ค้นหา

รายการที่พบทั้งหมด 48,759 รายการ



    ชามฝาลายน้ำทองเรื่องพระอภัยมณี ตอนหนีนางผีเสื้อสมุทร      บนฝามีตัวหนังสือเขียนว่า “พระอไภย ” และที่ก้นชามมีตัวหนังสือเขียนว่า “อยางจินพุก” ชามฝาชุดนี้นำเข้าโดยพระยาโชฎึกราชเศรษฐี (พุก โชติกะพุกกณะ) ราวปลายรัชกาลที่ 4       อยางจินพุก เป็นชื่อทางการของห้าง Jin Tang Fu Ji หรือ กิม ตึ๋ง ฮก กี่ ของพระยาโชฎึกราชเศรษฐี (พุก) ผู้สั่งเครื่องถ้วยชุดพิเศษนี้เข้ามาในสยาม อันแสดงถึงการเปลี่ยนแปลงให้พ่อค้าชาวจีนสามารถเป็นตัวแทนนำเข้าและจำหน่ายเครื่องถ้วยตามห้างต่างๆ ในกรุงเทพฯ     ชามฝานี้เดิมเป็นสมบัติของพลเอกพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระกำแพงเพชรอัครโยธิน และพระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าเปรมบูรฉัตร หม่อมงามจิตต์ บูรฉัตร มอบให้ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร เมื่อวันที่ 3 กันยายน 2527 ปัจจุบันจัดแสดงใน ห้องเครื่องถ้วยในราชสำนัก พระที่นั่งวสันตพิมาน (ล่าง) พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร


          ต้นโพธิ์เป็นต้นไม้ที่มีความสำคัญอย่างยิ่งในพระพุทธศาสนา เพราะเป็นต้นไม้ที่พระพุทธองค์ประทับและตรัสรู้บรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณ ด้วยสาเหตุนี้ต้นโพธิ์จึงเป็นที่เคารพนับถือของพุทธศาสนิกชนมาตั้งแต่สมัยพุทธกาล           ในทางพุทธศาสนา คำว่า “ต้นโพธิ์” มิได้หมายถึงชื่อพันธุ์ไม้ทั่วไป แต่เป็นชื่อเรียกเฉพาะต้นไม้ที่พระพุทธเจ้าประทับใต้ร่มเงาขณะตรัสรู้ คำว่า “โพธิ” หมายถึงการตรัสรู้ ดังนั้น พระอดีตพุทธเจ้า พระสมณโคดม (พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน) และพระอนาคตพุทธเจ้า ต่างทรงตรัสรู้ใต้ต้นโพธิ์ทั้งสิ้น แต่เป็นต้นโพธิ์ที่ต่างสายพันธุ์กันออกไป เช่น พระศรีอาริยเมตไตรย พระอนาคตพุทธเจ้า จะตรัสรู้ใต้ต้นกากะทิง พระสมณโคดมหรือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสรู้ใต้ต้นอัสสัตถพฤกษ์ หรือโพใบ ซึ่งเป็นไม้ในสกุล Ficus religiosa L. วงศ์ MORACEAE มีใบคล้ายรูปหัวใจ ดังนั้นพันธุ์ไม้ชนิดนี้ปัจจุบันจึงนิยมเรียกกันว่า “ต้นโพธิ์”          ทั้งนี้ความเชื่อเรื่องการบูชาต้นโพธิ์ในประเทศไทย น่าจะเข้ามาพร้อมกับการนับถือพระพุทธศาสนา สันนิษฐานว่าในสมัยทวารวดีคงมีการนับถือ และเคารพบูชาต้นโพธิ์ด้วยเช่นกัน โดยปรากฏหลักฐาน ได้แก่ ชิ้นส่วนประติมากรรมดินเผารูปต้นโพธิ์ ตั้งอยู่บนฐานบัวคว่ำบัวหงาย พบจากเมืองโบราณอู่ทอง และชิ้นส่วนประติมากรรมรูปต้นโพธิ์ดินเผา พบจากเจดีย์หมายเลข ๑๑ เมืองโบราณอู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี แต่น่าเสียดายที่ไม่พบหลักฐานว่าประติมากรรมรูปต้นโพธิ์ที่พบจากเมืองโบราณอู่ทองนั้น เคยประกอบร่วมกับชุดสิ่งสักการบูชาอื่นหรือไม่ ทั้งนี้ต้นโพธิ์ดินเผานี้อาจสร้างขึ้นเพื่อประกอบรูปเคารพ เช่น พระพุทธรูป หรือภาพเล่าเรื่องพุทธประวัติ ก็เป็นได้ อนึ่งการทำต้นโพธิ์เป็นรูปเคารพ มีมาแล้วตั้งแต่สมัยอินเดียโบราณ ก่อนการทำพระพุทธรูป โดยสัญลักษณ์รูปต้นโพธิ์หมายถึงการตรัสรู้ขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ------------------------------------------------------------ที่มาของข้อมูล : พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี------------------------------------------------------------เอกสารอ้างอิง รุ่งโรจน์ ธรรมรุ่งเรือง. การนับถือบูชาต้นไม้ใหญ่และต้นโพธิ์ในสมัยทวารวดี, ดำรงวิชาการ : รวมบทความทางวิชาการคณะโบราณคดีปี ๒๕๔๗. กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยศิลปากร, ๒๕๔๗. สมบัติ พลายน้อย. พฤกษนิยาย. พระนคร : แพร่พิทยา, ๒๕๑๒. https://plantgeneticssite.wordpress.com/2017/11/19/%E0%B9%82%E0%B8%9E%E0%B8%98%E0%B8%B4%E0%B9%8C-ficus-religiosa-l/




