ค้นหา
รายการที่พบทั้งหมด 48,765 รายการ
เครื่องสังคโลกที่ผลิตและได้รับการส่งออกไปอย่างกว้างขวางนั้น มีจุดเด่นประการหนึ่งคือมีการเคลือบผิว ซึ่งทำให้เครื่องสังคโลกนั้นมีความสวยงามมากยิ่งขึ้น และสีของเคลือบเหล่านั้นก็สามารถนำมาใช้ในการแบ่งประเภทของเครื่องสังคโลกได้ด้วย ดังนี้ ภาชนะไม่เคลือบผิว (Unglazed Wares) เป็นภาชนะที่ไม่ได้เคลือบด้วยน้ำยาเคลือบ มีสีเทาถึงสีน้ำตาลเข้ม บางชิ้นมีขี้เถ้าปลิวไปติดที่ผิวภาชนะ ทำให้ผิวมีความมันวาวเหมือนเคลือบผิว เรียกว่า “เคลือบขี้เถ้า” โดยมากมักเป็นภาชนะประเภทโอ่ง ไห ครก และแจกัน เครื่องเคลือบสีเขียว หรือเซลาดอน (Celadon Wares) เป็นเครื่องเคลือบในกลุ่มสีเขียวใส สันนิษฐานว่าพัฒนามาจากเครื่องถ้วยสีเขียวมะกอกหรือสีเขียวอมน้ำตาลของเครื่องถ้วยเชลียง และได้รับอิทธิพลมาจากเครื่องเคลือบสีเขียวแบบหลงฉวนของจีน เครื่องเคลือบประเภทนี้มีรูปแบบค่อนข้างหลากหลาย ได้แก่ ชาม จาน ถ้วย ขวดทรงป่อง กระปุกทรงน้ำเต้า กาน้ำ ตุ๊กตาเสียกบาล ตุ๊กตารูปสัตว์ เป็นต้น เครื่องเคลือบเขียนลายสีดำ หรือสีน้ำตาลใต้เคลือบ (Black/Brown Painting Underglaze Wares) เป็นเครื่องเคลือบที่ได้รับแบบอย่างมาจากเครื่องลายครามของจีน โดยมีการวาดลวดลายต่าง ๆ ด้วยสีน้ำตาลไหม้หรือสีดำบนผิวภาชนะ แล้วเคลือบด้วยน้ำยาเคลือบสีใสถึงสีเขียวใส รูปแบบภาชนะมักเป็นชาม จาน ตลับหรือผอบ แจกัน ขวด กาน้ำ และตุ๊กตา เป็นต้น ภาพ : ภาชนะ/วัตถุที่ไม่มีการเคลือบผิว ภาพ : เครื่องเคลือบสีเขียวหรือเซลาดอน ภาพ : เครื่องเคลือบเขียนลายสีดำ หรือสีน้ำตาลใต้เคลือบใส ที่มาของข้อมูล : พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สวรรควรนายก
โคลงนิราศนรินทร์. พระนคร: โรงพิมพ์พานิชกิจ, 2499.พิมพ์เป็นอนุสรณ์ในงานฌาปนกิจศพ นายสุทธิชัย วิงประวัติ หัวหน้าแผนกที่ดิน กองที่ดิน สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ 30 พฤษภาคม 2499 นิราศนรินทร์ เป็นวรรคดีที่มีชื่อเสียงในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ซึ่งโคลงนิราศนรินทร์ ถือว่าเป็นโคลงที่มีความไพเราะ เป็นการคร่ำครวญ และพรรณนาความรู้สึกอาลัยอาวรณ์ต่อหญิงคนรัก และเล่าถึงการเดินทาง เมื่อผ่านภูมิประเทศต่างๆ เริ่มจากคองขุด ถึงวัดแจ้ง (วัดอรุณ) ผ่านคลองบางกอกน้อย และล่องเรือไปจนถึงอ่าวไทย แล้วขึ้นบก ที่จังหวัดเพชรบุรี895.9113ค967ส
พระพุทธรูปลีลา
สำริด ลงรักปิดทอง ศิลปะสุโขทัย พุทธศตวรรษที่ ๑๙-๒๐
พบจากเมืองโบราณสุโขทัย ต.เมืองเก่า อ.เมืองสุโขทัย จ.สุโขทัย นำไปประดิษฐานไว้ที่วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม กรุงเทพฯ ก่อนนำมาจัดแสดง ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ รามคำแหง เมื่อปีพุทธศักราช ๒๕๐๖
พระพุทธรูปแสดงอิริยาบถเดินโดยพระบาทซ้ายก้าวไปข้างหน้า พระบาทขวายกส้นพระบาทขึ้นเล็กน้อย ประทับบนฐานรูปดอกบัวหงาย รองรับด้วยฐานแปดเหลี่ยม ยกพระหัตถ์ซ้ายขึ้นในท่าประทานอภัย พระหัตถ์ขวาทอดลงข้างพระวรกาย พระพุทธรูปลีลา
นับเป็นงานสร้างสรรค์ประติมากรรมอันเป็นเอกลักษณ์โดดเด่นของศิลปะสุโขทัย เป็นการสร้างสรรค์พุทธศิลป์ตามคตินิยมเรื่อง “มหาบุรุษลักษณะ” ที่มีความงามตามอุดมคติอย่างแท้จริง
โดยมีลักษณะพระพักตร์รูปไข่ พระเนตรเรียวเหลือบต่ำ พระขนงโก่ง พระนาสิกโด่งงุ้ม พระโอษฐ์เรียวเล็กบาง พระหนุเป็นปม พระรัศมีเป็นเปลวเพลิง ขมวดพระเกศาขนาดเล็ก พระอังสาใหญ่ บั้นพระองค์เล็ก ครองจีวรห่มเฉียงบางแนบพระวรกาย สังฆาฏิยาวจรดพระนาภีปลายหยักเป็นเขี้ยวตะขาบ
