ค้นหา
รายการที่พบทั้งหมด 48,749 รายการ
ความเชื่อของ “พรหมลิขิต”
พรหมลิขิต แปลโดยรูปศัพท์ได้ว่า ข้อความหรือลวดลายที่พระพรหมเขียนไว้ ถือเป็นคติความเชื่อที่ว่า ชะตาชีวิตของมนุษย์ได้ถูกกำหนดไว้โดยพระพรหม เทพสำคัญในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู อาจสืบเนื่องมาจาก การที่พระพรหมอยู่ในฐานะพระผู้สร้าง จึงเกี่ยวพันกับมนุษย์ตั้งแต่แรกเกิด คติเรื่องพรหมลิขิตปรากฏมาตั้งแต่อินเดียและคงเผยแพร่เข้ามาในดินแดนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
คติเรื่องพรหมลิขิตนี้ ชาวมอญรุ่นเก่าเชื่อกันว่า เมื่อทารกใกล้คลอดจะต้องนำผ้าขาวมาปูตั้งแต่ประตูหัวกระไดบ้าน จนมาถึงสถานที่อันจะทำคลอด และจัดหาเครื่องประกอบพิธีประกอบด้วย มะพร้าวหนึ่งผล กล้วยหนึ่งหวี เครื่องหอมจำพวกแป้งและน้ำมันต่าง ๆ ดินสอและสมุดเตรียมไว้ข้างที่นอนทารกให้พร้อม เมื่อทารกกำเนิดขึ้นพระพรหมจะดำเนินบนผ้าขาว มาทำการลิขิตขีดเขียนที่หน้าผากของทารก
ส่วนคติไทยโบราณก็ใกล้เคียงกับทางมอญ กล่าวคือ เมื่อเด็กเกิดมาได้ ๖ วัน พระพรหมจะเสด็จลงมาเขียนเส้นไว้ที่หน้าผาก เพื่อกำหนดหมายว่าเด็กผู้นั้นจะมีความเป็นอยู่วิถีชีวิตอย่างไรตราบจนวันตาย อนึ่ง สิ่งที่พระพรหมกำหนดไว้กล่าวกันว่ามีอยู่ ๕ ประเภท คือ
๑. อายุขัย คือ บุคคลนั้นจะมีอายุยืนยาวหรือสั้นเพียงใด
๒. ภาวะจิตใจหรืออารมณ์
๓. สติปัญญา ความเฉลียวฉลาด
๔. ฐานะความเป็นอยู่
๕. ความรู้สึกสำนึกในบาปบุญคุณโทษ
เรื่อง พรหมลิขิต มีพื้นฐานจากทางพราหมณ์-ฮินดูอย่างชัดเจน แต่ได้กลมกลืนอยู่ในวัฒนธรรมความเชื่อในสังคมไทยเสมอมาจนถึงปัจจุบัน ทั้งความเชื่อเรื่องพระพรหมมีอำนาจบันดาลโชคชะตาของมนุษย์ ยังสะท้อนออกมาในตำราพรหมชาติ ที่เกี่ยวข้องไปกับเรื่องราวทางโหราศาสตร์ ว่าด้วยอิทธิพลของวันเดือนปีเกิด อาจรวมถึงลายมือ ลายเท้า และลักษณะสัดส่วนของร่างกายอีกด้วย
สำหรับภาพโบราณวัตถุที่นำมาประกอบเรื่องราวนี้ เป็นพระพรหมองค์เดิมที่เคยประดิษฐาน ณ สี่แยกราชประสงค์ ที่สร้างขึ้นพร้อม ๆ กับการสร้างโรงแรม เพื่อขอพรให้เกิดความราบรื่น บัลดาลสิ่งร้ายให้กลายเป็นดี
ตามคำแนะนำของ พล.ร.ต. หลวงสุวิชานแพทย์ โดยการก่อสร้างศาลพระพรหม มีนายเจือระวี ชมเสรี และ ม.ล.ปุ่ม มาลากุล แห่งกรมศิลปากร เป็นผู้ออกแบบศาล ส่วนผู้ออกแบบและปั้นพระพรหมคือ นายจิตร พิมพ์โกวิท ช่างกองหัตถศิลป์ เป็นการปั้นตามแบบแผนกรมศิลปากร โดยปั้นด้วยปูนปลาสเตอร์ปิดทอง ซึ่งการสร้างพระพรหมที่โรงแรมเอราวัณจึงถือเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างศาลพระพรหมไว้บูชาตามบ้านเรือน หรืออาคารใหญ่ ๆ อย่างแพร่หลายในสังคมไทย ก่อนที่เมื่อ พ.ศ. ๒๕๔๙ พระพรหมจะถูกทุบทำลายโดยชายผู้หนึ่ง เป็นเหตุให้มีการซ่อมแซมโดยกรมศิลปากร แล้วนำกลับไปประดิษฐาน ณ ที่เดิม ขณะเดียวกันได้ถอดพิมพ์องค์เดิมเพื่อหล่อองค์ใหม่เป็นโลหะ ซึ่งก็คือองค์ในภาพนั่นเอง ปัจจุบันเก็บรักษา ณ คลังกลางพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ
อ้างอิง
- กรมศิลปากร. นามานุกรมขนบประเพณีไทย หมวดประเพณีราษฎร์ เล่ม ๓. กรุงเทพฯ : สำนักวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ กรมศิลปากร, ๒๕๔๙.
