ค้นหา

รายการที่พบทั้งหมด 48,758 รายการ

หลักฐานศาสนาพราหมณ์-ฮินดูในภาคใต้ของประเทศไทย ตอนที่ ๑๒ (๒) หลักฐานไวษณพนิกายที่พบในฝั่งอ่าวไทย : พระวิษณุ อายุประมาณ พุทธศตวรรษที่ ๑๒-๑๓ และ ๑๖ ค้นคว้า/เรียบเรียง : นางสาวสุขกมล วงศ์สวรรค์ ภัณฑารักษ์ชำนาญการพิเศษ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ นครศรีธรรมราช


เลขทะเบียน : นพ.บ.71/6ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ :  58 หน้า ; 4.6 x 50 ซ.ม. : ล่องชาด ; ไม้ประกับธรรมดา  ชื่อชุด : มัดที่ 46 (35-51) ผูก 6 (2564)หัวเรื่อง : วินยฺกิจ (วิไนยกิจจะ) --เอกสารโบราณ             คัมภีร์ใบลาน             พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา  สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม


เลขทะเบียน : นพ.บ.105/1ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ :  56 หน้า ; 4 x 51 ซ.ม. : ทองทึบ-ล่องชาด-ล่องรัก ; ไม้ประกับธรรมดา  ชื่อชุด : มัดที่ 60 (170-178) ผูก 1 (2564)หัวเรื่อง : มหานิปาตวณฺณนา (ทสชาติ) ชาตกฎฺฐกถา ขุทฺทกนิกายฎฺฐกถา (สุวณฺณสาม) --เอกสารโบราณ            คัมภีร์ใบลาน            พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา  สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม


เลขทะเบียน : นพ.บ.132/5ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ :  50 หน้า ; 5 x 58.5 ซ.ม. : ล่องรัก ; ไม้ประกับธรรมดา  ชื่อชุด : มัดที่ 78 (309-314) ผูก 5 (2564)หัวเรื่อง : สิงฺคาลสุตฺต (สิงคาลสูตร)--เอกสารโบราณ            คัมภีร์ใบลาน            พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา  สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม


เลขทะเบียน : นพ.บ.88/2ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ :  54 หน้า ; 4.5 x 52.4 ซ.ม. : ล่องรัก ; ไม้ประกับธรรมดา  ชื่อชุด : มัดที่ 51 (94-102) ผูก 2 (2564)หัวเรื่อง : วิสุทธิมคฺคปาพัตถพฺยาขฺยาน (วิสุทธิมัคปาฬัตถพยาขยาน)--เอกสารโบราณ            คัมภีร์ใบลาน            พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา  สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม



สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สังคิณี-มหาปัฎฐาน) เลขที่ ชบ.บ.7/1-4 เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)


ชื่อเรื่อง : อุดมคติอันแตกต่างกันระหว่างพระพุทธศาสนาฝ่ายหินยานกับฝ่ายมหายาน กับพระโพธิสัตว์และตรีกาย ชื่อผู้แต่ง : ธนิต อยู่โพธิ์ ปีที่พิมพ์ : 2511 สถานที่พิมพ์ : พระนคร สำนักพิมพ์ : ศิวพร จำนวนหน้า : 62 หน้า สาระสังเขป : พระพุทธศาสนาแบ่งออกเป็นนิกายหินยาน และนิกายมหายาน อุดมคติตามคำสอนของฝ่ายหินยานคือการบรรลุพระอรหันต์ บุคคลในอุดมคตินี้คือพระอรหันต์ผู้พากเพียรดำรงตนอยู่ในศีลธรรมจนสิ้นกิเลส เป็นพระอรหันต์ แล้วนิพพาน ส่วนฝ่ายมหายานไม่ถือว่าการบำเพ็ญตบะเพื่อประโยชน์เฉพาะตัวเช่นนั้นเป็นการกระทำถูกต้องตามพุทธประสงค์ที่แท้จริง แต่มองว่าคุณธรรมที่สร้างสมมาควรเผื่อแผ่ให้สรรพสัตว์ มีคำสอนให้มุ่งเน้นช่วยเหลือสรรพสัตว์ ซึ่งบุคคลในอุดมคติของฝ่ายมหายาน คือพระโพธิสัตว์


