ค้นหา
รายการที่พบทั้งหมด 48,831 รายการ
ชื่อเรื่อง สตฺตปฺปกรณาภิธมฺมเทสนา (เทสนาสังคิณี-มหาปัฎฐาน)สพ.บ. 125/4ประเภทวัสดุมีเดีย คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่ พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ 20 หน้า กว้าง 5 ซ.ม. ยาว 53 ซ.ม. หัวเรื่อง พระอภิธรรม
บทคัดย่อ/บันทึก
เป็นคัมภีร์ใบลาน อักษรขอม เส้นจาร ฉบับล่องชาด ได้รับบริจาคมาจากวัดประสพสุข ต.ทับตีเหล็ก อ.เมืองฯ จ.สุพรรณบุรี
ประวัติ : “เขาแบนะ” เป็นเขาหินปูนลูกโดดขนาดเล็ก ตั้งอยู่บริเวณปลายแหลมของหาดฉางหลางในเขตอุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหม ภาพเขียนสีตั้งอยู่บริเวณเพิงผาด้านทิศเหนือของเขา เมื่อน้ำทะเลลดระดับลง เขาแบนะจะมีลักษณะเป็นส่วนหนึ่งของปลายแหลม สามารถเดินเท้าไปชมภาพเขียนสีได้ โดยตัวภาพจะอยู่สูงกว่าระดับพื้นทรายประมาณ ๕ เมตร แต่หากระดับน้ำทะเลขึ้นสูง เขาแบนะจะกลายเป็นเกาะสามารถเดินทางไปชมด้วยเรือ ตัวภาพจะอยู่ในระดับที่สามารถเอื้อมถึง ภาพเขียนสีได้รับการสำรวจโดยโครงการโบราณคดีประเทศไทย (ภาคใต้) เมื่อปี พ.ศ.๒๕๓๒ – ๒๕๓๓ สำรวจพบภาพเขียนสีและชิ้นส่วนภาชนะดินเผา จากลักษณะของพื้นที่ที่มีลักษณะเป็นเวิ้งอ่าว เหมาะแก่การจอดเรือเพื่อพักระหว่างเดินทางหรือหลบกระแสลม คนโบราณจึงเลือกใช้พื้นบริเวณนี้ สร้างสรรค์ผลงานภาพเขียนสีเพื่อบอกเล่าเรื่องราวหรือเพื่อประกอบพิธีกรรม กำหนดอายุตัวภาพเขียนสีให้อยู่ในยุคก่อนประวัติศาสตร์ประมาณ ๔,๐๐๐ – ๒,๐๐๐ ปีมาแล้ว ภาพเขียนสีเขาแบนะจึงเป็นตัวแทนแหล่งโบราณคดีที่สำคัญที่แสดงให้เห็นถึงการดำรงอยู่ของชุมชนยุคก่อนประวัติศาสตร์ในพื้นที่ชายฝั่งทะเลอันดามัน กำหนดอายุอยู่ในช่วงยุคก่อนประวัติศาสตร์ ราว ๔,๐๐๐ – ๒,๐๐๐ ปีมาแล้ว สิ่งสำคัญ ภาพเขียนสีเขาแบนะ เขียนด้วยสีแดง ใช้เทคนิคร่างโครงภายนอกและตกแต่งลวดลายเป็นลายเส้นหรือระบายสีทึบภายใน ลักษณะภาพ เป็นภาพเขียนสีรูปปลา จำนวน ๒ ตัว คว่ำหัวลง ลักษณะการเขียนภาพเขียนเป็นเส้นโครงร่าง และทำเป็นเส้นลายทางด้านในตัวปลา ส่วนหัวกับส่วนหางระบายสีแดงทึบ ด้านล่างของปลาเป็นภาพเขียนสี มีสภาพค่อนข้างลบเลือน โดยมีการระบายสีด้านในทึบ นักวิชาการบางท่านสันนิษฐานว่าอาจเป็นอุปกรณ์จับปลา บางท่านสันนิษฐานว่าเป็นรูปสัตว์คล้ายเสือ ถัดลงไปด้านล่างทางด้านขวามือ (ของผู้ชมภาพ) เป็นภาพเขียนสีมีลักษณะคล้ายสัตว์ระบายสีทึบแต่เนื่องจากภาพมีสภาพค่อนข้างลบเลือนทำให้ไม่สามารถเห็นภาพชัดเจน ---------------------------------------------------ที่มาของข้อมูล : สำนักศิลปากรที่ ๑๑ นครศรีธรรมราชhttps://www.facebook.com/fad11songkhla/posts/1306657213005772?__xts__[0]=68.ARAnhz6KFNp9IYIG4VGzP5zr3fkU6jU3g6KJ0XjLdsazlrm1WKz2M6o7fnIm0LPT2QsJFISqZPNuZQEAjdImiU5aw45vpT22wG1Tv5xDkOTjHgKh9_dHQgGAD4_5ZyAmfViohOpmUJMXp6bn-wP3fDGrl7SNxD_LRir8bYvQ0UjHR33NtKngqToaICXabxC1OlI8IAVG_Amg0eYDxB7psKBSrQUZO9ZN5_4FBMTUch6bGSnyI6qkIRmqGK7gHWvVoEl9VzQyFM8EwYsRsb-BrCV9_vg5WrgvmP6w9SN23Zse4a844ljJbtZ_t0E9CqpVwRm40q4UO79l37mn2I0trTNouw
