ค้นหา
รายการที่พบทั้งหมด 48,777 รายการ
ชื่อเรื่อง ทิพฺพมนต์ (ทิพพมนต์)
สพ.บ. 305/1
ประเภทวัสดุมีเดีย คัมภีร์ใบลาน
หมวดหมู่ พุทธศาสนา
ลักษณะวัสดุ 10 หน้า กว้าง 5 ซม. ยาว 58.2 ซม.
หัวเรื่อง พุทธศาสนา
บทคัดย่อ/บันทึก
เป็นคัมภีร์ใบลาน อักษรธรรมอีสาน ภาษาบาลี-ไทยอีสาน เส้นจาร ฉบับลานดิบ ได้รับบริจาคมาจาก วัดบ้านหมี่ ต.บางปลาม้า อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี
วินยธรสิกฺขาปทวินิจฺฉย (วินยสิกฺขาปทวินิจฺเฉยฺย)
ชบ.บ.96/1-3
เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)
เลขทะเบียน : นพ.บ.308/1กห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 64 หน้า ; 4 x 54.5 ซ.ม. : ทองทึบ-ชาดทึบ ; ไม้ประกับธรรมดาชื่อชุด : มัดที่ 124 (287-301) ผูก 1ก (2565)หัวเรื่อง : มหานิปาตวณฺณนา (ทศชาติ) ชาตกฎฐกถา,ขุทฺทกนิกายฏฐกถา (ภูริทัสต์)--เอกสารโบราณ คัมภีร์ใบลาน พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม
ทำความรู้จักกับ ขบถผู้มีบุญ หรือ ขบถผีบุญ ผ่าน องค์ความรู้ เรื่อง "ขบถผู้มีบุญ ร.ศ. ๑๒๐ พลังอนุรักษ์นิยมในกระแสปฏิรูป"
เรียบเรียงนำเสนอโดย นายกิตติพงษ์ สนเล็ก นักโบราณคดีชำนาญพิเศษ ผู้อำนวยการกลุ่มโบราณคดี
องค์ความรู้ เรื่อง "...ขบถผู้มีบุญ ร.ศ. ๑๒๐ พลังอนุรักษ์นิยมในกระแสปฏิรูป..."
สวัสดีครับ กลับมาพบกับ #พี่นักโบ อีกครั้ง ซึ่งตั้งใจจะมาเผยเเพร่องค์ความรู้ด้านโบราณคดี เเละประวัติศาสตร์ ในภูมิภาคอีสานของเรา ให้กับทุก ๆ ท่าน ได้เรียนรู้กันอย่างน้อย สัปดาห์ละ 1 ครั้ง ... สำหรับวันนี้ พี่นักโบ ขอพาทุกท่าน มารู้จัก #ขบถผีบุญ หรือ #ขบถผู้มีบุญ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งหน้าประวัติศาสตร์สำคัญของภาคอีสาน อ่านมาถึงตรงนี้ หลายท่านคงเริ่มตั้งคำถามกันแล้วว่า ... ขบถผู้มีบุญ เป็นใคร ? เกิดขึ้นจากเหตุใด? รวมตัวกันเพื่อวัตถุประสงค์ใด ? มีกี่ก๊กกี่เหล่า ? และมีอะไรตามมาหลังเหตุการณ์นี้? ตามไปอ่านในบทความกันเลยครับ
การปฏิรูปการปกครองเป็นระบบเทศาภิบาลที่เกิดขึ้นใน #รัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมากมายขึ้นในประเทศไทย จากประเทศซึ่งใช้ ระบบกินเมือง รัฐบาลมีอำนาจอย่างเด็ดขาดในบริเวณราชธานีและหัวเมืองใกล้เคียง โดยหัวเมืองที่อยู่ห่างไกลออกไปถูกปกครองอย่างหลวมๆค่อนข้างเป็นอิสระ เจ้าเมืองแต่ละคนได้รับการแต่งตั้งให้ปกครองอยู่ในเขตเมืองของตนซึ่งสืบตระกูลกันมา และมีผลประโยชน์จากอภิสิทธิ์ของการเป็นชนชั้นปกครอง มีหน้าที่เก็บส่วยอากรและผลประโยชน์อื่นๆ ส่งให้รัฐบาลหลังจากหักส่วนของตนไว้แล้ว โดยไม่ถูกแทรกแซงจากรัฐบาล สภาพการณ์เช่นนี้เริ่มเปลี่ยนแปลงไปเมื่อรัฐบาลสยาม ขยายการปฏิรูปออกสู่หัวเมืองในภูมิภาค โดยเฉพาะหัวเมืองชายพระราชอาณาเขตที่มีการปกครองอย่างเบาบางมากจากส่วนกลาง
การปกครองหัวเมืองโดยระบบรวมศูนย์อำนาจ หรือที่เรียกว่าเทศาภิบาล รัฐบาลสยามได้เข้ามาเปลี่ยนแปลงสภาพการปกครองและสภาพความเป็นอยู่ ทำให้ราษฎรไม่เคยชินต่อการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับสภาพเศรษฐกิจอันมีมาแต่เดิม และแรงกระตุ้นจากสถานการณ์ในดินแดนปกครองของฝรั่งเศสที่ชนพื้นถิ่นมักจะต่อต้านการปกครองของฝรั่งเศส และคอยความหวังให้ผู้มีบุญมาแก้ไขให้กลับไปอยู่ในลักษณะเดิม เมื่อเกิดข่าวลือเกี่ยวกับผู้มีบุญขึ้นในมณฑลอีสาน จึงลุกลามอย่างรวดเร็ว จนรัฐบาลสยามไม่อาจควบคุมได้ ผลก็คือเกิดขบถผู้มีบุญหรือขบถผีบุญ ซึ่งเกิดขึ้นในเวลาใกล้เคียงกันตามท้องที่ต่างๆ ในภาคอีสาน สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงเล่าเรื่องขบถผีบุญนี้ ไว้ในหนังสือนิทานโบราณคดีว่า ในประมาณปีชวด ( พ.ศ.๒๔๓๓ ) เกิดลายแทงที่มีลักษณะเป็นคำพยากรณ์ขึ้นกล่าวว่า
“... ถึงกลางเดือน ๖ ปีฉลู (พ.ศ.๒๔๔๔) จะเกิดเภทภัยใหญ่หลวง เงินทองจะกลายเป็นกรวดทราย ก้อนกรวดในหินแลง จะกลายเป็นเงินทอง หมูจะกลายเป็นยักษ์ขึ้นกินคนแล้วมีท้าวธรรมมิกราชผีบุญจะมาเป็นใหญ่ในโลก ใครอยากพ้นภัยให้คัดลอกบอกตามลายแทงกันต่อๆไป ใครอยากมั่งมีก็ให้เก็บหินกรวดแลงไว้ให้ท้าวธรรมมิกราชชุบเป็นเงินเป็นทอง...”
ข่าวลือนี้สร้างความตื่นตระหนก และมีราษฎรเชื่อถือปฏิบัติตามกันอย่างแพร่หลาย จนมีผู้ฉวยโอกาสตั้งตัวเป็นท้าวธรรมมิกราชผีบุญหลายคน พวกผีบุญได้ชักชวนผู้คนเข้าเป็นพรรคพวกอยู่ประมาณปีกว่าๆ มีผู้เลื่อมใสศรัทธาเข้ามาเป็นจำนวนมาก โดยรัฐบาลไม่กล้าเข้าไปจับกุมเพราะไม่แน่ใจว่าเป็นความผิดหรือไม่ทำให้เกิดผีบุญกว่าร้อยคนเกิดกระจายกันอยู่ในบริเวณซึ่งเป็นจังหวัดหนองคาย อุดรธานี ขอนแก่น นครพนม มหาสารคาม ร้อยเอ็ด กาฬสินธุ์ สกลนคร อุบลราชธานี ศรีสะเกษ และสุรินทร์ ที่สำคัญมีอยู่ ๓ กลุ่ม คือ กลุ่มที่ ๑ อ้ายบุญจันที่เมืองขุขันธ์ (อำเภอขุขันธ์ จังหวัดศรีสะเกษ ในปัจจุบัน) กลุ่มที่ ๒ อ้ายเล็กที่เมืองสุวรรณภูมิ (อำเภอสุวรรณภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด ในปัจจุบัน) และ กลุ่มที่ ๓ อ้ายมั่นที่แขวงเขมราฐ (อำเภอเขมราฐ จังหวัดอุบลราชธานี ในปัจจุบัน)
เมื่อฝ่ายรัฐบาลเริ่มดำเนินการปราบปรามในชั้นแรกก็ไม่จริงจังเด็ดขาด โดยส่งกำลังเพียงเล็กน้อยเข้าไปจับหัวหน้าพวกผีบุญได้รับความเลื่อมใสศรัทธามีคนเข้าด้วยมากขึ้นจนถึงขั้นจะยึดเมืองอุบลราชธานีเป็นที่ตั้งตัวหลังจากยึดเมืองเขมราฐได้แล้ว รัฐบาลต้องทุ่มเทกำลังเข้าปราบปรามอย่างเต็มที่ โดยระดมกำลังทหารจากมณฑลนครราชสีมา อุดร อีสาน และบูรพาเข้าปราบพวกผีบุญที่กระจายอยู่ตามท้องที่ต่างๆ ในการรบครั้งสำคัญที่บ้านสะพือเขตเมืองอุบลราชธานี ต้องใช้ทหารจากกรุงเทพกว่า ๑๐๐ นายเศษ จากที่มีอยู่ในเมืองอุบลในขณะนั้นกว่า ๒๐๐ นาย เนื่องจากทหารพื้นเมืองไม่กล้าเข้ารบกับพวกผีบุญ แต่ก็ปราบปรามพวกผีบุญได้อย่างราบคาบในเวลาอันรวดเร็ว เพราะพวกผีบุญทำการต่อสู้ซึ่งหน้า ทำให้ทหารมีโอกาสใช้อาวุธทันสมัยอย่างเต็มที่
ถึงแม้ว่าเหตุการณ์ขบถผีบุญหรือขบถผู้มีบุญจะถูกปราบปรามได้อย่างรวดเร็วในระหว่างเดือน มีนาคม พ.ศ. ๒๔๔๔ – เดือนพฤษภาคม ๒๔๔๕ โดยใช้มาตรการทางทหารและการปกครองอย่างเฉียบขาดและรุนแรง ออกประกาศห้ามไม่ให้ราษฎร กรมการเมืองต่างๆ ให้ความช่วยเหลือหรือแอบซ่อนพวกผีบุญ และยังต้องจับส่งมายังข้าหลวงหรือกกองทหารที่ขึ้นไปตั้งกองอยู่ และคาดโทษประหารสำหรับผู้ฝ่าฝืน ตลอดจนห้ามการทรงเจ้าเข้าผีหรือการนับถือผีใดๆ แต่ความสำเร็จของรัฐบาลก็ไม่ได้แก้ไขสาเหตุของการเกิดขบถแต่อย่างใด กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ ข้าหลวงมณฑลอีสานเองมีรับสั่งว่า การเพาะพวกจลาจลนี้ เข้าใจว่ามันยังพวกฉลาดๆ ซึ่งไม่ออกน่า เที่ยวเพาะไปเงียบ ๆ อีกหลายพวก ซึ่งหมายความว่าการขบถก็อาจจะเกิดขึ้นได้อีกตราบใดที่สภาพแวดล้อมยังเอื้ออำนวย
ที่กล่าวว่า #สภาพแวดล้อมที่ยังเอื้ออำนวย นั้น เมื่อพิจารณาแล้วจะเห็นได้ว่ามีปัจจัยหลายๆ ด้านประกอบกันซึ่งต่างก็เกื้อหนุนซึ่งกันและกัน ได้แก่ ๑) สถานการณ์ทางด้านการเมือง ๒) สภาพเศรษฐกิจ และ ๓) สภาพสังคม มีรายละเอียด ดังนี้
ใน #ด้านการเมือง นั้น เมื่อไทยต้องเสียดินแดนทางฝั่งซ้ายให้กับฝรั่งเศสทำให้สถานภาพของความเป็นผู้นำของรัฐบาลสยามสั่นคลอน ซ้ำยังมีข่าวลือว่า ผู้มีบุญจะมาทางตะวันออก เจ้าเก่าหมดอำนาจ ศาสนาก็สิ้นแล้ว... บัดนี้ฝรั่งเข้าไป เต็มกรุงเทพฯแล้ว กรุงจะเสียแก่ฝรั่งแล้ว... ทำให้สถานการณ์เกิดความไม่แน่นอน บุคคลบางกลุ่มจึงก่อการจลาจล ประกอบกับในการปฏิรูปไม่ได้ดึงกรมการเมืองทั้งหมด เข้าสู่ระบบใหม่ทำให้ผู้ไม่พอใจตั้งตนเป็นผีบุญ โดยอาศัยสถานการณ์ตามลายแทง เช่น ผีบุญที่ขุขันธ์ โขงเจียม เป็นต้น
ใน #ด้านเศรษฐกิจ โดยปกติแล้วราษฎรในภาคอีสานมีสภาพความเป็นอยู่ที่ค่อนข้างแร้นแค้นอยู่แล้ว เมื่อต้องมาเสียเงินส่วยให้กับราชการจึงเป็นภาระที่ค่อนข้างหนัก บางครั้งยังถูกกรมการเมืองที่สูญเสียผลประโยชน์จากระบบเดิมฉ้อโกงอีก โดยเฉพาะตามหัวเมืองที่อยู่ไกลข้าหลวง เช่น การออกตั๋วพิมพ์รูปพรรณการซื้อขายโคกระบือ ซึ่งเป็นสินค้าสำคัญของภาคอีสาน จากความขัดสนที่ได้รับทำให้ราษฎรหันมายึดมั่นในลายแทงที่บอกว่าค่าครองชีพจะลดลง หินกรวดทรายจะกลายเป็นเงินทอง เหล่านี้เป็นความหวังของคนยากจนจริงๆ ที่ไม่มีหวังว่าสภาพของตนจะดีขึ้นได้
และ #สภาพสังคม ในภาคอีสานขณะนั้นราษฎรดำรงชีวิตอยู่ภายใต้สภาพสังคมและวัฒนธรรมท้องถิ่นที่เป็นของตัวเองอันเกิดจากความเชื่อทางศาสนาและไสยศาสตร์ปะปนกัน ขาดความกระตือรือร้นในการทำงาน ลักษณะโดยทั่วไปเป็นคนไว้ใจคนง่าย หูเบา เชื่อถือโชคลาง ซื่อสัตย์ และไม่เดียงสา ประกอบกับราษฎรโดยทั่วไปยังคงยึดมั่นในประเพณีเก่าขาดการศึกษาจึงชอบมีชีวิตอยู่ตามแบบดั่งเดิมของตนเมื่อเกิดความยากจนและถูกบีบคั้นทางจิตใจมากขึ้น ตลอดจนความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ในคำอวดอ้างของพวกผีบุญ ทำให้ราษฎรเกิดความหวังและหันไปยึดมั่นกับพวกผีบุญเป็นจำนวนมาก
ดังนั้นนับตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๔๕ เป็นต้นมา รัฐบาลได้ปรับปรุงแก้ไขปัญหาต่างๆ ที่เป็นอุปสรรคในการปฏิรูปหลายอย่าง เช่น การจัดตั้งกองตำรวจภูธรเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง และปราบปรามโจรผู้ร้ายได้ดียิ่งขึ้น ประกาศห้ามราษฎรนับถือผีสางและไสยศาสตร์ต่างๆ จัดตั้งศาลยุติธรรม ควบคุมการเก็บส่วยให้รัดกุมขึ้นปรับปรุงระบบคมนาคม โดยเฉพาะการจัดการศึกษา เนื่องจากสภาพไร้การศึกษาของประชาชนที่ผ่านมาเป็นอุปสรรคสำคัญในการปรับปรุงประเทศตามแบบแผนใหม่ โดยจัดการศึกษาผ่านทางคณะสงฆ์ด้วยความคิดที่ว่าหากราษฎรมีความรู้มากขึ้น คงมีความคิดตริตรองมากขึ้น ไม่หลงเชื่อการหลอกลวงในสิ่งที่ผิดอย่างง่ายๆ เช่นที่ผ่านมา ทั้งข้าราชการ บ้านเมืองที่ทำอยู่ก็จะเจริญขึ้น ตลอดจนพัฒนาสิ่งก่อสร้างถนนหนทางโดยจ้างงานคนพื้นถิ่นของรัฐบาลอันเป็นการพัฒนาเศรษฐกิจของภาคอีสาน และขจัดเงื่อนไขในการก่อการจลาจลที่จะมีมาในอนาคต
อาจกล่าวได้ว่าการเกิดขบถผีบุญหรือขบถผู้มีบุญของภาคอีสานใน ร.ศ.๑๒๐ ถึงแม้จะมีลักษณะเป็นขบถมวลชนที่ไม่พอใจต่อการเปลี่ยนแปลงที่รัฐบาลกลางนำมาใหม่เพราะดูเป็นการแทรกแซงความเป็นอิสระที่มีมาแต่เดิม แต่ก็เป็นปฏิกิริยาอนุรักษ์นิยมที่แสดงออกเพื่อการต่อต้านของกลุ่มที่ถูกลิดรอนอำนาจหรือสูญเสียผลประโยชน์อันเนื่องมาจากปฏิรูปการปกครองให้เหมาะสมกับกาลสมัย สภาพอันแร้นแค้นของราษฎร ตลอดจนตัวข้าราชการกรมการเมืองอันเป็นกลไกลของรัฐบาลก็มีส่วนผลักดันให้เกิดขึ้น ย่อมแสดงให้เห็นว่าการปฏิรูปการปกครองระบบมณฑลในอีสานในระหว่างปี พ.ศ. ๒๔๓๖ – ๒๔๔๕ ยังไม่ประสบผลสำเร็จอย่างแท้จริง นอกจากจะเป็นเพราะขาดกำลังพลอย่างเพียงพอในการเป็นกลไกของรัฐบาลในการปฏิรูปแล้ว สภาพด้อยการศึกษาทำให้ราษฎรไม่เข้าใจวัตถุประสงค์ที่แท้จริงของการปฏิรูป และความล้าหลังทางเศรษฐกิจยังเป็นอุปสรรคสำคัญในการดำเนินการให้ประสบความสำเร็จอีกด้วย รัฐบาลสยามจึงได้ดำเนินการเพื่อขจัดเงื่อนไขต่างๆ ที่ฝ่ายอนุรักษ์นิยมจะนำมาใช้จนไม่เปิดโอกาสให้ฟื้นฟูอิทธิพลได้อีก การปฏิรูปการปกครองมาสู่ระบบเทศาภิบาลจึงประสบความสำเร็จในบั้นปลายนั่นเองครับ
เรียบเรียงนำเสนอโดย นายกิตติพงษ์ สนเล็ก นักโบราณคดีชำนาญพิเศษ ผู้อำนวยการกลุ่มโบราณคดี
ชื่อเรื่อง มหานิปาตวณฺณนา (เวสฺสนฺตรชาตก) ชาตกฏฐกถา ขุทฺทกนิกายฏฐกถา (หิมพานต์-นครกัณฑ์)สพ.บ. สพ.บ.421/11ขหมวดหมู่ พระพุทธศาสนาภาษา บาลี-ไทยอีสานหัวเรื่อง พุทธศาสนา ชาดก เทศน์มหาชาติ ประเภทวัสดุ/มีเดีย คัมภีร์ใบลานลักษณะวัดุ 42 หน้า : กว้าง 4.5 ซม. ยาว 58 ซม.บทคัดย่อ/บันทึก เป็นคัมภีร์ใบลาน อักษรธรรมอีสาน เส้นจาร ฉบับชาดทึบ-ทองทึบ-ล่องชาด ได้รับบริจาคมาจากวัดลานคา ต.โคกคราม อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี
จารึกอักษรฝักขาม เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง
ในโอกาสเดือนมหามงคล สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง สิริพระชนมายุครบ ๙๐ พรรษา ทางเพจคลังกลางฯ ขอเสนอจารึกทรงใบเสมาในห้องคลังหิน ไม่มีประวัติระบุแน่ชัด โดยเนื้อหาเป็นการกล่าวเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าพระองค์นั้น ด้วยอักษรฝักขาม ความว่า
“สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณแก่ชาติแลประชาชนไทย ด้วยทรงไปบำเพ็ญพระราชกรณียกิจคราเสด็จฯ ตามติดเบื้องพระยุคลบาทสมเด็จพระมหากษัตราธิราชเจ้านวมินทร ได้ทรงยลยินทุกข์สุขปวงประชา จึงทรงพระเมตตาดับทุกข์ ช่วยปลดชีวิตให้สดใสตามนัยวิวิธประสงค์จำนงฉะนี้
ทรงช่วยให้ราษฎรมีอาชีพเสริมเพิ่มเติมรายได้ไม่ขาด ชาวนาชาวไร่สามารถทางหัตถกิจ สิ่งประดิษฐ์ในครัวเรือน
ทรงช่วยคนยากไร้ไข้เจ็บเหมือนพี่น้องปกป้องรักษาพยาบาลจนอาการโรคหายไม่วายอาทร
ทรงช่วยแนะนำพร่ำสอนให้บิดามารดาที่ลูกมาก ยากเข้ารับการศึกษามีวิชาความรู้ พระราชทานทุนแก่ผู้ใฝ่ดี
เพียงสามข้ออ้างนี้เหลือหลาย สมเด็จพระนางเจ้าฯ มุ่งหมายช่วยไทยตลอดกาลนาน ไซร้พิสูจน์ชาวไร่ชาวนาพูดทั่วหล้า อบอุ่นพระคุณปกฟ้า ราษฎรซร้อง สุขเกษม ฯ”
อนึ่ง อักษรฝักขามถือเป็นอักษรที่ใช้กันในพื้นที่ภาคเหนือของประเทศไทย โดยดัดแปลงไปจากอักษรสุโขทัย และถูกลดบทบาทลงภายหลังอักษรสยามขึ้นไปมีอิทธิพลในช่วงรัชกาลที่ ๕ ทำให้อักษรฝักขามไม่เป็นที่นิยมใช้
แต่อย่างไรก็ดี ในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๒๕ ยังมีการใช้อักษรฝักขามในงานจารึกอยู่บ้าง เช่น จารึกบนฆ้องที่วัดพระธาตุหริภุญไชย จังหวัดลำพูน (พ.ศ. ๒๔๐๓) และจารึกวัดเชตุพน จังหวัดเชียงใหม่ (พ.ศ. ๒๔๕๙) ดังนั้น จารึกหลักนี้จึงเป็นการนำรูปแบบอักษรฝักขามกลับมาใช้ในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๒๖
นอกจากนี้ ยังมีความน่าสนใจในส่วนของศักราชที่ระบุอยู่บริเวณส่วนบนของจารึกที่จารข้อความว่า “๑๙๐๑ ศก” ซึ่งหากตีความว่าตัวเลขดังกล่าวหมายถึงปีมหาศักราช เมื่อแปลงเป็นพุทธศักราชแล้วจะตรงกับปีพ.ศ. ๒๕๒๒ แตกต่างไปจากขนบจารึกอักษรฝักขามที่นิยมระบุศักราชด้วยปีจุลศักราช
ภาพที่ ๑ จารึกอักษรฝักขามในห้องคลังหิน คลังกลางพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ภาพที่ ๒ จารึกระบุปีศักราช ๑๙๐๑ ภาพที่ ๓ เนื้อหาในจารึก เน้นข้อความคำว่า “เหมือน” แสดงลักษณะการจาร “หม” ติดกันตามขนบอักษรฝักขาม
เผยแพร่โดย ศรัญ กลิ่นสุคนธ์ ภัณฑารักษ์ / ภาพ-เทคนิคภาพโดย อริย์ธัช นกงาม ภัณฑารักษ์ปฏิบัติการ กลุ่มทะเบียน คลังพิพิธภัณฑ์และสารสนเทศ สำนักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กรมศิลปากร
วันพฤหัสบดีที่ ๘ กันยายน ๒๕๖๕ เวลา ๑๐.๐๐ น. นายกิตติพันธ์ พานสุวรรณ อธิบดีกรมศิลปากร เป็นประธานในพิธีเปิดและแถลงข่าวโครงการอนุรักษ์เอกสารโบราณวัดเบญจมบพิตร กิจกรรมสำรวจ อนุรักษ์ ลงทะเบียน จัดเก็บเอกสารโบราณ และกิจกรรมกรมศิลป์ร่วมมือคณะสงฆ์ร่วมใจ อนุรักษ์ สืบสาน อ่านแปล ใบลาน ณ วัดเบญจมบพิตร เขตดุสิต กรุงเทพฯ
อธิบดีกรมศิลปากร กล่าวว่า เอกสารโบราณเป็นองค์ความรู้ที่บรรพชนได้บันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษร ประกอบด้วยเนื้อหาสาระที่หลากหลาย แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของพระพุทธศาสนา ประวัติศาสตร์ ตลอดจนสรรพวิทยาการด้านต่าง ๆ เช่น พงศาวดาร ตำราเวชศาสตร์ ตำราไสยศาสตร์ ตำราโหราศาสตร์ และวรรณคดี อีกทั้งเป็นเครื่องแสดงอัตลักษณ์ของชุมชนได้เป็นอย่างดี การดูแลรักษาเอกสารโบราณ นอกจากจะต้องใช้ความรู้ ความเข้าใจอย่างถูกต้อง เหมาะสมตามหลักวิชาการแล้ว สิ่งที่สำคัญอย่างยิ่ง คือ วัดและองค์กรท้องถิ่น ตลอดจนประชาชน จำเป็นต้องเห็นคุณค่าของเอกสารโบราณ และมีส่วนร่วมในการดูแลรักษา รวมเป็นเครือข่ายที่เข้มแข็งและยั่งยืนต่อไป
โครงการอนุรักษ์เอกสารโบราณวัดเบญจมบพิตร เป็นการดำเนินการต่อเนื่องมาจากการดำเนิน การโครงการอนุรักษ์เอกสารโบราณวัดไก่เตี้ย ซึ่งเป็นวัดต้นแบบในการอนุรักษ์ที่เกิดการบูรณาการความร่วมมือระหว่างองค์กร กรมศิลปากรกับคณะสงฆ์ และประชาชน สร้างการรับรู้อย่างเป็นรูปธรรม เกิดภาคีเครือข่ายจิตอาสาภาคประชาชน คณะสงฆ์ตระหนักรู้ และสอดรับนโยบายอนุรักษ์ สืบสาน มรดกภูมิปัญญาของบรรพชนจากรุ่นสู่รุ่น อีกทั้งมีผลโดยตรงต่อการสืบต่ออายุพระพุทธศาสนา เพราะเอกสารโบราณ ส่วนใหญ่เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับหลักธรรมคำสอนที่เรียกว่าพระไตรปิฎก ดังนั้นองค์กรคณะสงฆ์จึงถือเป็นภาคีเครือข่ายอันดับแรกในการอนุรักษ์มรดกศิลปวัฒนธรรมของชาติอันสำคัญนี้
การเปิดโครงการอนุรักษ์เอกสารโบราณวัดเบญจมบพิตร จึงเป็นก้าวต่อไปที่มั่นคงยิ่งขึ้นอันเกิดจากต้นแบบวัดไก่เตี้ยที่สามารถสร้างการรับรู้และเกิดภาคีเครือข่ายหลากหลายองค์กรดังที่กล่าวแล้ว และสิ่งที่คาดว่าจะทำให้เกิดขึ้นได้อย่างเป็นรูปธรรม ดังนี้
๑. การทำให้ประชาชนทั่วไปเข้าถึงเอกสารโบราณได้อย่างง่ายและใช้เอกสารโบราณอย่างถูกวิธี อันเกิดจากการจัดระบบตามหลักวิชาการ และอาจให้บริการในแหล่งเอกสารโบราณได้โดยตรง เนื่องจากวัดเบญจมบพิตรมีพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระวิหารสมเด็จ ส.ผ.(เสาวภา ผ่องศรี) และมีศักยภาพในการเป็นคลังปัญญาของผู้คน อันเป็นการสนองพระราชประสงค์ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งพระราชทานนามพระวิหารสมเด็จฯ ไว้แต่แรกว่า “หอพุทธสาสนสังคหะ”
๒. คาดว่า มีคัมภีร์ใบลานฉบับหลวงที่พระมหากษัตริย์ทรงสร้าง พร้อมทั้งพระบรมวงศานุวงศ์ ชนชั้นสูงในราชสำนักที่เจริญรอยตามเบื้องพระยุคลบาท ซึ่งนิยมการสร้างคัมภีร์ถวายไว้ในพระพุทธศาสนา ถือเป็นการสืบต่ออายุพระพุทธศาสนาและปรารถนาพระนิพพานในอนาคตกาล ตามคติความเชื่อของผู้คนในยุคสมัย
๓. เชื่อมโยงประวัติศาสตร์ชาติไทยจากเอกสารหลักฐานชั้นต้นได้อย่างตรงไปตรงมา และชัดเจนโดยลายลักษณ์อักษร โดยเฉพาะคัมภีร์ใบลานเป็นหลักฐานที่จารสืบต่อกันมา ถึงจะมีความคลาดเคลื่อนโดยกาลเวลา แต่เนื้อหามิได้เปลี่ยนแปลง เป็นที่คาดหวังว่าคัมภีร์ใบลานวัดเบญจมบพิตรจะเป็นคัมภีร์ที่ตกทอดมาอย่างสมบูรณ์ มีการชำรุดเสียหายเป็นส่วนน้อย เนื่องจากมีพระวิหารเป็นที่เก็บรักษาและได้รับการดูแลอยู่เนืองๆ
๔. จากการประเมินคาดว่ามีปริมาณคัมภีร์ใบลานอยู่ในพระวิหารสมเด็จ ส.ผ.(เสาวภา ผ่องศรี) ไม่ต่ำกว่า ๓๒๐ มัด มีตู้พระธรรมอยู่ ๒๙ ตู้ ส่วนที่ใส่คัมภีร์ใบลานไว้ในตู้พระธรรมมีประมาณ ๙ ตู้ ข้อมูลดังกล่าว อาจประเมินการดำเนินงานได้ว่า ปริมาณคัมภีร์ใบลานวัดเบญจมบพิตรมีมากกว่าคัมภีร์ฯ วัดไก่เตี้ย ถึง ๘ เท่า ถ้าเทียบการทำงานวัดไก่เตี้ยแล้วเสร็จ ใช้เวลา ๙ วัน ดังนั้นวัดเบญจมบพิตรจะใช้เวลาในการทำงาน คำนวณแบบคณิตศาสตร์ ต้องใช้เวลาถึง ๗๒ วัน จึงแล้วเสร็จ โดยมีกำลังพลในการทำงานเท่ากัน ทั้งนี้ยังไม่รวมอุปสรรคปัญหาหน้างาน และปัจจัยภายนอกอีกด้วย
๕. ท้ายที่สุดสร้างการรับรู้ให้ผู้คนอย่างกว้างขวางยิ่งขึ้น โดยเฉพาะเป็นแหล่งเรียนรู้ที่ประชาชนให้ความสนใจ และมาใช้ประโยชน์จากการศึกษาค้นคว้า ต่อยอด องค์ความรู้ในเอกสารโบราณ ได้อย่างไม่มีข้อจำกัด คือต้องการดูต้องได้ดู ต้องการใช้ต้องได้ใช้ เพื่อความสุขใจของทุกๆ คน
การดำเนินโครงการอนุรักษ์เอกสารโบราณวัดเบญจมบพิตร โดยกลุ่มหนังสือตัวเขียนและจารึก สำนักหอสมุดแห่งชาติ กรมศิลปากร ระหว่างวันที่ ๘ – ๑๕ กันยายน ๒๕๖๕ ประกอบด้วย การแนะนำ สาธิตการอนุรักษ์ใบลานเบื้องต้น การอนุรักษ์ทำความสะอาดใบลาน อ่านปกใบลาน ตามหาชื่อเรื่อง ศึกษาฉบับใบลานสืบสานพวกพ้อง เปลี่ยนสายสนอง และการห่อผ้าคัมภีร์ใบลาน ซึ่งการดำเนินโครงการนอกจากจะสามารถสร้างการรับรู้และเกิดภาคีเครือข่ายหลากหลายองค์กรแล้ว ยังเกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม เนื่องจากพระวิหารสมเด็จ ส.ผ. (เสาวภา ผ่องศรี) วัดเบญจมบพิตร เป็นคลังปัญญาที่เก็บคัมภีร์ใบลานและตู้พระธรรมจำนวนมาก โครงการดังกล่าวจะทำให้ประชาชนเข้าถึงเอกสารโบราณได้ง่ายและใช้เอกสารโบราณอย่างถูกวิธี อันเกิดจากการจัดระบบตามหลักวิชาการ สร้างการรับรู้อย่างกว้างขวางยิ่งขึ้น โดยเฉพาะเป็นแหล่งเรียนรู้ที่ประชาชนให้ความสนใจ และมาใช้ประโยชน์จากการศึกษาค้นคว้าต่อยอดองค์ความรู้ในเอกสารโบราณได้เป็นอย่างดี
กรมศิลปากร กำหนดถวายผ้าพระกฐินพระราชทาน ประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๕ ณ วัดชุมพลนิกายาราม ตำบลบ้านเลน อำเภอบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ในวันเสาร์ที่ ๕ พฤศจิกายน ๒๕๖๕ เวลา ๑๐.๐๐ น. และขอเชิญชวนผู้มีจิตศรัทธาร่วมบริจาคปัจจัยโดยเสด็จพระราชกุศลได้ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
ด้วยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานผ้าพระกฐินให้กรมศิลปากร ตามที่ขอพระราชทานไปทอดถวายที่ชุมนุมสงฆ์ ณ วัดชุมพลนิกายาราม ตำบลบ้านเลน อำเภอบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ในวันเสาร์ที่ ๕ พฤศจิกายน ๒๕๖๕ เวลา ๑๐.๐๐ น. โดยจะมีพิธีสมโภชองค์กฐิน ในวันศุกร์ที่ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๕ เวลา ๑๘.๐๐ น. และการแสดงโขน เรื่อง “รามเกียรติ์ ตอนศึก โรมคัลทศกัณฐ์พ่าย” ในเวลา ๑๙.๐๐ น. ณ โรงเรียนวัดชุมพลนิกายาราม
กรมศิลปากร ขอเชิญชวนผู้มีจิตศรัทธาร่วมบริจาคทรัพย์ หรือสิ่งของ โดยเสด็จพระราชกุศลในการ ถวายผ้าพระกฐินพระราชทานกรมศิลปากร ประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๕ ได้ที่ กลุ่มคลังและพัสดุ สำนักบริหารกลาง กรมศิลปากร (ชั้น ๓) เลขที่ ๘๑ /๑ ถนนศรีอยุธยา แขวงวชิรพยาบาล เขตดุสิต กรุงเทพฯ หรือโอนเงินเข้าบัญชีธนาคารออมสิน สาขาหน้าพระลาน เลขที่บัญชี ๐ ๕ ๐ ๕ ๗ ๐ ๓ ๔ ๕ ๕ ๙ ๐ ชื่อบัญชี การกุศลกรมศิลปากร ประเภทเงินฝากออมทรัพย์ ทั้งนี้ กรมศิลปากรจะได้รวบรวมนำเข้าสมทบถวายบำรุงพระอารามหลวงวัดชุมพลนิกายาราม ต่อไป สอบถามเพิ่มเติมโทร. ๐ ๒๑๖๔ ๒๕๐๑ ต่อ ๓๐๕๕ , ๓๐๖๓
วัดชุมพลนิกายาราม เดิมชื่อว่าวัดชุมพล สันนิษฐานว่าสร้างใน พ.ศ. ๒๑๗๕ สมัยสมเด็จพระเจ้าปราสาททองแห่งกรุงศรีอยุธยา ในบริเวณนิวาสสถานเดิมของพระบรมราชชนนี เพื่อเป็นพระอารามสำหรับพระราชวังบางปะอิน ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงผาติกรรมพระนารายณ์ราชนิเวศน์ พร้อมกับปฏิสังขรณ์วัดเสนาสนาราม วัดกวิศราราม และวัดชุมพล พร้อมทั้งพระราชทานนามพระอารามเสียใหม่ว่า “วัดชุมพลนิกายาราม” และอัญเชิญพระราชสัญลักษณ์ประจำพระองค์ประดิษฐาน ณ หน้าบันพระอุโบสถ หน้าบันวิหาร และเบื้องหลังพระประธานในพระอุโบสถ ในคราวที่พระบาทสมเด็จพระมงกฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงจัดระเบียบพระอารามหลวงเสียใหม่ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๘ วัดชุมพลนิกายารามถูกจัดเป็นพระอารามหลวงชั้นโท ชนิดราชวรวิหาร กรมศิลปากรได้ประกาศขึ้นทะเบียนวัดชุมพลนิกายารามเป็นโบราณสถานสำคัญของชาติ เมื่อวันที่ ๒๕ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๔๗๘ และได้กำหนดเขตที่ดินโบราณสถาน วัดชุมพลนิกายารามและสะพานข้ามคลองบ้านเลน จำนวน ๒๐ไร่ ๒ งาน ๙๑ ตารางวา เมื่อวันที่ ๒๘ มกราคม พ.ศ.๒๕๔๗
ชื่อเรื่อง สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม(สงฺคิณี-มหาปัฏฐาน)
สพ.บ. อย.บ.4/7ประเภทวัสดุมีเดีย คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่ พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ 42 หน้า กว้าง 5 ซม. ยาว 57 ซม.หัวเรื่อง พุทธศาสนา ชาดก
บทคัดย่อ/บันทึก เป็นคัมภีร์ใบลาน เส้นจาร ฉบับทองทึบ ได้รับบริจาคมาจาก จ.พระนครศรีอยุธยา
๒๓ ตุลาคม ๒๕๖๕ วันปิยมหาราชน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวหรือสมเด็จพระปิยมหาราช (รัชกาลที่ ๕).พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่ เสด็จประพาสหัวเมืองฝ่ายเหนือครั้งแรกอย่างเป็นทางการเมื่อรัตนโกสินทรศก ๑๒๐ พุทธศักราช ๒๔๔๔ เพื่อทรงตรวจราชการทอดพระเนตรสภาพบ้านเมือง และพระราชทานพระแสงศัสตราประจำเมือง เพื่อใช้ในการพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยาประจำปี เสด็จโดยเรือพระที่นั่งจากพระราชวังบางปะอินล่องตามลำน้ำเจ้าพระยาต่อด้วยลำน้ำน่าน แวะประทับและปฏิบัติพระราชกรณียกิจตามหัวเมืองรายทางสองฝั่งลำน้ำอันได้แก่ เมืองอยุธยา อ่างทอง สิงห์บุรี สรรพยา สรรคบุรี ชัยนาท มโนรมย์ อุทัยธานี พยุหคีรี นครสวรรค์ บางมูลนาค บ้านขะมัง พิจิตร พิษณุโลก พิชัย ตรอนตรีสินธุ์ อุตรดิตถ์ สุดทางเสด็จที่เมืองฝาง แล้วเสด็จกลับโดยเรือพระที่นั่งตามเส้นทางเดิมจนถึงพระราชวังบางปะอิน.ระหว่างประทับหัวเมืองต่าง ๆ ได้มีพระราชหัตถเลขาพระราชทานแก่ที่ประชุมผู้สำเร็จราชการรักษาพระนคร ความในพระราชหัตถเลขาบอกเล่าถึงพระราชกรณียกิจที่ทรงปฏิบัติและเส้นทางการเสด็จในสถานที่ต่าง ๆ วิถีชีวิตของราษฎร และพระบรมราชวินิจฉัยในเรื่องต่าง ๆ ความตอนหนึ่งในพระราชหัตถเลขา กล่าวว่า.(ฉบับที่ ๑๗) เมืองอุตรดิฐ วันที่ ๒๓ ตุลาคม รัตนโกสินทรศก ๑๒๐ “...คั่น ได้มาถึงพลับพลาเมืองอุตรดิฐเวลาบ่าย ๑ โมงเศษ เจ้านครน่าน๒ซึ่งลงมาโดยทางเรือ เจ้านครลำปาง๓ เจ้านครเมืองแพร่๔ซึ่งมาทางบก แลข้าราชการหัวเมืองคอยรับอยู่ที่ตพานน้ำ พลับพลานี้ตั้งอยู่ที่ใต้วัดเตาหม้อริมทางที่จะขึ้นพระแท่น ปลูกบนฝั่งซึ่งมีต้นไม้ร่มรื่นล้วนแต่ไม้ผล ต้นส้มโอใหญ่ซึ่งกำลังมีลูกติด ต้นลำไยแลมะม่วงเปนต้น พื้นดินทำเปนถนนสวนสนุก ที่พลับพลาก็ทำเปนที่สบายตกแต่งพร้อมด้วยเครื่องประดับต่าง ๆ มีรูปภาพซึ่งทำด้วยกล้วยไม้แลเห็ดตะไคร่น้ำหญ้า เปนรูปแผนที่แลรูปพระต่าง ๆ พอดูได้ช่างคิดดี เจ้านายเมืองข้างเหนือได้นำบุตรหลานมาหา บัวไหลภรรยาเจ้าเมืองแพร่ได้นำแพรปักดิ้นสำหรับคลุมพระราชยาน แลผ้าสำหรับคลุมพระแท่นศิลาอาศน์ ซึ่งเขาได้วัดไปเย็บไว้แต่เมื่อลงไปกรุงเทพ ฯ ครั้งก่อน เพื่อจะคอยให้เวลาที่จะขึ้นมานมัสการพระแท่นซึ่งได้กำหนดไว้แล้ว ๆ ได้ถ่ายรูปพร้อมพระบรมวงษานุวงษ์ ข้าราชการทั้งในกรุงแลหัวเมือง พวกจีนที่ท่าอิฐแห่เครื่องบูชาอันตกแต่งด้วยกิมฮวยแลธูปเทียนเปนอันมากมาให้ ครั้นเวลาบ่าย ๕ โมง ได้ลงเรือเล็กขึ้นไปตามลำน้ำ ซึ่งเรือลูกค้าจอดเรียงรายขึ้นไปเกือบ ๒๐๐ ลำ จนสุดหัวหาดข้างเหนือ แล้วขึ้นตพานอันใช้ไม้ขอนสักเปนทุ่นรับขึ้นไปจนถึงหาด ตั้งแต่ต้นตพานนั้น พวกจีนเรี่ยรายกันดาดปรำตลอดถนนตลาดยาว ๓๐ เส้น ใช้เสา ๓ แถวกว้างใหญ่เต็มถนน ในตลาดนั้นมีเรือนแถวฝากระดาน ๒ ชั้น แต่ใหญ่ ๆ กว่าที่กรุงเทพฯ ที่แล้วก็มาก ที่ยังทำอยู่ก็มี เปนร้านขายของอย่างครึกครื้น ที่เปนบ้านเรือนแลห้างก็มีบ้าง เขาว่าตลาดบกที่นี่ดีกว่าที่ปากน้ำโพซึ่งฉันยังไม่ได้เห็น แต่ตลาดเรือนั้น ที่นี่สู้ปากน้ำโพไม่ได้ การซึ่งตลาดติดได้ใหญ่โต เพราะพวกเมืองแพร่มาลงที่ท่าเสาเหนือท่าอิฐขึ้นไปคุ้งหนึ่ง พวกเมืองน่านลงมาทางลำน้ำ พวกข้างเหนือแลตวันออกลงข้างฟากตวันออก แต่มาประชุมกันค้าขายแลกเปลี่ยนอยู่ที่หาดนั้น แต่ก่อนมาสินค้าข้างล่างขึ้นมายังไม่สดวกดังเช่นทุกวันนี้ แต่บัดนี้พวกลูกค้ารับช่วงกันเปนตอนๆ พวกที่นี่ลงไปเพียงปากน้ำโพ พวกปากน้ำโพรับสินค้าจากกรุงเทพ ฯ เปนการสดวกดีขึ้น เมื่อเดินไปสุดตลาดแล้วลงเรือกลับมาพลับพลา เวลาค่ำแต่งประทีปสว่างทั่วไปตามฝั่งน้ำแลถนน ได้มีการเลี้ยงเจ้านายแลข้าราชการทั้งในกรุงแลหัวเมืองที่พลับพลา...”.ทั้งนี้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานสัญญาบัตรและเครื่องราชอิสริยาภรณ์แก่ข้าราชการและเจ้าผู้ครองนครต่างๆ ด้วย.วันที่ ๒๓ ตุลาคม รัตนโกสินทร์ศก ๑๒๐ (พ.ศ.๒๔๔๔) พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จประทับพลับพลาที่ประทับแรมเมืองอุตรดิตถ์ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์แก่ข้าราชการ คือช้างเผือกชั้นที่ ๒ จุลวราภรณ์ เจ้าสุริยพงษ์ผริตเดช เจ้านครเมืองน่าน (เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่เชิดชูยิ่งช้างเผือก ชั้นที่ ๒ ทวีติยาภรณ์ช้างเผือก ท.ช. (จุลวราภรณ์))วันที่ ๒๕ ตุลาคม รัตนโกสินทร์ศก ๑๒๐ ทุติยจุลจอมเกล้าวิเศษ เจ้าสุริยพงษ์ผริตเดช เจ้านครเมืองน่าน (เครื่องราชอิสริยาภรณ์จุลจอมเกล้า ชั้น ทุติยจุลจอมเกล้า ท.จ.).ภาพถ่ายพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวฉายพระรูปร่วมกับพระบรมวงศานุวงศ์ ข้าราชการและเจ้าเมืองประเทศราช เจ้าเมืองล้านนาที่มาเฝ้ารับเสด็จ ณ พลับพลาที่ประทับเมืองอุตรดิตถ์ หน้าพลับพลารับเสด็จหน้าวัดวังเตาหม้อ (วัดท่าถนน) พ.ศ. ๒๔๔๔ เมื่อคราวเสด็จมณฑลฝ่ายเหนือ โดยแถวหน้านับจากซ้าย-ขวา คนที่ ๕ คือ เจ้าพิริยเทพวงศ์ เจ้าผู้ครองนครแพร่คนที่ ๖ คือ เจ้าบุญวาทย์วงษ์มานิต เจ้าผู้ครองนครลำปางคนที่ ๗ คือ พระเจ้าสุริยพงษ์ผริตเดช เจ้าผู้ครองนครน่าน เมื่อครั้งเป็นเจ้าสุริยพงษ์ผริตเดชคนที่ ๘ คือ สมเด็จพระอนุชาธิราช เจ้าฟ้าอัษฎางค์เดชาวุธ กรมหลวงนครราชสีมาคนที่ ๙ คือ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ คนที่ ๑๐ คือ สมเด็จพระราชปิตุลา บรมพงศาภิมุข เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ กรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดชคนที่ ๑๑ คือ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ.เอกสารอ้างอิงพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว. พระราชหัตถเลขาคราวเสด็จมณฑลฝ่ายเหนือ ในรัชกาลที่ ๕. กรมศิลปากร : พระนคร. ๒๕๐๘. เข้าถึงได้โดย https://www.finearts.go.th/nakhonsithammaratlibrary/view/20146-พระราชหัตถเลขาคราวเสด็จมณฑลฝ่ายเหนือ-ในรัชกาลที่-5?fbclid=IwAR0M7HhbFRgghWJIx4ICjK3PNl75d2abptShtkH6dW2kEC3SIV55mS-bVgkราชกิจจานุเบกษา. เล่ม ๑๑ หน้า ๖๑๙ วันที่ ๑๐ พฤศจิกายน ๑๒๐ เข้าถึงได้โดย http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2444/032/618.PDFสำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ. ตามรอยเสด็จประพาสเมืองอุตรดิตถ์ จากพระราชหัตถเลขาคราวเสด็จประพาสหัวเมืองฝ่ายเหนือครั้งแรกในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว. เข้าถึงได้โดย https://www.facebook.com/NationalArchivesofThailand/posts/pfbid02Qn8z5boRWiqbDXTRFJVYWBJXrH6eeqFptYs5aGyL1gxk8UbGzzUPJ5MgDsPV5EhLlhttps://commons.wikimedia.org/.../File:King_chula_Utt...
ชื่อเรื่อง สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สงฺคิณี-มหาปฏฺฐาน) อย.บ. 49/2ประเภทวัดุ/มีเดีย คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่ พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ 98 หน้า : กว้าง 4.5 ซม. ยาว 57 ซม.หัวเรื่อง พุทธศาสนาบทคัดย่อ/บันทึก เป็นคัมภีร์ใบลาน เส้นจาร ฉบับทองทึบ ไม้ประกับธรรมดา ได้รับบริจาคมาจาก จ.พระนครศรีอยุธยา