ค้นหา

รายการที่พบทั้งหมด 48,755 รายการ

นายขจร มุกมีค่า ผู้อำนวยการสำนักศิลปากรที่ ๑๒ นครราชสีมา และเจ้าหน้าที่ร่วมต้อนรับคณะโครงการศึกษาดูงานการบริหารจัดการขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น๕ จังหวัดชายแดนภาคใต้เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้สู่การบริหารจัดการมรดกทางศิลปวัฒนธรรมในเขตพื้นที่ภาคกลางและภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทยประจำปีงบประมาณ พ.ศ.๒๕๕๗วันอังคารที่ ๑๓ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๗ณ โรงแรมพิมายอินน์ อำเภอพิมาย จังหวัดนครราชสีมา



หนังสือเรียนภาษาไทยชั้นปีที่ 1 เล่ม 2


          พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระราชอัธยาศัยโปรดฯ ในการเสด็จประพาสทั้งในประเทศและต่างประเทศเป็นอย่างยิ่ง การเสด็จประพาสหัวเมืองใหญ่น้อยในประเทศนั้นมีจุดประสงค์เพื่อทรงตรวจราชการและสำรวจทุกข์สุขของราษฎรเป็นหลัก บางคราวก็เสด็จไปเพื่อสำราญพระราชอิริยาบถ จึงไม่โปรดฯ ให้จัดการรับเสด็จอย่างเป็นทางการ ไม่ให้มีท้องตราสั่งหัวเมืองให้จัดทำที่ประทับแรม ณ ที่ใดๆ ไม่มีหมายกำหนดการล่วงหน้า และไม่มีพระประสงค์ที่จะแสดงพระองค์ให้ผู้อื่นรู้จัก           กำแพงเพชรมีโบราณสถานขนาดใหญ่น้อยเป็นจำนวนมากทั้งภายในเมืองและนอกเมือง เมื่อคราวพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จประพาสต้นเมืองกำแพงเพชรทางชลมารค ระหว่างวันที่ ๑๘ – ๒๗ สิงหาคม ๒๔๔๙ พระองค์ทรงถ่ายรูปบุคคล วัดวาอาราม โบราณสถาน และสถานที่ต่างๆ ของเมืองกำแพงเพชร แล้วทรงมีพระราชนิพนธ์เล่าเรื่องเสด็จประพาสต้นไว้ด้วย ลำดับการเสด็จประพาสต้นโบราณสถานต่างๆ ในจังหวัดกำแพงเพชร           ๒๒ สิงหาคม ๒๔๔๙ เสด็จทอดพระเนตรเมืองไตรตรึงษ์ ทรงแวะวัดวังพระธาตุ และวัดเจดีย์เจ็ดยอด           ๒๓ สิงหาคม ๒๔๔๙ เสด็จประพาสในเมืองเก่ากำแพงเพชร ได้แก่ กำแพงเมือง ประตูบ้านโนน ป้อมเจ้าจันทร์ วัดพระแก้ว สระมน ศาลพระอิศวร           ๒๔ สิงหาคม ๒๔๔๙ เสด็จประพาสตอนเหนือของเมืองเก่ากำแพงเพชร ได้แก่ ป้อมเพชร ประตูสะพานโคม วัดพระนอน วัดพระสี่อิริยาบถ วัดอาวาสใหญ่           ๒๕ สิงหาคม ๒๔๔๙ เสด็จประพาสเมืองกำแพงเพชรฝั่งนครชุม ทอดพระเนตรวัดพระบรมธาตุ           ๒๖ สิงหาคม ๒๔๔๙ เสด็จประพาสวัดเสด็จ และวัดคูยาง ----------------------------------------------ที่มาของข้อมูล : พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กำแพงเพชร----------------------------------------------บรรณานุกรม - พระบาทสมเด็จจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว. เสด็จประพาสต้น ร.ศ. ๑๒๕. กรุงเทพฯ : อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พลับลิชชิ่ง, ๒๕๔๗.






