ค้นหา
รายการที่พบทั้งหมด 48,755 รายการ
นิตยสารรายสองเดือน กรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม
วัตถุประสงค์ : เพื่อเผยแพร่ข้อมูลทางวิชาการเกี่ยวกับศิลปวัฒนธรรมในสาระสำคัญต่าง ๆ และ
เพื่ออนุรักษ์สืบทอดมรดกวัฒนธรรมของชาติ
เลขทะเบียน : นพ.บ.27/9ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 46 หน้า ; 4.7 x 53 ซ.ม. : ล่องรัก ; ไม้ประกับธรรมดา ชื่อชุด : มัดที่ 14 (152-160) ผูก 8หัวเรื่อง : ธมฺมปาลชาตก (ธรรมบาล) --เอกสารโบราณ คัมภีร์ใบลาน พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม
พระพิมพ์ดินเผาแสดงภาพพุทธประวัติ ตอน “มหาปาฏิหาริย์” มีจารึกคาถาเย ธมฺมา จัดแสดง ณ ห้องอู่ทองศรีทวารวดี พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อู่ทอง พระพิมพ์ดินเผาสันนิษฐานว่าเป็นภาพพุทธประวัติตอนมหาปาฏิหาริย์ กล่าวถึงเหตุการณ์ที่พระพุทธองค์ทรงแสดงมหาปาฏิหาริย์ที่เมืองสาวัตถี โดยประทับบนดอกบัวที่เนรมิตขึ้นโดยราชานาคนันทะและอุปนันทะ มีพระอินทร์ พระพรหม และเหล่าเทวดาทั้งหลายลงมาเฝ้า //รูปแบบศิลปกรรมเป็นพระพิมพ์รูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ด้านหน้าทำรูปพระพุทธเจ้าประทับนั่งขัดสมาธิราบบนดอกบัว มีรูปบุคคลถือก้านบัวอยู่ด้านล่างสันนิษฐานว่าเป็นราชานาค ชื่อนันทะ และอุปนันทะ แวดล้อมด้วยรูปบุคคลต่างๆ สันนิษฐานว่าคือพระอินทร์ พระพรหมและเหล่าเทวดา ด้านบนสุดที่มุมทั้ง ๒ ด้านมีรูปบุคคลอยู่ในวงกลม สันนิษฐานว่าคือพระอาทิตย์และพระจันทร์ ด้านหลังพระพิมพ์จารึกคาถาเย ธมฺมา ด้วยตัวอักษรปัลลวะ ภาษาบาลี ด้วยลายมือเขียน ความว่า “เย ธมฺมา เหตุปปฺภวาเยสํเหตุํตถาคโต อาห เตสญฺจโย นิโร โธเอวํ วาที มหาสมโณ” แปลว่า “ธรรมทั้งหลายมีเหตุเป็นแดนเกิด พระตถาคตได้ตรัสถึงเหตุเหล่านั้น เมื่อสิ้นเหตุเหล่านั้นจึงจักดับทุกข์ได้ พระมหาสมณะมีวาทะตรัสสอนเช่นนี้เสมอ” คาถาเย ธมฺมา ถือเป็นหัวใจสำคัญของพุทธศาสนา เนื่องจากเป็นคาถาที่สรุปใจความสำคัญของอริยสัจสี่ ได้แก่ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค เอาไว้ครบถ้วน และยังเป็นคาถาที่พระอัสชิหนึ่งในปัญจวัคคีย์ตรัสแก่พระสารีบุตรจนเกิดความเลื่อมใสในพุทธศาสนา และชักชวนสหายคือพระโมคคัลลานะออกผนวช จนได้เป็นอัครสาวกเบื้องขวาและเบื้องซ้ายของพระพุทธเจ้า จึงเชื่อกันว่าคาถาเย ธมฺมา สามารถทำให้คนนอกศาสนา เกิดความเลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธศาสนา แม้กระทั่งอัครสาวกเบื้องขวาและเบื้องซ้ายยังออกผนวชด้วยคาถาบทนี้ สมัยทวารวดีจึงนิยมจารึกคาถาเย ธมฺมา ไว้บนพระพิมพ์เพื่อสืบต่อพุทธศาสนาด้วย พระพิมพ์ดินเผารูปแบบดังกล่าวถึงนี้ จัดเป็นพระพิมพ์ยุคแรกของสมัยทวารวดี กำหนดอายุประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๒ – ๑๔ หรือราว ๑,๒๐๐ – ๑,๔๐๐ ปีมาแล้ว พบบริเวณภาคกลางของประเทศไทย เช่น จังหวัดนครปฐม และราชบุรี บางองค์มีจารึกคาถาเย ธมฺมา ที่ด้านหลังเช่นเดียวกัน เอกสารอ้างอิงธนกฤต ลออสุวรรณ. การศึกษาคติความเชื่อของชุมชนโบราณสมัยทวารวดีในลุ่มแม่น้ำแม่กลองและท่าจีน : กรณีศึกษาจากพระพิมพ์ดินเผา. วิทยานิพนธ์ (ศศ.ม. (โบราณคดีสมัยประวัติศาสตร์))--มหาวิทยาลัยศิลปากร, ๒๕๔๖. นิติพันธุ์ ศิริทรัพย์.พระพิมพ์ดินเผาสมัยทวารวดีที่นครปฐม. วิทยานิพนธ์ (ศศ.ม. (โบราณคดีสมัยประวัติศาสตร์))--มหาวิทยาลัยศิลปากร, ๒๕๒๔. รุ่งโรจน์ ธรรมรุ่งเรือง.มรดก ๑,๐๐๐ ปีเก่าที่สุดในสยาม. นนทบุรี : มิวเซียมเพรส, ๒๕๕๖. ที่มาของข้อมูล : พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อู่ทอง จ.สุพรรณบุรี https://www.facebook.com/153378118193282/posts/1290167404514342/
กองบรรณาธิการ.เมืองเพนียด.about chan.13.(44);เมษายน 2557
เมืองเพนียด เป็นเมืองโบราณของจังหวัดจันทบุรี มีลักษณะเป็นกําแพงก่อสร้างด้วยศิลาแลงรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ตั้งอยู่ใกล้กับวัดทองทั่ว ตําบลคลองนารายณ์ อําเภอเมืองจันทบุรี มีอายุมากกว่าหนึ่งพันปีมาแล้ว ภายในเมืองเพนียดเคยขุดพบโบราณวัตถุทับหลัง ชิ้นส่วนเทวรูป และเศษถ้วยชามต่างๆ ซึ่งปัจจุบันจัดเก็บไว้ที่วัดทองทั่ว นอกจากนี้ยังมีการค้นพบหลักฐานที่เป็นลายลักษณ์อักษรบริเวณเมืองเพนียด คือ จารึกศิลาแลง จารึกด้วยอักษรขอมโบราณ ภาษาสันสกฤตและเขมร ปัจจุบันเก็บรักษาอยู่ที่หอพระสมุดวชิรญาณ กรุงเทพฯ จากหลักฐานที่พบในเมืองเพนียด พอจะระบุได้ว่าเมืองเพนียดนั้น มีอายุตั้งแต่ราวพุทธศตวรรษที่ 12 ถึงราวพุทธศตวรรษที่ 18
สันนิษฐานว่าเมืองเพนียดเพิ่มเป็นที่ตั้งเมืองจันทบุรียุคแรกต่อมาชาวบ้านได้ย้ายจากเมืองเพนียดมาตั้งถิ่นฐานบริเวณบ้านหัววัง ต.พุงทะลาย (ต.จันทนิมิต ในปัจุบัน) เมืองเพนียดจึงถูกปล่อยให้เป็นเมืองร้าง แต่เนื่องจากเมืองพุงทะลายมีทําเลที่ไม่เหมาะมีน้ําท่วมเป็นประจํา จึงมีการย้ายเมืองไปยังบ้านลุ่ม ริมแม่น้ําจันทบุรี ซึ่งเป็นที่ตั้งของตัวเมืองในปัจจุบัน