ชื่อผู้แต่ง          จำนงค์ ทองประเสริฐ      ชื่อเรื่อง           ประวัติศาสตร์พุทธศาสนาในเอเชียอาคเนย์ พิมพ์ครั้งที่       ครั้งที่ ๑ สถานที่พิมพ์     กรุงเทพ สำนักพิมพ์       อภิธรรมมูลนิธิมหาธาตุวิทยาลัย ปีที่พิมพ์          ๒๕๑๔ จำนวนหน้า      ๕๔๘  หน้า เป็นการรวบเรื่องเรื่องรวเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาในประเทศต่าง พระพุทธศาสนาในประเทศอินเดียพระพุทธศาสนาในประเทศลังกา  พระพุทธศาสนาในประเทศพม่า  พระพุทธศาสนาในประเทศอินโดนีเซีย พระพุทธศาสนาในประเทศเวียดนาม  พระพุทธศาสนาในประเทศกัมพูชา  พระพุทธศาสนาในราชอาณาจักรลาวพระพุทธศาสนาในประเทศไทย  



        เล่าเรื่องขณะที่สุนทร(ภู่) “...อาศรัยเพื่อนไปเที่ยว...” ดังมีการกล่าวถึงในคำนำ พระนิพนธ์ในสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ด้วยวันนี้ (๖ พฤษภาคม ๒๕๖๓) เป็นวันที่ระลึกการประสูติของเจ้าชายสิทธัตธะ การตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า และการเสด็จดับขันธปรินิพาน ซึ่งเหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นในวันเพ็ญเดือนหก หรือ “วันวิสาขบูชา” เพจคลังกลางฯ จึงขอเป็นส่วนหนึ่งในการเผยแพร่องค์ความรู้ ควบคู่กับวัตถุที่เกี่ยวเนื่องในโอกาสดังกล่าว           โดยหลักฐานในพุทธประวัติจากคัมภีร์ต่าง ๆ กอปรกับการขุดค้นทางโบราณคดี พบว่าสถานที่ประสูติของเจ้าชายสิทธัตถะ ตั้งอยู่ใน “ป่ารุมมินเดอี” (น่าจะเพี้ยนจากคำว่า “ลุมพินี”) บริเวณ “เมืองติลอรโกฏ” (เมืองกบิลพัสดุ์ หรือ “บุรินกระบิลพัสดุ์” ในนิราศ) ทางใต้ของประเทศเนปาลปัจจุบัน ส่วนสถานที่ตรัสรู้ คือ “โพธคยา” และสถานที่ปรินิพพานคือ “กุสินารา” ในประเทศอินเดีย ซึ่งพุทธประวัติระบุว่าทรงเสด็จดับขันธ์ ณ สาลวโนทยาน (หรือ “ป่าสาลวัน” ในนิราศ) โดยปัจจุบันสถานที่ดังกล่าว ถือเป็นสังเวชนียสถานสำคัญที่ผู้คนต่างเดินทางมาแสวงบุญเพื่อระลึกถึงพระพุทธเจ้าอยู่เสมอ           อนึ่ง เมื่อกล่าวถึง “พระแท่นดงรัง” จ.กาญจนบุรีแล้ว จึงขอกล่าวถึงเรื่องราวเมื่อคราวสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพเสด็จมายังสถานที่แห่งนี้ มีระบุใน “สาส์นสมเด็จ” ฉ.ลงวันที่ ๑๙ มีนาคม ๒๔๘๒ ความว่า “...พระแท่นดงรัง หม่อมฉันเห็นว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์สำคัญไม่ได้อยู่ที่ตัวพระแท่นเท่ากับผ้าเหลืองที่เขาเอาซ้อนกองไว้บนพระแท่นเป็นรูปคล้ายกับศพคลุมผ้านอนอยู่บนนั้น ... ครั้นไปถึงแต่พอโผล่ประตูวิหารเข้าไปเห็นรูปกองผ้าเหลืองเหมือนอย่าง “พระพุทธศพ” วางบนพระแท่นก่อนสิ่งอื่นก็จับใจในทันที...” แสดงให้เห็นว่า สถานที่แห่งนี้มีความสำคัญ ๓ ประการ คือ เป็นสถานที่สมมติการปรินิพพานของพระพุทธเจ้าในประเทศไทย สถานที่สำคัญที่ปรากฏในวรรณคดีสมัยรัชกาลที่ ๓ และสถานที่ที่อยู่ในเรื่องเล่าระหว่างกันของสองสมเด็จด้วย           (ภาพประกอบนำเสนอผ่านองค์ประกอบหลักของ “ผ้าปักรูปพุทธประวัติตอนประสูติ ศิลปะพม่า คลังกลางพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ” แสดงรูปพระกุมารแรกประสูติ ทำท่าชี้ดัชนีขึ้นบนฟ้าเพื่อสื่อว่าเป็นผู้ประเสริฐที่สุดในจักรวาล ฉากหลังแสดงภาพ “พระจันทร์” หน้าบันทิศตะวันตกของพระอุโบสถวัดสุทัศนเทพวราราม)


จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว, พระบาทสมเด็จพระ. ประชุมพระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ 4 ภาคปกิณกะ ภาค 1 และประเพณีทำบุญวันเกิด. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ : กรมศิลปากร, 2533.              ประชุมพระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ 4 ภาคปกิณกะ ภาค 1 นั้นมีอยู่ 5 เรื่อง คือ 1) เรื่องช้าง 2) เรื่องช้างเผือกกับนางงาม 3) เรื่องแผ่นดินเขมรเป็น 4 ภาค 4) เรื่องแหวนนพเก้า และ 5) เรื่องนับปีตามปีสุริยคติกาล ส่วนเรื่องประเพณีทำบุญวันเกิด พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงอธิบายพิธีการบำเพ็ญพระราชกุศลในวาระเฉลิมพระชนมพรรษาของพระมหากษัตริย์ตั้งแต่สมัยโบราณมาจนถึงรัชสมัยพระองค์ โดยกล่าวถึงพิธีการต่างๆ เริ่มตั้งแต่การสดมนต์วัดพระศรีรัตนศาสดาราม สวดมนต์สะเดาะพระเคราะห์ การสวดมนต์พระสงฆ์ธรรมยุติกา การสวดมนต์พระสงฆ์มหานิกาย และการถวายเทศนา เป็นต้น


ที่ระลึกในพิธีเปิดพระบวรราชานุสาวรีย์ พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว.  กรุงเทพฯ : กรมศิลปากร, 2518.          รวบรวมเนื้อหาทั้ง 8 เรื่อง ได้แก่ พระบวรราชานุสาวรีย์ วังหน้า สยามมกุฎราชกุมาร พระราชประวัติกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท พระราชประวัติพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ประกาศในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ตำนานพระพุทธสิหิงค์ และเรื่องวัดบวรสถานสุทธาวาส


