมพ์ 2501
จำนวนหน้า 27 หน้า
รายละเอียด
จัดพิมพ์ขั้นเพื่ออุทิศส่วนกุศลถวายสมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาวชิรญาณวโรรส ในสุรทินตรงกับวันสิ้นพระชนม์ ปีที่ 38 วันที่ 2 สิงหาคม 2501 เนื้อหาภายในเล่มประกอบด้วย 2 เรื่องคือ อักษรอริยกะ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงประดิษฐ์ขึ้นใช้สำหรับเขียนภาษาบาลีและลายพระหัตถ์ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรสทูลพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเกี่ยวกับเรื่องเมืองกำแพงเพชร มีตัวอย่างอักษรอริยกะพร้อมเขียนแปลเป็นภาษาไทย นอกจากนี้ยังมีคำอธิบายของหัวหน้ากองจดหมายเหตุแห่งชาติ กรมศิลปากรและคำอธิบายเพิ่มเติม ประกอบท้ายเล่ม
สืบเนื่องจากองค์ความรู้ชุด “วิหารธรรมศาลา : พระวิหารสมัยอยุธยา วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร นครศรีธรรมราช” ซึ่งได้กล่าวถึงจารึกหน้าบันวิหารธรรมศาลา ๓ แผ่น และข้อสันนิษฐานว่าจารึกแผ่นที่ ๓ อาจสลักขึ้นใหม่ เนื่องจากข้อความในจารึกไม่สอดคล้องกับหลักฐานเอกสาร คือบันทึกของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัติวงศ์ ซึ่งได้คัดลอกข้อความในจารึกหน้าบันวิหารธรรมศาลาไว้เมื่อครั้งตรวจราชการเมืองนครศรีธรรมราชใน ร.ศ.๑๒๑ (พุทธศักราช ๒๔๔๕) นั้น จากข้อสันนิษฐานดังกล่าว นำมาสู่การค้นพบข้อมูลสำคัญอีกประการหนึ่งว่า แท้จริงแล้ว จารึกทั้ง ๓ แผ่น น่าจะถูกถอดลงเมื่อครั้งบูรณะวิหารธรรมศาลาในปีพุทธศักราช ๒๕๑๑ แล้วคัดลอกใหม่ทั้งหมดเพื่อแทนที่ของเดิมที่มีสภาพผุพัง เนื่องจากได้พบ “จารึกหน้าบันวิหารธรรมศาลา” แผ่นที่ ๑ ซึ่งเป็นจารึกแผ่นเดิมที่สลักขึ้นเมื่อพุทธศักราช ๒๔๓๗ ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๕) จารึกหน้าบันวิหารธรรมศาลา ที่กล่าวถึงนี้ เป็นจารึกแผ่นที่ ๑ ซึ่งอยู่ในตำแหน่งกึ่งกลางของหน้าบัน มีขนาดใหญ่ที่สุดในจำนวนจารึกทั้ง ๓ แผ่น เป็นจารึกอักษรไทย ภาษาไทย ข้อความในจารึกมีจำนวน ๑ ด้าน ๔ บรรทัด ขนาดความสูงของตัวอักษรประมาณ ๕ - ๖ เซนติเมตร สลักบนแผ่นไม้รูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ขนาดกว้าง ๕๒ เซนติเมตร ยาว ๑๓๔ เซนติเมตร หนา ๒.๕ เซนติเมตร มีเนื้อหากล่าวถึงการบูรณะวิหารธรรมศาลาในพุทธศักราช ๒๔๓๗ สันนิษฐานว่าผู้สร้างจารึกหลักนี้คือ พระครูเทพมุนีศรีสุวรรณถูปาภิบาล (ปาน) ซึ่งเป็นกำลังสำคัญในการบูรณะวิหารธรรมศาลาในช่วงเวลาดังกล่าว ซึ่งสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัติวงศ์ ทรงบันทึกไว้ว่าในครั้งนั้นท่านปานได้ทำการบูรณะหลังคาวิหารธรรมศาลาขึ้นใหม่ แล้วเสร็จจึงสั่งให้สลักจารึกนี้ขึ้นประดับบนหน้าบันแต่นั้นมา