อาสนวิหารอัสสัมชัญ อาสนวิหารอัสสัมชัญ เป็นศาสนสถานในศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก ตั้งอยู่ในซอยโอเรียนเต็ล ถนนเจริญกรุง ๔๐ เขตบางรัก กรุงเทพมหานคร ประวัติความเป็นมาของอาสนวิหารอัสสัมชัญ เริ่มจากบาทหลวงฌ็อง บัปติส ปาสกัล (Jean-Baptiste Pascal) ผู้มีเชื้อสายโปรตุเกส ได้รวบรวมเงินจากบรรดาคริสตศาสนิกชนคาทอลิก นำไปมอบให้แก่บาทหลวงเอสปรีต์ ฟลอรังส์ (Esprit-Marie-Joseph Florens) เพื่อสร้างวัดถวายเกียรติแด่พระแม่มารี บาทหลวงฟลอรังส์จึงได้นำเงินส่วนหนึ่งไปซื้อที่ดินริมแม่น้ำเจ้าพระยา บริเวณฝั่งตรงข้ามวัดซางตาครู้สเพื่อเตรียมสร้างวัด ภายหลัง เมื่อบาทหลวงฟลอรังส์ได้รับการแต่งตั้งเป็นพระสังฆราช และเดินทางไปเยี่ยมคริสตศาสนิกชนที่ปีนัง ได้มีผู้บริจาคเงินเพื่อสมทบทุนสร้างวัดพระแม่มารี ท่านจึงได้ซื้อที่ดินแปลงที่สองแล้วเริ่มดำเนินการก่อสร้างวัดอัสสัมชัญขึ้น โบสถ์หลังแรกสร้างด้วยอิฐ มีลักษณะสถาปัตยกรรมแบบ “วิลันดา” อันเป็นรูปแบบผสมผสานระหว่างสถาปัตยกรรมสยามและสถาปัตยกรรมตะวันตก ซึ่งเป็นที่นิยมในสมัยอยุธยาตอนปลายจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น อาคารหลังนี้สร้างแล้วเสร็จใน พ.ศ. ๒๓๖๔ และทำพิธีเสกในวันฉลองแม่พระลูกประคำ ใน พ.ศ. ๒๓๖๕ พระสังฆราชฌ็อง บัปติส ปัลเลอกัวซ์ (Jean-Baptiste Pallegoix) บาทหลวงชาวฝรั่งเศสที่เดินทางเข้ามายังประเทศสยามในสมัยรัชกาลที่ ๓ ได้บันทึกถึงโบสถ์หลังนี้ไว้ในหนังสือ “เล่าเรื่องกรุงสยาม” ดังปรากฏความตอนหนึ่งว่า “มีสำนักคริสตจักร หรือชมรมพวกคริสตังอยู่ห้าแห่งด้วยกันในพระนครหลวง แห่งแรกชื่อชมรมอัสสัมชัญ ซึ่งวิทยาลัยเสมินาร์ตั้งอยู่ที่นั่น ใกล้กับตัวโบสถ์อันงามก่ออิฐถือปูน สร้างมาได้เกือบสี่สิบปีแล้ว ตัวโบสถ์นั้นมีสวนอันกว้างล้อมอยู่โดยรอบ มีบ้านเรือนของพวกคริสตังกระจัดกระจายอยู่ทั่วไป ห่างจากชายฝั่งแม่น้ำ (Me-nam) ลึกไปประมาณหนึ่งร้อยเมตร จะเห็นทำเนียบอันสูงเด่นของมุขนายกมิซซังซึ่งสิ้นค่าก่อสร้างไปถึงสามพันฟรังก์เศษ ชั้นล่างของอาคารหลังนั้นประกอบด้วยห้องนอนสองห้องกับห้องรับแขกอันกว้างใหญ่” ต่อมา บาทหลวงเอมีล กอลมเบต์ (Émile Genest Auguste Colombet) ซึ่งดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดอัสสัมชัญระหว่าง พ.ศ. ๒๔๑๘ - ๒๔๗๖ มีความเห็นว่าโบสถ์หลังเดิมคับแคบ ไม่สามารถรองรับคริสตศาสนิกชนซึ่งมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น จึงได้หารือกับบาทหลวงปิแอร์ ฌ็อง-หลุยส์ โรมิเออ (Pièrre Jean Louis Romieu) เหรัญญิกของคณะมิสซังสยามซึ่งรับผิดชอบโรงพิมพ์อัสสัมชัญอยู่ในขณะนั้น และตกลงว่าจะดำเนินการก่อสร้างอาคารหลังใหม่ทดแทนหลังเดิม โดยจำลองรูปแบบภายนอกอาคารมาจากอาสนวิหารแม่พระแห่งเมืองไซ่ง่อน ประเทศเวียดนาม ส่วนอาคารหลังเดิมได้ถูกรื้อถอนใน พ.ศ ๒๔๔๗ อาสนวิหารหลังใหม่เริ่มวางฐานรากเมื่อวันที่ ๔ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๕๐ แต่การก่อสร้างใช้เวลาหลายปีเนื่องจากอยู่ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ ๑ ทำให้การคมนาคมไม่สะดวก และวัสดุอุปกรณ์ต่าง ๆ ขาดแคลน อย่างไรก็ดี อาคารหลังใหม่นี้ได้ก่อสร้างแล้วเสร็จและเริ่มเปิดใช้ในวันที่ ๑๐ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๖๑ แต่ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ ๒ อาสนวิหารอัสสัมชัญได้รับความเสียหายจากแรงระเบิด จึงต้องซ่อมแซมโดยใช้เหล็กยึดโยงกลางวัด ภายในอาสนวิหารหลังปัจจุบันตกแต่งด้วยภาพจิตรกรรมฝาผนัง เขียนโดยโจวานนี สกวานชิ (Giovanni Sguanci) จิตรกรจากเมืองฟลอเรนซ์ ประเทศอิตาลี ภาพที่มีความโดดเด่นที่สุดคือ ภาพเรื่องราวเกี่ยวกับประวัติพระแม่มารีซึ่งอยู่เหนือพระแท่นบูชา ส่วนสิ่งของที่ใช้ประดับตัวอาคาร รวมถึงรูปพระต่าง ๆ มีทั้งของเก่าที่นำมาจากอาสนวิหารหลังเดิม และของใหม่ที่บาทหลวงกอลมเบต์สั่งมาจากประเทศฝรั่งเศสและประเทศอิตาลี รวมทั้งสิ่งของที่มีผู้บริจาคด้วย อาสนวิหารอัสสัมชัญเคยได้รับเกียรติเป็นสถานที่ต้อนรับสมเด็จพระสันตะปาปา จอห์น ปอล ที่ ๒ เมื่อครั้งเสด็จเยือนประเทศไทยใน พ.ศ. ๒๕๒๗ นอกจากนี้ สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส พระสันตะปาปาองค์ปัจจุบันยังได้เสด็จมาประกอบพิธีมิสซาเพื่อเยาวชน ในคราวเสด็จเยือนประเทศไทยเมื่อเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๖๒ ด้วย ซึ่งได้มีการเผยแพร่ภาพข่าวพิธีมิสซาดังกล่าวไปทั่วโลก -------------------------------------- เรียบเรียงโดย นางสาวพัชรา สุขเกษม นักอักษรศาสตร์ปฏิบัติการ กลุ่มแปลและเรียบเรียง สำนักวรรณกรรมและประวัติศาสตร์