- กรมศิลปากร. พระมหาพรหมองค์เดิม ที่บูรณปฏิสังขรณ์. กรุงเทพฯ : กรมศิลปากร, ๒๕๕๑.
- ธนิต อยู่โพธิ์ และคนอื่น ๆ. พรหมสี่หน้า. กรุงเทพฯ : อมรินทร์, ๒๕๔๙.
- เสมียนอารีย์. “กำเนิดศาลพระพรหม” ณ โรงแรมเอราวัณ สี่แยกราชประสงค์.” ใน ศิลปวัฒนธรรม [ออนไลน์]. เข้าถึงได้http://xn--www-dkl8ayt.silpa-mag.com/history/article_89966
- ไทยรัฐ. “ครบรอบ 61 ปี วันตั้งศาลท้าวมหาพรหม ชาวไทย-ต่างชาติแห่สักการะแน่น.” ใน ไทยรัฐออนไลน์. เข้าถึงได้http://xn--www-dkl8ayt.thairath.co.th/news/crime/1121557
เหลืองจันทบูร เป็นกล้วยไม้อิงอาศัย พบในป่าดิบที่โล่งแจ้ง แสงแดดจัดถึงร่มรำไร บริเวณแถบภาคตะวันออกของไทยตั้งแต่ฉะเชิงเทรา ระยอง จันทบุรี ตราด จนถึงป่าแถบชายแดนกัมพูชา บ้างพบในป่าแถบปราจีนบุรีและนครราชสีมาเช่นกัน ออกดอกปีละครั้งระหว่างเดือนมกราคมถึงมีนาคม โดยออกดอกเป็นช่อทั้งต้น ดอกบานทนนาน กลีบดอกสีเหลืองสดเป็นมัน อาจมีแต้มสีแดงภายในคอขนาดต่าง ๆ กัน หรือเป็นเพียงขีดสีแดง หรือไม่มีแต้มเลย ชนิดที่มีแต้มมักเรียกว่าเหลืองขมิ้นหรือเหลืองนกขมิ้น
ประวัติความเป็นมาของกล้วยไม้เหลืองจันทบูร พบว่ามีบันทึกของหญิงลักษณาเลิศได้กล่าวถึงกล้วยไม้นี้ว่าพบอยู่ในเขตมณฑลจันทบูร เช่น เขาสระบาป และได้ทราบจากนายซเรอเบเล็นว่า นายฟรีดริคส์ ซึ่งทำงานอยู่ห้าง บีกริมม์ได้นำไปยุโรปให้ศาสตราจารย์ไรค์เชนปาคจัดลำดับทางอนุกรมวิธาน โดยได้จัดให้กล้วยไม้สายพันธุ์เหลืองจันทบูรมีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Dendrobium friedericksianum Rchb.f. เป็นกล้วยไม้สกุล Dendrobium วงศ์ Epidendroideae และกล้วยไม้สายพันธุ์เหลืองจันทบูรชนิดมีแต้มมีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Dendrobium friedericksianum Rchb.f. var. oculatum. กล้วยไม้นี้มีชื่อไทยว่าเอื้องเหลืองจันทบูร แต่ชื่อท้องถิ่นที่ชาวจันทบุรีนิยมเรียกคือ เหลืองจันทบูร หรือ เอื้องนกขมิ้น