พระพุทธรูปลอยตัวนี้น่าจะหมายถึง พุทธประวัติตอนที่พระพุทธเจ้าเสด็จลงจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ หลังจากพระพุทธองค์โปรดพระมารดาแล้ว พระองค์เสด็จกลับลงมายังโลกมนุษย์ โดยเสด็จลงมาทางบันไดแห่งซึ่งอยู่ระหว่างกลางพระอินทร์และพระพรหมลงมาตามบันไดทองและบันไดเงินซึ่งเมื่อสร้างเป็นประติมากรรมลอยตัวจึงปรากฏเพียงรูปของพระพุทธองค์ในลักษณะก้าวเดินโดยไม่มีฉากประกอบ
นอกจากนั้นในการสร้างพระพุทธรูปลีลาลอยตัว ยังแสดงถึงเทคนิคขั้นสูงในการหล่อโลหะในช่วงยุคทองของการสร้างสรรค์ศิลปกรรมของสุโขทัยสมัยพระมหาธรรมราชาลิไทอีกด้วย
ที่มาของข้อมูล
: หนังสือนำชมพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ รามคำแหง
ข้อมูลนำชมโบราณวัตถุ ศิลปะวัตถุ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ รามคำแหง
ผ่าน QR code
จัดทำโดย นางสาวสาธิตา วรรณพิรุณ
คณะบริหารธุรกิจและศิลปศาสตร์ สาขาการท่องเที่ยวและการโรงแรม
ชั้นปีที่ ๔ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา ตาก
โครงการสหกิจศึกษา ปีการศึกษา ๒๕๖๓
บ้านเรือนบริเวณริมคลองดำเนินสะดวก พ.ศ.๒๔๗๙
"ดำเนินสะดวก” เป็นชื่อคลองที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๔ โปรดเกล้าฯให้ขุดขึ้นเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๐๙ เชื่อมจากแม่น้ำท่าจีนเริ่มจากปากคลองบางยาง อ.บ้านแพ้ว จ.สมุทรสาครกับแม่น้ำแม่กลอง ต.บางนกแขวก อ.บางคนที จ.สมุทรสงคราม ขนาดคลองที่ขุดในระยะแรกมีความกว้าง ๖ วา (๑๒ เมตร) ลึก ๖ ศอก (๓ เมตร) ความยาว ๘๔๐ เส้น (๓๒ กิโลเมตรโดยประมาณ) สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) เมื่อครั้งยังเป็นที่พระสมุหกลาโหม เป็นผู้อำนวยการขุด โดยเกณฑ์แรงงานทหาร ข้าราชการ ประชาชน และจากการจ้างแรงงานกรรมกรชาวจีน การขุดนั้นใช้วิธีการขุดดินระยะหนึ่งแล้วเว้นไว้ไม่ต้องขุดดินระยะหนึ่ง เมื่อน้ำหลากมาจะเซาะดินที่เว้นไว้ไม่ได้ขุดพังทลายไป พร้อมทั้งมีการแบ่งคลองออกเป็นระยะๆระยะหนึ่งยาว ๑๐๐ เส้น (ประมาณ ๔ กิโลเมตร) จะมีเสาหินปักไว้เป็นหลักเขต แต่ละหลักได้จำหลักเลขไทย เลขโรมัน และเลขจีนกำกับไว้ทุกหลัก คลองนี้ใช้เวลาขุด ๒ ปี โดยใช้งบประมาณในการขุดเป็นค่าเงินในสมัยนั้นจำนวน ๑,๔๐๐ ชั่ง (๑๑๒,๐๐๐ บาท) โดยเป็นทรัพย์สินของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจำนวน ๔๐๐ ชั่ง (๓๒,๐๐๐บาท) สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ จำนวน ๑,๐๐๐ ชั่ง เมื่อทำการขุดจนแล้วเสร็จ ได้มีการนำแผนผังคลองขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเพื่อขอพระราชทานนาม ซึ่งเมื่อทรงทอดพระเนตรแล้วทรงเห็นว่าคลองนี้มีเส้นทางตรงที่สุดกว่าคลองอื่นๆที่มีการขุดขึ้นในช่วงนั้น จึงได้รับพระราชทานนามว่า“ดำเนินสะดวก” และสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) ได้ประกอบพิธีเปิดคลองนี้เมื่อวันจันทร์เดือน ๗ ขึ้น ๔ ค่ำ (ตรงกับวันที่ ๒๕ พ.ค. พ.ศ.๒๔๑๑)
เรือบรรทุกหอมบริเวณคลองดำเนินสะดวก พ.ศ.๒๔๗๙
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๕ เคยเสด็จพระราชดำเนินคลองดำเนินสะดวกหลายครั้งทั้งเสด็จประพาสและเสด็จพระราชดำเนินผ่านไปยังที่ต่างๆ ในปี ๒๔๓๑ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการเสด็จประพาสไทรโยคครั้งที่ ๓ ปรากฏในพระราชนิพนธ์ว่า“...วันพฤหัสบดีขึ้น ๗ ค่ำเดือน ๓ ...เสด็จจากเมืองราชบุรีล่องลงไปถึงบ้านสี่หมื่นไปตามคลองดำเนินสะดวก ผ่านวัดโชติทายการามถึงหลักเจ็ด โคกไผ่ เมื่อถึงหลักห้าก็เป็นอันสิ้นสุดเขตเมืองราชบุรี...”