เรื่อง "จารึกคำปู่สบถ สายสัมพันธ์เมืองน่านและสุโขทัย" --- จารึกคำปู่สบถ (จารึกหลักที่ ๖๔) ลักษณะเป็นจารึกหินทรายทรงสี่เหลี่ยม  อักษรไทยสุโขทัย (พุทธศตวรรษที่ ๒๐) ภาษาไทย จารึกหลักนี้มี ๒ ด้าน จำนวน ๓๖ บรรทัด  ด้านที่ ๑ มี ๒๖ บรรทัด  ด้านที่ ๒ มี ๑๐ บรรทัด สันนิษฐานว่าจารึก พ.ศ. ๑๙๓๕ พร้อมกับจารึกหลักที่ ๔๕ (จารึกปู่ขุนจิดขุนจอด) ที่วัดมหาธาตุ สุโขทัย  มีขนาด กว้าง ๕๖.๕ เซนติเมตร  ยาว ๓๙ เซนติเมตร  จารึกอยู่ในสภาพชำรุดแตกหักไม่สมบูรณ์  สันนิษฐานว่า เดิมคงเป็นแผ่นหินรูปใบเสมา  พระโสภณธรรมวาที รองเจ้าคณะจังหวัดน่าน ให้ยืมจัดแสดง --- จารึกหลักนี้พบที่วัดพระธาตุช้างค้ำวรวิหาร จังหวัดน่าน  เมื่อวันที่  ๒ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๐๐  โดยนายธนิต อยู่โพธิ์ อดีตอธิบดีกรมศิลปากร เมื่อครั้งเดินทางขึ้นไปตรวจงานโบราณวัตถุสถานภาคเหนือพร้อมคณะ พบแผ่นศิลาจารึก จำนวน ๓ แผ่น วางอยู่ข้างวิหารวัดช้างค้ำ จึงกราบเรียนเจ้าอาวาสวัดช้างค้ำทราบ  และขอให้ท่านช่วยเก็บรักษาไว้ ทราบความว่าแผ่นศิลาจารึกทั้งหมด ๓ แผ่น นำมาจากบ่อว้า  (อำเภอแม่จริม) จังหวัดน่าน   ต่อมาในวันที่ ๒๗ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๐๒ นายธนิตย์ อยู่โพธิ์ พร้อมด้วยคณะได้เดินทางไปตรวจงานโบราณวัตถุอีกครั้งหนึ่ง เดินทางถึงจังหวัดน่าน เมื่อวันที่ ๕ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๐๒ ได้สั่งให้เจ้าหน้าที่ทำการถ่ายภาพ และทำสำเนาศิลาจารึกคำปู่สบถ เมื่อวันที่ ๖ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๐๒ เมื่อกลับมาถึงกรุงเทพฯ จึงได้มอบสำเนาจารึกให้ศาสตราจารย์ฉ่ำ ทองคำวรรณ เจ้าหน้าที่อ่านคำจารึกดำเนินการอ่าน-ถ่ายทอด --- เนื้อความในจารึก กล่าวถึงการกระทำสัตย์สาบานระหว่างกษัตริย์สุโขทัยกับเจ้าเมืองน่าน  และได้กล่าวถึงความสามัคคีระหว่างเมืองแพร่ เมืองงาว เมืองน่าน และเมืองพลั่ว ว่าถ้าเมืองหนึ่งเมืองใด มีอันตรายเกิดขึ้น เมืองนอกนั้นจะต้องให้ความช่วยเหลือซึ่งกันและกัน  --- จารึกปู่ขุนจิดขุนจอด (จารึกหลักที่ ๔๕) พบจากการขุดแต่งวัดมหาธาตุ อำเภอเมือง จังหวัดสุโขทัย เมื่อปีพุทธศักราช ๒๔๙๙ โดยหน่วยขุดแต่งและบูรณะเมืองสุโขทัย กองโบราณคดี  กรมศิลปากร และได้เก็บรักษาไว้ที่คลังพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ จังหวัดปทุมธานี เมื่อพ.ศ. ๒๕๕๗ ปัจจุบันจัดแสดงอยู่ภายในห้องจัดแสดงประวัติศาสตร์สุโขทัย อาคารประพาสพิพิธภัณฑ์ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร กรุงเทพมหานคร  ลักษณะเป็นแผ่นหินรูปใบเสมา ขนาด กว้าง ๓๗ เซนติเมตร ยาว ๘๓ เซนติเมตร หนา ๑๘ เซนติเมตร อักษรไทยสุโขทัย ภาษาไทย มีอักษรจารึก ๓ ด้าน ด้านที่ ๑ จำนวน ๓๗ บรรทัด กล่าวถึงการทำสัตย์สาบานระหว่างผู้เป็นใหญ่ในกรุงสุโขทัย  ด้านที่ ๒ จำนวน ๔๐ บรรทัด กล่าวถึงสวรรค์ชั้นต่างๆ   และด้านที่ ๓ จำนวน ๑๙ บรรทัด เป็นคำสาปแช่งผู้กระทำผิดคิดคด  --- จากเนื้อความที่ปรากฏในจารึกปู่ขุนจิดขุนจอด และจารึกคำปู่สบถ จึงมีข้อสันนิษฐานว่าจารึกทั้งสองหลักนี้คงเป็นจารึกที่ทำขึ้นคู่กัน ระหว่างกษัตริย์สุโขทัยและเจ้าเมืองน่าน อันได้แก่ พระมหาธรรมราชาแห่งเมืองสุโขทัย ซึ่งในจารึกกล่าวถึงว่า “...