     วัดม่วง ตั้งอยู่ที่หมู่ ๕ ตำบลบ้านม่วง อำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี      ประวัติ ความเป็นมาของ “บ้านม่วง” จากคำบอกเล่าของชาวบ้านเชื่อกันว่าบรรพบุรุษรุ่นแรกอพยพมาจากประเทศพม่าในสมัยกรุงศรีอยุธยา ราวรัชสมัยของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช (พ.ศ. ๒๑๓๓ - ๒๑๔๘) โดยติดตามพระมหาเถรคันฉ่อง ซึ่งเป็นพระสงฆ์เชื้อสายมอญนิกายมหายานเข้ามาตั้งถิ่นฐานริมแม่น้ำแม่กลอง แล้วให้ชื่อหมู่บ้านเหมือนบ้านเดิมในพม่าว่า “บ้านม่วง“ และได้สร้างวัดประจำหมู่บ้านว่า “วัดม่วง” ภาษามอญเรียกว่า “เพลียเกริก” ในทะเบียนวัดของกรมการศาสนาได้ระบุว่า “วัดม่วงประกาศจัดตั้งเมื่อ พ.ศ. ๒๒๒๓” ซึ่งตรงกับสมัยอยุธยา ในรัชสมัยของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช (พ.ศ. ๒๑๙๙ - ๒๒๓๑) จากการค้นคว้าและอ่านคัมภีร์ใบลาน ภาษาและอักษรมอญจำนวนมากส่วนใหญ่ระบุว่า จารที่วัดม่วงและระบุศักราชการจารอย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่สมัยอยุธยาตอนกลางจนถึงปัจจุบัน คัมภีร์ใบลานที่จารเก่าที่สุด ระบุไว้ว่า “….ศักราช ๑๐๐๐ เดือน ๖ แรม ๕ ค่ำ วันศุกร์ จารเสร็จเมื่อตะวันบ่าย กระผม ชื่อ อุตตมะจารเอาไว้ในวัดม่วง เป็นชื่อเมื่อเป็นพระ…” ศักราช ๑๐๐๐ นั้นเป็นจุลศักราช ซึ่งจะตรงกับปี พ.ศ. ๒๑๘๑ สมัยอยุธยาในรัชกาลสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง แสดงว่าวัดม่วงนี้มีมาก่อนหน้านี้แล้ว และมีอายุไม่ต่ำกว่า ๓๕๘ ปีมาแล้ว      สิ่งสำคัญในวัดม่วง มีดังนี้      เจดีย์มอญ ตั้งอยู่ด้านหน้าวัดติดกับแม่น้ำแม่กลอง ลักษณะเป็นเจดีย์ก่ออิฐถือปูนทรงกลมแบบเจดีย์มอญ เจดีย์ประธานมีขนาดใหญ่ตั้งอยู่ภายในเขตกำแพงแก้ว ฐานเจดีย์เป็นฐานเขียงถัดขึ้นไปเป็นฐานบัวหกเหลี่ยม องค์ระฆังรูปทรงคล้ายจอมแห มีการตกแต่งด้วยลวดลายปูนปั้นเป็นสังวาลและการทาสี ส่วนยอดเป็นปล้องไฉนขนาดใหญ่ ปลียอดมีลวดลายปูนปั้นประดับบนสุดมีฉัตรโลหะปักอยู่ เจดีย์บริวารเป็นเจดีย์ขนาดเล็กจำนวน ๓ องค์เรียงเป็นแถว ก่ออิฐถือปูนประดับกระเบื้อง ลักษณะรูปทรงคล้ายกับเจดีย์ประธาน แต่บริเวณองค์เจดีย์ไม่มีลวดลายปูนปั้นตกแต่ง        อุโบสถ อาคารก่ออิฐถือปูนขนาดเล็ก ตั้งอยู่ภายในเขตกำแพงแก้วก่ออิฐถือปูน มีซุ้มประตูทางเข้า ๑ ด้าน ซุ้มประตูเป็นทรงเจดีย์ขนาดใหญ่ เสาซุ้มเป็นเสาสี่เหลี่ยมมีลวดลายปูนปั้นตกแต่งหัวเสา ยอดซุ้มด้านบน ทำเป็นลักษณะคล้ายหน้าบันขนาดใหญ่ มีกรอบเป็นรูปพญานาคพ่นน้ำหันหน้าออกด้านละ ๑ ตัว ตรงกลางมีลวดลายดอกไม้ตกแต่ง มีลายปูนปั้นเป็นอักษร “พ.ศ. ๒๔๖๙” ยอดบนสุดเป็นเจดีย์ขนาดเล็ก อุโบสถเป็นอาคารก่ออิฐถือปูน หลังคาเครื่องไม้มุงกระเบื้องมีชายคาปีกนกโดยรอบรองรับโครงหลังคาด้วยเสาปูนสี่เหลี่ยมขนาดเล็ก ช่อฟ้าใบระกาไม้ประดับกระจก หน้าบันปูนปั้นลวดลายเรขาคณิตระบายสีคล้ายรูปมังกร ฐานอุโบสถเป็นฐานบัว ผนังด้านหน้ามีประตูทางเข้า ๒ ประตูสองข้าง      กรอบประตูเขียนเป็นรูปซุ้ม บานประตูเป็นไม้ มีภาพเขียนสีเป็นทวารบาลรูปยักษ์ยืนถืออาวุธเหยียบอยู่บนสัตว์พาหนะ บนผนังด้านหน้าอุโบสถมีภาพจิตรกรรมแบ่งออกเป็น ๒ ส่วน ส่วนบนจะเป็นภาพพุทธประวัติตอนมารผจญ ด้านข้างซุ้มประตูทั้งสองด้าน และระหว่างกลางแบ่งเป็นช่องสี่เหลี่ยมเขียนภาพพุทธประวัติตอนต่างๆ มีอักษรจารึกว่า “หลงพ่อแดง มีจิตศรัทธาได้ทร่างไว้ในศาสนา” ผนังอุโบสถด้านหลังทึบ ผนังด้านข้างมีหน้าต่างด้านละ ๓ บาน บานหน้าต่างไม้มีภาพ เขียนสีเป็นทวารบาลรูปยักษ์ยืนถืออาวุธเหยียบอยู่บนพาหนะ หันหน้าเข้าหากันเป็นคู่ๆ ที่กรอบหน้าต่างด้านบนจะมีอักษรรามัญจารึกไว้ ภายในอุโบสถประดิษฐานพระพุทธรูป      อุโบสถหลังนี้ ได้พบหลักฐานการก่อสร้างโดยปรากฏอยู่ในใบลานภาษามอญ ซึ่งเป็น เรื่องเกี่ยวกับการสร้างโบสถ์วัดม่วง พระอุ่น สิริภัทโท แห่งวัดม่วง ได้เรียบเรียงเป็นภาษาไทย โดยลงท้ายว่า“ นายเนิดได้จารลงไว้ในใบลาน เป็นประวัติการเริ่มสร้างโบสถ์วัดม่วง เพื่ออนุชนรุ่นหลังจะได้ระลึกนึกถึงบุญกุศลของปู่ย่าตายายที่ได้สร้างกันมา ๑๒๔๗ เดือน ๘ แรม ๒ ค่ำ เวลาบ่าย ๓ โมง เป็นปี ๘ สอง ๘” ตัวเลข ๑๒๔๗ เป็นปีจุลศักราช ซึ่งตรงกับพุทธศักราช ๒๔๒๘ ในสมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยข้อความที่จารในใบลานกล่าวว่า “ริเริ่มถากถางสถานที่จะสร้างพระอุโบสถ ปีจุลศักราช ๑๒๔๖ ในปีวอก เดือน ๘ แรม ๑ ค่ำ วันอังคาร มีพระอาจารย์เจ้าอาวาส ชื่อว่า กจจนามภิกขุ ชื่อในสัญญาบัตร สมณศักดิ์ พระครูชัยคีรีศรีสวัสดิ์ เป็นเจ้าอาวาสสมัยนั้น………      ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่าอุโบสถวัดม่วง สร้างขึ้นในปี พ.ศ. ๒๔๒๗ ซึ่งตรงกับรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ และอาจจะได้รับการปฏิสังขรณ์ครั้งแรกในปี พ.ศ. ๒๔๖๙ ตามอักษรที่ระบุไว้ที่ซุ้มประตูกำแพงแก้ว      นอกจากนี้ ภายในพิพิธภัณฑ์พื้นบ้านวัดม่วงมีการเก็บรวบรวมหนังสือคัมภีร์ใบลาน สมุดข่อย ซึ่งจารึกข้อความด้วยภาษามอญ ภาษาบาลี ภาษาเขมร ไว้มากกว่า ๕,๐๐๐ ผูก คัมภีร์ส่วนใหญ่ระบุว่าจารที่วัดม่วง เรื่องราวส่วนใหญ่เป็นเรื่องเกี่ยวกับศาสนา ประเพณี วัฒนธรรม กฎหมาย ประวัติสถานที่ ประวัติบุคคล วรรณคดี และตำราต่างๆ โดยมีการระบุศักราชการจารอย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่สมัยอยุธยาตอนกลางจนถึงปัจจุบัน คัมภีร์เหล่านี้จะมีแผ่นไม้ปะกับคัมภีร์ซึ่งมีการตกแต่งอย่างงดงาม เช่น การประดับมุก การเขียนลายทอง และการลงรัก เป็นต้น   เรียบเรียง : นางจิรนันท์ คอนเซพซิออน นักโบราณคดีชำนาญการ สำนักศิลปากรที่ ๑ ราชบุรี



เลขทะเบียน : นพ.บ.147/13ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ :  48 หน้า ; 4 x 51 ซ.ม. : ล่องรัก ; ไม้ประกับธรรมดา  ชื่อชุด : มัดที่ 90 (377-391) ผูก 13 (2564)หัวเรื่อง : ธมฺมปปทวณฺณนา ธมฺมปทฎกถา ขุทฺทกนิกายฎฐกถา (ธรรมบท)--เอกสารโบราณ            คัมภีร์ใบลาน            พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา  สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม


เลขทะเบียน : นพ.บ.129/1ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ :  40 หน้า ; 4.8 x 50 ซ.ม. : ล่องรัก ; ไม้ประกับธรรมดา  ชื่อชุด : มัดที่ 75 (275-287) ผูก 1 (2564)หัวเรื่อง : ธฺมมปทวณฺณนา ธฺมฺมปทฎฺฐกถา ขุทฺกนิกายฎฺฐกถา (ธมฺมบท)--เอกสารโบราณ            คัมภีร์ใบลาน            พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา  สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม



สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สังคิณี-มหาปัฎฐาน) เลขที่ ชบ.บ.16/1-6 เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)


black ribbon.