ค้นหา
รายการที่พบทั้งหมด 48,831 รายการ
การทำแผนที่แบบตะวันตกเริ่มมีขึ้นครั้งแรกในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยเริ่มต้นจากการที่นายเฮนรี่ อาละบาสเตอร์ (Henry Alabaster) ราชทูตอังกฤษประจำสยามและที่ปรึกษาส่วนพระองค์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้กราบบังคมทูลคำแนะนำการทำนุบำรุงบ้านเมืองแบบตะวันตกหลายประการ รวมทั้งการสำรวจและทำแผนที่ด้วย จึงโปรดเกล้าฯ ให้สำรวจทำแผนที่ในกรุงเทพฯ แผนที่เพื่อวางสายโทรเลขจากกรุงเทพฯ ไปเมืองพระตะบอง แผนที่บริเวณปากอ่าวสยาม พ.ศ. ๒๔๒๓ รัฐบาลอังกฤษได้ขออนุญาตรัฐบาลสยามให้สถาบันการแผนที่อินเดียทำการวางโครงข่ายสามเหลี่ยม สายเขตแดนตะวันออก โดยเข้ามาทางด่านพระเจดีย์สามองค์ เพื่อสร้างหมุดหลักฐานแผนที่ที่ภูเขาทอง และจุดตรวจสอบที่พระปฐมเจดีย์ และโยงต่อออกไปจนถึงบริเวณปากอ่าว เพื่อจะได้โยงยึดเข้าด้วยกันกับสายหมุดหลักฐานที่สถาบันการแผนที่อินเดียได้ทำเข้ามาทางทะเล สำหรับใช้สำรวจแผนที่ทางทะเล ซึ่งมีนายร้อยเอก เอช ฮิลล์ (H. Hill) เป็นหัวหน้ากองแผนที่ นายเจมส์ แมคคาร์ธี (James McCARTHY) เป็นผู้ช่วย และเป็นผู้นำระบบโครงข่ายสามเหลี่ยมเข้ามา ถือเป็นพื้นฐานการทำแผนที่ของประเทศไทยในปัจจุบัน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานพระบรมราชานุญาต และโปรดเกล้าฯ ให้นายอาละบาสเตอร์ ดำเนินการ ในเวลานั้น นายอาละบาสเตอร์ ได้กราบบังคมทูลเสนอให้นายแมคคาร์ธี เข้ามารับราชการในสยามหลังจากปฏิบัติงานของสถาบันการแผนที่อินเดียเสร็จสิ้น ในวันที่ ๓ กันยายน พ.ศ. ๒๔๒๘ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงสถาปนากรมทำแผนที่ขึ้น โดยมีพระวิภาคภูวดล (เจมส์ แมคคาร์ธี) เป็นเจ้ากรมทำแผนที่คนแรก แผนที่หลักระวางแรกที่กรมแผนที่จัดทำขึ้น เป็นแผนที่พระราชอาณาจักรสยาม “Map of The Kingdom of Siam and its Dependencies” หรือเรียกตามชื่อเจ้ากรมแผนที่ ว่า “แผนที่แมคคาร์ธี” ส่งไปพิมพ์ที่อังกฤษเมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๐ ภายในแผนที่มีส่วนแทรกเป็นแผนที่ผังเมืองขนาดย่อ ๓ เมือง ได้แก่ เมืองกรุงเทพฯ เมืองเชียงใหม่ และเมืองหลวงพระบาง ต่อมา ราชสมาคมภูมิศาสตร์แห่งสหราชอาณาจักรจะจัดพิมพ์แผนที่ราชอาณาจักรสยาม เพื่อแนบไปกับหนังสือ SURVEYING AND EXPLORING IN SIAM ที่นายแมคคาร์ธี เจ้ากรมทำแผนที่ได้เขียนไว้ ราชสมาคมภูมิศาสตร์แห่งสหราชอาณาจักรจึงได้มอบหมายให้นายเฮอร์เบิร์ต วาริงตัน สไมลส์ (Herbert Warington Smyth) เป็นผู้ปรับแก้แนวเขตแดนของสยามในแผนที่ที่ได้จัดพิมพ์ขึ้นครั้งแรก (พ.ศ. ๒๔๓๐) ให้ตรงกับอาณาเขตที่มีอยู่จริงใน พ.ศ. ๒๔๔๓ (ค.ศ. ๑๙๐๐) เนื่องจากสยามเสียดินแดนส่วนหนึ่งทางฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงไปในเหตุการณ์ ร.