ต่อมาในปี ๒๔๔๘ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จประพาสต้นที่คลองดำเนินสะดวก ซึ่งจดหมายนายทรงอานุภาพ (สมเด็จพระบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ) มหาดเล็กผู้ตามเสด็จได้บันทึกไว้ว่า “...ครั้นรุ่งขึ้นวันที่ ๑๖ ออกเรือล่วงหน้ามาคอยเสด็จอยู่ที่ปากคลองดำเนินสะดวก พอประมาณ ๔ โมงเช้ากระบวนเสด็จมาถึงเลยเข้าคลองต่อมา น้ำกำลังท่วมทุ่งคันคลองเจิ่งทั้งสองข้างแล่นเรือได้สะดวก พอบ่ายสัก ๓ โมงก็มาถึงหลักหกหยุดกระบวนประทับแรมที่วัดโชติทายการาม...”
เรือบรรทุกพริกในคลองดำเนินสะดวก พ.ศ.๒๔๗๙
ผลจากการขุดคลองดำเนินสะดวกในครั้งนั้น นอกจากจะเป็นส่งเสริมการค้าหลังการทำสนธิสัญญาเบาว์ริ่ง การคมนาคมสัญจรไปมาติดต่อกันทางน้ำด้วยความสะดวกแล้ว ยังส่งผลให้ผู้คนอพยพเข้าไปตั้งถิ่นฐานอยู่อาศัยตลอดคลองดำเนินสะดวกเพิ่มขึ้นจากเดิมเป็นจำนวนมาก ดังรายงานเสด็จตรวจราชการมณฑลราชบุรีปี ๒๔๔๑ ของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพระบุว่า “...ที่สองฟากคลองดำเนินสะดวก เปนที่ทิ้งให้รกร้างอยู่มากกว่าที่มีผู้ทำเปนไร่นา ได้ความว่าที่เหล่านี้ที่จริงเปนที่ดี แต่เปนที่มีเจ้าของอยู่ในวงษ์วานญาติของสมเด็จเจ้าพระยา...” เปรียบเทียบกับปี ๒๔๕๒ ซึ่งในพระราชหัตถเลขาของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเมื่อคราวเสด็จประพาสมณฑลราชบุรีกล่าวถึงถึงพื้นที่คลองดำเนินสะดวกไว้ว่า“...ในลำคลองระยะหลัก๑ หลัก๒ จนกระทั่งถึงหลัก ๓ เดิมเป็นจากและปรง เดี๋ยวนี้มีจากและปรงเข้าไปไม่ถึงหลัก ๑ เป็นไร่นาไปหมดได้ความว่าดีมาก...”แสดงให้เห็นว่ามีผู้เข้ามาอยู่อาศัยบริเวณคลองดำเนินสะดวกมีจำนวนเพิ่มขึ้น ซึ่งส่งผลให้มีการขุดคลองลัดซอยมากกว่า ๒๐๐ คลองในเวลาต่อมา และมีการบุกเบิกป่ากลายเป็นนาเปลี่ยนจากนามาเป็นสวนเป็นไร่มากขึ้น
นอกจากนี้ในรายงานโครงการทดน้ำไขน้ำฯ ของมิสเตอร์ เยโฮมานวาเดอร์ ไฮเด กระทรวงเกษตราธิการ ได้กล่าวถึงปริมาณเรือที่เข้าออกในคลองดำเนินสะดวกนั้นมีเป็นจำนวนมากเพราะนอกจากจะมีเรือซื้อข้าวและเรือสินค้าดังกล่าวแล้ว ยังมีเรือสินค้าอื่นๆแทบทุกอย่าง ทั้งเครื่องอุปโภค บริโภคจากกรุงเทพฯ เข้ามาด้วย จำนวนเรือที่เข้าออกในคลองนี้ชั่วระยะเวลาเพียง ๕ วัน ในช่วงเดือนเม.ย.พ.ศ. ๒๔๔๕ มีจำนวนถึง ๓,๑๖๘ ลำ