กล้วยไม้เหลืองจันทบูรเป็นกล้วยไม้เฉพาะถิ่นที่พบในประเทศไทย มีสถานภาพเป็นพืชอนุรักษ์ภายใต้การควบคุมของกฎหมายไทยตามบัญชี 2 ของอนุสัญญา CITES เป็นกล้วยไม้ถูกรุกราน และมีแนวโน้มใกล้สูญพันธุ์จากป่าในธรรมชาติ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลตะวันออก วิทยาเขตจันทบุรี ซึ่งเดิมเคยเป็นโรงเรียนเกษตรกรรมจันทบุรี เห็นถึงความสำคัญของการอนุรักษ์พันธุ์กล้วยไม้พื้นเมืองนี้ ได้มีการจัดทำห้องปฏิบัติการเพาะเลี้ยงกล้วยไม้เพื่อขยายพันธุ์กล้วยไม้เหลืองจันทบูรตั้งแต่ พ.ศ. 2542 เป็นต้นมา กรอปกับได้รับการสนับสนุนงบประมาณในการดำเนินการจากองค์การบริหารส่วนจังหวัดจันทบุรีตั้งแต่ พ.ศ. 2545 เพื่ออนุรักษ์กล้วยไม้นี้ให้เป็นกล้วยไม้ประจำจังหวัดจันทบุรี ทั้งนี้ได้ร่วมกันจัดกิจกรรมเพื่อปลุกจิตสำนึกภายใต้งาน “รักษ์เหลืองจันท์วันดอกไม้บาน” ขึ้นทุกวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ของทุกปี ปัจจุบันใช้ชื่องานว่า “ราชมงคล รักษ์เหลืองจันท์ วันดอกไม้บาน” นอกจากจะมีการจัดแสดงและการประกวดกล้วยไม้เหลืองจันทบูร และกล้วยไม้พันธุ์อื่นๆ แล้ว ยังมีการออกร้านและจัดแสดงสินค้าการเกษตร และการเผยแพร่ผลงานวิชาการของนักศึกษาด้วย นอกจากนี้ยังมีกิจกรรม “คืนเหลืองจันทบูรสู่ป่า” โดยจัดร่วมกับอุทยานแห่งชาติเขาคิชฌกูฎ ชมรมท่องเที่ยวเชิงนิเวศจันทบูร เทศบาลพลวง และประชาชนที่สนใจเป็นประจำทุกวันที่ 12 สิงหาคม ของทุกปีเช่นกัน
ปัจจุบันเหลืองจันทบูรได้รับการยกย่องให้เป็นดอกไม้ประจำจังหวัดจันทบุรี
แหล่งข้อมูลอ้างอิง
สาโรจน์ ประเสริฐศิริวัฒน์. เหลืองจันทบูร. จันทบุรี : ห้างหุ้นส่วนจำกัด โปร ออฟเซท, 2549.