ศ. ๑๑๒ ซึ่งในการจัดพิมพ์แผนที่ครั้งที่ ๒ นี้ ได้นำแผนที่ผังเมืองขนาดย่อ ๓ เมือง ได้แก่ เมืองกรุงเทพฯ เมืองเชียงใหม่ และเมืองหลวงพระบาง ลงพิมพ์แทรกไว้เช่นเดียวกับการจัดพิมพ์ครั้งแรกด้วย แต่ในส่วนของแผนที่ผังเมืองเชียงใหม่ พบว่ามีการปรับเพิ่มแนวสะพานพระเจ้าอินทวิชยานนท์ข้ามลำน้ำปิง (ขัวกุลา) หรือ สะพานหมอชีกเข้าไปด้วยผู้เรียบเรียง : นางเกษราภรณ์ กุณรักษ์ นักจดหมายเหตุชำนาญการภาพ : หอจดหมายเหตุแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เชียงใหม่อ้างอิง : ๑. วรชาติ มีชูบท. ๒๕๖๐. ย้อนอดีตล้านนา ตอน รวมเรื่องน่ารู้จากแผนที่เมืองนครเชียงใหม่. พิมพ์ครั้งที่ ๒. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. ๒. มูลนิธิโครงการสารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน โดยพระราชประสงค์ในพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร. ม.ป.ป. “ประวัติการทำแผนที่ประเทศไทย.” สารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน โดยพระราชประสงค์ในพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เล่มที่ ๑๒ เรื่องที่ ๑๐ แผนที่. (Online). https://www.saranukromthai.or.th/sub/book/book.php..., สืบค้นเมื่อวันที่ ๒๘ กันยายน ๒๕๖๔.๓. นิตยสารศิลปวัฒนธรรม. ๒๕๖๔. เบื้องหลังการทำแผนที่เมืองไทย “ฉบับแรก” ในสมัยรัชกาลที่ ๕ (Online). https://www.silpa-mag.com/history/article_64436, สืบค้นเมื่อวันที่ ๕ สิงหาคม ๒๕๖๔.
ชื่อเรื่อง วินยสงฺเขป (วิไนฮอม)
สพ.บ. 301/1ประเภทวัสดุมีเดีย คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่ พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ 44 หน้า กว้าง 5 ซม. ยาว 60 ซม.หัวเรื่อง พุทธศาสนา
บทคัดย่อ/บันทึก เป็นคัมภีร์ใบลาน อักษรธรรมอีสาน ภาษาบาลี-ไทยอีสาน เส้นจาร ฉบับลานดิบ ได้รับบริจาคมาจาก วัดบ้านหมี่ ต.บางปลาม้า อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี
ติโลกนยวินิจฺฉย (ไตรโลกนยฺยวินิจฺฉย)
ชบ.บ.95ข/1-17
เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)
เลขทะเบียน : นพ.บ.305/3ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 42 หน้า ; 4.5 x 55 ซ.ม. : ทองทึบ-ชาดทึบ ; ไม้ประกับธรรมดาชื่อชุด : มัดที่ 124 (287-301) ผูก 3 (2565)หัวเรื่อง : สตฺตปฺปกรณาภิรมฺม (อภิธัมมสังคิณี-พระมาหาปัฏฐาน)--เอกสารโบราณ คัมภีร์ใบลาน พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม
เมื่อสอบค้นข้อมูลเกี่ยวกับวัดราชาธิวาส จากเอกสารจดหมายเหตุของกรมราชเลขาธิการ รัชกาลที่ 5 กรมราชเลขาธิการ รัชกาลที่ 6 กรมราชเลขาธิการ รัชกาลที่ 7 กระทรวงศึกษาธิการ และหนังสือหายาก (กจช. น2/200) ภายในหอจดหมายเหตุแห่งชาติ พบว่ามีเรื่องราวน่าสนใจที่ควรย้อนอดีตเพื่อศึกษาเกี่ยวกับวัดราชาธิวาส
วัดราชาธิวาส มีชื่อเรียกแต่เดิมว่า “วัดสมอราย” เป็นวัดโบราณเก่าแก่ ไม่ปรากฏหลักฐานว่าสร้างขึ้นเมื่อใด แต่สันนิษฐานว่าสร้างมาแต่ครั้งสมัยกรุงศรีอยุธยา ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์วัดราชาธิวาสเป็นวัดที่เจ้านายหลายพระองค์ได้จำพรรษาในขณะทรงผนวช เช่น พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย เมื่อทรงดำรงพระยศเป็นสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อทรงดำรงพระยศเป็นสมเด็จเจ้าฟ้ามงกุฎ และกรมพระราชวังบวรมหาเสนานุรักษ์ เมื่อทรงดำรงพระยศเป็นสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมขุนเสนานุรักษ์ และเจ้านายพระองค์อื่น ๆ อีกหลายพระองค์
เมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติ เมื่อจุลศักราช 1213 (พ.ศ. 2394) ได้พระราชทานนามวัดสมอรายใหม่ให้มีนามว่า “วัดราชาธิวาสวิหาร” สืบมาถึงปัจจุบัน
-------------------------
การบูรณปฏิสังขรณ์
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้นิมนต์พระอาจารย์ศรี (พระปัญญาพิศาลเถร) ผู้เชี่ยวชาญด้านวิปัสสนาธุระ มาจำพรรษาและทรงปฏิสังขรณ์พระอารามให้อยู่ในสภาพดี
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว กรมพระราชวังบวรมหาศักดิพลเสพทรงปลูกพระตำหนักช่อฟ้าใบระกา 5 ห้อง มีเฉลียงรอบ เคียงคู่กับพระอุโบสถข้างทิศทักษิณ ถวายแด่สมเด็จเจ้าฟ้ามงกุฎไว้เป็นที่ประทับ
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีการบูรณปฏิสังขรณ์พระอุโบสถและสิ่งต่าง ๆ เพิ่มเติมต่อจากรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้รื้อสร้างใหม่หมดทั้งวัด ซึ่งเป็นการซ่อมและบูรณปฏิสังขรณ์ครั้งใหญ่ ที่ปรากฏอยู่คือ พระอุโบสถ พระเจดีย์ ศาลาการเปรียญ กุฏิไม้ทาสีแดง หอสวดมนต์ ถนนหิน ลานหิน ภูเขาถมอ เสาหิน เขื่อนคู ถนนผ่ากลางวัด พร้อมทั้งสะพาน นอกจากนั้นทรงหล่อพระสัมพุทธพรรณีประดิษฐานในพระอุโบสถด้วย
นอกจากนั้น สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ทรงมีพระราชศรัทธาโดยเสด็จพระราชกุศลร่วมการปฏิสังขรณ์วัดด้วย และทรงรับเป็นพระอุปถัมภิกา
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ปฏิสังขรณ์พระอุโบสถ หอไตร ศาลาการเปรียญ สะพานท่าน้ำ กุฏิเจ้าอาวาส กุฎีที่ชำรุด หอสวดมนต์ และให้เขียนภาพเวสสันดรชาดกที่ฝาผนังด้านในพระอุโบสถต่อจากรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว สร้างพระตำหนักสมเด็จพระอัยยิกาและสร้างเขื่อนหน้าวัด
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานให้ย้ายพระตำหนักที่ประทับของสมเด็จพระศรีพัชรินทรา บรมราชินีนาถ จากโรงเรียนวชิราวุธวิทยาลัยมาประดิษฐานไว้ในวัด และสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ในพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดให้สร้างกุฏิตึกแถว 3 หลัง ในคณะบน สร้างเขื่อนกั้นน้ำ ครัวไฟ กำแพง ศาลาท่าน้ำ รั้วคอนกรีต และประตูด้านหน้าวัด เป็นต้น
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ บูรณะพระสัมพุทธวัฒโนภาส ฐานชุกชีพระอุโบสถ ศาลาการเปรียญ พระตำหนักพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
เรียบเรียงโดย บุศยารัตน์ คู่เทียม
นักจดหมายเหตุเชี่ยวชาญ สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ
-------------------------
อ้างอิง
จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว, พระบาทสมเด็จพระ. พระราชนิพนธ์เรื่องวัดสมอราย. กรุงเทพฯ: สหธรรมิกสำนักวัดราชาธิวาส, 22 เมษายน 2499. (กจช. น. 2/200)