การเป็นเส้นทางคมนาคมที่สำคัญของคลองดำเนินสะดวกนั้นยังเห็นได้จาก ในปี ๒๔๔๗ เจ้าพระยาเทเวศรวงษ์วิวัฒน์ เสนาบดีกระทรวงเกษตราธิการ รับพระบรมราชโองการฯ ให้ประกาศแก่ประชาชนทราบโดยทั่วกันว่า คลองดำเนินสะดวกซึ่งทรงพระกรุณาให้กระทรวงเกษตราธิการขุดซ่อมใหม่ นั้นได้ขุดซ่อมเสร็จแล้ว กำหนดเปิดให้ประชาชนใช้คลองได้ตั้งแต่วันที่ ๑๘ พฤษภาคม รัตนโกสินทร์ศก ๑๒๓ และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้กระทรวงเกษตราธิการเป็นเจ้าหน้าที่จัดการรักษาและซ่อมคลองนี้ไว้ให้เรียบร้อย เพื่อให้ประชาชนใช้คลองได้โดยสะดวกเสมอไป ทรงพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ออกกฎข้อบังคับไว้เพื่อดูแลรักษาคลองแห่งนี้ เช่น กฎเสนาบดีกระทรวงเกษตราธิการ เป็นข้อบังคับสำหรับคลองดำเนินสะดวก กฎกระทรวงเกษตราธิการ สำหรับเจ้าพนักงานรักษาคลองดำเนินสะดวก หลักฐานต่างๆเหล่านี้ ล้วนสะท้อนให้เห็นว่าคลองดำเนินสะดวกหรือที่ชาวบ้านเรียกกันทั่วไปว่า“คลองใหญ่” เป็นคลองสายสำคัญสายหนึ่ง ที่มีเอกลักษณ์และความสำคัญทางประวัติศาสตร์เป็นอย่างมาก ทั้งในด้านเศรษฐกิจ การเป็นเส้นทางคมนาคม ขนส่งสินค้า ตลอดจนสองฝั่งคลองยังเป็นพื้นที่เกษตรกรรมที่สำคัญที่มีความอุดมสมบูรณ์แห่งหนึ่งของไทย นอกจากนี้การขุดคลองดำเนินสะดวก ยังส่งผลต่อการเมือง การปกครอง ทำให้พระมหากษัตริย์เสด็จพระราชดำเนินตามหัวเมืองต่างๆ และสามารถเข้าถึงชีวิตความเป็นอยู่ของราษฎรได้เนื่องจากมีการคมนาคมที่สะดวกขึ้น คลองดำเนินสะดวกจึงถือเป็นคลองที่สำคัญแห่งหนึ่งของประวัติศาสตร์ไทย
คลองดำเนินสะดวก ภาพโดยคุณ ณัฐวุฒิ คล้ายศิริ
เรียบเรียง : นางสาวปราจิน เครือจันทร์ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ราชบุรี
อ้างอิง
มโน กลีบทอง,พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ราชบุรี,สำนักพิมพ์สมาพันธ์ จำกัด,พ.ศ.๒๕๔๔.
สถาบันดำรงราชานุภาพ “รายงานการเสด็จตรวจราชการมณฑลราชบุรี เมืองราชบุรีและเมืองสมุทรสงคราม พ.ศ.๒๔๔๑ ร.ศ.๑๑๗” การเสด็จตรวจราชการหัวเมืองของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรงราชานุภาพ.๒๕๕๕.
องค์การบริหารส่วนจังหวัดราชบุรี,พระบรมราชจักรีวงศ์กับเมืองราชบุรี,กรุงเทพฯ: อมรินทร์การพิมพ์,๒๕๒๕.พระบรมราชจักรีวงศ์กับเมืองราชบุรี, จัดพิมพ์เป็นที่ระลึกเนื่องในมหามงคลสมัยสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ ๒๐๐ ปี จังหวัดราชบุรี พุทธศักราช ๒๕๒๕.
หจช.,ร๕กษ๙/๕, รายงานโครงการทดน้ำไขน้ำสำหรับเขตที่ราบแห่งลาดแม่น้ำเจ้าพระยาตอนใต้ของมิสเตอร์ เยโฮมานวาเดอร์ ไฮเด กระทรวงเกษตราธิการ ( ๒๔ ม.ค.ปี ๒๔๔๖,หน้า ๖๑).