เลขทะเบียน : นพ.บ.72/3ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 54 หน้า ; 4.6 x 50 ซ.ม. : ล่องชาด ; ไม้ประกับธรรมดา ชื่อชุด : มัดที่ 46 (35-51) ผูก 3 (2564)หัวเรื่อง : นิปฺณปทสงฺคห (นิปุณณปทสังคหะ) --เอกสารโบราณ คัมภีร์ใบลาน พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม
ตราดินเผารูปสัญลักษณ์ทางศาสนาประกอบอักษรโบราณ พบที่เมืองโบราณอู่ทอง อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี จัดแสดง ณ ห้องบรรพชนคนอู่ทอง พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อู่ทอง ตราดินเผารูปกลม มีเส้นคั่นตามแนวนอนตรงกลาง แบ่งพื้นที่เป็นสองส่วน ส่วนบนเป็นรูปโคหมอบ มีรูปจันทร์เสี้ยวและตรีศูล ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของพระศิวะอยู่ด้านบน โคอาจหมายถึงโคนนทิ พาหนะของพระศิวะ ด้านข้างรูปโคเป็นรูปครุฑ พาหนะของพระวิษณุหรือพระนารายณ์ ลักษณะเช่นนี้ คล้ายตราประทับโบราณของอินเดียสมัยราชวงศ์คุปตะ ส่วนล่างของตราดินเผา เป็นจารึกจำนวน ๑ บรรทัด นักวิชาการบางท่านเสนอว่า เป็นตัวอักษรพราหมีสมัยราชวงศ์คุปตะ ภาษาสันสกฤต อายุราวพุทธศตวรรษที่ ๑๐ – ๑๑ (ประมาณ ๑,๕๐๐ - ๑,๖๐๐ ปีมาแล้ว) ความว่า “ศิวํ พฺริหสฺปติ” แปลว่า “พระศิวะผู้ยิ่งใหญ่” ทั้งนี้มีนักวิชาการบางท่าน เสนอว่า ตัวอักษรที่ปรากฏบนตราดินเผา เป็นตัวอักษรปัลลวะ ภาษาสันสกฤต อายุราวพุทธศตวรรษที่ ๑๔ (ประมาณ ๑,๒๐๐ ปีมาแล้ว) ความว่า “ศิวรฺพรหม หฤตา” แปลว่า “พระศิวะ พระพรหมและพระวิษณุ” ด้านข้างของตราดินเผา ถูกประทับด้วยตรารูปสี่เหลี่ยมเป็นตัวอักษร ซึ่งสันนิษฐานว่าเป็นอักษรปัลลวะ อายุราวพุทธศตวรรษที่ ๑๒ – ๑๓ (ประมาณ ๑,๓๐๐ - ๑,๔๐๐ ปีมาแล้ว) แต่ยังไม่สามารถอ่านและตีความได้ ตราดินเผารูปแบบเดียวกันนี้ ยังพบที่เมืองโบราณอู่ทอง อีก ๑ ชิ้น แต่มีสภาพชำรุด และยังพบที่เมืองโบราณจันเสน จังหวัดนครสวรรค์ จำนวนหนึ่ง โดยด้านข้างหรือส่วนที่เป็นความหนาของตราดินเผาแต่ละชิ้นมีการจารึกข้อความที่แตกต่างกันออกไป จากลักษณะของการแบ่งรายละเอียดของตราออกเป็นสองส่วน มีสัญลักษณ์ของเทพเจ้าในศาสนาพราหมณ์ที่ส่วนบน และมีจารึกอักษรโบราณที่ด้านล่าง อาจเทียบได้กับตราดินเผาและเหรียญเงินในศิลปะอินเดีย สมัยคุปตะและหลังคุปตะ กำหนดอายุราวพุทธศตวรรษที่ ๑๒ – ๑๔ (ประมาณ ๑,๒๐๐ – ๑,๔๐๐ ปีมาแล้ว) จากรูปแบบศิลปกรรมและจารึก ทำให้สันนิษฐานได้ว่าตราดินเผาชิ้นนี้อาจเป็นตราดินเผารุ่นแรกที่พ่อค้าหรือนักบวชชาวอินเดียที่นับถือศาสนาพราหมณ์ – ฮินดู ลัทธิไศวนิกายนำติดตัวเข้ามาในสมัยทวารวดี เพื่อใช้เป็นสื่อกลางในการติดต่อสื่อสาร อาจเกี่ยวข้องกับด้านการค้า