นิตยสารรายสองเดือน กรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม
วัตถุประสงค์ : เพื่อเผยแพร่ข้อมูลทางวิชาการเกี่ยวกับศิลปวัฒนธรรม
ในสาระสำคัญต่าง ๆ และเพื่ออนุรักษ์สืบทอดมรดกวัฒนธรรมของชาติ
ชื่อเรื่อง พระประวัติสมเด็จพระนเรศวรมหาราชผู้แต่ง ดำรงราชานุภาพ, สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาประเภทวัสดุ/มีเดีย หนังสือหายากหมวดหมู่ ชีวประวัติ ประวัติบุคคลเลขหมู่ 923.1593 น267พดสถานที่พิมพ์ พระนครสำนักพิมพ์ องค์การค้าคุรุสภาปีที่พิมพ์ 2503ลักษณะวัสดุ 228 หน้า หัวเรื่อง ชีวประวัติ สมเด็จพระนเรศวรมหาราชภาษา ไทยบทคัดย่อ/บันทึกกล่าวถึงพระประวัติสมเด็จพระนเรศวรมหาราช อาทิ เรื่องบ้านเมืองเกิดยุคเข็ญ กู้บ้านเมือง ทรงแผ่อาณาเขต และเรื่องเจดีย์ยุทธหัตถี
วันพุธที่ ๑๔ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๕๗ เวลา ๐๗.๐๐ น.นายขจร มุกมีค่า ผู้อำนวยการสำนักศิลปากรที่ ๑๒ นครราชสีมาและหัวหน้ากลุ่ม/ฝ่าย สำนักศิลปากรที่ ๑๒ นครราชสีมาเข้าร่วมกิจกรรมเสวนาสภากาแฟรับรุ่งอรุณ ประจำเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๗พร้อมกล่าวแนะนำตัวเนื่องจากเข้ารับตำแหน่งใหม่ณ สำนักงานสาธารณสุขอำเภอพิมาย จังหวัดนครราชสีมา
จากการเข้ามาของพ่อค้าและนักบวชชาวอินเดียในดินแดนสุวรรณภูมิและภาคใต้ของไทยส่งผลให้ลัทธิความเชื่อของชาวอินเดียได้เข้ามาเผยแผ่และปรากฏหลักฐานในหลายพื้นที่ โดยหลักฐานศาสนาพราหมณ์-ฮินดูไวษณพนิกายน่าจะเข้าสู่ภาคใต้ตั้งแต่ต้นพุทธศตวรรษที่ ๑๐ และรุ่งเรื่องอยู่บนคาบสมุทรภาคใต้ในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๑๒-๑๓ โดยหลังพุทธศตวรรษที่ ๑๓ไปแล้วไวษณพนิกายเริ่มเสื่อมลงและหมดความนิยมไปหลังพุทธศตวรรษที่ ๑๖ สำหรับไศวนิกายน่าจะเข้าสู่คาบสมุทรภาคใต้ในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๑๐-๑๑ โดยอาจแบ่ง ๒ ระลอก คือ ระลอกแรกจากอินเดียภาคเหนือในสมัยราชวงศ์คุปตะ ในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๑๑-๑๓ นิยมสร้างประติมากรรมรูปศิวลึงค์แทนองค์พระศิวะ ส่วนระลอกที่ ๒ มาจากอินเดียภาคใต้ในสมัยราชวงศ์โจฬะ ช่วงพุทธศตวรรษที่ ๑๔-๑๖ แต่ผ่านมาทางชวาภาคกลาง และนิยมสร้างรูปพระศิวะมากกว่าการสร้างศิวลึงค์ ฝั่งทะเลตะวันออก (อ่าวไทย) พบหลักฐานศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ทั้งไวณพนิกายและไศวนิกาย ดังนี้ - ช่วงพุทธศตวรรษที่ ๑๐-๑๑ พบพระวิษณุที่แหล่งโบราณคดีวัดศาลาทึง จ.