          แผ่นดินเผาประติมากรรมนูนต่ำ ทำเป็นรูปบุคคล (บุรุษ) ยืนเอียงสะโพก ขาซ้ายเหยียดตรง ขาขวางอ ปลายเท้าแยกออกทางด้านข้าง แขนขวายกงอขึ้นจีบเป็นวงชิดใบหู และแขนซ้ายเหยียดโค้งพาดกลางลำตัวมือจีบเป็นวงชี้ลงเบื้องล่าง ซึ่งท่าทางดังกล่าวคล้ายกับท่ารำ ที่เรียกว่า “กริหัสตะกะ” (ท่างวงช้าง) หรือ “ลลิตะ” (ท่าเยื้องกราย)           ภาพบุคคลดินเผาชิ้นนี้ ประดับตกแต่งร่างกายด้วยเครื่องประดับหลายชิ้น ศีรษะสวมศิราภรณ์ (เครื่องประดับศีรษะ) เป็นกระบังหน้าที่ประกอบด้วยตาบสามเหลี่ยมคล้ายใบไม้ ๓ ตาบ มีร่องรอยตาบสามเหลี่ยมซ้อนอยู่อีกหนึ่งชั้นด้านหลัง บริเวณต้นแขนทั้งสองข้างสวมพาหุรัดรูปตาบสามเหลี่ยมคล้ายกับที่ศิราภรณ์ นอกจากนี้ยังสวมตุ้มหูและสร้อยคอ ที่มีลักษณะคล้ายกับเครื่องประดับที่พบได้ทั่วไปในประติมากรรมที่พบจากเมืองโบราณสมัยทวารดี นุ่งผ้าโจงกระเบนสั้นเหนือเข่า ที่ด้านหน้ามีชายผ้ารูปหางปลา ๒ ชั้น           การประดับตาบสามเหลี่ยมเป็นรูปแบบที่นิยมในศิลปะปาละของอินเดีย (พุทธศตวรรษที่ ๑๔ หรือประมาณ ๑,๒๐๐ ปีมาแล้ว) และส่งอิทธิพลให้กับดินแดนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ร่วมสมัยกันอย่างกว้างขวาง เช่น พุกาม ชวา และจาม เป็นต้น ภาพบุคคลฟ้อนรำชิ้นนี้ จึงอาจจะได้รับอิทธิพลทางศิลปกรรม มาจากศิลปะปาละโดยตรง หรืออาจรับผ่านดินแดนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ได้รับอิทธิพลศิลปะปาละอีกทอดหนึ่ง ก็เป็นได้           อย่างไรก็ตามภาพบุคคลฟ้อนรำชิ้นนี้มีการลดทอนรายละเอียดของตาบรูปสามเหลี่ยมตามแบบศิลปะปาละลงอย่างมาก จนเหลือเพียงลักษณะของการใช้เครื่องมือปลายแหลมกรีดให้เป็นเครื่องประดับรูปสามเหลี่ยมเท่านั้น แสดงให้เห็นว่าคงสร้างด้วยฝีมือช่างท้องถิ่น เมื่อพิจารณารูปแบบศิราภรณ์รูปตาบสามเหลี่ยมแล้ว ภาพบุคคลชิ้นนี้จึงน่าจะสร้างขึ้นหลังจากพุทธศตวรรษที่ ๑๔ เป็นต้นมา           การแสดงออกถึงฝีมือช่างท้องถิ่นทวารวดีในภาพบุคคลชิ้นนี้ ยังปรากฏบนลักษณะใบหน้าที่มีคิ้วต่อเป็นปีกกา ริมฝีปากหนาแบะ ตาโปน และจมูกใหญ่ ยังแสดงให้ถึงรูปแบบที่เป็นเอกลักษณ์ของศิลปะทวารวดีอย่างแท้จริงเช่นกัน นอกจากนี้ชายผ้านุ่งที่เป็นรูปหางปลา ๒ ชายซ้อนกันยังชวนให้นึกถึงศิลปะเขมร ซึ่งร่วมสมัยกับทวารวดีตอนปลาย โดยเริ่มเข้ามาบทบาทในศิลปะทวารวดี ช่วงพุทธศตวรรษที่ ๑๕ – ๑๖ การกำหนดอายุจากชายผ้านุ่งจึงสอดคล้องกับการกำหนดอายุจากเครื่องประดับศิราภรณ์ข้างต้น ดังนั้นภาพบุคคลชิ้นนี้จึงควรสร้างขึ้นในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๑๔ – ๑๖ (ประมาณ ๑,๐๐๐ – ๑,๒๐๐ ปีมาแล้ว)------------------------------------------------------ที่มาของข้อมูล : พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อู่ทอง------------------------------------------------------เอกสารอ้างอิง กรมศิลปากร. โบราณคดีเมืองอู่ทอง. สหมิตรพริ้นติ้ง : นนทบุรี, ๒๕๔๕. เชษฐ์ ติงสัญชลี. บทบาทของศิลปะอินเดียต่อเครื่องแต่งกายประติมากรรมบุคคลในเอเชียอาคเนย์. กรุงเทพฯ : มติชน, ๒๕๖๒. พนมบุตร จันทรโชติ และคณะ. นำชมพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อู่ทอง และเรื่องราวสุวรรณภูมิ. กรุงเทพฯ : อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง จำกัด (มหาชน), ๒๕๕๐. ศักดิ์ชัย สายสิงห์. ศิลปะทวารวดี : วัฒนธรรมทางศาสนายุคแรกเริ่มในดินแดนไทย. กรุงเทพฯ : เมืองโบราณ, ๒๕๖๒. สุภัทรดิศ ดิศกุล, หม่อมเจ้า. ศิลปะขอม. กรุงเทพฯ : คุรุสภาลาดพร้าว, ๒๕๓๙.



ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔  สำนักศิลปากรที่ ๔ ลพบุรี กรมศิลปากร ได้ดำเนินโครงการบูรณะศาลาการเปรียญวัดบ้านไร่ ตำบลบ้านบึง อำเภอบ้านไร่ จังหวัดอุทัยธานี สืบเนื่องจากการตรวจสอบโบราณสถานของเจ้าหน้าที่พบว่าศาลาการเปรียญ (หลังเก่า) ของวัดบ้านไร่ มีสภาพชำรุดทรุดโทรมมาก ประกอบกับพื้นที่รอบเป็นลานจัดกิจกรรมทางวัฒนธรรมของชุมชน ซึ่งเชื่อมโยงโบราณสถาน กับวิถีชีวิตและวัฒนธรรมของชุมชนชาวลาวเวียง เพื่อให้โบราณสถานอันทรงคุณค่าของท้องถิ่นแห่งนี้กลับมามีประโยชน์ใช้สอย เป็นจุดศูนย์รวมของชาวบ้านในการประกอบพิธีกรรมทางศาสนา หรือการดำเนินกิจกรรมทางสังคมเหมือนดังเช่นในอดีต จึงมีความจำเป็นที่จะต้องดำเนินการเสริมความมั่นคง บูรณะซ่อมแซม และอนุรักษ์รูปแบบทางสถาปัตยกรรมและศิลปกรรมของศาลาการเปรียญ (หลังเก่า) วัดบ้านไร่ โดยใช้เทคนิควิธีการก่อสร้างตามหลักฐานดั้งเดิมที่ปรากฎอยู่                     ศาลาการเปรียญ (หลังเก่า) หรือ “ศาลา ๑๐๐ ปี” ของวัดบ้านไร่ ตามประวัติจากคำบอกเล่า กล่าวว่า พระครูอุเทศธรรมนิวิฐ (ขุน จนฺโท) อดีตท่านเจ้าอาวาส (พ.ศ.๒๔๗๐-๒๕๐๗) ร่วมกับพระสงฆ์ และชาวบ้านผู้มีจิตศรัทธาทำการก่อสร้างขึ้นเมื่อประมาณ พ.ศ.๒๔๗๕ ลักษณะเป็นอาคารโถงโครงสร้างไม้ ยกพื้น     ใต้ถุนสูง  ผังรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า วางตัวตามแนวแกนทิศตะวันออก-ตะวันตก ขนาดความกว้าง ๑๒.๔๐ เมตร ความยาว ๒๖.๕๐ เมตร ด้านหน้าตั้งอยู่ทางทิศใต้ มีชานพักและบันไดตรงกึ่งกลาง  เสาศาลาเป็นเสาไม้ขนาดเส้น      ผ่านศูนย์กลาง ๓๒ - ๕๒ เซนติเมตร จำนวน ๓๔ ต้น หลังคาเครื่องไม้ทรงจั่วมีพาไลโดยรอบ มุงกระเบื้องซีเมนต์แบบหางแหลมไม่เคลือบ หน้าจั่วเป็นแผงไม้กระดานตีบังใบแนวตั้งไม่มีลวดลาย เครื่องลำยอง ช่อฟ้า ใบระกา และหางหงส์คอนกรีตหล่อพิมพ์ ช่อฟ้าทำเป็นรูปคล้ายแว่นแก้วหรือแว่นเทียน ใบระกา และหางหงส์ตกแต่งเป็นลายกนกและลายกระจังแบบพื้นถิ่น ส่วนโถงประธานของศาลาการเปรียญปูพื้นด้วยแผ่นไม้กระดาน ด้านทิศเหนือตลอดแนวเสาพาไลยกระดับพื้นขึ้นเป็นอาสน์สงฆ์ ศาลาการเปรียญ (หลังเก่า) วัดบ้านไร่ นอกจากใช้ประโยชน์เพื่อเป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรม ทางศาสนาในวันธรรมสวนะหรือวาระพิเศษทางศาสนา เช่น เทศน์มหาชาติ บุญเดือนสี่ หรือกิจกรรมสำคัญต่างๆ แล้ว ยังเคยถูกใช้เป็นอาคารเรียนของโรงเรียนบ้านไร่ เปิดสอนตั้งแต่ระดับ ป.เตรียม ไปจนถึงชั้นประถมศึกษา ปีที่ ๗  ซึ่งห้องเรียนในแต่ละระดับชั้นจะแบ่งกันด้วยช่วงเสาของศาลา ก่อนที่จะมีการย้ายโรงเรียนออกไปตั้งยังสถานที่แห่งใหม่ ดังนั้นจึงเป็นสถานศึกษาในวัยเยาว์ของผู้อาวุโสชาวบ้านไร่หลายๆ ท่าน                    ภายหลังจากการบูรณะโบราณสถานแล้วเสร็จ “ศาลา ๑๐๐ ปี” ของวัดบ้านไร่ จังหวัดอุทัยธานี ได้กลับมามีสภาพมั่นคงแข็งแรง งดงาม และเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังแห่งความทรงจำในวิถีชีวิตวันวานของชาวบ้านไร่  ที่สืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน และโบราณสถานแห่งนี้จะดำรงไว้ซึ่งความเป็นศูนย์กลางในการสืบทอดภูมิปัญหา และมรดกทางศิลปวัฒนธรรมของชุมชนสืบต่อไปอีกยาวนาน   นายเดชา สุดสวาท นักโบราณคดีชำนาญการพิเศษ / เรียบเรียง นายพรชัย นาคทอง นายช่างโยธาปฏิบัติงาน และบริษัท ชาญรุ่งโรจน์ จำกัด /ถ่ายภาพ        