การศาสนา หรือเป็นเครื่องราง ต่อมาคนพื้นเมืองสมัยทวารวดี จึงได้นำแนวคิดการทำตราประทับมาผลิตขึ้นใช้เอง ปรากฏเป็นรูปแบบที่หลากหลายขึ้น ----------------------------------------------------ที่มาของข้อมูล : พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อู่ทอง----------------------------------------------------เอกสารอ้างอิง กรมศิลปากร. โบราณคดีเมืองอู่ทอง. สหมิตรพริ้นติ้ง : นนทบุรี, ๒๕๔๕. ผาสุข อินทราวุธ. ทวารวดี : การศึกษาเชิงวิเคราะห์จากหลักฐานทางโบราณคดี. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์อักษร สมัย, ๒๕๔๒. อนันต์ กลิ่นโพธิ์กลับ. การศึกษาความหมายและรูปแบบตราประทับสมัยแรกเริ่มประวัติศาสตร์ใน พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อู่ทอง อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี. วิทยานิพนธ์ปริญญาศิลปศาสต รมหาบัณฑิต สาขาโบราณคดีสมัยประวัติศาสตร์ บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร, ๒๕๔๗.
เลขทะเบียน : นพ.บ.134/1ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 50 หน้า ; 4.4 x 47.5 ซ.ม. : ล่องรัก ; ไม้ประกับธรรมดา ชื่อชุด : มัดที่ 80 (318-321) ผูก 1 (2564)หัวเรื่อง : ปัญญาบารมี--เอกสารโบราณ คัมภีร์ใบลาน พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม
ชื่อผู้แต่ง พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
ชื่อเรื่อง กุศโลบาย
ครั้งที่พิมพ์ -
สถานที่พิมพ์ กรุงเทพฯ
สำนักพิมพ์ โรงพิมพ์คุรุสภา
ปีที่พิมพ์ 2504
จำนวนหน้า 182 หน้า
หมายเหตุ บทละครพูดเรื่องกุศโลบายพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นหนังสือภาษาไทยที่ดีที่องค์การค้าคุรุสภาขออนุญาตกรมศิลปากร กระทรวงศึกษาธิการ ขณะนั้น จัดพิมพ์ออกจำหน่ายในราคาย่อมเยา ตั้งแต่ ๑ มกราคม ๒๕๐๔ เป็นต้นมา
สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สังคิณี-มหาปัฎฐาน)
เลขที่ ชบ.บ.8/1-4
เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)
องค์ความรู้จากหอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ ร.๙ นครราชสีมา เรื่อง สาระจากเอกสารโบราณ ตอน ความเชื่อเกี่ยวกับการบันทึกอักษร
สวัสดีค่ะ พบกันอีกเช่นเคยกับ #องค์ความรู้พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติน่าน วันนี้ขอนำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับ "งาช้างดำ" ซึ่งเป็นโบราณวัตถุคู่บ้านคู่เมืองน่าน และเป็นโบราณวัตถุชิ้นเด่นที่สำคัญซึ่งจัดแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ น่าน กล่าวได้ว่าหากใครได้มาเยือนเมืองน่านแล้วไม่ได้แวะมาเยี่ยมชมงาช้างดำถือว่ามาไม่ถึงเมืองน่านนะคะ ดังจะเห็นความสำคัญที่ปรากฏในคำขวัญจังหวัดน่านที่ว่า "แข่งเรือลือเลื่อง เมืองงาช้างดำ จิตรกรรมวัดภูมินทร์ แดนดินส้มสีทอง เรืองรองพระธาตุแช่แห้ง"