สุราษฏร์ธานี และพบศิวลึงค์ที่โบสถ์พราหมณ์ จ.นครศรีธรรมราช เป็นต้น - พุทธศตวรรษที่ ๑๒-๑๓ พบศิวลึงค์ที่แหล่งโบราณคดีท่าศาลา-สิชล จ.นครศรีธรรมราช และที่แหล่งโบราณคดียะรัง จ.ปัตตานี พบเอกมุขลึงค์ที่แหล่งโบราณคดีท่าชนะ จ.สุราษฏร์ธานี พบพระวิษณุที่แหล่งโบราณคดีเขาศรีวิชัย จ.สุราษฏร์ธานี พระวิษณุที่แหล่งโบราณคดีเวียงสระ จ.สุราษฏร์ธานี รวมทั้งพบพระคเณศซึ่งอาจได้รับการบูชาในลัทธิคาณปัตยะควบคู่กันด้วย - พุทธศตวรรษที่ ๑๔-๑๖ พบพระศิวมหาเทพ และพระอคัสตยะ ที่แหล่งโบราณคดีใน จ.สงขลา พบพระวฏุกไภรวะ และพระวิษณุ ที่แหล่งโบราณคดีเวียงสระ จ.สุราษฏร์ธานี โดยประติมากรรมพระวิษณุเริ่มพบเบาบางลงและหมดความนิยมลงไป สำหรับพระคเณศนั้นยังพบต่อเนื่องเรื่อยมา และเป็นที่น่าสังเกตว่าพื้นที่ฝั่งทะเลตะวันออก (อ่าวไทย) มีการพบประติมากรรมพระสุริยะใน จ.สุราษฏร์ธานีอีกด้วย สำหรับฝั่งทะเลตะวันตก (อันดามัน) พบหลักฐานทางศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ที่มีอายุอยู่ในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๑๒-๑๖ ทั้งลัทธิไวษณพนิกาย ไศวนิกาย และอาจรวมถึงลัทธิคาณปัตยะด้วยเช่นกัน หลักฐานเหล่านี้พบกระจายอยู่ในชุมชนโบราณตะกั่วป่า จ.พังงา ที่แหล่งโบราณคดีเขาพระเหนอ ต.บางนายสี อ.ตะกั่วป่า แหล่งโบราณคดีเหมืองทอง-เกาะคอเขา (ทุ่งตึก) ต.เกาะคอเขา อ.ตะกั่วป่า และแหล่งโบราณเขาพระนารายณ์ (เขาเวียง) ต.เหล อ.กะปง หลักฐานที่พบมากที่สุดคือ ประติมากรรมพระวิษณุ รวมทั้งพบหลักฐานอื่นๆ ที่อาจเกี่ยวข้องกับกลุ่มคนและศาสนาพราหมณ์-ฮินดู เช่น จารึกเขาพระนารายณ์ (จารึกหลักที่ ๒๖) และเหรียญโบราณที่มีจารึกชื่อเทพในศาสนาพราหมณ์หรือฮินดู เป็นต้น ------------------------------------------------ค้นคว้า/เรียบเรียงข้อมูล : น.ส.สุขกมล วงศ์สวรรค์ ภัณฑารักษ์ชำนาญการพิเศษ ------------------------------------------------อ้างอิง :- ผาสุข อินทราวุธ, รูปเคารพในศาสนาฮินดู (นครปฐม : มหาวิทยาลัยศิลปากร พระราชวังสนามจันทร์, ๒๕๒๒ - รองศาตราจารย์ ดร.ผาสุข อินทราวุธ, “ความสัมพันธ์ทางด้านศาสนาและความเชื่อของเมืองสงขลากับหัวเมืองต่างๆ และดินแดนภายนอก, การสัมมนาทางวิชาการเรื่องสงขลาศึกษา : ประวัติศาสตร์และโบราณคดีเมืองสงขลา ๒๗-๒๙ สิงหาคม ๒๕๓๔ ณ สถาบันทักษิณคดีศึกษา จังหวังขลา .สงขลา : สถาบันทักษิณศึกษา, ๒๕๓๕.