        วัดธาตุประสิทธิ์ อยู่ที่ตำบลนาหว้า อำเภอนาหว้า จังหวัดนครพนม ภายในวัดมีพระธาตุสำคัญ คือ พระธาตประสิทธิ์ ตามประวัติกล่าวว่า เป็นเจดีย์เก่าแก่ไม่ทราบว่าสร้างขึ้นมาตั้งแต่เมื่อใด ก่อนการปฏิสังขรณ์เคยชำรุดทรุดโทรมมีเถาวัลย์ปกคลุม ภายในพระธาตุมีอุโมงค์ประดิษฐานพระพุทธรูปเก่าแก่หลายองค์ ผู้ค้นพบได้แก่ชนเผ่าญ้อซึ่งหนีภัยสงครามการรบพุ่งระหว่างอาณาจักรล้านช้างเวียงจันทน์กับพม่าและอาณาจักรเชียงใหม่ในสมัยพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช เมื่อ พ.ศ. ๒๑๑๒ ซึ่งพระองค์ได้ทรงบูรณะพระธาตุองค์นี้ด้วย ต่อมาในปี พ.ศ ๒๒๘๓ เจ้าผู้ครองนครศรีโคตรบูร พระนามว่าพระเจ้าขัติยวงศาราชบุตรี มหาฤาไชยไตรทศฤาดิเดช เชษฐบุรีศรีโคตรบูรณ์หลวง ได้บูรณะเสริมยอดสูงประมาณ ๓๐ เมตร พ.ศ ๒๔๓๖ พระเจดีย์ชำรุดทรุดโทรมมาก จนยอดเจดีย์หักลงมาต่อมา พ.ศ. ๒๔๕๔ พระครูประสิทธิ์ศึกษากร เจ้าอาวาสในขณะนั้นได้ทำการปฏิสังขรณ์พระเจดีย์ขึ้นใหม่ โดยสร้างเลียนแบบพระธาตุพนมบางส่วน สวดสายต่าง ๆ จะเป็นลวดลายใหม่ ลักษณะรูปทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัส กว้างด้านละ ๗.๒๐ เมตร วัดโดยรอบฐาน ๒๔.๕๐ เมตร สูง ๒๔.๕๒ เมตร มีประตูเปิด-ปิด สร้างเสร็จสมบูรณ์ในปี พ.ศ. ๒๕๐๖ และได้ตั้งชื่อพระธาตุองค์นี้ใหม่ว่า “พระธาตุประสิทธิ์” ตามนามของพระครูประสิทธิ์ศึกษากร เจ้าอาวาสผู้ก่อสร้าง          นอกจากนี้ ภายในวัดมีศาลาการเปรียญหลังเก่าซึ่งอยู่ด้านข้างองค์พระธาตุประสิทธิ์มีรูปทรงสวยงาม สร้างเมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๓ ด้านในศาลาปรากฏภาพเขียนเป็นภาพพุทธประวัติ ตั้งแต่ประสูติตรัสรู้และปรินิพพานโดยแบ่งเป็น ๑๒ ตอน ได้แก่ ตอนประสูติ ตอนลองศร ตอนอภิเษก ตอนออกชมสวน ตอนเสด็จออกบรรพชา