ค้นหา

รายการที่พบทั้งหมด 48,759 รายการ

        ชื่อผลงาน: เสียงขลุ่ยทิพย์         ศิลปิน: เขียน ยิ้มศิริ (พ.ศ. 2465 - 2514)         เทคนิค: ประติมากรรมสำริด          ขนาด: สูง 58.5 ซม.         ปีที่สร้างสรรค์: พ.ศ. 2492         รางวัล/เกียรติยศ: เกียรตินิยมอันดับหนึ่ง เหรียญทอง ประเภทประติมากรรม จากการแสดงศิลปกรรมแห่งชาติ ครั้งที่ 1 พุทธศักราช 2492          รายละเอียดเพิ่มเติม: เขียน ยิ้มศิริ ศิลปินชั้นเยี่ยม สาขาประติมากรรม หนึ่งในศิลปินคนสำคัญในยุคบุกเบิกสร้างสรรค์งานศิลปะสมัยใหม่ ในประเทศไทย และหนึ่งในลูกศิษย์รุ่นแรก ๆ ของศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี ผลงาน “เสียงขลุ่ยทิพย์” เป็นประติมากรรมชิ้นที่โดดเด่นที่สุดชิ้นหนึ่ง ในชีวิตการทำงานของศิลปิน งานของเขียน ยิ้มศิริ เป็นการผสมผสานระหว่างแรงบันดาลใจในความพริ้วไหวของรูปทรงและโครงร่างลายเส้นรอบนอกของงานศิลปะไทยประเพณี กับการแสดงออกแบบลดทอนรูปทรงในแนวทางงานศิลปะสมัยใหม่             Title: Musical Rythm         Artist: Khien Yimsiri (1922 - 1971)         Technique: bronze casting         Size: 58.5 cm. (H.)         Year: 1949         Award: Honorary gold medal award on sculpture, from the 1st National Exhibition of Art in 1949.         Detail: Khien Yimsiri, artist of distinction on sculpture and a pioneer sculptor of modern Thai art whom is considered as early pupil of Silpa Bhirasri. His well-known sculpture entitled “Musical Rythm” is regarded as one his best, Khien's sculptures likely take an inspiration especially on fluidity of forms and contour from traditional Thai art but at the same time being contorted as modern expression.


        เรามักได้ยินกันบ่อย ๆ ว่า “ปากไม่แดงไม่มีแรงเดิน” หรือ “จะถูกจะแพงขอให้แดงไว้ก่อน” นั่นอาจสะท้อนความนิยมของสีแดงได้เป็นอย่างดี         กระนั้น การใช้สีแดงพบมาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์แล้ว ยกตัวอย่างเช่น ภาพเขียนสี และการตกแต่งลวดลายบนภาชนะดินเผา ในดินแดนไทย น่าสนใจว่า ทำไมมนุษย์สมัยก่อนประวัติศาสตร์นิยมใช้สีแดงมาตกแต่งผิวและลวดลายภาชนะ และภาพเขียนสี         จากที่มีผู้ศึกษาไว้ พบว่าสีที่มนุษย์เริ่มใช้เป็นเนื้อสีที่หาได้จากแร่ธาตุต่าง ๆ ตามธรรมชาติ ที่มีการสะสมของสารประกอบเหล็กออกไซด์ (iron oxide) ส่วนใหญ่จะได้มาจากหินหรือดิน         สีแดง ก็ถือเป็นสีที่เก่าแก่และนิยมใช้กันอย่างแพร่หลายทั่วทุกมุมโลก โดยหนึ่งในวัตถุดิบก็คือแร่เฮมาไทต์ (Hematite : Fe2O3) แต่ก็ใช่ว่าสมัยก่อนประวัติศาสตร์จะมีแต่สีแดงไปเสียทั้งหมด ในพื้นที่อื่น ๆ ของโลกยังพบว่ายังมีดินเหนียวละเอียดและเหล็กออกไซด์ที่ให้สีสันหลากหลายตั้งแต่สีเหลือง สีส้ม สีน้ำตาล ไปจนถึงสีแดงอีกหลายเฉด ไม่เพียงเท่านั้นยังมีการใช้สีที่ได้จากพืช แมลง และสีดำจากถ่าน อีกด้วย         คำถามต่อมาก็คือ แล้วทำไมสีเหล่านี้ถึงสามารถคงอยู่ได้นานนับหลายพันปีกันล่ะ? ว่ากันว่า ไม่ว่าจะเป็นภาพเขียนสี หรือลวดลายบนภาชนะดินเผา ที่คงทนมาให้เราได้เห็นถึงทุกวันนี้ เพราะสีจากการสะสมของเหล็กออกไซด์จะจางได้ช้ากว่าสีที่ได้จากพืชและสัตว์นั่นเอง         หลักฐานการขุดค้นทางโบราณคดีที่ผาแต้ม จังหวัดอุบลราชธานี เมื่อปี พ.ศ. 2535 พบว่ามีการนำแร่เฮมาไทต์มาขัดฝนเพื่อนำไปใช้งาน โดยมีการสันนิษฐานว่าคงนำแร่มาบดเป็นผงเสียก่อน แล้วอาจนำไปผสมกับยางไม้ ไขมันสัตว์ หรือเลือดสัตว์ที่เป็นสีแดงเช่นเดียวกับแร่ ซึ่งยิ่งทำให้สียิ่งติดทนและมีสีที่เด่นชัดมากขึ้นไปอีก อย่างไรก็ตาม การที่ดินแดนไทยพบการใช้สีแดงอย่างแพร่หลาย อาจเนื่องด้วยแร่ชนิดดังกล่าวเป็นวัตถุดิบที่พบมากที่สุด         แล้วมนุษย์ในสมัยนั้น เขาใช้อะไรเขียน ? สำหรับในข้อนี้ การศึกษาเชิงเปรียบเทียบกับแหล่งโบราณคดีในต่างประเทศ ทำให้เชื่อว่าสำหรับกรณีภาพเขียนสี คงมีทั้งการใช้มือ แปรงจากพืชหรือขนสัตว์ เป็นหลัก แต่อาจมีเทคนิคอื่น ๆ ด้วยเช่นกัน ขณะที่ลวดลายบนภาชนะดินเผา เป็นไปได้ที่จะใช้แปรงหรือพู่กัน         ส่วนการใช้สีแดงสื่อความหมายใดหรือไม่นั้น ได้มีผู้ให้ความเห็นไว้ว่าสื่อถึง "เลือด" และ "ชีวิต" ซึ่งหากเป็นภาพเขียนสีมักตีความภาพเหล่านี้ไปในทางการประกอบพิธีกรรมและร่วมกันเขียนภาพสื่อสารกับสิ่งเหนือธรรมชาติ เพื่อความอุดมสมบูรณ์ ขณะเดียวกัน ลวดลายสีแดงบนภาชนะดินเผาในวัฒนธรรมบ้านเชียง อาจสื่อความหมายถึง "ขวัญ" (ส่วนที่ไม่มีตัวตนของคน สัตว์ สิ่งของ)         สีแดงยังถูกตีความเป็นตัวแทนของ "ระดู" ของเพศหญิง ซึ่งระดูนั้นก็เกี่ยวกับ "การมีชีวิตและการตั้งท้อง" แม้ว่าทั้งหมดนี้จะเกี่ยวกับความเชื่อเรื่องการมีชีวิตใหม่ในโลกหน้าหรือไม่ แต่ข้อสังเกตหนึ่งคือ ภาชนะดินเผาบ้านเชียงเกือบทั้งหมดพบในหลุมฝังศพ อีกทั้งยังพบร่องรอยการนำดินเทศมาโรยในพิธีศพ ได้แก่ แหล่งโบราณคดีบ้านเก่า จังหวัดกาญจนบุรี และแหล่งโบราณคดีโคกพนมดี จังหวัดชลบุรี เป็นต้น         ดังนั้นจึงสันนิษฐานได้ว่า ในเชิงการใช้งาน แม้ว่ามนุษย์จะมีสีจากวัตถุดิบต่าง ๆ ให้เลือกใช้ แต่สีแดงจากแร่เฮมาไทต์เป็นวัตถุดิบที่หาได้ง่ายและคงทน นอกจากนี้ ในเชิงความหมาย สีแดงก็อาจเปรียบเสมือนสีของเลือด จึงสัมพันธ์กับเรื่องของชีวิตและความเชื่อเรื่องโลกหน้าก็เป็นได้ ________________________ ผู้เขียน : ปัณฑ์ชนิต สุรฤทธิ์โยธิน ผู้ช่วยภัณฑารักษ์ คลังกลางพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ________________________ อ้างอิง 1. ชลิต ชัยครรชิต. “รูปคนและสัตว์บนภาชนะดินเผาลายเขียนสีวัฒนธรรม         บ้านเชียง” ศิลปศาสตร์บัณฑิต (โบราณคดี) ภาควิชาโบราณคดี คณะ         โบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร, 2522. 2. ธนิก เลิศชาญฤทธ์. ภาชนะดินเผายุคก่อนประวัติศาสตร์ในประเทศไทย.         นนทบุรี : มิวเซียมเพรส, 2560. 3. ศิริพจน์ เหล่ามานะเจริญ. “ไหอีสานไม่ได้มีแต่ไหทองคำ เพราะยังมี         ไหลายสีแดงในวัฒนธรรมบ้านเชียงด้วย,” มติชนสุดสัปดาห์ 23 - 29          มิถุนายน 2560.  4. สุจิตต์ วงษ์เทศ. คนไทยอยู่ที่นี่ นี่อุษาคเนย์. กรุงเทพฯ : ศิลปวัฒนธรรม,          2537. 5. อพิสิทธิ์ ธีระจารุวรรณ. รูปเขียนดึกกำบรรพ์ “สุวรรณภูมิ” 3,000 ปีมาแล้ว          ต้นแบบงานช่างเขียนปัจจุบัน. กรุงเทพฯ : มติชน, 2549.         ENCYCLOPEDIA. Prehistoric Colour Palette : Paint Pigments          Used by Stone Age Artists in Cave Paintings and Pictographs.            เข้าถึงเมื่อ 13 พฤศจิกายน 2564. http://www.visual-arts-  cork.com/artist-paints/prehistoric-colour-palette.htm.




1. Smart Museum (smartmuseum.finearts.go.th)           เป็นระบบการให้บริการข้อมูลด้านพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สามารถเลือกเที่ยวชมพิพิธภัณฑ์ได้ในรูปแบบเสมือนจริง แสดงข้อมูลโบราณวัตถุหมุน 360 องศา และแสดงข้อมูลอาคารโบราณสถานในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ในรูปแบบ 3D Model เสมือนท่านได้เข้าชมพิพิธภัณฑ์ด้วยตนเอง   2. Virtual Museum (http://www.virtualmuseum.finearts.go.th)           Virtual Museum หรือ พิพิธภัณฑ์เสมือนจริง เป็นระบบที่เผยแพร่ข้อมูลด้านพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ โดยประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศร่วมกับเทคนิคภาพแบบ Panoramic ประชาชนสามารถเข้าชมห้องจัดแสดงได้แบบ ๓๖๐ องศา ทำให้เกิดความน่าสนใจ ผ่านระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ต เสมือนท่านได้เข้าชมพิพิธภัณฑ์ด้วยตนเอง รวมทั้งยังสามารถเลือกชมพิพิธภัณฑ์ทั่วประเทศ 3. อุทยานประวัติศาสตร์เสมือนจริง (virtualhistoricalpark.finearts.go.th)           เป็นการนำเสนอข้อมูลอุทยานประวัติศาสตร์ 11 แห่งทั่วประเทศ ผ่านเว็บไซต์ในรูปแบบเสมือนจริง สามารถชมลวดลาย และสัมผัสอีกหนึ่งมุมมองที่ไม่สามารถมองเห็นได้จากในสถานที่จริง เช่น ยอดพระปรางค์ ภาพมุมสูง เป็นต้น 4. ระบบคลังข้อมูลดิจิทัล (http://www.digitalcenter.finearts.go.th)           Digitalcenter หรือ ระบบคลังข้อมูลดิจิทัล เป็นระบบสืบค้นข้อมูลหนังสือทั้งหมดของหน่วยงานกรมศิลปากร แบ่งเป็น หนังสืออกใหม่ เอกสารภายใน หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ เอกสารอิเล็กทรอนิกส์      สื่อมัลติมีเดีย คลังภาพ และข่าวสาร เพื่อเป็นประโยชน์ในการให้บริการข้อมูลออนไลน์แก่ประชาชน 5. ระบบสืบค้นเอกสารจดหมายเหตุ (archives.nat.go.th)           ระบบสืบค้นเอกสารจดหมายเหตุ ให้บริการสืบค้นเอกสารจดหมายเหตุ ข้อมูล ภาพประวัติศาสตร์ ภาพลายลักษณ์ ภาพเหตุการณ์สำคัญ ภาพพระราชพิธี มากกว่า ๓๕,๐๐๐ ภาพ ซึ่งผู้ใช้บริการสามารถลงทะเบียนเพื่อค้นหา และขอใช้บริการข้อมูลผ่านเว็บไซต์ออนไลน์ ได้อย่างสะดวกรวดเร็ว   6. ระบบภูมิสารสนเทศ มรดกศิลปวัฒนธรรม GIS (www.gis.finearts.go.th)          GIS (Geographic Information System) หรือเรียกว่า ระบบภูมิสารสนเทศ มรดกศิลปวัฒนธรรม เป็นระบบที่มีลักษณะข้อมูลเชิงพื้นที่ ภาพ แผนที่ หรือข้อมูลที่มีพิกัดตำแหน่ง นำมาเชื่อมโยงกับข้อมูลเชิงบรรยายในฐานข้อมูล กรมศิลปากรมุ่งเน้นให้บริการข้อมูลแหล่งโบราณสถาน อนุสาวรีย์และพระพุทธรูปที่สำคัญ พิพิธภัณฑ์วัดและเอกชน อุทยานประวัติศาสตร์ และข้อมูลในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานคร รวมทั้งข้อมูลแหล่งโบราณคดีเขตน้ำท่วม เพื่อเป็นประโยชน์ต่อการศึกษาค้นคว้า และให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการปกป้อง อนุรักษ์ มรดกของชาติ 7. ระบบเอกสารโบราณ (manuscript.nlt.go.th)           ระบบให้บริการสืบค้นข้อมูล จารึก หนังสือไทย ตู้พระธรรม และคัมภีร์ใบลาน ในรูปแบบออนไลน์ 8. ระบบฐานข้อมูลงานศิลปกรรม (datasipmu.finearts.go.th)          ระบบเผยแพร่และให้บริการองค์ความรู้ข้อมูล งานด้านศิลปกรรมและ งานช่างสิบหมู่ ของกรมศิลปากรในรูปแบบออนไลน์ 9. เว็บไซต์กรมศิลปากร (finearts.go.th)          เผยแพร่ข้อมูลข่าวสาร กิจกรรม จากหน่วยงานภายในกรมศิลปากร ทุกหน่วยงานทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาค และองค์ความรู้ด้านมรดกศิลปวัฒนธรรม ของกรมศิลปากร


ชื่อเรื่อง                                         สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม  (สงฺคิณี-มหาปฏฺฐาน) อย.บ.                                            27/1ประเภทวัสดุ/มีเดีย                     คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่                                      พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ                                 76 หน้า : กว้าง 4.5 ซม. ยาว 54.4 ซม.หัวเรื่อง                                         พุทธศาสนาบทคัดย่อ/บันทึก                เป็นคัมภีร์ใบลาน เส้นจาร ฉบับทองทึบ ได้รับบริจาคมาจาก จ.พระนครศรีอยุธยา


ชื่อเรื่อง                                        สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม  (สงฺคิณี-มหาปฏฺฐาน) อย.บ.                                           35/5ประเภทวัดุ/มีเดีย                       คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่                                     พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ                              46 หน้า : กว้าง 4.5 ซม. ยาว 53.5 ซม.หัวเรื่อง                                        พุทธศาสนาบทคัดย่อ/บันทึก               เป็นคัมภีร์ใบลาน เส้นจาร ฉบับทองทึบ ไม้ประกับธรรมดา ได้รับบริจาคมาจาก จ.พระนครศรีอยุธยา


สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สงฺคิณี-มหาปฎฺฐาน) ชบ.บ 130/5 เอกสารโบราณ(คัมภีร์ใบลาน)


สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สงฺคิณี-มหาปฎฺฐาน) ชบ.บ 166/4 เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)




ชื่อเรื่อง                                        สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม  (สงฺคิณี-มหาปฏฺฐาน) อย.บ.                                           20/4ประเภทวัดุ/มีเดีย                          คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่                                     พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ                                42 หน้า : กว้าง 5.2 ซม. ยาว 56.5 ซม.หัวเรื่อง                                       พุทธศาสนาบทคัดย่อ/บันทึก               เป็นคัมภีร์ใบลาน เส้นจาร ฉบับทองทึบ ไม้ประกับธรรมดา ได้รับบริจาคมาจาก จ.พระนครศรีอยุธยา


         พระพิมพ์พระพุทธรูปปางมารวิชัยประทับในซุ้มเรือนแก้ว          ศิลปะสุโขทัย พุทธศตวรรษที่ ๒๐          นายถม ธรรมปาโมกข์ มอบให้          ปัจจุบันจัดแสดง ณ ห้องสุโขทัย อาคารประพาสพิพิธภัณฑ์ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร          พระพิมพ์ดินเผา รูปทรงสามเหลี่ยม พิมพ์รูปพระพุทธเจ้าในซุ้มเรือนแก้ว ส่วนฐานเป็นฐานประดับบัวหงายมีเกสร พระพุทธรูปมีพระรัศมีทรงเปลว เม็ดพระศกค่อนข้างใหญ่ พระพักตร์รูปไข่ พระขนงโก่ง พระนาสิกโด่ง แย้มพระสรวล พระวรกายครองจีวรห่มเฉียง มีสังฆาฏิเป็นเส้นเล็กพาดผ่านพระอังสาซ้ายยาวจรดพระนาภี ประทับขัดสมาธิราบแสดงปางมารวิชัย อยู่ในซุ้มเรือนแก้ว ขนาบซุ้มทั้งสองข้างด้วยแจกันทรงคล้ายหม้อมีดอกไม้ปักอยู่ กรอบซุ้มหน้านางตกแต่งด้วยลายเม็ดประคำ ส่วนปลายซุ้มเป็นลายกระหนกวงโค้ง ถัดขึ้นไปบนซุ้มเป็นพุ่มโพธิ์พฤกษ์แผ่กิ่งก้านม้วนเข้าหากันทั้งสองข้าง ยอดบนสุดประดับด้วยฉัตรตกแต่งอุบะ           พระพิมพ์นี้แสดงรูปแบบศิลปะสุโขทัยอย่างชัดเจน ทั้งรูปแบบของพระพุทธรูปซึ่งจัดอยู่ในกลุ่มพระพุทธรูปหมวดใหญ่ และลักษณะซุ้มที่ปรากฏเรียกว่าซุ้มเรือนแก้วแบบลังกา หรือ ซุ้มหน้านาง ซึ่งรับอิทธิพลจากศิลปะลังกา (แตกต่างจากกรอบซุ้มในศิลปะเขมรที่จะทำวงโค้งเข้า-ออกต่อกัน)          รูปแบบซุ้มเรือนแก้วบนพระพิมพ์นี้พบได้แพร่หลายทั้งพระพิมพ์ในศิลปะล้านนา เช่น พระพิมพ์ที่พบในพื้นที่อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย ในศิลปะสุโขทัยพบพระพิมพ์รูปแบบเดียวกันนี้อีกหลายชิ้นในพื้นที่อำเภอสวรรคโลก จังหวัดสุโขทัย รวมไปถึงพระพิมพ์ในศิลปะอยุธยาซึ่งพบทั้งรูปแบบที่ใกล้เคียงกัน เช่น พระพิมพ์ ภายในกรุวัดราชบูรณะ และพระพิมพ์ภายในกรุเจดีย์ประธาน องค์ทิศตะวันออก วัดพระศรีสรรเพชญ์ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา     อ้างอิง กรมศิลปากร. โบราณวัตถุ กรุเจดีย์ วัดพระศรีสรรเพชญ์. กรุงเทพฯ: กรมศิลปากร, ๒๕๖๔. กรมศิลปากร. พระพิมพ์ : พระเครื่องเมืองไทย. นครปฐม: รุ่งศิลป์การพิมพ์, ๒๕๖๔. สันติ เล็กสุขุม. ศิลปะสุโขทัย. พิมพ์ครั้งที่ ๒. กรุงเทพฯ: เมืองโบราณ, ๒๕๔๙.


ชื่อผู้แต่ง                  - ชื่อเรื่อง                   พระวิทูรบัณฑิต ครั้งที่พิมพ์               - สถานที่พิมพ์            - สำนักพิมพ์               - ปีที่พิมพ์                  - จำนวนหน้า              ๑๓๐   หน้า หมายเหตุ                สข.๐๒๒ หนังสือสมุดไทยขาว อักษรไทย ภาษาไทย เส้นหมึก (เนื้อหา)                  เนื้อเรื่องกล่าวถึงพระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นพระวิธูรบัณฑิต เป็นผู้ถวายอรรถธรรมแก่พระเจ้าธนัญชัยโกรพยราช นางวิมลาแสร้งทำเป็นไข้ปรารถนาดวงหฤทัยของพระวิธูรบัณฑิตเพื่อจะสดับธรรมกถา ปุณณกยักษ์กล่าวท้าทายพระเจ้าธนัญชัยโกรพยราชพนันสกา ปุณณกยักษ์ชนะสกาแล้วทูลขอพระวิธูรบัณฑิต พระวิธูรบัณฑิตยอมสละชีวิตไปกับปุณณกยักษ์ผู้จะฆ่านำหัวใจไปให้พระนางวิมลาเทวี และแสดงสาธุนรธรรม ๔ ประการแก่ปุณณกยักษ์


          สำนักช่างสิบหมู่  ร่วมกับกลุ่มวิทยาศาสตร์เพื่อการอนุรักษ์ สำนักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กรมศิลปากร ได้ดำเนินการอนุรักษ์บานไม้ประดับมุกศิลปะญี่ปุ่นในประเทศไทย  วัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมาราม วาระที่ ๓  ในระหว่างปี พ.ศ. ๒๕๖๔ –  พ.ศ. ๒๕๖๘   ซึ่งขณะนี้ได้ดำเนินการอนุรักษ์ฯ แล้วเสร็จติดประกอบคืนบานไม้ไปแล้วในบางส่วน             ทางวัดราชประดิษฐฯ เล็งเห็นถึงความสำคัญของงานอนุรักษ์ซ่อมแซมบานไม้ประดับมุกศิลปะญี่ปุ่น  จึงได้ร่วมมือกับกรมศิลปากรจัดงาน “ราชประดิษฐฯ พิสิฐศิลป์”  ในวันจันทร์ที่ ๒๐ มีนาคม ๒๕๖๖ เวลา ๐๘.๓๐ - ๑๕.๓๐ น.  ณ วัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมาราม  เพื่อนำเสนอการดำเนินงานที่ผ่านมาผ่านมุมมองวัด และช่างฝีมือ ทั้งชาวไทย-ญี่ปุ่น มีกิจกรรมที่น่าสนใจ ดังนี้ เวลา ๐๘.๓๐ - ๑๒.๐๐ น.   - การเสวนาทางวิชาการ เรื่อง ความเป็นมาของโครงการบูรณะซ่อมแซมและ อนุรักษ์บานไม้ประดับมุกศิลปะญี่ปุ่นในประเทศไทย  - การเสวนาทางวิชาการ เรื่อง กระบวนการทำงานซ่อมแซมบานไม้ประดับมุกศิลปะญี่ปุ่นในประเทศไทย  เวลา ๑๒.๐๐ - ๑๕.๓๐ น. - นิทรรศการและการสาธิตงานซ่อมแซมบานไม้ประดับมุก จาก สำนักช่างสิบหมู่ และสำนักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ - การออกร้านอาหารญี่ปุ่น - การชงชาแบบญี่ปุ่น จากสำนักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กรมศิลปากร  - พิธีการประกอบคืนบานไม้ประดับมุกศิลปะญี่ปุ่น  - ชมการแสดงชุดระบำมิตรไมตรีญี่ปุ่น – ไทย จากสำนักการสังคีต กรมศิลปากร - พบกับ Thames Malerose   Full-time คอสเพลย์เยอร์ และสตรีมเมอร์  รางวัลรองชนะเลิศลำดับที่ 2  งานประกวด World Cosplay Summit 2022 ณ เมืองนาโกย่า ประเทศญี่ปุ่น  ผู้สนใจสามารถลงทะเบียนออนไลน์ได้ที่ https://docs.google.com/forms/d/e/1FAIpQLSdWEkb27xprvUkX6w4cUn2S7Q4pgalVkzpQU1ydhtzKNsJSPA/viewform?fbclid=IwAR0XPoOZqLQ2VKXI77qgnc5LAVN18SDJbVv6F3-c8Qy-9V-UG747TbPAN7sหรือแสกน Qr Code ที่โปสเตอร์ประชาสัมพันธ์เพื่อลงทะเบียน +++รีบลงทะเบียนด่วน! รับจำนวนจำกัด  ภาคเช้า เปิดรับผู้ลงทะเบียนออนไลน์ จำนวน ๓๐ ท่าน ภาคบ่าย เปิดรับผู้ลงทะเบียนออนไลน์ จำนวน ๑๐๐ ท่าน


ชื่อผู้แต่ง          Parkes’Harry Mission ชื่อเรื่อง            File concerning เอกสารของนายแฮรี่ ปากส์ ครั้งที่พิมพ์        - สถานที่พิมพ์     กรุงเทพฯ สำนักพิมพ์       โรงพิมพ์และทำปกเจริญผล ปีที่พิมพ์           ม.ป.ป. จำนวนหน้า      ๓๖๘ หน้า    เอกสารประวัติศาสตร์ เรื่อง นายแฮรี่ ปากส์ ผู้เป็นทูตเข้ามาเจรจาเพื่อกระทำการสัตยาบันสัญญาทางพระราชไมตรีและการพาณิชย์ ซึ่งเซอร์จอนเบาริง ได้ทำไว้เมื่อ ค.ศ.1855 หรือ พ.ศ. 2398 ในครั้งนั้น เซอร์จอน เบาริง ได้ประสบความสำเร็จ กล่าวคือได้รับการตกลงตามที่ขอร้องจากรัฐบาลไทยทุกประการ เช่น ได้รับสิทธิให้คนอังกฤษเข้ามาค้าขายได้อย่างเสรี โดยรัฐบาลไทยเก็บภาษีขาเข้าเพียงร้อยชักสามและยอมให้อังกฤษตั้งศาลกงสุลตัดสินคนอังกฤษ


black ribbon.