วัดป่าไผ่ ตั้งอยู่หมู่ที่ ๔ ตำบลคลองตาคต อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี
ประวัติ เป็นชุมชนชาวมอญที่เข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ต่อมามีการขยายตัวของชุมชน ทำให้วัดที่สร้างขึ้นในระยะแรก คือ วัดคงคาราม ไม่เพียงพอกับประกอบพิธีกรรมทางศาสนาและไม่สะดวกสำหรับชาวรามัญที่อยู่ในท้องถิ่นห่างไกลออกไปจึงได้ร่วมกันสร้างวัดขึ้นตามหมู่บ้านใหญ่ๆ ภายใต้ความช่วยเหลือของพระครูรามัญญาธิบดี เจ้าอาวาสวัดคงคาราม
วัดป่าไผ่ เป็นวัดมอญในรุ่นที่ ๓ สร้างขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ เป็นวัดสังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย ขึ้นตรงกับวัดคงคาราม ตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำแม่กลอง
สิ่งสำคัญภายในวัดป่าไผ่ มีดังนี้
หอไตร
หอไตร อาคารไม้มีแผนผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส ลักษณะทางสถาปัตยกรรมแบบอาคารเรือนยอดทรงปราสาท หลังคาเครื่องไม้มุงกระเบื้อง ซ้อนกันเป็นชั้นๆจำนวน ๕ ชั้น มีชายคาปีกนกคลุมโดยรอบทั้งสี่ด้าน โดยมีเสานางเรียงรองรับชายคาด้านละ ๓ เสา การประดับตกแต่งหลังคาในแต่ละชั้นบริเวณมุมสันตะเข้จะประดับด้วยประติมากรรมปูนปั้นขนาดเล็กโดย ชั้นแรกที่อยู่ด้านล่างสุดตกแต่งด้วยปูนปั้นรูปพญานาค ชั้นที่สองประดับด้วยปูนปั้นรูปครุฑ ชั้นที่สามประดับด้วยปูนปั้นรูปยักษ์ ชั้นที่สี่ประดับด้วยรูปเทวดาซ้อนกัน ๒ องค์ และชั้นที่ห้าประดับด้วยรูปเทวดาซ้อนกัน ๓ องค์ ส่วนยอดบนสุดเป็นไม้แกะสลัก รูปคล้ายเจดีย์สี่เหลี่ยมจำลองขนาดเล็ก และชายคาในแต่ละชั้น มีการตกแต่งด้วยไม้ฉลุลายอย่างงดงาม
ภาพจิตรกรรมบนเพดานไม้
ในส่วนตัวอาคารของหอไตรนั้นเดิมยกพื้นสูงและมีชั้นบนอีก ๒ ชั้น ปัจจุบันได้มีการต่อเติม ชั้นล่างสุดซึ่งเดิมเป็นยกพื้น โดยการก่ออิฐกำแพงเป็นห้องสำหรับเก็บข้าวของเครื่องใช้ของวัด ส่วนชั้นบนนั้นเป็นห้องโถงโล่ง มีฝาไม้กั้นเพียงครึ่งเดียวทั้งสามด้าน อีกด้านหนึ่งเปิดออกเชื่อมกับกุฏิสงฆ์ที่สร้างขึ้นใหม่ ชั้นที่สองยกขึ้นเป็นห้องสำหรับเก็บพระไตรปิฏก ตั้งอยู่ในส่วนกลางของชั้นแรก มีบันไดนาคขึ้นทางด้านทิศตะวันตกผนังของชั้นที่สองเป็นฝาไม้ทึบทาสีขาว มีประตูทางเข้า ๑ ประตูเชื่อมต่อกับบันไดนาค ที่ผนังด้านข้างประตูตอนบนมีภาพจิตรกรรมพุทธประวัติตอนมหาปรินิพพาน ผนังทางด้านเหนือมีช่องหน้า ต่าง ๑ บาน