กูผู้ชื่อพญาฤาไทยกระทำใจรักภักดิ์ไมตรีด้วยปู่พระยาเป็นเจ้า”  แสดงให้เห็นว่าทางฝ่ายสุโขทัยนั้นมีศักดิ์เป็นหลาน และทางฝ่ายเจ้าเมืองน่านมีศักดิ์เป็นปู่พระยา ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบช่วงเวลาที่จารึกกับชื่อของเจ้าเมืองน่านตามพงศาวดารเมืองน่าน คือ เจ้าคำตัน  โดยจารึกได้อ้างถึงสายวงศ์เพื่อลำดับความสัมพันธ์ของทั้งสองฝ่าย และยกเอาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ทั้งสองฝ่ายเคารพนับถือเป็นพยาน ให้รักกัน ซื่อสัตย์ต่อกัน และรวมไปถึงข้าราชบริพารหากคิดคดผิดคำสาบานให้ตกอเวจี และจะคอยช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ถ้าเมืองใดเมืองหนึ่งมีอันตรายเกิดขึ้น เมืองนั้นต้องให้ความช่วยเหลือ หากผิดคำสาบานเกิดชาติหน้าไม่ได้พบพระพุทธศาสนา ซึ่งจารึกทั้งสองหลักนี้ได้แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ของเมืองน่านและสุโขทัย ที่มีต่อกันนอกเหนือไปจากอำนาจทางด้านการเมืองการปกครอง  ประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์ระหว่างเมืองน่านและสุโขทัย --- เมืองน่านปรากฏชื่ออยู่ในศิลาจารึกหลักที่ ๑ (จารึกพ่อขุนรามคำแหง) จารึกขึ้นในราวพุทธศักราช ๑๘๓๕ ด้านที่ ๔ บรรทัดที่ ๒๕ โดยปรากฏชื่อ “เมืองปัว” ซึ่งเป็นชื่อเมืองในสมัยประวัติศาสตร์แรกเริ่มของเมืองน่านภายใต้ราชวงศ์ภูคา ร่วมกับชื่อหัวเมืองอื่นๆที่อยู่ในอาณาเขตของสุโขทัย ความว่า “เมืองแพร่ เมืองม่าน เมืองน.... เมืองพลัว (ปัว)....”  --- ต่อมาในสมัยของพระยาการเมือง (พ.ศ. ๑๘๙๖ - ๑๙๐๖) ครั้งหนึ่งพระองค์ได้ทรงไปช่วยพระยาลิไทย กษัตริย์กรุงสุโขทัยสร้างวัดหลวงอภัย พระยาลิไทยจึงได้มอบพระธาตุ ๗ องค์ พระพิมพ์เงิน และพระพิมพ์ทองอย่างละ ๒๐ องค์ ให้กับพระยาการเมือง พระยาการเมืองจึงได้นำพระธาตุและพระพิมพ์ที่ได้มาบรรจุไว้ในพระเจดีย์ที่สร้างขึ้นที่ภูเพียงแช่แห้ง เรียกว่า “พระธาตุแช่แห้ง” และในปี พ.ศ. ๑๙๐๒ พระยาการเมืองจึงได้ย้ายศูนย์กลางการปกครองจากเมืองปัวมาสร้างที่เวียงภูเพียงแช่แห้ง   โดยปรากฏในพงศาวดารเมืองน่าน (ฉบับวัดพระธาตุช้างค้ำ) ความว่า “...เจ้าพระยาครานเมืองท่านอยู่เสวยราชสมบัติแล้ว อยู่มาบ่นานเท่าใดพระยาตนหนึ่งชื่อว่า โสปัตตคันธิ อยู่เสวยเมืองสุโขทัยใช้มาราธนาเชิญเอาพระยาครานเมืองเมือช่วยพิจารณาส้าง (สร้าง) วัดหลวงอภัยกับด้วยพระยาสุโขทัยหั้นแล เมื่อนั้นพระยาครานเมืองก็ลงไปช่วยค้ำชู พระยาโสปัตตคันธิ แท้หั้นแล ครั้นสร้างบอระมวน (บรมวล)แล้ว พะยาโสปัตตคันธิ ก็มีความยินดีซึ่งพระยาครานเมืองแล้วก็เอาพระธาตุเจ้า ๗ องค์ พระพิมพ์คำ ๒๐ องค์ พระพิมพ์เงิน ๒๐ องค์ ดั่งวรรณะพระธาตุเจ้านั้นต่างกัน คือ ๒ องค์เท่าพันธุ์หอมป้อม มีวรรณะดั่งแก้ว ๓ องค์ มีวรรณะดั่งมุก ๒ องค์ มีวรรณะดั่งคำเท่าเม็ดงาดำหั้นแล...” --- ชื่อ “เมืองน่าน” ปรากฏขึ้นเป็นครั้งแรกในศิลาจารึกหลักที่ ๘ (จารึกเขาสุมนกูฏ) พบที่เขาพระบาทใหญ่  ตำบลเมืองเก่า อำเภอเมือง จังหวัดสุโขทัย ซึ่งจารึกขึ้นระหว่างรัชสมัยพระมหาธรรมราชาที่ ๒ (ลิไทย) ราวปี พ.