ภาพ https ://collections .lib. uwm .edu/ digital/collection/agsphoto/
ชื่อเรื่อง เทศนาธัมมสังคิณี-ยมกปกรณ์สพ.บ. 193/6ประเภทวัสดุ/มีเดีย คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่ พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ 44 หน้า : กว้าง 4.5 ซ.ม. ยาว 56.9 ซ.ม. หัวเรื่อง พุทธศาสนา บทสวดมนต์บทคัดย่อ/บันทึกเป็นคัมภีร์ใบลาน อักษรขอม เส้นจาร ฉบับล่องชาด ได้รับบริจาคมาจากวัดพยัคฆาราม อ.ศรีประจันต์ จ.สุพรรณบุรี
ชื่อเรื่อง สตฺตปฺปกรณภิธมฺมเทสนา (เทศนาสังคิณี-ยมก)สพ.บ. 127/3ประเภทวัสดุมีเดีย คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่ พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ 32 หน้า กว้าง 5 ซ.ม. ยาว 56 ซ.ม. หัวเรื่อง ธรรมเทศนา
บทคัดย่อ/บันทึก
เป็นคัมภีร์ใบลาน อักษรขอม เส้นจาร ฉบับทองทึบ ได้รับบริจาคมาจากวัดประสพสุข ต.ทับตีเหล็ก อ.เมือง จ.สุพรรณบุรี
เลขทะเบียน : นพ.บ.68/5กห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 24 หน้า ; 4.6 x 54.5 ซ.ม. : ชาดทึบ-ล่องชาด-ลานดิบ ; ไม้ประกับธรรมดา ฉลากไม้ไผ่ชื่อชุด : มัดที่ 44 (19-28) ผูก 1 (2564)หัวเรื่อง : แปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์ (8 หมื่น) --เอกสารโบราณ คัมภีร์ใบลาน พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม
ปูนซีเมนต์เป็นวัสดุฉาบที่มีส่วนประกอบหลัก ได้แก่ หินปูน ดินเหนียว ซิลิก้า อลูมินา สินแร่เหล็ก ยิปซั่ม และสารประกอบอื่นๆ เพื่อช่วยให้ปูนนั้นมีคุณสมบัติเฉพาะที่ตอบสนองงานก่อสร้างในลักษณะต่างๆ ซื่อ เรียก ซีเมนต์(cement) มีที่มาจากภาษาโรมันว่า opus caementicium หลังจากนั้น ระหว่าง พ.ศ.๒๓๕๔ - ๒๓๖๗ โจเซฟ แอสป์ดิน(Joseph Aspdin) ชาวอังกฤษ ได้คิดค้นสูตรของวัสดุฉาบ อันเป็นส่วนผสมระหว่างหินปูนและดินเหนียว นำไปเผาและบดเป็นผง โดยเมื่อใช้งานต้องผสมทราย กรวด และน้ำ วัสดุฉาบที่คิดค้นขึ้นนี้มีสีเหมือนหินที่เกาะพอร์ตแลนด์ในอังกฤษ เมื่อจดสิทธิบัตรจึงมีชื่อว่า พอร์ตแลนด์ซีเมนต์ (Portland cement) ในประเทศไทย นับแต่อดีตปรากฏหลักฐานการใช้วัสดุฉาบในงานก่อสร้างอาคารศาสนสถานอิฐคือ ปูนหมัก ที่มีส่วนผสมของหินปูน เปลือกหอย ทราย กาว เส้นใย นอกจากนี้ ในงานนิพนธ์ สาส์นสมเด็จ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ทรงระบุถึงการใช้วัสดุฉาบสิ่งก่อสร้าง ในบางท้องถิ่น เช่นที่ชลบุรี ว่า “...ที่เมืองชล เขาขุดเอาดินชนิดหนึ่งมาผสมกับปูนขาวและทราย ใช้ก่อก้อนหินเป็นผนังตึก และปั้นเป็นแผ่นอิฐก่อกำแพงก็มี ดินชนิดนั้นเรียกว่า ดินโคก ว่าขุดหาได้ตามโคก คือ ซีเมนต์เรานี่เอง ซีเมนต์ธรรมชาติไม่ว่า สิ่งใดๆคงจะได้ของธรรมชาติมาใช้ก่อน...” ส่วนการนำปูนซีเมนต์จากตะวันตกเข้ามาใช้ในงานก่อสร้างนั้น พ่อค้าจีนที่กรุงเทพฯได้นำเข้าซีเมนต์จากต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง นับแต่รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ตั้งบริษัท ปูนซีเมนต์ไทย จำกัด เมื่อ พ.ศ.๒๔๕๖ เพื่อลดการพึ่งพาต่างประเทศในการนำปูนซีเมนต์เข้ามาใช้ในการก่อสร้างของไทย โดยมุ่งใช้วัตถุดิบในการผลิตปูนซีเมนต์เป็น “...เป็นของที่หาได้ในประเทศสยามทั้งสิ้น นอกจากถ่านหินและจิบสัม (Gyp – sum) ดินเหนียวก็ขุดมาจากคลองที่อยู่ติดกับโรงงาน (บางซื่อ)...ส่วนสำคัญอีกส่วนหนึ่งก็คือ หินปูน(Mort) ซึ่งใช้วิธีขุดด้วยมือจากตำบลบ้านหมอและขนลงมาบางซื่อโดยรถไฟ..” ทำให้ประเทศไทยเริ่มมีปูนซีเมนต์ที่ผลิตขึ้นจากวัตถุดิบในประเทศนับแต่เดือนพฤษภาคม พ.ศ.๒๔๕๘ จนถึงปัจจุบัน(ล่าง – ซ้าย) โรงงานผลิตกระเบื้องมุงหลังคาที่ใช้ซีเมนต์เป็นวัสดุในการผลิตซึ่งนำเข้าจากต่างประเทศ โดยฉูหยุน(Choo Yoon) พ่อค้าจีน(คนในบังคับของอังกฤษ) (ล่าง – ขวา) ฉูหยุน(Choo Yoon) พ่อค้าจีน(คนในบังคับของอังกฤษ) (บน) ภายในโรงงานผลิตกระเบื้องมุงหลังคา ของฉูหยุน บริเวณวัดสระเกศ บริษัท ปูนซีเมนต์ไทย จำกัด ที่บางซื่อ เมื่อประมาณ พ.ศ.๒๕๑๕-------------------------------------------------ที่มาของข้อมูล : กองโบราณคดี-------------------------------------------------อ้างอิง- ที่มา https://wikipedia.org>wiki>:cement สืบค้นเมื่อวันที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๖๓. - สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ และสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ.สาส์นสมเด็จ (พ.ศ.๒๔๗๕ – ๒๔๗๗) (พระนคร : โรงพิมพ์อักษรสัมพันธ์, ๒๔๙๙) หน้า ๖๘๑. - บริษัท ปูยซีเมนต์ไทย จำกัด. การทำปูนสิเมนต์ในสยาม ข่าวช่าง ฉบับพิเศษ เนื่องในงานฉลองพระนครครบ ๑๕๐ ปี เมษายน พ.ศ.๒๔๗๕ หน้า ๗๘ – ๗๙ และหน้า ๘๐ – ๘๑.