บานประตูเขียนภาพเซี่ยวกางด้านนอกและทวารบาลด้านใน บานหน้าต่างด้านในเขียนภาพทวารบาล ผนังไม้ด้านในเรียบ หัวเสามีลวดลายตกแต่ง บนเพดานไม้เขียนภาพจิตรกรรมเป็นภาพ “ยันตรีนิสิงเห” ซึ่งเป็นยันต์ที่ใช้ปกป้องบ้านเรือนจากภูตผีและสิ่งชั่วร้ายต่างๆ โดยแบ่งภาพออกเป็นกรอบสี่เหลี่ยมและสามเหลี่ยมเล็กๆ ภายในกรอบจะมีภาพปราสาทและเทพต่างๆ สถิตอยู่ ภาพจิตรกรรมเหล่านี้มีอิทธิพลของศิลปะมอญหรือพม่าปรากฏอยู่ตามเครื่องแต่งกายของรูปบุคคล
ลักษณะรูปแบบสถาปัตยกรรมของหอไตรวัดป่าไผ่นี้ มีรูปแบบคล้ายคลึงกับสถาปัตยกรรมทางภาคเหนือ ซึ่งได้รับอิทธิพลของสถาปัตยกรรมแบบพม่าผสมผสานกับสถาปัตยกรรมล้านนา นับว่าเป็นหอไตรแห่งแรกที่พบในบริเวณลุ่มน้ำแม่กลองที่มีลักษณะพิเศษเฉพาะซึ่งช่างชาวรามัญได้สร้างขึ้น
อุโบสถ
อุโบสถ ปัจจุบันได้รับการซ่อมแซมใหม่ แต่ยังสามารถศึกษารูปแบบศิลปะของอุโบสถหลังเดิมได้ ลักษณะเป็นอาคารก่ออิฐถือปูน หลังคาเครื่องไม้มุงกระเบื้องลดชั้น ๓ ชั้น ด้านหน้าและด้านหลังมีมุขลดด้านละ ๑ ห้อง มีเสาปูนสี่เหลี่ยมรองรับโครงหลังคา คันทวยเป็นรูปหงส์ทาสี ผนังก่ออิฐถือปูนด้านหน้ามีประตูทางเข้า ๒ ประตู ซุ้มประตูปูนปั้นเหนือซุ้มประตูมีลวดลายปูนปั้นของหน้าบันอุโบสถหลังเก่า เป็นรูปต้นดอกไม้อยู่ในกระถางประดับด้วยเครื่องถ้วยลายครามและเครื่องถ้วยเบญจรงค์ ผนังด้านหลังมีประตูทางเข้า ๒ ประตู เหนือซุ้มประตูมีลวดลายปูนปั้นรูปดอกไม้อยู่ในกระถางและรูปนกกระยางประดับด้วยเครื่องถ้วยเบญจรงค์อยู่ภายในกรอบสามเหลี่ยม ซึ่งเป็นหน้าบันของอุโบสถหลังเดิมสร้างขึ้นสมัยรัชกาลที่ ๔-๕ ต่อมามีการซ่อมแซมส่วนหลังคาใหม่แต่ยังคงลวดลายของเดิมไว้ วิหาร เป็นอาคารคอนกรีตเสริมเหล็กซึ่งสร้างอยู่บนฐาน (วิหาร) สมัยอยุธยา ภายในวิหาร ประดิษฐาน พระประธาน ปูนปั้นขนาดเล็กประทับนั่ง ขัดสมาธิราบ ปางมารวิชัย ห่มจีวรเฉียงแนบลำตัว พระพักตร์แบบท้องถิ่น พระขนงโก่ง พระเกศาเป็นขมวดขนาดเล็ก พระรัศมีเป็นแท่งยาวรูปสามเหลี่ยมเรียวขึ้นด้านบน ด้านหน้ามีอักษร “นะ” ศิลปะรัตนโกสินทร์ตอนต้น
พระประธานในวิหาร
ด้านหน้าของฐานพระประธาน มีพระพุทธรูปสำริด ลักษณะพระวรกายอวบอ้วนขมวดพระเกศาเป็นปม พระรัศมีเป็นเปลว พระพักตร์อิ่มเอิบ ครองจีวรห่มเฉียงเป็นลายดอกพิกุล แสดงปางสมาธิ และแสดงปางมารวิชัย อย่างละ ๑ องค์ ศิลปะรัตนโกสินทร์ ( รัชกาลที่ ๓ )
เรียบเรียง : นางจิรนันท์ คอนเซพซิออน
นักโบราณคดีชำนาญการ สำนักศิลปากรที่ ๑ ราชบุรี