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก “เพจราชมงคล รักษ์เหลืองจันท์ วันดอกไม้บาน” https://www.facebook.com/RMUTTO.CHAN.ORCHIDFESTIVAL
เรียบเรียง: นางสาวปริศนา ตุ้มชัยพร บรรณารักษ์ชำนาญการ
หอสมุดแห่งชาติรัชมังคลาภิเษก จันทบุรี สำนักศิลปากรที่ 5 ปราจีนบุรี
อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย ขอเชิญเที่ยวงาน "วันพ่อขุนรามคำแหงมหาราช ประจำปี ๒๕๖๗" ระหว่างวันที่ ๑๗ - ๑๙ มกราคม ๒๕๖๗ ณ อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย โดยมีกิจกรรมที่น่าสนใจ อาทิ การออกร้านจำหน่ายสินค้า การแสดงหมากรุกคน ณ ลานหน้าวัดมหาธาตุ การแสดงแสงสี ชุด อานุภาพพ่อขุนรามคำแหงมหาราช การแสดงลิเก การแสดงฉ่อย การแสดงโขน
ชื่อเรื่อง เรื่องของชาติไทยผู้แต่ง พระยาอนุมานราชธน (ยง เสฐียรโกเศศ)ประเภทวัสดุ/มีเดีย หนังสือหายากหมวดหมู่ ประวัติศาสตร์ทวีปเอเชียเลขหมู่ 959.301 อ197รนสถานที่พิมพ์ พระนครสำนักพิมพ์ ประสานมิตรการพิมพ์ปีที่พิมพ์ 2507ลักษณะวัสดุ 210 หน้า หัวเรื่อง ไทย – ประวัติศาสตร์ – สมัยแรกเริ่มก่อน พ.ศ.1800ภาษา ไทยบทคัดย่อ/บันทึกหนังสือเล่มนี้เรื่องกล่าวถึงไทยในจีน ประเทศจีนสมัยเมื่อราว 4,000 ปีล่วงมาแล้ว กำเนิดชาติอ้ายลาว อาณาจักรน่านเจ้า และไทยในแหลมอินโดจีน
ชื่อเรื่อง ประวัติชีวิตและนิราศบางเรื่องของสุนทรภู่ผู้แต่ง กรมศิลปากรประเภทวัสดุ/มีเดีย หนังสือหายากหมวดหมู่ ชีวประวัติ ประวัติบุคคลเลขหมู่ 928.95911 ส798ดปรสถานที่พิมพ์ พระนครสำนักพิมพ์ โรงพิมพ์บำรุงเมืองปีที่พิมพ์ 2502ลักษณะวัสดุ 216 หน้า หัวเรื่อง สุนทรโวหาร(ภู่), พระ, 2329-2398ภาษา ไทยบทคัดย่อ/บันทึกรวบรวมประวัติและผลงานต่างๆ ของสุนทรภู่ แบ่งออกเป็นตอนๆ เพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจความเป็นไปในชีวิตได้อย่างชัดเจน และแพร่หลายในหมู่นักศึกษาและนักวรรณคดี
วันอังคารที่ 23 เมษายน 2567 นายพนมบุตร จันทรโชติ อธิบดีกรมศิลปากร เข้าเยี่ยมชมโบราณสถานปราสาทเปือยน้อย และร่วมให้กำลังใจแก่ทีมงานในการจัดกิจกรรมโครงการจัดการแสดงนาฏศิลป์และดนตรีสัญจร ประจำปี 2567 สำนักการสังคีต ณ ปราสาทเปือยน้อย อำเภอเปือยน้อย จังหวัดขอนแก่น
ชื่อเรื่อง พลสังขยา (พลสังขยา) สพ.บ. 464/1ก หมวดหมู่ พุทธศาสนา ภาษา บาลี-ไทยอีสาน หัวเรื่อง พุทธศาสนา ประเภทวัสดุ/มีเดีย คัมภีร์ใบลาน ลักษณะวัสดุ 40 หน้า : กว้าง 4.6 ซม. ยาว 56.5 ซม. บทคัดย่อ/บันทึก เป็นคัมภีร์ใบลาน อักษรธรรมอีสาน เส้นจาร ฉบับชาดทึบ ได้รับบริจาคมาจากวัดด่านช้าง ต.ด่านช้าง อ.ด่านช้าง จ.สุพรรณบุรี
“วันสุนทรภู่ 26 มิถุนายน”
วันสุนทรภู่ หมายถึง วันคล้ายวันเกิดของพระสุนทรโวหาร (สุนทรภู่) เจ้ากรมอาลักษณ์ฝ่ายพระราชวัง ซึ่งมีผลงานด้านบทกลอนที่มีคุณค่าแก่แผ่นดินเป็นจำนวนมาก
สุนทรภู่ เกิดวันจันทร์ ขึ้น 1 ค่ำ เดือน 8 ปีมะเมีย ตรงกับวันที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2329 ณ บริเวณด้านเหนือของพระราช วังหลัง (บริเวณสถานีรถไฟบางกอกน้อยปัจจุบัน) บิดาเป็นชาวบ้านกร่ำ อำเภอแกลง จังหวัดระยอง ส่วนมารดาไม่ทราบแน่ชัดว่า เป็นคนจังหวัดใด สันนิษฐานว่ามารดาเป็นข้าหลวงอยู่ในพระราชวังหลัง เมื่อท่านเกิดได้ไม่ถึงหนึ่งขวบ บิดามารดาได้หย่าร้างกัน บิดากลับไปบวชที่วัดป่า อำเภอแกลง ส่วนมารดาได้ถวายตัวเป็นแม่นมของพระธิดาในกรมพระราชวังบวรสถานพิมุข