หอจดหมายเหตุแห่งชาติ. เอกสารกรมราชเลขาธิการ รัชกาลที่ 5 กระทรวงศึกษาธิการ ร.5 ศ 6(ร)/37 - 42 เรื่อง การปฏิสังขรณ์วัดราชาธิวาส (23 เม.ย. ร.ศ. 123 - 18 เม.ย. ร.ศ. 129)
หอจดหมายเหตุแห่งชาติ. เอกสารกรมราชเลขาธิการ รัชกาลที่ 6 กระทรวงศึกษาธิการ ร.6 ศ 9.1/105 เรื่อง ปฏิสังขรณ์วัดราชาธิวาศ กรุงเทพ (27 พ.ย. 2453 - 8 มิ.ย. 2467)
หอจดหมายเหตุแห่งชาติ. เอกสารกรมราชเลขาธิการ รัชกาลที่ 6 กระทรวงศึกษาธิการ ร.6 ศ 9.1/106 เรื่อง ปฏิสังขรณ์วัดราชาธิวาศ (15 - 30 ธ.ค. 2467)
หอจดหมายเหตุแห่งชาติ. เอกสารกรมราชเลขาธิการ รัชกาลที่ 7 กระทรวงศึกษาธิการ ร.7 ศ 9.1/41 เรื่อง ขออนุญาตจ่ายเงินบัญชีพระราชทรัพย์เดิมทำการก่อสร้างกุฏิและอื่น ๆ ที่วัดราชาธิวาสกับเรี่ยไรในการสร้างสะพานพระพุทธยอดฟ้า (24 ธ.ค. 2473 - 29 ต.ค. 2474)
หอจดหมายเหตุแห่งชาติ. เอกสารกรมราชเลขาธิการ รัชกาลที่ 7 กระทรวงศึกษาธิการ ร.7 ศ 15/10 เรื่อง นิตยภัตพระสงฆ์วัดราชาธิวาส (13 - 20 ม.ค. 2473)
หอจดหมายเหตุแห่งชาติ. ภาพหอพระสมุดวชิรญาณ 46M00057 ภาพการปฏิสังขรณ์วัดราชาธิวาส
หอจดหมายเหตุแห่งชาติ. ภาพหอพระสมุดวชิรญาณ 46M00060 ภาพวัดราชาธิวาส
หอจดหมายเหตุแห่งชาติ. ภาพหอพระสมุดวชิรญาณ ภ 002 หวญ 39/19 ภาพวัดราชาธิวาส
หอจดหมายเหตุแห่งชาติ. ภาพหอพระสมุดวชิรญาณ (2) ภ 004 หวญ 3/1 ภาพพระสัมพุทธพรรณี (จำลอง) พระประธานในพระอุโบสถวัดราชาธิวาส
หอจดหมายเหตุแห่งชาติ. ภาพถ่ายทางอากาศ ชุด Williams Hunt ภ WH 2/149 ภาพวัดราชาธิวาส
#องค์ความรู้จากจดหมายเหตุ #จดหมายเหตุ
ชื่อผู้แต่ง ทองหยก เลียงพิบูลย์
ชื่อเรื่อง นิทานชีวิต (เงาบุญ - เงาบาป)
ครั้งที่พิมพ์ -
สถานที่พิมพ์ นครหลวง
สำนักพิมพ์ โรงพิมพ์รุ่งเรืองธรรม
ปีที่พิมพ์ ๒๕๑๖
จำนวนหน้า ๕๗๐ หน้า
รายละเอียด
หนังสือ เรื่องเงาบุญ เงาบาป (นิทานชีวิต) จัดพิมพ์บริจาคเพื่ออุทิศส่วนกุศล แด่นายเกษม และ ด.ญ.วัชรีวรรณ ล่ำซำ เนื่องในวันถึงแก่กรรมครบรอบ ๑๒ ปี ในวันที่ ๖ กรกฎาคม ๒๕๑๖ เป็นหนังสือชุดกฎแห่งกรรม รวมจำนวน ๑๐ เรื่อง
พิมาย เป็นดินแดนที่อยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ในเขตจังหวัดนครราชสีมา บริเวณเมืองพิมายในอดีตสันนิษฐานว่าครอบคลุมพื้นที่อำเภอต่างๆ ในปัจจุบันคือ อำเภอพิมาย อำเภอชุมพวง อำเภอห้วยแถลง อำเภอเมืองยาง อำเภอลำทะเมนชัย บางส่วนของอำเภอประทาย บางส่วนอำเภอโนนแดง บางส่วนอำเภอโนนสูง และบางส่วนอำเภอลำปลายมาศ จังหวัดบุรีรัมย์ เมืองพิมาย ปรากฏร่องรอยของชุมชนมาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ และมีพัฒนาการมาตามลำดับ จนเจริญสูงสุดในสมัยวัฒนธรรมเขมรในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๖ – ๑๗ มีการขยายเมือง วางผังเมืองเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า โดยมีศาสนสถานอยู่กลางเมือง มีบารายนอกเมืองตามแบบเมืองในวัฒนธรรมเขมรทั่วไป และปรากฏชื่อ “วิมาย”ซึ่งเชื่อว่าเป็นคำเดียวกับพิมายอย่างชัดเจนในช่วงเวลานี้ ในจารึกที่พบที่พิมายและที่พบในประเทศกัมพูชา แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างเมืองพิมายและอาณาจักรเขมร ซึ่งมีหลักฐานต่อเนื่องมาจนถึงราวพุทธศตวรรษที่ ๑๘ ในสมัยของพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ ซึ่งเป็นร่องรอยของอารยธรรมเขมรช่วงสุดท้ายที่ปรากฏที่เมืองพิมาย เมื่ออาณาจักอยุธยาสถาปนาขึ้นในบริเวณภาคกลางเมืองพ.