ค้นหา
รายการที่พบทั้งหมด 48,823 รายการ
ชื่อเรื่อง สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สงฺคิณี-มหาปฏฺฐาน) อย.บ. 19/1ประเภทวัดุ/มีเดีย คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่ พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ 38 หน้า : กว้าง 5 ซม. ยาว 56 ซม.หัวเรื่อง พุทธศาสนาบทคัดย่อ/บันทึก เป็นคัมภีร์ใบลาน เส้นจาร ฉบับทองทึบ ไม้ประกับธรรมดา ได้รับบริจาคมาจาก จ.พระนครศรีอยุธยา
เลขทะเบียน : นพ.บ.589/1ข ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณ หมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 102 หน้า ; 4 x 49 ซ.ม. : รักทึบ-ล่องชาด-ล่องรัก ; ไม่มีไม้ประกับชื่อชุด : มัดที่ 190 (378-384) ผูก 1ข (2566)หัวเรื่อง : พระสังคิณี--เอกสารโบราณ คัมภีร์ใบลาน พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม
๒๑ เมษายน ๒๕๖๖ วันแห่งการสถาปนา “กรุงรัตนโกสินทร์” และวันยกเสาหลักเมืองกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นเวลา ๒๔๑ ปี ทางพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนครคีรี จึงเรียบเรียงเรื่องราวสำคัญนี้ขึ้นมา เพื่อน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณและเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี
เป็นเรื่องราวก่อนวันสถาปนา “กรุงรัตนโกสินทร์” รัชสมัยที่ราชธานียังคงเป็น “กรุงธนบุรี”ปลายรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ที่เกิดการจลาจลขึ้นในกรุงธนบุรี สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก หรือ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ได้ระงับจลาจลราบคาบ และทรงปราบดาภิเษกขึ้นเป็นปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี ในวันที่ ๑๐ มิถุนายน ๒๓๒๕
และนำไปสู่เหตุการณ์ที่สำคัญอย่างยิ่งต่อรัชสมัย “กรุงรัตนโกสินทร์” นั้นคือ เหตุการณ์การย้ายราชธานี โดยราชธานีใหม่นั้นก็คือ “กรุงเทพมหานคร” หรือชื่อเต็มในขณะนั้นเรียกกันว่า “กรุงเทพมหานคร อมรรัตนโกสินทร์ มหินทรายุธยา มหาดิลกภพ นพรัตนราชธานีบูรีรมย์ อุดมราชนิเวศน์มหาสถาน อมรพิมานอวตารสถิต สักกะทัตติยวิษณุกรรมประสิทธิ์” พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ได้อธิบายถึงสาเหตุของการย้ายราชธานีในพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ไว้ว่า
“ฝั่งฟากตะวันออก (กรุงเทพฯ) เป็นที่ชัยภูมิดีกว่าที่ฟากตะวันตก (กรุงธนบุรี) โดยเป็นแหลมมีลำแม่น้ำเป็นขอบเขตต์อยู่กว่าครึ่ง ถ้าตั้งพระนครข้างฝั่งตะวันออก (กรุงเทพฯ) แม้นข้าศึกยกมาติดถึงชานพระนครก็ต่อสู้ป้องกันได้ง่ายกว่าอยู่ข้างฝั่งตะวันตก (กรุงธนบุรี) ฝั่งตะวันออก (กรุงเทพฯ) นั้นเสียแต่เป็นที่ลุ่ม เจ้ากรุงธนบุรีจึงได้ตั้งอยู่ฝั่งตะวันตก (กรุงธนบุรี) ที่เป็นดอน แต่ก็เป็นที่ท้องคุ้งน้ำเซาะทรุดพังอยู่เสมอไม่ถาวร พระราชนิเวศน์มนเทียรสถานเล่า ก็ตั้งอยู่ในอุปจาร ระหว่างวัดแจ้งและวัดท้ายตลาดขนาบอยู่ทั้ง ๒ ข้าง ควรเป็นที่รังเกียจ ” โดยสรุปสาเหตุที่ย้ายราชธานีเพราะ
๑. ที่ตั้งราชธานีใหม่ (กรุงเทพฯ) อยู่ทางฝั่งตะวันออกของแม่นํ้าเจ้าพระยา เป็นพื้นที่กว้างขวางเป็นชัยภูมิที่เหมาะแก่การป้องกันตัวเองจากข้าศึก