เลขทะเบียน : นพ.บ.130/9ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 34 หน้า ; 4.7 x 54.6 ซ.ม. : ล่องรัก ; ไม้ประกับธรรมดา ชื่อชุด : มัดที่ 76 (288-301) ผูก 9 (2564)หัวเรื่อง : ธมฺมจกฺกปฺปวตฺตนสุตฺตฎีกา (ฎีกาธมฺมจกฺก)--เอกสารโบราณ คัมภีร์ใบลาน พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม
นับจากเหตุการณ์การรื้อถอนบ้านเขียว เมื่อ ๖ เดือนก่อน ซึ่งขณะนั้นเราเรียกอาคารสีเขียวหลังนี้ว่า "อาคารบอมเบย์เบอร์มาร์" กรมศิลปากรได้เข้ามารื้อฟื้นอาคารหลังนี้โดยกระบวนการทางวิชาการ และกรมศิลปากรได้มีการประชุมเผยแพร่การดำเนินงานต่อภาคส่วนต่างๆของจังหวัดแพร่ ในวันที่ ๒๔ ธันวาคม ที่ผ่านมา สำนักศิลปากรที่ ๗ เชียงใหม่ ในฐานะหน่วยงานผู้แทนกรมศิลปากรในพื้นที่ ที่เป็นทั้งผู้ประสานงานและผู้ดำเนินการ อยากเล่าให้ฟังว่ากรมศิลปากรทุ่มเทและนำองค์ความรู้ทั้งหมดที่เกี่ยวข้องมาใช้ในงาน ทั้งด้านโบราณคดี สถาปัตยกรรม ศิลปกรรม และวิศวกรรม ในการวิเคราะห์องค์ประกอบอาคารและพัฒนาการอาคารที่ถูกรื้อถอนไป เพื่อค้นหารูปแบบอาคารที่จะบูรณะฟื้นคืน โดยงานนี้ถือเป็นงานที่ยากที่สุดงานหนึ่ง เนื่องจากกรมศิลปากรต้องทำแข่งกับเวลาและงานอยู่บนฐานความศรัทธาของประชาชนที่มีต่ออาคาร รวมถึงความศรัทธาเชื่อถือของประชาชนที่มีต่อกรมศิลปากรในฐานะองค์กรที่มีความรู้และประสบการณ์ที่จะมาช่วยฟื้นคืนอาคารหลังนี้ขึ้นมาอีกครั้ง
ตลอดการดำเนินงาน สิ่งที่กรมศิลปากรยึดถือเป็นหลักการมาโดยตลอดตั้งแต่เริ่มต้น คือ กรมศิลปากรจะต้องฟื้นคืนอาคารหลังนี้อย่างมีหลักวิชาการ เพื่อหลักวิชาการนั้นจะเป็นสิ่งยืนยันกับทุกศรัทธาว่า อาคารหลังที่จะกลับคืนมาสู่ทุกท่านเป็นอาคารของแท้หลังเดิม ไม่ใช่ของก๊อปเกรดเอ
โดยหลักการความเป็นของแท้ดั้งเดิมที่กรมศิลปากรใช้และใช้อย่างเป็นสากลทั่วโลก คือ ความเป็นของแท้ ๕ ประการ
๑. สถานที่ ๒. รูปแบบ ๓. วัสดุ ๔. ฝีมือเชิงช่าง ๕. การใช้งานและจิตวิญญาณของพื้นที่
กล่าวโดยรวมคือ เมื่อเราฟื้นคืนอาคารมาได้ อาคารนี้ยังสามารถรักษาความหมายในเชิงที่ตั้งไว้ได้หรือไม่ ที่จะสื่อถึงประวัติศาสตร์หรือความทรงจำที่สถานที่แห่งนั้นมี เปรียบเหมือนเรามีบ้าน หากยกบ้านเราไปตั้งไว้ที่อื่น ความรู้สึกและความทรงจำที่เรามีต่อบ้านจะถูกลดทอน เพราะความทรงจำที่เรามีต่อบ้านหมายรวมถึงความเป็นสถานที่
ถ้าสถานที่ ยังตั้งอยู่ ณ ที่เดิม เราสามารถรักษารูปแบบเดิมของอาคารไว้ได้หรือไม่ แน่นอนว่า "รูปแบบ" เป็นกายภาพหลักที่เราต้องรักษาไว้ให้ได้เพราะเป็นสิ่งที่ที่คนรู้สึกและสัมผัสได้ว่านั่นเป็นของเดิมหรือเปลี่ยนไปจากเดิม แต่การจะรักษารูปแบบไว้โดยคงคุณค่าที่แท้จริงของอาคาร จำเป็นต้องคงไว้ซึ่งวัสดุและฝีมือเชิงช่างเดิม เพราะนั่นคือภูมิปัญญาที่อาคารหลังนั้นเกิดขึ้นมา โดยผ่านการสั่งสมเรียนรู้ว่าเป็นสิ่งที่เหมาะสมต่ออาคารนั้นๆ