สุนทรภู่อยู่กับมารดา เข้าเรียนที่สำนักวัดชีปะขาวหรือวัดศรีสุดาราม มีความรู้จนได้เป็นเสมียนนายระวางกรมพระคลังสวน ด้วยความไม่ชอบงานเสมียน ทำได้ไม่นานก็ลาออก สุนทรภู่อยู่ในวังกับมารดา จนอายุได้ 20 ปี ได้ลอบรักใคร่กับสาวชาววัง ชื่อ จัน จนถูกลงโทษจองจำและถูกโบย เมื่อพ้นโทษ ได้กลับไปหาบิดาที่บ้านกร่ำ เมืองแกลง และแต่งงานกับจัน แต่อยู่กันไม่นานก็เกิดระหองระแหง คงเป็นเพราะสุนทรภู่เมาสุราอยู่เป็นนิตย์ จึงได้เลิกหย่าร้างกัน
ในสมัยรัชกาลที่ 2 สุนทรภู่ ได้เข้ารับราชการในกรมพระอาลักษณ์ และเป็นที่โปรดปรานของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย จนได้รับแต่งตั้งเป็นขุนสุนทรโวหาร เป็นกวีที่ปรึกษาและคอยรับใช้ใกล้ชิด ในสมัยรัชกาลที่ 3 สุนทรภู่ถูกกล่าวหา ด้วยเรื่องเสพสุรา และเรื่องอื่นๆ จึงถูกถอดออกจากตำแหน่งขุนสุนทรโวหาร
ต่อมาสุนทรภู่ออกบวชที่วัดราชบูรณะ (วัดเลียบ) และเดินทางไปจำพรรษาตามวัดต่างๆ บวชใหม่ถึง 2 ครั้ง แล้วลาสิกขาบทถวายตัวอยู่กับเจ้าฟ้ากรมขุนอิศเรศรังสรรค์ (พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าฯ) ในสมัยรัชกาลที่ 4 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว สุนทรภู่ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นพระสุนทรโวหาร เจ้ากรมอาลักษณ์ฝ่ายพระบวรราชวัง ในปี พ.ศ. 2394 รับราชการอยู่ 4 ปีก็ถึงแก่กรรม ในปี พ.ศ. 2398 รวมอายุได้ 69 ปี
ผลงานของสุนทรภู่มีนิราศ 9 เรื่อง นิทาน 5 เรื่อง สุภาษิต 3 เรื่อง บทละคร 1 เรื่อง บทเสภา 2 เรื่อง และบทเห่กล่อม 4 เรื่อง
ในปี พ.ศ. 2529 ในโอกาสครบรอบ 200 ปี สุนทรภู่ได้รับยกย่องจากองค์การยูเนสโกให้เป็นกวีเอกของโลก เพื่อรำลึกถึงสุนทรภู่ กวีเอกแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ คณะรัฐมนตรีจึงมีมติให้วันที่ 26 มิถุนายน เป็นวันที่รำลึกถึงสุนทรภู่ มีการก่อสร้างอนุสาวรีย์สุนทรภู่ไว้ที่ตำบลกร่ำ อำเภอแกลง จังหวัดระยอง
เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2567 เวลา 09.00 น. นายพนมบุตร จันทรโชติ อธิบดีกรมศิลปากร เป็นประธานในพิธีเปิดกิจกรรมเนื่องในวันพิพิธภัณฑ์ไทย ประจำปี 2567 “150 ปี พิพิธภัณฑ์ไทย สยามซิวิไลซ์ A Passage to Wisdom” และปาฐกถาพิเศษ เรื่อง “มองอนาคตของพิพิธภัณฑ์ในทศวรรษหน้า” ณ พระที่นั่งศิวโมกขพิมาน พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร
กรมศิลปากร โดยสำนักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ จัดกิจกรรมเนื่องในวันพิพิธภัณฑ์ไทย ประจำปี 2567 ในวาระครบรอบ 150 ปี ที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้ง มิวเซียม ณ หอคองคอเดีย และเปิดให้ประชาชนทั่วไปเข้าชมเป็นครั้งแรก เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2417 “พิพิธภัณฑ์ไทย” จึงถือเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ชาติ ที่สะท้อนภาพชาวสยามในการศึกษาหาความรู้ในกิจการต่าง ๆ และร่วมกันพัฒนาบ้านเมืองสู่ความ “ซิวิไลซ์” ทัดเทียมนานาอารยประเทศ จึงเป็นโอกาสพิเศษที่คนพิพิธภัณฑ์ และผู้ที่ชื่นชอบการท่องเที่ยวพิพิธภัณฑ์ จะได้ร่วมกันแลกเปลี่ยนความรู้และถ่ายทอดประสบการณ์สร้างสรรค์จากพิพิธภัณฑ์ผ่านมุมมองที่หลากหลาย เพื่อให้พิพิธภัณฑ์เป็นสถาบันแห่งองค์ความรู้สำหรับประชาชนและสังคมไทยอย่างยั่งยืน
กิจกรรม “150 ปี พิพิธภัณฑ์ไทย สยามซิวิไลซ์ A Passage to Wisdom” กำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 19 – 21 กันยายน 2567 ตั้งแต่เวลา 09.00 น. ไปจนถึง 20.00 น. ประกอบด้วย
1. การเสวนาและการบรรยายจากผู้บริหารองค์กรด้านพิพิธภัณฑ์ของไทย รวมถึงผู้ปฏิบัติงานพิพิธภัณฑ์ที่จะมาร่วมกันบอกเล่าเรื่องราวความรู้ต่าง ๆ สู่สาธารณชน อาทิ การเสวนาเรื่อง “150 ปี พิพิธภัณฑ์ไทย สยามซิวิไลซ์: A Passage to Wisdom” การบรรยายเรื่อง “พิพิธภัณฑ์การแพทย์ศิริราช” การบรรยายเรื่อง “20 ปี พิพิธภัณฑ์ภาพยนตร์ไทย” สามารถลงทะเบียนเข้าร่วมกิจกรรม ณ พระที่นั่งศิวโมกขพิมาน พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนครหรือรับชมผ่าน LIVE ทาง Facebook และ Youtube : Office of National Museums, Thailand
2. การจัดแสดงนิทรรศการพิเศษกับวัตถุสะสมชิ้นพิเศษจากพิพิธภัณฑ์เครือข่าย 24 แห่ง อาทิ พิพิธภัณฑ์กรมที่ดิน พิพิธภัณฑ์ตำรวจ วังปารุสกวัน พิพิธบางลำพู กรมธนารักษ์ พิพิธภัณฑ์วังสวนผักกาด
3. การออกร้านกิจกรรมพิเศษและการจำหน่ายของที่ระลึกจากพิพิธภัณฑ์เครือข่ายอีก 20 แห่ง
อาทิ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กาญจนาภิเษก พิพิธภัณฑ์ภาพยนตร์ไทย ศูนย์การเรียนรู้ธนาคารแห่งประเทศไทย
4. ตลาดสินค้าสร้างสรรค์ประเภทอาร์ตทอย
นอกจากนี้ ระหว่างวันที่ 18 - 22 กันยายน 2567 พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ยังจัดให้มีกิจกรรม Museum Talk ยามค่ำ และเที่ยวพิพิธภัณฑ์ยามค่ำ Night Museum พร้อมทั้งนำชมพิพิธภัณฑ์ในหัวข้อ "เปิดกรุพิศวง : ปริศนาที่มาโบราณวัตถุในพิพิธภัณฑ์ Cabinets of Curiosities" ลงทะเบียนเข้าร่วมกิจกรรมได้ ณ จุดลงทะเบียนศาลาลงสรง ตั้งแต่เวลา 17.00 น. (ไม่รับลงทะเบียนล่วงหน้า)
ติดตามรายละเอียดกิจกรรมต่าง ๆ ได้ทาง Facebook : Thai Museum Day https://www.facebook.com/thaimuseumday และ Facebook : Education.National Museum Bangkok เที่ยวพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร https://www.facebook.com/eduNMB
วัดตะพงใน
วัดตะพงใน ตั้งอยู่ที่ตําบลตะพง อําเภอเมืองระยอง จังหวัดระยอง ตามประวัติกล่าวว่าวัดนี้ตั้งขึ้นเมื่อพ.ศ. ๒๓๐๐ มีเรื่องเล่าว่าขณะเตรียมดินสร้างอุโบสถ มีรอยเท้าช้างปรากฏอยู่ จึงได้ขนานนามวัดว่า “วัดสุวรรณอินทร์คชรินทร์ธาราม” ต่อมา จึงได้เปลี่ยนชื่อเป็น“วัดตะพงใน” จากรูปแบบศิลปกรรมสถาปัตยกรรมและหลักฐานทางโบราณคดี สันนิษฐานว่าอุโบสถสร้างขึ้นในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ช่วงรัชกาลที่ ๓