๒. ที่ตั้งราชธานีเดิม (กรุงธนบุรี) อยู่ฝั่งตะวันตกของแม่นํ้าเจ้าพระยาเป็นที่ที่นํ้าเซาะ
๓. ราชธานีเดิม (กรุงธนบุรี) มีวัดขนาบทั้งสองข้างไม่เหมาะแก่การที่จะขยายพระราชวังออกไปได้อีก
ในวาระการสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ครบ ๒๔๑ ปี ในวันที่ ๒๑ เมษายน ๒๕๖๖ นี้ ถือเป็นโอกาสดีที่คนไทย โดยเฉพาะเยาวชนคนรุ่นใหม่ จะได้เรียนรู้และสร้างความรู้ความเข้าใจเรื่องประวัติศาสตร์ความเป็นมาของการสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ก่อให้เกิดความรักและภาคภูมิใจในความเป็นไทย ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการรักษาเอกลักษณ์ศิลปวัฒนธรรม
ชื่อเรื่อง ธมฺมปทวณฺณนา ธมฺมปทฏธกถา ขุทฺทกนิกายฏธกถ (ธมฺมปทขั้นปลาย)อย.บ. 240/10หมวดหมู่ พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ 60 หน้า : กว้าง 4.5 ซม. ; ยาว 55 ซม.หัวเรื่อง พุทธ ศาสนา บทคัดย่อ/บันทึก เป็นคัมภีร์ใบลาน ฉบับทองทึบ
ชื่อเรื่อง ภูมินามอำเภอบางบัวทองผู้แต่ง พิศาล บุญผูกประเภทวัสดุ/มีเดีย หนังสือท้องถิ่นISBN/ISSN 978-616-505-490-4หมวดหมู่ ประวัติศาสตร์และภูมิศาสตร์ เลขหมู่ 959.312 พ757ภสถานที่พิมพ์ กรุงเทพฯสำนักพิมพ์ โครงการบริการวิชาการแก่สังคม สำนักบรรณสารสนเทศ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราชปีที่พิมพ์ 2554ลักษณะวัสดุ 276 หน้า : ภาพประกอบ ; 23 ซม.หัวเรื่อง อำเภอ -- ไทย -- นนทบุรี บางบัวทอง (นนทบุรี) -- ประวัติ บางบัวทอง (นนทบุรี) -- ความเป็นอยู่และประเพณี บางบัวทอง (นนทบุรี) -- ภูมิประเทศและการท่องเที่ยวภาษา ไทยบทคัดย่อ/บันทึก รวบรวมข้อมูลสำคัญที่ทำให้ทราบความเป็นมาตั้งแต่อดีตของอำเภอบางบัวทองได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
องค์ความรู้พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ น่านตั๋วเมืองน่ารู้...ร่วมอนุรักษ์และสืบสานอักษรธรรมล้านนา"หอฅำ/หอคำ" --- ตามความหมายในพจนานุกรมภาษาล้านนา หมายถึง ปราสาท, ราชวัง, เรือนของเจ้าผู้ครองแคว้น--- ในอดีตพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ น่าน คือ หอคำของเจ้าผู้ครองนครน่าน สร้างขึ้นในปีพุทธศักราช ๒๔๔๖ ในสมัยพระเจ้าสุริยพงษ์ผริตเดชฯ เจ้าเมืองน่านองค์ที่ ๖๓ (ครองเมืองน่าน พุทธศักราช ๒๔๓๖ - ๒๔๖๑) บริเวณหอคำหรือคุ้มหลวงเป็นที่พำนักและที่ออกว่าราชการของเจ้าเมืองน่านในอดีต อาคารที่ใช้จัดแสดงในปัจจุบันเป็นอาคารก่ออิฐถือปูนสองชั้นแบบตรีมุขหรือรูปตัวที รูปแบบผสมผสานระหว่างศิลปะไทยและศิลปะตะวันตก โครงสร้างภายในเป็นไม้ หันหน้าไปทางทิศตะวันออก--- หลังจากที่เจ้ามหาพรหมสุรธาดา เจ้าผู้ครองนครน่านองค์ที่ ๖๔ (เจ้าผู้ครองนครน่านองค์สุดท้าย) ถึงแก่พิราลัย พุทธศักราช ๒๔๗๔ และเกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปีพุทธศักราช ๒๔๗๕ ตำแหน่งเจ้าผู้ครองนครน่านจึงถูกยุบยกเลิกไป อาคารหอคำถูกใช้เป็นศาลากลางจังหวัดน่าน ตั้งแต่พุทธศักราช ๒๔๗๖ เป็นต้นมา--- เมื่อมีการก่อสร้างศาลากลางจังหวัดน่านหลังใหม่ขึ้น กระทรวงมหาดไทยจึงมอบอาคารหอคำพร้อมกับพื้นที่คุ้มหลวงให้กรมศิลปากร