.......และสุดท้าย คือ การรักษาหน้าที่การใช้งานและจิตวิญญาณ กล่าวคือ เราจำเป็นต้องรักษาการใช้งานที่สามารถสื่อถึงตัวตนและประวัติศาสตร์ของอาคารนั้น ไม่ทำให้ผู้คนหลงลืมคุณค่าของอาคารนั้นไป และทำให้จิตวิญญาณยังคงอยู่กับอาคารนั้น....แม้คำว่าจิตวิญญาณจะเป็นนามธรรม แต่คำนี้ทรงความหมายที่สุดต่ออาคาร สถานที่ โบราณสถานต่างๆ
.........หลายสิบปีก่อน พระธาตุพนม พังทลายลงทั้งองค์ กรมศิลปากรได้บูรณะใหม่ขึ้นมาทั้งหมด หากผู้คนไม่เชื่อถือว่าพระธาตุพนมที่กรมศิลปากรบูรณะฟื้นคืนขึ้นมาเป็นของจริง เราคงได้พระธาตุพนมที่เป็นอนุสาวรีย์ แต่ไม่ใช่ปูชนียสถาน ดังนั้นการทำงานอย่างเป็นวิชาการที่กรมศิลปากรยึดถือ จึงเป็นสิ่งสำคัญ
กรมศิลปากร เริ่มต้นกระบวนการการฟื้นคืนอาคารโดยการคัดแยกและจัดประเภท ทำทะเบียนไม้ว่ามาจากองค์ประกอบไหนของอาคาร รวมถึงประเมินข้อมูลไม้ในรูปแบบอาคารที่จัดทำเป็นแบบสามมิติ โดยพบว่ามีไม้ ๘๐ เปอร์เซ็น ที่น่าจะนำกลับไปประกอบยังส่วนเดิมของอาคารได้ ส่วนไม้ที่เหลืออาจต้องประเมินความแข็งแรงและความสมบูรณ์ ซึ่งก็นับได้ว่า เราได้ "วัสดุ" ที่เป็นของเดิมของอาคารกลับคืนมาในกระบวนการบูรณะในอนาคต
แต่เท่านั้นยังไม่เพียงพอ กรมศิลปากร ได้ดำเนินการขุดตรวจฐานรากอาคารบ้านเขียวแห่งนี้ เพื่อตรวจสอบรูปแบบและความเปลี่ยนแปลงอาคารว่ามีทั้งสิ้นกี่ระยะ และระยะใดควรนำมาเป็นรูปแบบในการบูรณะฟื้นคืน
เนื่องด้วยอาคารที่เราเห็นก่อนการรื้อถอน เป็นอาคารที่มีการปรับปรุงใหม่ในยุคปัจจุบัน กรมศิลปากรจึงใช้กระบวนการนี้เพื่อแสวงหา รูปแบบหน้าตาของอาคารที่แท้จริงในอดีตกลับคืนมาให้ชาวเมืองแพร่ โดยจากการขุดตรวจทางโบราณคดีพบพัฒนาการอาคาร ๕ ระยะ โดยระยะที่ถือว่ามีความเป็นของแท้ดั้งเดิมโดยมีหลักฐานทางประวัติศาสตร์รองรับหนักแน่น คืออาคารในระยะที่ ๔ ที่ปรากฏในภาพถ่ายเก่าปี ๒๔๙๘ โดยอาคารในระยะนี้เป็นอาคารสองชั้น ตัวอาคารหลักมีผังรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีมุขยื่นออกมาด้านข้างทั้งสองด้าน (ซึ่งเป็นรูปแบบที่สืบมาแล้วตั้งแต่ปี ๒๔๘๗ เป็นอย่างน้อย จากการปรากฏในภาพถ่ายทางอากาศเก่า) โดยกรมศิลปากรได้นำเสนอข้อมูลทั้งหมดต่อภาคส่วนต่างๆของจังหวัดแพร่ ทั้งภาครัฐและภาคประชาสังคมในวันที่ ๒๔ ธันวาคม ที่ผ่านมา ซึ่งในขั้นต่อไปจะมีการนำข้อเสนอเกี่ยวกับรูปแบบอาคารที่มีความเหมาะสมจะฟื้นคืนมานี้ ต่อภาคประชาสังคมในวงกว้าง เพื่อให้เป็นฉันทามติของประชาชนชาวจังหวัดแพร่ในการจะเลือกรื้อฟื้นอาคารว่ารูปแบบใด
และในประเด็นสุดท้ายคือ กรมศิลปากร ได้นำเสนอข้อมูลศึกษาที่ว่า อาคารบ้านเขียวหลังนี้ คือ "อาคารที่ทำการป่าไม้ภาคแพร่ มิใช่อาคารที่ทำการบริษัทบอมเบย์ เบอร์มาร์"