ตอนตัดพระโมฬี ตอนบำเพ็ญทุกรกิริยา ตอนถวายข้าวมธุปายาต ตอนมารผจญ-ตรัสรู้ ตอนโปรดปัญจวัคคีย์ ตอนเสด็จเยี่ยมพระนางพิมพา และตอนเสด็จปรินิพพาน          ภาพพุทธประวัติทั้ง ๑๒ ภาพ โครงสีส่วนใหญ่เป็นสีเหลือง น้ำตาล ดำ ซึ่งเป็นสีฝุ่น ที่ภาพแรกปรากฏชื่อว่าเป็นฝีมือของหม่อมหลวงมรกต บรรจงราชฯ มีนายสิงห์ วะชุม เป็นผู้ช่วย ภาพเขียนคงจะวาดขึ้นหลังจากปี พ.ศ. ๒๔๙๓ ส่วนเสาของศาลาการเปรียญเป็นเสาสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ แต่ละด้านของเสามีภาพสาวกของพระพุทธเจ้าอยู่ทุกเสา องค์สาวกห่มจีวรสีเหลืองสดใส มีพื้นหลังเป็นสีฟ้าครามทุกภาพ ด้านบนถึงด้านล่างองค์สาวกประดิษฐ์ลวดลายไทยด้วยสีน้ำตาล เหลือง พื้นสีฟ้าคราม แต่ละภาพไม่ปรากฏนามผู้วาด แต่จากลักษณะภาพเปรียบเทียบกับภาพที่ผนัง ซึ่งเป็นภาพพุทธประวัติแล้วคนวาดน่าจะเป็นคนละคนกันและต่างสมัยกันด้วย เพราะลักษณะของลายเส้นและการใช้สีต่างกัน          ศาลาการเปรียญแห่งนี้เคยใช้เป็นที่ประทับของ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช (รัชกาลที่ ๙) และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ ๙ ในคราวเสด็จพระราชดำเนินพระราชทานผ้าพระกฐินส่วนพระองค์ (พระกฐินต้น) ณ วัดธาตุประสิทธิ์ เมื่อวันที่ ๑๓ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๑๕ อีกด้วย----------------------------------------------------ข้อมูล : นางสาวเมริกา สงวนวงษ์ นักโบราณคดีปฏิบัติการ สำนักศิลปากรที่ ๙ อุบลราชธานี----------------------------------------------------อ้างอิง : คณะกรรมการฝ่ายประมวลเอกสารและจดหมายเหตุ.๒๕๔๒.วัฒนธรรม พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ เอกลักษณ์และภูมิปัญญา จังหวัดนครพนม.กรุงเทพฯ:คุรุสภาลาดพร้าว.