คำจารึก ๑. ศุกมัสดุพุทธศกราชล่วงแล้ว ๒. ได้สองพันสี่ร้อยสามสิบเจ็ด ๓. ณ วันเสาร์ เดือนยี่ ขึ้นสิบเอ็ดค่ำ ๔. ปีมเมีย ฉศก ได้ยกวิหารนี้ คำอ่าน ๑. ศุภมัสดุพุทธศักราชล่วงแล้ว ๒. ได้สองพันสี่ร้อยสามสิบเจ็ด ๓. ณ วันเสาร์ เดือนยี่ ขึ้นสิบเอ็ดค่ำ ๔. ปีมะเมีย ฉศก ได้ยกวิหารนี้ จารึกแผ่นนี้ปัจจุบันถูกเก็บรักษาอยู่ในคลังโบราณวัตถุ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ นครศรีธรรมราช ซึ่งขณะนี้อยู่ในระหว่างการวางแผนเพื่อนำส่งไปอนุรักษ์ที่กลุ่มวิทยาศาสตร์เพื่อการอนุรักษ์ สำนักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ในปีงบประมาณ ๒๕๖๔ จากหลักฐานที่พบ จึงสามารถสันนิษฐานได้ว่าจารึกหน้าบันวิหารธรรมศาลาทั้ง ๓ แผ่นที่ปรากฏในปัจจุบัน น่าจะเป็นจารึกที่คัดลอกใหม่เพื่อแทนของเดิมที่ผุพังเสียหาย โดยอาจทำขึ้นในปีพุทธศักราช ๒๕๑๑ ตามศักราชที่ปรากฏในจารึกแผ่นที่ ๓ สำหรับจารึกแผ่นที่ ๑ และแผ่นที่ ๒ นั้น เป็นการคัดลอกข้อความที่ปรากฏบนจารึกเดิม เพียงแต่มีรายละเอียดของรูปอักษรบางตัวและลายเส้นที่ต่างกัน ส่วนจารึกแผ่นที่ ๓ นั้น พบว่าถูกสลักขึ้นใหม่โดยมีข้อความต่างไปจากจารึกแผ่นเดิม คือกล่าวถึงการบูรณะวิหารธรรมศาลาในพุทธศักราช ๒๕๑๑ ซึ่งเป็นปีที่บูรณะแล้วเสร็จในขณะนั้น ----------------------------------------------เรียบเรียง/กราฟิก: นภัคมน ทองเฝือ นักโบราณคดีชำนาญการ กลุ่มโบราณคดี สำนักศิลปากรที่ ๑๒ นครศรีธรรมราช ----------------------------------------------อ้างอิง: นริศรานุวัดติวงศ์, สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยา. จดหมายระยะทางไปตรวจราชการ แหลมมลายู ร.ศ.๑๒๑ .กรุงเทพฯ : กรมศิลปากร, ๒๕๔๐. //หมายเหตุ: สามารถอ่านรายละเอียดเกี่ยวกับจารึกหน้าบันวิหารธรรมศาลาเพิ่มเติมได้จากองค์ความรู้เรื่อง "วิหารธรรมศาลา : พระวิหารสมัยอยุธยา วัดพระมหาธาตุ วรมหาวิหารนครศรีธรรมราช" https://www.facebook.com/nakonsrifad14/posts/660893617843556?__tn__=K-R
วันพฤหัสบดีที่ ๒๙ ตุลาคม ๒๕๖๓ นายชำนาญ กฤษณสุวรรณ นายช่างเทคนิคอาวุโส รักษาราชการแทนผู้อำนวยการสำนักศิลปากรที่ ๑๐ นครราชสีมา พร้อมด้วยนางกันยา แต้เจริญวิริยะกุล บรรณารักษ์ชำนาญการพิเศษ นางสาวฑาริกา กรรมจันทร์ หัวหน้าฝ่ายบริหารงานทั่วไป และนายประพันธ์ เนื่องมัจฉา นายช่างสำรวจชำนาญงาน ลงพื้นที่ติดตามความคืบหน้าการบริหารจัดการพื้นที่เพื่อเตรียมความพร้อมก่อนการเปิดจำหน่ายบัตรเข้าชมปราสาทพนมวัน อำเภอเมืองนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมา
ผู้แต่ง : -
ฉบับพิมพ์ : พิมพ์ครั้งที่ 2
สถานที่พิมพ์ : พระนคร
สำนักพิมพ์ : กรมศิลปากร
ปีที่พิมพ์ : 2499