เพื่อใช้เป็นสถานที่จัดตั้งพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ น่าน ตั้งแต่ปีพุทธศักราช ๒๕๑๗--- พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ น่าน ได้รับการประกาศขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานของชาติ ตามความในราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ ๑๐๓ ตอนที่ ๒๕ วันที่ ๒๒ เมษายน ๒๕๒๙ และได้เปิดให้บริการแก่ประชาชนอย่างเป็นทางการ โดยสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ เสด็จพระราชดำเนินเป็นองค์ประธานในพิธีเปิดพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ น่าน เมื่อวันที่ ๑๔ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๓๐--- นอกจากนั้น หอคำ หรือ อาคารพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ น่าน ยังได้รับการพิจารณาคัดเลือกจากสมาคมสถาปนิกสยามในพระบรมราชูปถัมภ์ ให้เป็นอาคารอนุรักษ์ศิลปะสถาปัตยกรรมดีเด่น ประเภทอาคารสาธารณะ เมื่อปีพุทธศักราช ๒๕๓๒ และในปีพุทธศักราช ๒๕๔๖ จังหวัดน่าน โดยสำนักงานโยธาธิการและผังเมืองจังหวัดน่าน ได้กำหนดให้ หอคำ (พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ น่าน) เป็นศูนย์กลางของพื้นที่เมืองประวัติศาสตร์น่านชั้นใน (หัวแหวนเมืองน่าน) ลงวันที่ ๑๓ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๔๖ เพื่อคุ้มครองโบราณสถาน อาคารประวัติศาสตร์ รวมทั้งปกป้องภูมิทัศน์และสิ่งแวดล้อมอันเป็นเอกลักษณ์ทางศิลปวัฒนธรรมของเมืองน่าน ภายในบริเวณพื้นที่แห่งนี้ให้คงอยู่เป็นมรดกของแผ่นดินสืบไป...อ้างอิง: ศาสตราจารย์ ดร.อุดม รุ่งเรืองศรี. พจนานุกรมล้านนา - ไทย ฉบับแม่ฟ้าหลวง. เชียงใหม่; โครงการสารานุกรมวัฒนธรรมไทยภาคเหนือ. ปรับปรุงครั้งที่ ๑ มกราคม ๒๕๔๗, หน้า ๘๑๗.#องค์ความรู้พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติน่าน #อักษรธรรมล้านนา
โทร. 035 535 501 - ติดต่องานบริหารเอกสาร, เรื่องทำลาย, เรื่องรับมอบเอกสาร, งานบันทึกเหตุการณ์ ต่อ 101 - ติดต่องานเอกสารจดหมายเหตุและบริการ, การทำสำเนาเอกสารจดหมายเหตุ ต่อ 108 - ติดต่องานธุรการ การเงินและพัสดุ ต่อ 101
ปราสาทเมืองแขก
ปราสาทเมืองแขก ตั้งอยู่ห่างจากเมืองเสมาไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ประมาณ ๔ กิโลเมตร ในเขตบ้านกกกอก ตำบลโคราช อำเภอสูงเนิน จังหวัดนครราชสีมา ก่อสร้างด้วยอิฐและ หินทราย ประกอบไปด้วยปราสาทประธานขนาบข้างด้วยปราสาทบริวาร ๒ หลังตั้งอยู่บน ฐานเดียวกัน หันหน้าไปทางทิศเหนือ ปราสาทประธานมีมณฑปยื่นออกมาข้างหน้า ส่วนปราสาทบริวารมีมุขยื่นออกมาท้งสองข้าง มีบรรณาลัย ข้างละ ๑ หลัง หันหน้าเข้าสู่ มณฑป อาคารทั้งหมดล้อมรอบด้วยกำแพงแก้ว มีซุ้มประตูทางเข้าอยู่ตรงกลาง และแนว กำแพงทางด้นทิศตะวันออกมีลักษณะเป็นห้องยาว ถัดออกมาเป็นกำแพงชั้นนอก มีซุ้มประตูทางเข้าอยู่ตรงกลางโดยกำแพง ชั้นนอกนี้ด้านทิศเหนือก่อด้วยอิฐ ส่วนด้านอื่น ๆ ใช้แนวคันดินของสระน้ำรูปตัวยู (U) ที่ล้อมรอบปราสาทเป็นแนวขอบเขตด้วย ถัดออกมาเป็นอาคารขนาดใหญ่สองหลัง ตั้งหันหน้าเข้าหากัน สันนิษฐานว่าปราสาทหลังนี้สร้างขึ้นในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๕ โดยมีรูปแบบของ ศิลปะเขมรแบบเกาะแกร์-แปรรูป (ครึ่งหลังของพุทธศตวรรษที่ ๑๕)
อุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัย ขอเผยแพร่ องค์ความรู้ประจำเดือนพฤศจิกายน ๒๕๖๖ เรื่อง "ไหตะเกียงสังคโลกจากเตาหมายเลข ๖๑" ไหตะเกียงสังคโลก จัดแสดง ณ ศูนย์ศึกษาและอนุรักษ์เตาสังคโลกหมายเลข ๖๑ เป็นภาชนะดินเผาสังคโลกที่มีลักษณะพิเศษที่แตกต่างจากสังคโลกชิ้นอื่นที่พบจากการขุดค้นทางโบราณคดีแหล่งเตาบ้านเกาะน้อยหมายเลข ๖๑ เมื่อปี พ.ศ.๒๕๒๖ มีลักษณะเป็นภาชนะทรงไหไม่เคลือบเนื้อแกร่ง (Stoneware) ปากผายกว้าง มีไหขนาดเล็กรูปทรงเดียวกันจำนวน ๔ ใบ (ชำรุดไป ๑ ใบ) ประดับอยู่ที่ไหล่ของภาชนะ บางครั้งก็เรียกว่า “หม้อมีลูก” โดยไหขนาดเล็กที่ไหล่ทั้ง ๔ ใบ ทำหน้าที่เป็นปล่องสำหรับใส่ไส้ตะเกียง ส่วนน้ำมันบรรจุภายในไห สันนิษฐานว่าภาชนะประเภทนี้ผลิตขึ้นเป็นตะเกียงใส่น้ำมันจุดเพื่อให้แสงสว่างในพิธีกรรมในศาสนสถานเป็นหลัก สัมพันธ์กับภาชนะทรงไหไม่เคลือบใบอื่นๆ ที่ขุดพบร่วมกันได้ถูกคนในสมัยสุโขทัยนำมาใช้ในการบรรจุอัฐิฝังไว้ใกล้ฐานเจดีย์และวิหาร ดังได้พบจากการขุดค้นขุดแต่งทางโบราณคดีโบราณสถานหลายแห่ง อายุสมัยไหสังคโลกนี้คงผลิตขึ้นในช่วงราวพุทธศตวรรษที่ ๒๑ จากผลการกำหนดอายุทางวิทยาศาสตร์จากชิ้นส่วนผนังเตาหมายเลข ๖๑ ด้วยวิธีเทอร์โมลูมิเนสเซนซ์ (Thermoluminescence Dating - TL) มีค่าอายุราว ๔๔๓ ±๒๙BP หรือราวปีพุทธศักราช ๒๐๒๑ - ๒๐๗๘ เป็นช่วงเวลากรุงศรีอยุธยาเข้าปกครองเมืองศรีสัชนาลัยแล้ว อันเป็นช่วงที่มีการผลิตสังคโลกเพิ่มมากขึ้นเพื่อส่งออกทำให้เกิดขยายตัวของเตาเผาสังคโลกและรูปแบบสังคโลกที่มีความหลากหลายมากขึ้น เอกสารอ้างอิงกรมศิลปากร. เซรามิกแห่งแหลมทองและแดนอาทิตย์อุทัยสานตำนานสายใยไม่เสื่อมคลายในพาณิชยวัฒนธรรมโลก(ระเบียนรูปเซรามิกไทย-ญี่ปุ่น). กรุงเทพฯ : สำนักบริหารกลาง กรมศิลปากร, ๒๕๖๕. บริษัท นอร์ทเทริ์นซัน (๑๙๓๕) จำกัด. รายงานการขุดค้นทางโบราณคดี : โครงการงานอนุรักษ์หลุมขุดค้นทางโบราณคดีภายในอาคารศูนย์ศึกษาและอนุรักษ์เตาสังคโลกหมายเลข ๖๑ อุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัย จังหวัดสุโขทัย. ปีงบประมาณ ๒๕๕๕. (เอกสารอัดสำเนา)อุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัย. รายงานการขุดค้นทางโบราณคดีเตาเผาสังคโลกหมาย ๖๑, ๑๗๖, ๑๗๗ และ ๑๗๘. งานโบราณคดี โครงการอุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัย กองโบราณคดี กรมศิลปากร ปีพุทธศักราช ๒๕๒๙-๓๐. (เอกสารอัดสำเนา)
ภาพปูนปั้นรูปนรสิงห์
- ทวารวดี (พุทธศตวรรษที่ ๑๒ - ๑๔)
- ปูนปั้น
- ขนาด กว้าง ๙๓.๓ ซม. ยาว ๘๒ ซม. หนา ๕ ซม.
เดิมประดับที่ฐานลานประทักษิณด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ของเจดีย์จุลประโทน อ.เมืองนครปฐม จ.นครปฐม ได้จากการขุดค้นทางโบราณคดี เมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๑ นรสิงห์ มีร่างกายท่อนบนเป็นสิงโต และร่างกายท่อนล่างเป็นมนุษย์ นั่งชันเข่า หันหน้าตรง แขนทั้งสองข้างท้าวอยู่บนเข่า ข้อศอกกางออกคล้ายท่าแบก
แสดงภาพวัตถุหมุน คลิกที่นี่ https://smartmuseum-v2.finearts.go.th/3d_object/?obj=40072
ที่มา: https://smartmuseum.finearts.go.th