ศ. ๑๙๑๒ ความว่า “....เบื้องเหนือน้ำน่านถี แดนเจ้าพระญาผากองเจ้าเมืองน่านเมืองพลัว...” (ด้านที่ ๓ บรรทัดที่ ๑๙ - ๒๐)  --- ความสัมพันธ์ทางด้านการเมืองการปกครอง ในด้านของการรบและการช่วยเหลือกันในยามศึกสงคราม หรือการลี้ภัยทางการเมืองเมื่อยามพ่ายแพ้สงครามระหว่างเมืองน่านและสุโขทัย ปรากฏอยู่หลายครั้งในประวัติศาสตร์ เช่น   พ.ศ. ๑๙๑๙ พระยาผากองเจ้าเมืองน่านได้ยกทัพลงไปช่วยพระยาคำแหงรบกับพระบรมราชาธิราช ที่ ๑ (ขุนหลวงพะงั่ว) แห่งกรุงศรีอยุธยาที่เสด็จขึ้นมาตีเมืองซากังราว  พ.ศ. ๑๙๔๒ พระยาเถระ เจ้าเมืองแพร่  และพระยาอุ่นเมือง เข้ายึดเมืองน่านและประหารเจ้าศรีจันต๊ะ เจ้าหุงผู้เป็นน้องหนีไปพึ่งพระยาเชลียง และได้ขอกำลังจากสุโขทัยให้ยกกองทัพขึ้นมาช่วยตีเอาเมืองน่านคืนมา  พ.ศ. ๑๙๙๓ พระเจ้าติโลกราช กษัตริย์ล้านนา ราชวงศ์มังราย ยกกองทัพมาตีเพื่อผนวกรวมเมืองน่านเข้าเป็นเมืองบริวารของอาณาจักรล้านนา เมื่อเมืองน่านพ่ายแพ้ เจ้าอินต๊ะแก่นท้าว จึงได้นำครอบครัวลี้ภัยไปอยู่ที่เมืองสุโขทัย   --- งานศิลปกรรมแบบสุโขทัยที่ปรากฏในเมืองน่าน ได้แก่ เจดีย์ช้างล้อม วัดพระธาตุช้างค้ำวรวิหาร เป็นเจดีย์ช้างล้อมทรงระฆังฐานสี่เหลี่ยม ส่วนล่างสุดทำเป็นฐานปัทม์ ถัดขึ้นไปเป็นชั้นช้างล้อม มีช้างโผล่ออกมาครึ่งตัว ด้านละ ๕ เชือก และที่มุมทั้งสี่อีก ๔ เชือก ปลายงวงจรดแท่นฐานบัวที่รองรับอยู่ทางด้านล่าง เหนือชั้นช้างล้อมทำเป็นฐานหน้ากระดานสี่เหลี่ยมซ้อนกัน ๓ ชั้น รับฐานบัวและลูกแก้วและหน้ากระดานกลมที่อยู่ทางตอนบนชั้นมาลัยเถาทำเป็นหน้ากระดานบัวคว่ำซ้อนกัน ๓ ชั้น รองรับบัวปากระฆังและองค์ระฆังทรงกลม ส่วนยอดเป็นบัลลังก์สี่เหลี่ยม ปล้องไฉนและปลียอด เจดีย์นี้แม้จะได้รับการซ่อมแซมหลายครั้ง แต่ก็ยังคงรูปแบบเดิมที่ได้รับอิทธิพลจากเจดีย์ศิลปะสุโขทัยไว้ได้มากพอสมควร เป็นต้นว่าชั้นช้างล้อม ชั้นหน้ากระดานสี่เหลี่ยมและชั้นมาลัยเถาซึ่งทำเป็นบัวคว่ำซ้อนกัน ๓ ชั้น --- เจดีย์วัดสวนตาล องค์เดิมเป็นเจดีย์ทรงพุ่มข้าวบิณฑ์ (เจดีย์ทรงยอดดอกบัวตูม) แบบสุโขทัย ต่อมาพระเจ้าสุริยพงษ์ผริตเดชฯ พระเจ้านครน่าน โปรดให้บูรณะขึ้นใหม่เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๕๗ ได้แก้ไขรูปทรงเป็นเจดีย์ยอดปรางค์ดังที่เห็นอยู่ในปัจจุบัน จากภาพถ่ายเก่าสันนิษฐานว่าส่วนฐานคงเป็นฐานหน้ากระดานสี่เหลี่ยมซ้อนกัน รองรับเรือนธาตุย่อเก็จซึ่งยังมีสภาพค่อนข้างสมบูรณ์ ส่วนยอดเป็นพุ่มข้าวบิณฑ์ มีปล้องไฉนและปลียอด ตามแบบเจดีย์พุ่มข้าวบิณฑ์ ศิลปะสุโขทัย เจดีย์นี้คงสร้างขึ้นราวกลางพุทธศตวรรษที่ ๒๐ หลังจากเจ้าพระยาผากองสร้างเมืองน่านในปี พ.