ชื่อเรื่อง                                อุณฺหิสวิชย (อุณหิสวิไชย) สพ.บ.                                  241/1งประเภทวัสดุมีเดีย                    คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่                               พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ                           20 หน้า กว้าง 5 ซ.ม. ยาว 59.5 ซ.ม. หัวเรื่อง                                 พุทธศาสนา                                           ชาดก                                           เทศน์มหาชาติ                                           คาถาพัน บทคัดย่อ/บันทึก เป็นคัมภีร์ใบลาน อักษรธรรมอีสาน ภาษาบาลี-ไทยอีสาน เส้นจาร ฉบับลานดิบ ได้รับบริจาคมาจากวัดทุ่งอุทุมพร ต.บางปลาม้า อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี


ชื่อเรื่อง                                สตฺตปฺปกรณาภธมฺม (สังคิณี-ยมก) สพ.บ.                                  375/5ประเภทวัสดุมีเดีย                    คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่                               พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ                           76 หน้า กว้าง 4.5 ซม. ยาว 57 ซม.หัวเรื่อง                                 ธรรมเทศนา บทคัดย่อ/บันทึก          เป็นคัมภีร์ใบลาน อักษรธรรมอีสาน ภาษาบาลี-ไทย เส้นจาร ฉบับล่องชาด ได้รับบริจาคมาจากวัดลานคาต.โคกคราม อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี


เลขทะเบียน : นพ.บ.157/4ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ :  58 หน้า ; 4.5 x 54.5 ซ.ม. : ชาดทึบ ; ไม้ประกับธรรมดา  ชื่อชุด : มัดที่ 94 (17-21) ผูก 3 (2565)หัวเรื่อง : สังฮอมธาตุ--เอกสารโบราณ            คัมภีร์ใบลาน            พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา  สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม


สตฺตปฺปกรณาภิธมฺมเทศนา (สังคิณี-มหาปัฎฐาน)  ชบ.บ.38/1-3  เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)


ปญฺจพุทฺธา (ปญฺจพุทฺธา)  ชบ.บ.76/1-1  เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)


black ribbon.