--- งาช้างดำ เดิมเป็นสมบัติของเจ้าผู้ครองนครน่าน ที่รักษาสืบต่อกันมาหลายชั่วอายุคน ซึ่งยังคงอยู่คู่กับหอคำ หรืออาคารพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ น่าน มาจนถึงปัจจุบัน
--- ลักษณะเป็นงาปลี (งาที่มีความยาวไม่มากนัก แต่มีวงรอบขนาดใหญ่) สีน้ำตาลเข้ม มีจารึกอักษรธรรมล้านนา ถอดความเป็นภาษาไทยว่า "กิ่งนี้หนักหนึ่งหมื่นห้าพัน" ขนาดของงาช้างดำยาว ๙๗ เซนติเมตร วัดโดยรอบตรงส่วนที่กว้างที่สุดได้ ๔๗ เซนติเมตร มีโพรงตอนโคนลึก ๑๔ เซนติเมตร มีน้ำหนัก ๑๘ กิโลกรัม
--- จากการศึกษาทางวิชาการพบว่า เป็นงาช้างตันที่ถูกถอดมาจากตัวช้าง โดยช้างเจ้าของงาน่าจะมีอายุ ๖๐ ปี สันนิษฐานว่าเป็นงาช้างข้างซ้าย เพราะมีรอยเสียดสีกับงวงชัดเจน
--- อย่างไรก็ตาม ไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัดว่างาช้างดำกิ่งนี้มีประวัติความเป็นมาอย่างไร แต่มีตำนานและความเชื่อที่เกี่ยวข้องกับงาช้างดำ ดังนี้
--- ตำนานที่ ๑ กล่าวว่าพญาการเมือง เจ้าผู้ครองนครน่าน องค์ที่ ๖ แห่งราชวงศ์ภูคา (ครองเมืองพุทธศักราช ๑๘๙๖ - ๑๙๐๖) ได้ทำพิธีสาปแช่งให้งาช้างดำกิ่งนี้เป็นของคู่บ้านคู่เมืองน่านตลอดไป ห้ามผู้หนึ่งผู้ใดนำไปเป็นสมบัติส่วนตัว ต้องไว้ที่หอคำหรือวังเจ้าผู้ครองนครน่านเท่านั้น เมื่อเจ้ามหาพรหมสุรธาดา เจ้าผู้ครองนครน่านองค์สุดท้ายถึงแก่พิราลัย ในพุทธศักราช ๒๔๗๔ เจ้านายบุตรหลานจึงได้มอบงาช้างดำให้เป็นสมบัติของแผ่นดิน
--- ตำนานที่ ๒ กล่าวว่าในสมัยเจ้าสุมนเทวราช เจ้าผู้ครองนครน่าน องค์ที่ ๕๗ (ครองเมือง พ.ศ.๒๓๕๓ - ๒๓๖๘) มีพรานคนเมืองน่านเข้าป่าล่าสัตว์ไปถึงเขตแดนระหว่างไทยกับเชียงตุง ได้พบซากช้างตัวดำสนิทตายอยู่ในห้วย พอดีกับพรานชาวเชียงตุงมาพบด้วย พรานทั้งสองจึงแบ่งงาช้างดำกันคนละกิ่ง ต่างคนต่างก็นำมาถวายเจ้าเมือง ต่อมาเจ้าเมืองเชียงตุงได้ส่งสารมาทูลเจ้าสุมนเทวราชว่า ตราบใดที้งาช้างดำคู่นี้ไม่สูญหาย เมืองน่านกับเมืองเชียงตุงจะเป็นมิตรไมตรีกันตลอดไป
--- ตำนานที่ ๓ กล่าวว่ากองทัพเมืองน่านยกทัพไปล้อมเมืองเชียงตุงหลายเดือน ทำให้ชาวเมืองเชียงตุงเดือดร้อน โหรเมืองเชียงตุงทูลเจ้าเมืองว่าเป็นเพราะมีงาช้างดำอยู่ด้วยกัน ทางที่ดีควรแยกกันอยู่ จึงได้นำงาช้างดำกิ่งหนึ่งมอบให้กองทัพเมืองน่าน แล้วกระทำสัตย์สาบานเป็นมิตรไมตรีกันตลอดไป
--- ส่วนฐานที่เป็นครุฑแบกรับงาช้างอยู่นั้น ทำจากไม้สักทั้งท่อน สร้างขึ้นในพุทธศักราช ๒๔๖๙ เนื่องจากในช่วงเวลานั้นมีข่าวว่าเจ้าเมืองทางเหนือบางเมืองแข็งข้อก่อกบฏ เจ้าเมืองน่านจึงให้ทำครุฑขึ้นมาแบกงาช้างดำ วัตถุคู่บ้านคู่เมือง เพื่อเป็นการแสดงสัญลักษณ์ให้เห็นว่า นครน่านยังจงรักภักดีต่อราชวงศ์จักรีแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ไม่เสื่อมคลาย
เอกสารอ้างอิง
- กรมศิลปากร. เมืองน่าน โบราณคดีประวัติศาสตร์ และศิลปะ, ๒๕๓๗.
- พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ น่าน. มรดกท้องถิ่นน่าน เล่มที่ ๔ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ น่าน และโบราณวัตถุชิ้นสำคัญ. น่าน: องค์การบริหารส่วนจังหวัดน่าน, ๒๕๔๗.
รวมถ้อยคำเหนียตจ่ายซากาตฟิฏรฺและดุอา
จัดทำโดย
นางสาวฤทัยรัตน์ เส้งสุวรรณ์
เอกปรัชญาและศาสนา คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี
นักศึกษาฝึกงาน
การทอผ้านับเป็นภูมิปัญญาของชาวสยามมาแต่โบราณกาล โดยเฉพาะเมืองจันทบุรีมีการทอผ้าไหมและผ้าพื้นเมืองกันแพร่หลาย ดังพระราชหัตถเลขาพระพุทธเจ้าหลวงคราวเสด็จประพาสหัวเมืองชายทะเลตะวันออกเมื่อ พ.ศ.2419 ว่า...เมื่อวานนี้เราซื้อผ้าได้ที่บางกระจะ...ซึ่งผ้าที่พระองค์ทรงซื้อจากราษฎร ได้พระราชทานให้ผู้ติดตามและทหารตามเสด็จฯนั้นเป็นผ้าตาสมุกไหม ผ้าตาสมุกด้ายแกมไหม และผ้าพื้นเมือง นอกจากนี้ยังได้มีพระราชนิพนธ์ชื่นชมผ้าไหมเมืองจันทบุรีว่า"ดูงามดีนัก" การทอผ้าไหมและผ้าพื้นเมืองของชาวจันท์ มีเทคนิคการย้อมผ้าด้วยการผสมสีจากเปลือกไม้หรือแก่นพรรณไม้ หรือวัสดุพื้นบ้านธรรมชาติ ทำให้สีคงทนอยู่ได้เป็นร้อยปี จากชื่อเสียงที่โด่งดังในการทอผ้าของคนไทย กรมพระยาดำรงราชานุภาพ นายกราชบัณฑิตยสภา จึงมีดำริที่จะบันทึกไว้เป็นตำรา จึงได้มีท้องตรามายังมณฑลต่างๆรวมทั้งมณฑลจันทบุรีให้รายงานสีสำหรับการย้อมด้ายและไหม จากเอกสารจดหมายเหตุได้ระบุไว้ว่าชนิดของสีธรรมชาติที่ใช้ย้อมด้ายและไหมของมณฑลจันทบุรี มีความหลากหลายกว่ามณฑลอื่นๆ ได้แก่สีเหลือง ทำด้วยเปลือกมะพูด สีน้ำตาล ทำด้วยแก่นแกแล สีเขียว ทำด้วยเปลือกมะพูดกับผงคราม สีหมากรุก ทำด้วยเมล็ดลูกคำ สีแดง ทำด้วยครั่งไทยและใบโรงทอง สีช็อกแกแร้ต ทำด้วย เปลือกโปรง สีดำ ทำด้วยลูกมะเกลือ สีน้ำเงินคราม ทำด้วยใบคราม สีม่วง ทำด้วยครั่งไทยกับใบคราม (ภาษาที่ใช้ตามต้นฉบับ :ผู้เขียน) ซึ่งสีธรรมชาติเหล่านี้เป็นพันธุ์ไม้ที่ส่วนใหญ่หาได้เฉพาะถิ่นในเมืองจันทบุรีเอง ส่วนจังหวัดตราดและจังหวัดระยองมีรายงานมาว่า จังหวัดระยองมีการย้อมผ้าด้วยมะเกลือเพียงเล็กน้อย ส่วนจังหวัดตราดไม่มีการย้อมผ้าเองเลย ///ผู้เขียนเห็นว่าเทคนิคการย้อมผ้าโบราณด้วยสีธรรมชาติน่าจะเป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่สนใจจะฟื้นฟูการทอผ้าพื้นเมือง และการย้อมผ้าด้วยภูมิปัญญาของบรรพชน ย่อมมีโอกาสในการสร้างมูลค่าและคุณค่าในวงการทอผ้าต่อไป--------------------------------------------------------------------ผู้เขียน สุมลฑริกาญจณ์ มายะรังษี นักจดหมายเหตุชำนาญการ --------------------------------------------------------------------อ้างอิง เอกสารจดหมายเหตุลายลักษณ์.(13)มท2.5/29เรื่อง ให้สอบสวนการย้อมผ้าสมัยโบราณราชบัณฑิตยสภา.[14 ต.ค.-10 ธ.ค.2473].