ศ. ๑๙๑๑  --- พระพุทธรูปแบบศิลปะสุโขทัยในเมืองน่าน  เช่น พระพุทธรูป ๕ พระองค์ สร้างโดยพระยาสารผาสุม เมื่อ พ.ศ. ๑๙๗๐ ปัจจุบันประดิษฐานอยู่ที่วัดพระธาตุช้างค้ำฯ ๓ องค์ และวัดพญาภู ๒ องค์ โดยเป็นพระพุทธรูปปางลีลา ๔ องค์ และปางประทานอภัยสองพระหัตถ์ ๑ องค์   พระพุทธรูปทั้ง ๕ องค์ มีพระพักตร์ค่อนข้างยาวรีเป็นรูปวงไข่ ขมวดเกศาม้วนเป็นก้นหอย รัศมีเหนืออุษณีษะเป็นเปลวเพลิง ส่วนพระอังสาค่อนข้างใหญ่ พระอุระนูน พระพุทธรูปปางลีลา ๔ องค์ครองจีวรห่มเฉียงเปิดพระอังสาขวา ชายจีวรยาวลงมาจรดพระนาภี ส่วนปลายแยกออกเป็นเขี้ยวตะขาบ ส่วนพระพาหาและพระกรทอดลงมาเป็นเส้นโค้งจากพระอังสา จะยาวจรดลงมาที่พระชงฆ์ ส่วนพระพุทธรูปปางประทานอภัยสองพระหัตถ์ครองจีวรห่มคลุม  --- กล่าวโดยสรุปได้ว่า นอกจากจารึกคำปู่สบถ และจารึกปู่ขุนจิดขุนจอดที่มีเนื้อหาอันแสดงถึงสายสัมพันธ์ระหว่างเมืองน่านและสุโขทัยดังที่กล่าวมาแล้วนั้น จะเห็นได้ว่าเมืองน่านและสุโขทัยยังมีความสัมพันธ์อันดีต่อกันตลอดมา ทั้งในด้านการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา  การช่วยเหลือเกื้อกูลกันยามเมื่อเกิดศึกสงคราม ในด้านหลักฐานงานศิลปกรรมที่ปรากฏก็แสดงให้เห็นถึงอิทธิพลและแรงบันดาลใจจากศิลปะสุโขทัย ที่มีต่อการสร้างสรรค์งานศิลปกรรมในเมืองน่านด้วยเช่นกัน อันได้แก่ เจดีย์ช้างล้อม วัดพระธาตุช้างค้ำวรวิหาร เจดีย์ทรงพุ่มข้าวบิณฑ์ วัดสวนตาล   และพระพุทธรูป ๕ พระองค์ ที่สร้างโดยพระยาสารผาสุมเจ้าเมืองน่าน ในส่วนพระพุทธรูปแบบศิลปะสุโขทัยในเมืองน่านนั้น มิได้มีเพียงแต่ที่นำเสนอในครั้งนี้เท่านั้น ซึ่งคงจะได้นำเสนอรายละเอียดในโอกาสต่อไป เอกสารอ้างอิง/ภาพประกอบ - สุรศักดิ์ ศรีสำอาง และคณะ. เมืองน่าน โบราณคดี ประวัติศาสตร์ และศิลปะ. กรุงเทพฯ : กรมศิลปากร. ๒๕๓๗.  - สำนักศิลปากรที่ ๗ น่าน. พงศาวดารเมืองน่าน ฉบับวัดพระธาตุช้างค้ำ. ๒๕๕๗. - สำนักศิลปากรที่ ๗ เชียงใหม่. สังเขปประวัติศาสตร์และโบราณคดีจังหวัดน่าน ฉบับคู่มือ อส.มศ. ไม่ระบุปีที่พิมพ์. - ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน). จารึกเขาสุมนกูฎ. https://db.sac.or.th/inscriptions/inscribe/detail/201 - ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน). จารึกคำปู่สบถ. https://db.sac.or.th/inscriptions/inscribe/detail/225 - ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน). จารึกปู่ขุนจิดขุนจอด. https://db.sac.or.th/inscriptions/inscribe/detail/107 - ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน). จารึกพ่อขุนรามคำแหง. https://db.sac.or.th/inscriptions/inscribe/detail/47 - อริย์ธัช นกงาม. “ความสัมพันธ์ระหว่างเมืองน่านกับสุโขทัยและล้านนา ในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๑๙ - ๒๒ จากหลักฐานทางโบราณคดี”.   วิทยานิพนธ์ศิลปศาสตร  มหาบัณฑิต สาขาวิชาโบราณคดี ภาควิชาโบราณคดี บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร. ๒๕๖๑.  