จากการศึกษา พบหลักฐานที่สามารถระบุถึงตำแหน่งของอาคารทั้ง ๒ แห่ง ว่าหลังไหนควรเป็น ที่ทำการป่าไม้ภาคแพร่ และหลังไหนเป็นอาคารที่ทำการบริษัทบอมเบย์ เบอร์มาร์ โดยบันทึกการตรวจราชการของกรมการปกครองในปี ๒๔๖๕ ระบุถึงการมีอยู่ของที่ทำการกองป่าไม้และบริษัทบอมเบย์เบอร์มาร์ว่าอยู่นอกกำแพงเมืองริมแม่น้ำยม แต่ไม่ได้ระบุรายละเอียดในเชิงความสัมพันธ์ทางที่ตั้งว่าหลังใดตั้งอยู่ตำแหน่งไหน ทั้งนี้เอกสารที่ให้รายละเอียดที่กระจ่างชัด คือ บันทึกของ Reginald Le May ในปี ๒๔๖๙ ที่ระบุถึงการเดินทางไปเมืองแพร่โดยข้ามแม่น้ำยมมาที่ท่าเชตวัน เมื่อขึ้นฝั่งได้ระบุว่า ซ้ายมื้อเป็นที่ทำการของบริษัทบอมเบย์เบอร์มาร์ และขวามือเป็นที่ทำการป่าไม้ ข้อมูลดังกล่าวสอดคล้องกับภาพถ่ายทางอากาศในปี ๒๔๘๗ ที่ปรากฏให้เห็นกลุ่มอาคารด้านซ้ายมือ และขวามือของถนนเชตวัน ฟากละ ๑ กลุ่ม โดยจากการทับซ้อนภาพถ่ายทางปี ๒๔๘๗ กับภาพพื้นที่ปัจจุบันพบว่า กลุ่มอาคารด้านทิศเหนือของถนนเชตวัน (ถ้านับจากการเดินทางขึ้นมาจากตลิ่งของ Le May คือฟากซ้ายมือซึ่งก็คือที่ทำการบริษัทบอมเบย์เบอร์มาร์) ได้กลายเป็นพื้นที่แม่น้ำยมไปแล้วทั้งหมด จึงสรุปได้ว่า อาคารที่ทำการบริษัทบอมเบย์เบอร์มาร์ ได้พังทลายลงแม่น้ำยมไปแล้วทั้งหมด (โดยการพังทลายนั้นน่าจะอยู่ราวปี ๒๔๘๘ - ๒๕๐๐)
กรมศิลปากรรู้ว่าสิ่งนี้อาจเป็นสิ่งที่ฝืนความรู้สึกประชาชนจำนวนมาก ด้วยประชาชนเกือบทั่วประเทศรับรู้ เชื่อ และผูกพันไปแล้วว่าอาคารหลังนี้ ชื่อ บอมเบย์เบอร์มาร์ แต่สิ่งที่กรมศิลปากรยึดถือมาโดยตลอด คือ กรมศิลปากร ต้องเป็นหลักยึดแก่สังคมที่เสนอข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ที่ผ่านการค้นคว้าและไตร่ตรองทางวิชาการโดยมิได้มีความเอนเอียงใดๆ กรมศิลปากรจึงต้องขอบอกเล่าข้อเท็จจริงนี้ให้ประชาชนได้รับทราบ และอยากให้ประชาชนได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์ที่ถูกต้องโดยปราศจากอคติ
และท้ายที่สุดที่กรมศิลปากรอยากบอกเล่าแก่ทุกท่าน คือ แม้อาคารหลังนี้จะไม่ใช่อาคารบอมเบย์เบอร์มาร์ อย่างที่หลายคนคิด คุณค่าที่มีในตัวอาคารก็มิได้ลดน้อยลงแต่ประการใด เพราะคุณค่ามิได้ขึ้นอยู่กับชื่ออาคาร แต่คุณค่าขึ้นอยู่กับว่าอาคารนั้นเคยเป็นและเคยทำอะไร หากเรามองเห็นเพียงความเป็นอาคารของรัฐหลังหนึ่ง ที่ใช้ชื่อว่า "อาคารป่าไม้ภาค" นั่นคือเรากำลังตัดสินความสำคัญของอาคารเพียงชื่อ แต่ถ้าเรามองเห็นประวัติศาสตร์ความเป็นมาของอาคารหลังนี้ในฐานะ พัฒนาการกิจการอุตสาหกรรมป่าไม้ในประเทศไทย ชื่อ "อาคารป่าไม้ภาค" คือ ชื่อ ที่ชาวเมืองแพร่ และประชาชนทุกท่านควรภาคภูมิใจในฐานะที่อาคารแห่งนี้เป็นประวัติศาสตร์หน้าหนึ่งที่เป็นจุดเริ่มต้นของกิจการป่าไม้ของเมืองแพร่และประเทศ
สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สังคิณี-มหาปัฎฐาน)
เลขที่ ชบ.บ.5/1-6
เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)