หน้า-หลัง เรียงกัน ๒ ตับ มุงด้วยกระเบื้องดินเผา ประดับช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์ หน้าบันประดับเครื่องถ้วย ฐานอุโบสถเป็นฐานบัวลูกแก้วอกไก่รองรับตัวอาคาร ด้านหน้ามีชายคาพาไล ทำช่องทางเข้าออก ๒ ข้าง ตัวอาคารมีประตูทางเข้าออกด้านหน้า ๑ ประตู หน้าต่างด้านละ ๓ ช่อง เหนือประตูหน้าต่างประดับเครื่องถ้วย บานประตู-หน้าต่างมีร่องรอยการแกะสลักลายดอกไม้ลงรักถมสี เจดีย์ ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของอุโบสถ เป็นเจดีย์ทรงระฆังก่ออิฐฉาบปูนตั้งอยู่บนฐานเขียง กรมศิลปากรได้ดําเนินการบูรณะโบราณสถานอุโบสถหลังเก่าเมื่อพ.ศ. ๒๕๕๘
กรมศิลปากรประกาศขึ้นทะเบียนและกำหนดเขตที่ดินโบราณสถาน ในราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๑๘ ตอนพิเศษ ๑๒๔ง ลงวันที่ ๑๗ ธันวาคม ๒๕๔๔ มีพื้นที่โบราณสถาน ๓ ไร่ ๒๔ ตารางวา
Wat Taphong Nai
Wat Taphong Nai is a temple located in Taphong Subdistrict, Mueang District, Rayong Province. The temple was established in 1757, according to the history. There was also a story that an elephant's footprint was discovered while the ground was being prepared for the construction of the temple's ordination hall. The temple was therefore known as Wat Suwanin Khotcharintharam, although it was eventually renamed Wat Taphong Nai.
The significant ancient monuments in the temple are the old ordination hall and the Chedi. The ordination hall was built in brick and faces eastward. The hall is covered with three layers of double-gabled roof, with clay tiles. The roof is ornamented with a gable apex, rows of decorative ridges, and decorative gable end protrusions, while the tympanum is decorated by pottery. The front of the hall is a veranda with two entrances. At the front of the hall there is only one entrance. Each of the hall's side walls has three windows. The areas above the windows and the entrances are decorated with pottery. On the door panels are traces of lacquered and painted carving in a flower pattern. The Chedi is southeast of the ordination hall; it is on a square base, built in brick, painted in gold, and resembles a bell in shape.
According to the art and architecture style of the old ordination hall, as well as archaeological evidences excavated in 2015, the hall is assumed to be built in the 19th century, approximately during the reign of Rama III in the early Rattanakosin period. In 2015, the Fine Arts Department has restored the old ordination hall of Wat Taphong Nai.
The Fine Arts Department announced the registration of Wat Taphong Nai as an ancient monument in the Royal Gazette, Volume 118, Special Part 124, dated 17th December 2001. The total area of the monument is 4,896 square meters.