ต่างหูลิง-ลิง-โอ เป็นเครื่องประดับของคนสมัยก่อนประวัติศาสตร์เมื่อประมาณ 2,000 ปีมาแล้ว มีลักษณะเป็นห่วงกลม มีปุ่มยื่นออกมา 2 ถึง 4 ปุ่ม ทำด้วยหิน แก้ว และดินเผา “ลิง-ลิง-โอ” เป็นคำที่ชาว Ifugo Bontoc และ Kalinga ชาวพื้นเมืองของฟิลิปปินส์ใช้เรียกต่างหู ที่พวกเขายังสวมใส่อยู่ในปัจจุบัน ลิง-ลิง-โอ เป็นเครื่องประดับที่พบมากในวัฒนธรรมซาหุญ ซึ่งเป็นวัฒนธรรมที่พบมากในแถบชายฝั่งทะเลทางตอนกลางและใต้ของเวียดนาม มีอายุสมัยในราวพุทธศตวรรษที่ 1-5 ลักษณะเด่นของวัฒนธรรมซาหุญ คือ การฝั่งศพกับภาชนะดินเผาและจะมีของอุทิศให้กับศพ เช่น เครื่องมือเครื่องใช้ และเครื่องประดับต่าง ๆ เป็นต้น เครื่องประดับที่เป็นเอกลักษณ์ของวัฒนธรรมซาหุญ คือ ต่างหูลิง-ลิง-โอ (ling-ling-O) และต่างหูรูปสัตว์สองหัว (Bicephalous earring)  ได้ค้นพบต่างหูลิง-ลิง-โอ ในประเทศอื่น ๆ เช่น ไต้หวัน ฟิลิปปินส์ และไทย ในประเทศไทยค้นพบที่แหล่งโบราณคดีอู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี แหล่งโบราณคดีท่าชนะ จังหวัดสุราษฎร์ธานี และที่แหล่งโบราณคดีเขาสามแก้ว จังหวัดชุมพร จากการที่ได้พบต่างหู ที่เรียกว่า ลิง-ลิง-โอ กระจายอยู่ในหลายพื้นที่แสดงให้เห็นถึงการติดต่อของคนในอดีตเมื่อประมาณ 2,000 ปีมาแล้ว อาจจะโดยการล่องเรือ เพราะได้พบ ลิง-ลิง-โอ กระจายอยู่ตามหมู่เกาะต่าง ๆ และแสดงให้เห็นว่า คนในสมัยนั้นสามารถผลิตเครื่องประดับ มีความรู้ในการออกแบบและเผยแพร่ให้เครื่องประดับอันเป็นเอกลักษณ์ของตนเองเป็นที่ยอมรับของดินแดนอื่น ๆ ระบบทะเบียนโบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ชุมพร อ้างอิงจาก ธราพงศ์ ศรีสุชาติ "เขาสามาแก้ว : ชุมชนโบราณ"  สารานุกรมวัฒนธรรม ภาคใต้ พ.ศ.2529 --------------------------------------- พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ชุมพร เปิดให้ผู้เข้าชม วันพุธ - วันอาทิตย์  เวลา 9.00 - 16.00 น. ค่าเข้าชม คนไทย 20 บาท ต่างชาติ 100 บาท ติดต่อสอบถาม โทร. 077630758 Chumphon National Museum Open to visitors from Wednesday - Sunday  9:00 A.M. - 4:00 P.M. Admission Fee  Thais 20 Baht Foreigner 100 Baht For further information, please call 077630758


black ribbon.