หมายเหตุ : พิมพ์เป็นอนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ พันเอก พระยารัตนพิมพาภิบาล (หม่อมราชวงศ์สวัสดิ์ อิศรางกูร) ณ ฌาปนสถานกองทัพบก วัดโสมนัสวิหาร เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ พุทธศักราช 2499
เป็นโคลงภาพเขียนพระราชพงศาวดารไทย ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ได้แบ่งเป็นตอน จำนวน 92 รูป โคลงที่แต่งมี จำนวน 376 บท แล้วเขียนบรรจุบานกระจกประดับในคราวงานพระเมรุสมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าพาหุรัดมณีชัย สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้าศิริราชกกุธภัณฑ์ สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้าตรีเพชรุตม์ธำรง และพระอัครชายาเธอพระองค์เจ้าเสาวภาคนารีรัตน์ เมื่อ พ.ศ.243
พระเจดีย์หลวงเขาตังกวนและหน้าบันที่สาบสูญ สืบเนื่องจากเทศบาลนครสงขลา มีความประสงค์จะบูรณะพระเจดีย์หลวงและปรับปรุงแหล่งท่องเที่ยวบนยอดเขาตังกวน จึงได้ทำหนังสือขอความอนุเคราะห์มายังสำนักศิลปากรที่ 11 สงขลา ให้พิจารณาแนวทางซ่อมแซมพร้อมทั้งจัดทำรูปแบบและประมาณราคา
ทั้งนี้ ทางสำนักศิลปากรที่ 11 สงขลา ได้ทำการศึกษารูปแบบและสืบค้นภาพถ่ายเก่า พบว่าหน้าบันคฤห์ของพระเจดีย์หลวงบนยอดเขาตังกวนมีลวดลายปูนปั้นปรากฏอยู่ แต่จากภาพถ่ายเก่าที่เห็นลวดลายที่ไม่ชัดเจน ทางสำนักศิลปากรที่ 11 สงขลา จึงได้ทำรูปแบบสันนิษฐานหน้าบันคฤห์ด้านทิศเหนือไว้ 3 แบบ และด้านทิศใต้ไว้ 3 แบบ จึงใคร่ขอข้อมูลภาพถ่ายรวมถึงคำบอกเล่าเพื่อใช้ในการออกแบบบูรณะเพื่อให้ย้อนคืนสู่สภาพเดิมในสมัย ร.4 ที่สมบูรณ์ตามหลักวิชาการอย่างถูกต้องต่อไป
ชื่อเรื่อง มหานิปาตวณฺณนา (ทสชาติ) ชาตกฏฐกถา ขุทฺทกนิกายฏฐกถา (มหาชนก)สพ.บ. 180/2ประเภทวัสดุมีเดีย คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่ พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ 56 หน้า กว้าง 5 ซ.ม. ยาว 58.4 ซ.ม. หัวเรื่อง พุทธศาสนาบทคัดย่อ/บันทึก
เป็นคัมภีร์ใบลาน อักษรขอม เส้นจาร ฉบับทองทึบ ภาษาบาลี-ไทย ได้รับบริจาคมาจากวัดพยัคฆาราม ต.ศรีประจันต์ อ.ศรีประจันต์ จ.สุพรรณบุรี
ชื่อเรื่อง ธุดงควัตร (ธุดงควัตร)สพ.บ. 226/2ประเภทวัสดุมีเดีย คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่ พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ 54 หน้า กว้าง 5 ซ.ม. ยาว 56 ซ.ม. หัวเรื่อง พุทธศาสนา พระไตรปิฎก พระวินัยปิฏก
บทคัดย่อ/บันทึก
เป็นคัมภีร์ใบลาน อักษรธรรมอีสาน เส้นจาร ฉบับล่องรัก ภาษาบาลี-ไทยอีสาน ได้รับบริจาคมาจากวัดทุ่งอุทุมพร ต.บางปลาม้า อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี