ค้นหา
รายการที่พบทั้งหมด 48,794 รายการ
หนังสือพระราชพิธีฉลองศิริราชสมบัติครบ 60 ปี เป็นหนังสือที่จัดพิมพ์ขึ้นในศุภวาระที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติครบ 60 ปี เมื่อวันศุกร์ที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2549 เป็นหนังสือที่รวบรวมภาพงานพระราชพิธีในคราวนั้น โดยพิมพ์สี่สีสวยงาม 1 ชุดประกอบไปด้วยหนังสือ 2 เล่ม บรรจุในกล่องสวยงาม จำหน่ายชุดละ 600 บาท
สนใจติดต่อสอบถามรายละเอียดได้ที่ หอจดหมายเหตุแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลย เดช ตำบลคลองห้า อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทูมธานี โทร 02-9027940
***บรรณานุกรม***
หนังสือหายาก
คณะกรรมการจัดงานการกุศล. งานนมัสการพระพุทธบาทจังหวัดสระบุรี พุทธศักราช ๒๕๐๙ พิมพ์เป็นอนุสรณ์ ปีที่ ๑๓ พ.ศ. ๒๕๐๙. สระบุรี : ร.พ.ปากเพรียวการช่าง, ๒๕๐๙.
นิตยสารรายสองเดือน กรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม
รายงานการเดินทางไปราชการ ณ ประเทศกัมพูชา
๑. ชื่อโครงการ
โครงการศึกษาความเชื่อมโยงทางวัฒนธรรมในภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
๒. วัตถุประสงค์ของคณะเดินทาง
๒.๑ สำรวจและศึกษาเปรียบเทียบโบราณสถานในประเทศกัมพูชาที่มีอิทธิพลต่อการก่อสร้างศาสนสถานในประเทศไทย
๒.๒ เพื่อสำรวจร่องรอยการกระจายตัวของศาสนสถานเขมรในพื้นที่รอยต่อระหว่างประเทศกัมพูชาและประเทศเวียดนาม
๓. กำหนดเวลา
ระหว่างวันที่ ๑๙-๒๓ มีนาคม ๒๕๕๗
๔. สถานที่
จังหวัดพระวิหาร จังหวัดสตึงเตรง และจังหวัดรัตนคีรี
๕. หน่วยงานผู้จัด
๑. องค์การอัปสรา
๒. โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า
๓. กรมศิลปากร
๖. หน่วยงานสนับสนุน
สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย
๗. กิจกรรม
เป็นการสำรวจทางโบราณคดีซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการวิจัยเรื่องโครงการศึกษาความเชื่อมโยงทางวัฒน ธรรมในภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยทำการสำรวจค้นหาและศึกษาร่องรอยโบราณสถานในเขตประเทศเวียดนาม กัมพูชา สปป.ลาว ไทย และสหภาพเมียนมาร์ ในการสำรวจรอบนี้มุ่งทำการสำรวจในพื้นที่ด้านตะวันออกเฉียงเหนือของกัมพูชาเนื่องจากเป็นเขตที่มีการสำรวจศึกษาน้อยเนื่องจากเป็นพื้นที่รกร้าง ยากแก่การเข้าถึง แต่มีความสำคัญในสถานะที่ปรากฏหลักฐานในสมัยก่อนเมืองพระนครอย่างหนาแน่น มีกิจกรรมการดำเนินงาน ดังนี้
๗.๑ การวางแผนการสำรวจ การจัดหาภาพถ่ายดาวเทียม แผนที่ และการจัดเตรียมแผนผังการสำรวจและการนำทาง การจัดเตรียมยานพาหนะ ได้แก่ จักรยานยนต์ รถฟาร์มเกษตร การจัดเตรียมเสบียง น้ำดื่มเพื่อเดินสำรวจระยะทางไกล
๗.๒ การสำรวจและวิเคราะห์หลักฐาน
๗.๒.๑ บันทึกข้อมูลทั่วไปของสถานที่ที่พบ ได้แก่ เส้นทางการเดิน (Tracks) พิกัดภูมิศาสตร์ (WGS84) ระยะเวลา ความเร็ว ความสูงของพื้นที่ ความลาดเอียงของภูมิประเทศ รวมทั้งอุณหภูมิ
๗.๒.๒ บันทึกข้อมูลด้านกายภาพ ได้แก่ ชื่อ ที่ตั้ง เขตการปกครอง รูปแบบสิ่งก่อสร้าง วัสดุการก่อสร้าง สภาพความเสียหาย รูปแบบศิลปะ อายุสมัยการก่อสร้าง ความสัมพันธ์ด้านตำแหน่งที่ตั้งกับโบราณสถานใกล้เคียง ร่องรอยอิทธิพลของรูปแบบศิลปะต่างถิ่น
๗.๓ การสรุปข้อมูลศึกษาและจัดทำแผนที่ ทำการพล็อตตำแหน่งโบราณสถานที่สำรวจพบลงบนแผนที่ ภาพถ่ายดาวเทียม และศึกษาความสัมพันธ์ด้านตำแหน่งกับโบราณสถานข้างเคียง
๘. คณะผู้แทนไทย
นายพงศ์ธันว์ สำเภาเงิน หัวหน้าอุทยานประวัติศาสตร์ศรีเทพ เพชรบูรณ์
๙. สรุปสาระของกิจกรรม การสำรวจในครั้งนี้มีความมุ่งหมายศึกษาร่องรอยศิลปะแบบถาราบริวัติที่ปรากฏหนาแน่นในเขตจังหวัดสตึงเตรง แต่ได้ทำการสำรวจในพื้นที่จังหวัดพระวิหาร จังหวัดรัตนคีรีซึ่งเป็นเขตที่ยังมีการสำรวจไม่มากพอ และส่วนมากได้พบโบราณสถานขนาดเล็กในสภาพพังทลายเหลือแต่ชั้นฐานคล้ายกับในประเทศไทย ได้แก่ โบราณสถานหมายเลข ๑ ในเขตจังหวัดพระวิหาร ซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับถนนโบราณจากเมืองพระนครไปวัดภู แขวงจำปาศักดิ์ สปป.ลาว โดยได้พบสะพานก่อด้วยศิลาแลงในบริเวณนี้ด้วย
ถาลาบริวัติ
เป็นชื่อเมืองบนฝั่งขวาของแม่น้ำโขงตรงข้ามกับที่ตั้งตัวจังหวัดสตึงเตรง ซึ่งตั้งอยู่ริมแม่น้ำเซซานที่มาบรรจบกับแม่น้ำโขง บริเวณที่ตั้งเมืองถาลาบริวัติแม่น้ำนี้มีความกว้างประมาณ ๑.๔ กิโลเมตร การข้ามฝั่งไปยังตัวจังหวัดต้องอาศัยแพขนานยนต์ ตลอดแนวริมฝั่งแม่น้ำพบโบราณสถานกระจายทั่วทั้งบริเวณ ปัจจุบัน Piphal Heng นักศึกษาระดับดุษฎีบัณฑิต มหาวิทยาลัยฮาไวอิ แห่งมานัว กำลังทำการศึกษาวิจัยในพื้นที่นี้ภายใต้การควบคุมของ ศาสตราจารย์ มิเรียม สตาร์ก โดยได้ทำการบันทึกตำแหน่งโบราณสถานที่กระจายทั้งพื้นที่ซึ่งแสดงถึงความสำคัญของพื้นที่ที่มีสิ่งก่อสร้างอย่างหนาแน่น และทำการขุดค้นทางโบราณคดีเพื่อศึกษาลำดับสมัยทางวัฒนธรรมโดยอาศัยรูปแบบภาชนะดินเผาเป็นเกณฑ์ในการจำแนก โดยในขณะนี้ได้พบภาชนะแบบกุณฑีมีพวยเป็นรูปแบบเด่นมีการตกแต่งประณีตที่ระบุถึงการอยู่อาศัยในสมัยก่อนเมืองพระนคร ในขณะที่กลุ่มเครื่องถ้วยจีนแบบชิงไป๋และเครื่องถ้วยกุเลน ในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๕-๑๗ เป็นหลักฐานการอยู่อาศัยในสมัยเมืองพระนคร ดังนั้นวัตถุทางวัฒนธรรมที่พบ ณ เมืองถาลาบริวัติซึ่งถูกจัดเป็นศิลปะแบบก่อนเมืองพระนครนั้นยังได้พบการอยู่อาศัยต่อเนื่องมายาวนาน การขุดค้นในบริเวณซากโบราณสถานยังพบร่องรอยการก่อสร้างซ้อนทับเป็นทางเดิน พื้นอิฐ นอกจากนั้นยังพบร่องรอยแนวอิฐ ชั้นพื้นอิฐอยู่ทั่วไปเป็นบริเวณกว้าง
ศิลปะแบบถาราบริวัติ
ในพื้นที่ที่ปรากฏร่องรอยสิ่งก่อสร้างอย่างหนาแน่นแสดงรูปแบบศิลปะแบบเอกลักษณ์และถูกจัดให้เป็นอีกสมัยหนึ่งในช่วงก่อนเมืองพระนครในช่วงประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๒ มีรูปแบบที่สำคัญปรากฏบนทับหลังซึ่งค้นพบในประเทศไทยด้วยจำนวน ๔ แผ่น มีลักษณะที่สำคัญประกอบด้วยวงโค้ง ๒ วงอยู่ตรงกลางทับหลัง มีมกร ๒ ตัวหันหน้าเข้าหากันอยู่ที่ปลายวงโค้งทั้งสองด้าน มกรมีรูปร่างเตี้ย อ้วน ศีรษะใหญ่ มีหางม้วนเป็นลายใบไม้ เท้าสั้นพับอยู่ด้านหน้า บางตัวเหลือแต่ศีรษะและเท้า งวงใหญ่ม้วนขึ้นด้านบนปลายม้วนเข้าด้านใน ริมฝีปากบนมีเขี้ยวคล้ายงาช้าง ฟันอาจแสดงเป็นรอยหยัก มีเขาประกอบอยู่กับนัยน์ตา มกรนี้บางครั้งมีคนขี่และไม่มีฐานรองรับ วงโค้งมักประดับด้วยแนวลายประคำเป็นขอบมีลายดอกไม้กลมขนาดใหญ่หรือลายดอกไม้เล็กๆท่ามกลางลายสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูนและลายก้านขดเล็กๆ หน้าปากมกรมีลายเส้นโค้งหรือเส้นตรงอาจประดับด้วยลูกประคำ เหนือวงโค้งมีลายใบไม้ม้วนพร้อมกับลายพวงมาลัยคู่หรือเดี่ยว ระหว่างลายพวงมาลัยมีพวงอุบะคั่นอยู่ลายวงรูปไข่มักมีขอบสองชั้นเป็นลายแนวลูกประคำหรือลายเส้นนูนและมีลายใบไม้ม้วนอยู่รอบนอก มีรูปบุคคลยืนอยู่ภายในวงรูปไข่บางครั้งเป็นครุฑถืองู
รูปแบบศิลปะถาลาบริวัติค้นพบในประเทศไทยเป็นทับหลังจำนวน ๒ ชิ้นที่วัดทองทั่ว จังหวัดจันทบุรี วัดบนเขาพลอยแหวน จังหวัดจันทบุรี และที่วัดสุปัฏนาราม จังหวัดอุบลราชธานี
รูปแบบศิลปะที่เก่าแก่กว่าศิลปะแบบสมโบร์ไพรกุกสมัยของพระเจ้าอีสาณวรมัน ในบริเวณจังหวัดกำปงธม ทางตะวันออกฉียงใต้ของเมืองพระนคร ทำให้นักวิชาการสันนิษฐานว่าในบริเวณเมืองถาราบริวัติเป็นที่ตั้งของเมืองภวปุระซึ่งเป็นที่พำนักของพระเจ้าภววรมันกษัตริย์แห่งเจนละผู้ซึ่งเข้าทำลายอาณาจักรฟูนันจนต้องย้ายราชธานีจากวยาธปุระ (บาพนม) ไปยังอังกอร์บอเรยหรือนครบุรี จารึกในสมัยพระองค์พบเพียงไม่กี่หลักได้แก่จารึกพนมบันทายนางกล่าวถึงการประดิษฐานศิวลึงค์ และจารึกวังไผ่ใกล้เมืองศรีเทพซึ่งมีการอ้างถึงพระนามของพระเจ้าภววรมัน ต่อมาพระเจ้าจิตรเสนได้ขึ้นครองราชย์ในราวพ.ศ.๑๑๕๐ และมีการสร้างจารึกปักอยู่ทั่วไปจนถึงลุ่มแม่น้ำมูล หลังจากรัชกาลพระเจ้าจิตรเสน โอรสของพระองค์คือพระเจ้าอีสาณวรมันได้ขึ้นครองราชย์ต่อแต่ได้ย้ายไปประทับที่อีสาณปุระ หรือสมโบร์ไพรกุกในเขตจังหวัดกำปงธมในปัจจุบัน
จังหวัดรัตนคีรี
เป็นจังหวัดที่อยู่ห่างไกลอยู่ติดพรมแดนระหว่างประเทศกัมพูชาและประเทศเวียดนามและเป็นเขตที่พบโบราณสถานเพียงไม่กี่แห่งและเข้าถึงได้ยากในอดีตมีสภาพเป็นป่ารกทึบเต็มไปด้วยสัตว์ป่าแต่ปัจจุบันป่าถูกทำลายไปมากและเป็นที่ตั้งถิ่นฐานของกลุ่มเจียลายซึ่งเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่มีบทบาทสำคัญในประวัติศาสตร์การรบระหว่างชาวเขมรและจาม การสำรวจได้เดินทางไปยังปราสาทยะนางซึ่งตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำ Drang ซึ่งไหลมาจากเวียดนามเข้ามาฝั่งกัมพูชา ปราสาทยะนางมีขนาด ๖.๒x๘ เมตร เป็นศาสนสถานก่อด้วยอิฐหลังเดี่ยว เป็นอาคารผังรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีมุขยื่นออกด้านหน้า ผนังอาคารเซาะเป็นร่องตามแบบศาสนสถานจาม และมีการเตรียมผนังไว้สำหรับประดิษฐานรูปเคารพ หรือส่วนประติมากรรมประดับผนังอาคาร ภายในห้องครรภคฤหะไม่ปรากฏรูปเคารพ สภาพทั่วไปอยู่ในสภาพทรุดโทรม ชั้นหลังคาพังทลายโครงสร้างผนังแยก ทรุด บางส่วนถูกเจาะทำลาย การปรากฏศาสนสถานแบบจามด้านตะวันตกสุดของอาณาจักรจามปาและอยู่บริเวณริมฝั่งแม่น้ำมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการควบคุมการขนส่งสินค้า ของป่า จากกลุ่มชนเจียลายซึ่งมีถิ่นฐานอยู่บริเวณนี้เพื่อป้อนสู่ศูนย์กลางที่เมืองวิชัย
๑๐. ข้อเสนอแนะ
ไม่มี
นายพงศ์ธันว์ สำเภาเงิน ผู้สรุปผลการเดินทางไปราชการ
หมวดหมู่ พุทธศาสนาภาษา บาลี/ไทยหัวเรื่อง วรรณกรรมพุทธศาสนาประเภทวัสดุ/มีเดีย คัมภีร์ใบลานลักษณะวัสดุ 46 หน้า : กว้าง 4.5 ซม. ยาว 57 ซม. บทคัดย่อ
เป็นคัมภีร์ใบลาน อักษรขอม เส้นจาร ฉบับชาดทึบ ได้รับบริจาคมาจากพระอธิการเด่น ปญฺญาทีโป วัดคิรีรัตนาราม ต.ดอนคา อ.อู่ทอง จ.สุพรรณบุรี ดำเนินการอนุรักษ์เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2534
หมวดหมู่ พุทธศาสนาภาษา บาลี/ไทยอีสานหัวเรื่อง ธรรมเทศนา อานิสงส์ประเภทวัสดุ/มีเดีย คัมภีร์ใบลานลักษณะวัสดุ 12 หน้า : กว้าง 4.5 ซม. ยาว 55 ซม. บทคัดย่อ
เป็นคัมภีร์ใบลาน อักษรขอม เส้นจาร ฉบับชาดทึบ ได้รับบริจาคมาจากพระอธิการเด่น ปญฺญาทีโป วัดคิรีรัตนาราม ต.ดอนคา อ.อู่ทอง จ.สุพรรณบุรี ดำเนินการอนุรักษ์เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2534
เลขทะเบียน : นพ.บ.11/5ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 52 หน้า ; 4 x 56 ซ.ม. : ล่องชาด ; ไม้ประกับธรรมดา ชื่อชุด : มัดที่ 7 (74-82) ผูก 4หัวเรื่อง : จูฬวคฺคปาลิ--เอกสารโบราณ คัมภีร์ใบลาน พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม
เลขทะเบียน : นพ.บ.40/1ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 56 หน้า ; 5 x 54.6 ซ.ม. : รักทึบ ; ไม้ประกับธรรมดา ชื่อชุด : มัดที่ 22 (224-233) ผูก 9หัวเรื่อง : พุทธวจนสิกฺขา --เอกสารโบราณ คัมภีร์ใบลาน พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม
ชื่อผู้แต่ง คุณสุวรรณ และพระมหามนตรี (ทรัพย์ ฯ)
ชื่อเรื่อง บทละคอนเรื่องพระมะเหลเถไถและบทละคอนเรื่องระเด่นลันได
ครั้งที่พิมพ์ –
สถานที่พิมพ์ พระนคร
สำนักพิมพ์ บริษัทสหสยามพัฒนา จำกัด
ปีที่พิมพ์ 2511
จำนวนหน้า 74 หน้า
หมายเหตุ พิมพ์เป็นอนุสรณ์ในงานฌาปนกิจศพ นายอยู่ แก้วโสวัฒนะ
สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงพระนิพนธ์ เพื่ออธิบายความเป็นมาของบทละคอนของคุณสุวรรณในยุคสมัย ร.4 คุณสุวรรณ โด่งดังมากด้วยสาเหตุ เสียสติ มุ่งมั่นแต่งบทละคอน 2 เรื่อง คือพระมะเหลเถไถกับอุณรุทร้อยเรื่องทั้งสองเรื่องเป็นบทละคอนประเภทขบขันบทกลอนบางท่อน ก็ให้ใจความบางเรื่องก็ไม่ได้ใจความ แต่นี้ผู้จำบทได้แม่นยำ ส่วนเรื่อง ระเด่นลันได เป็นบทละครประเภทขบขันเช่นกัน
ชื่อผู้แต่ง : มงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว,พระบาทสมเด็จพระชื่อเรื่อง : หนังสือหลักราชการครั้งที่พิมพ์ : -สถานที่พิมพ์ : หาดใหญ่สำนักพิมพ์ : โรงพิมพ์ไทยนำปีที่พิมพ์ : ๒๔๕๗จำนวนหน้า : ๗๒ หน้าหมายเหตุ : พิมพ์เป็นหนังสือแจกในงานพระราชพิธีเพลิงศพ นางกอบกุล รัตนปราการ วันที่ ๒๓ กันยายน ๒๕๑๕ บทพระราชนิพนธ์เรื่องหนังสือหลักราชการ คือคำสั่งโดยแท้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระองค์นั้นทรงถือพระองค์ว่าเป็นครู ทรงทำการสั่งสอนมิเพียงแต่ข้าราชการ เสือป่า ลูกเสือ และข้าราชสำนักเท่านั้น แต่ทรงสั่งสอนประชาชนพลเมืองทั่วไปทั้งชายหญิง ครูและนักเรียน ตลอดจนผู้ครองเรือนด้วย
ชื่อผู้แต่ง ศิลปากร,กรม
ชื่อเรื่อง หนังสือ บทละครพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
ครั้งที่พิมพ์ 2
สถานที่พิมพ์ ป้อมปราบ กรุงเทพมหานคร
สำนักพิมพ์ โรงพิมพ์กรมการศาสนา
ปีที่พิมพ์ พ.ศ. 2531 จำนวนหน้า 84 หน้า
หมายเหตุ -
พระราชนิพนธ์เรื่องนี้ เป็นวรรณคดีที่สำคัญเรื่องหนึ่งของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว มีประวัติความเป็นมาน่าสนใจ ด้วยทรงใช้เวลาในการพระราชนิพนธ์เพียงสิบเอ็ดวัน ทรงวางผังฉากละควรด้วยลายพระราชหัตถ์และเป็นบทละครพูดร้อยแก้วเรื่องสุดท้ายของท่าน ทรงใช้พระนามแฝงว่า “ศรีอยุธยา”
รวบรวมภาพ พระราชกรณียกิจ ของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนารถบพิตร ในขณะครองราชย์ ดำรงพระอิสริยยศเป็น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดชฯ บรมนารถบพิตร รัชกาลที่ 9 ประจำปี พ.ศ. 2545 - 2546 ผู้แต่ง สำนักงานเสิมสร้างเอกลักษณ์ของชาติ สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ทำเนียบรัฐบาล โรงพิมพ์ เซเว่น พริ้นติ้ง กรุ๊ป ปีที่พิมพ์ 2546 ภาษา ไทย - อังกฤษ รูปแบบ pdf เลขทะเบียน หช.จบ. 149 จบ (ร) (195)
วัดโคกหม้อ (ร้าง) ตั้งอยู่กลางหมู่บ้านโคกหม้อ ตําบลช่องสะแก อําเภอเมืองเพชรบุรี จังหวัดเพชรบุรีเป็นวัดร้างมานานแล้ว ปัจจุบันเนื้อที่วัดโคกหม้อเหลือเพียง ๓ ไร่ ๒ งาน ๘๘ ตารางวา สามด้านติดที่เอกชน ส่วนด้านทิศตะวันตกจดแนวกําแพงเมืองวัดโคกหม้อในอดีตเป็นวัดหนึ่งที่อยู่ชิดติดกําแพงเมืองเพชรทางด้านทิศตะวันออก บริเวณทิศเหนือของวัดมีคลองใกล้ ๆ ชื่อคลองโคกหม้อ บริเวณภายในเขตวัด มีการปลูกอาคารอย่างถาวรแข็งแรง ปล่อยโล่งตลอด ไม่มีผนัง หลังคาด้านข้างและด้านหน้าต่อพาไลยื่นออกมา ทำให้มีพื้นที่เพิ่มขึ้น พร้อมกับสร้างอาคารอีกหลังหนึ่งปลูกอยู่ วัดนี้บริเวณที่เป็นพุทธาวาสเดิมมีรั้วกั้นเป็นขอบเขตไว้ส่วนหนึ่ง บริเวณอื่น ๆ นอกนั้นชาวบ้านใช้ประโยชน์ ดังนั้นแม้จะเป็นวัดร้างก็ยังมีเหลือร่องรอยไว้บ้าง พอให้เห็นว่ามีวัดโคกหม้อแต่เดิมตั้งอยู่ตรงนี้ ทำให้สันนิษฐานได้ว่าการวางอาคารมีการวางแบบตะวันออก-ตะวันตกซึ่งเป็นการวางที่นิยมกัน แต่อาคารที่ประดิษฐานพระพุทธรูปอาจจะเป็นวิหารหรืออุโบสถก็ได้ เพราะไม่มีหลักฐานแน่ชัดที่บ่งบอก ว่าเป็นอาคารประเภทไหน เช่น มีใบเสมาที่บอกว่าอาคารนี้เป็นอุโบสถ พระประธานของวัดโคกหม้อ เป็นพระปูนปั้นขนาดกลาง ปางมารวิชัย หน้าตัก ๔ ศอกคืบ มีการซ่อมบูรณะมาหลายคราวจนเค้าเดิมเปลี่ยนไป กะเทาะปูนเดิมที่ชํารุดและฉาบผิวองค์พระใหม่ จนไม่สามารถระบุสมัยที่สร้างได้ กับปั้นเสริมพระพักตร์ให้บริบูรณ์ องค์พระยังเป็นสีขาวอยู่ ไม่ได้ปิดทอง แต่สามารถรู้ได้ว่าเป็นพระเก่าเพราะพระขนงเป็นแถบใหญ่หนา นอกจากพระประธานที่เป็นของเก่าก็มีเจดีย์ทรงระฆัง ฐานกลมขนาดย่อม สูงประมาณ ๔ เมตร เดิมเหลือแต่ฐาน มีการซ่อมใหม่ เค้าเดิมถูกเปลี่ยนแปลง จึงยากต่อการระบุสมัย แต่น่าจะเป็นช่วงสมัยอยุธยาตอนปลายจนถึงรัตนโกสินทร์ตอนต้น บริเวณเยี่ยงหน้าอาคารพระประธาน ซึ่งจากการที่พบเจดีย์ขนาดเล็กก็อาจจะสันนิษฐานได้ว่าผังของวัดนี้อาจจะเป็นผังในช่วงอยุธยาตอนปลายจนถึงรัตนโกสินทร์ที่มีอาคารหลักเป็นประธานของวัด จากการสอบถามป้าพะยอม บุญเปี่ยมและป้าอารมณ์ ทําให้ทราบว่าพื้นที่สร้างวัด เมื่อก่อนเป็นป่าแล้วมีคนมาบุกเบิก ตอนแรกก็มีแค่พระประธานกับเจดีย์ พระเป็นพระแบบเก่า ๆ เจดีย์ก็มีแค่ฐาน ชาวบ้านเลยทําตัวองค์ระฆังขึ้นเอง เดิมมีองค์พระเนื้อเป็นสีขาวๆคล้ายปัจจุบัน เป็นหลวงพ่อปากแดง ใต้ฐานองค์พระพบเส้นผมปัจจุบันยังเก็บไว้ที่เดิมซึ่งไม่ทราบประวัติที่มาของเส้นผมเช่นกัน ภาพที่ ๑ บริเวณของวัดโคกหม้อภาพที่ ๒ พระประธานของวัดโคกหม้อ ภาพที่ ๓ เจดีย์ทรงระฆังของวัดโคกหม้อผู้เรียบเรียงข้อมูล : นายณัฐพล ชัยมั่น ภัณฑารักษ์ประจำพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนครคีรี ที่มาข้อมูล: นักศึกษาชั้นปีที่ 2 ภาควิชาประวัติศาสตร์ศิลปะ, 2558. รายงานการสำรวจโบราณสถานและศาสนสถานภายในเขตอำเภอเมืองเพชรบุรี จังหวัดเพชรบุรี. จังหวัดเพชรบุรี: คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร. บุญมี พิบูลย์สมบัติ, 2559. “วัดร้าง จากเส้นทางไปวัดพระรูป.” ที่ระลึกงานฉลองสมณศักดิ์พัดยศ พระพิพิธพัชโรดม : 118-151.