ศ. ๑๘๙๓ อำนาจทางการเมืองของอยุธยายังไม่เข้าครอบคลุมดินแดนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งสันนิษฐานว่ายังคงเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรเขมรอยู่ แม้ว่าจำนวนประชากรจะเบาบางลงและอาณาจักรเขมรเสื่อมอำนาจลงมากแล้วก็ตาม การที่เมืองพิมาย เคยเป็นเมืองสำคัญระดับศูนย์กลางอำนาจในภูมิภาคแถบนี้มาก่อน จึงมีความสัมพันธ์ทั้งทางด้านการเมืองและเครือญาติกับบรรดาหัวเมืองของเขมรในภาคอีสานและศูนย์กลางที่เมืองพระนคร โดยยังคงความสำคัญทางด้านยุทธศาสตร์ และเศรษฐกิจ เมื่ออยุธยาพยายามขยายอำนาจมาทางตะวันออก จะต้องเข้าควบคุมดินแดนในบริเวณต้นแม่น้ำมูลก่อน ถึงแม้ว่าอยุธยาจะสามารถทำลายศูนย์กลางอำนาจของเขมรได้สำเร็จและได้ดินแดนบางส่วนมาอยู่ในความควบคุม แต่ก็ไม่สามารถควบคุมดินแดนแถบนี้ได้อย่างเรียบร้อย เนื่องจากอยู่ไกลและการคมนาคมไม่สะดวก และหัวเมืองเขมรในอีสานก็อาจจะเข้ามากับเขมรเมื่อต้องทำศึกกับอยุธยา ด้วยเหตุนี้ ทำให้ราชสำนักอยุธยาต้องเข้ามามีบทบาทส่งเสริมสถานภาพของเมืองใหม่เพื่อควบคุมสถานการณ์ และเป็นตัวแทนของราชสำนักในบริเวณนี้แทนที่เมืองพิมาย นอกจากจะเป็นการตัดกำลังของเขมรแล้ว ยัง สามารถใช้เป็นฐานกำลังของตนในการขยายอำนาจ โดยเพิ่มความสำคัญทางการเมืองให้กับเมืองนครราชสีมา ขึ้นเป็นศูนย์อำนาจในระดับภูมิภาคแทน ภายใต้การสนับสนุนของราชสำนัก เมืองนครราชสีมาได้กลายเป็นฐานกำลังของราชสำนักอยุธยาในภูมิภาคนี้ ทำหน้าที่เป็นตัวแทนของราชสำนักในการควบคุมปกครองหัวเมืองในภาคตะวันออกเฉียงเหนือได้สำเร็จ และผลักดันเมืองศูนย์กลางเดิมให้มีฐานะเป็นเมืองขึ้น ชื่อเมืองนครราชสีมาปรากฏครั้งแรกในทำเนียบหัวเมือง ตามกฎหมายตราสามดวงบทพระอัยการนายทหารหัวเมืองที่ตราขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๑๙๙๘ ในแผ่นดินสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ซึ่งเป็นเมืองเดียวที่ปรากฏในทำเนียบเมืองสมัยอยุธยาในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ในส่วนของเมืองพิมายน่าจะคงอยู่ในฐานะเมืองขึ้นของเมืองนครราชสีมา แต่เป็นเมืองขึ้นที่มีประชากรหนาแน่น พื้นที่อุดมสมบูรณ์ เป็นแหล่งเกษตรกรรมที่สำคัญ เป็นเมืองที่ตั้งอยู่บนเส้นทางการค้าและคมนาคมจากเมืองนครราชสีมาไปสู่อาณาจักรเขมร และเจ้าเมืองพิมายน่าจะเป็นบุคคลที่ใกล้ชิดหรือเป็นที่ไว้ใจพิมายน่าจะเป็นบุคคลที่ใกล้ชิดหรือเป็นที่ไว้ใจของเจ้าของเจ้าเมืองนครราชสีมา ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญอันหนึ่งที่ทำให้สังคมและวัฒนธรรมของกลุ่มเมืองนครราชสีมา –พิมาย เข้ามาใกล้ชิดศูนย์กลางอำนาจในส่วนกลางมากขึ้น ในขณะเดียวกันก็เริ่มห่างไกลจากเขมรมากขึ้นเรื่อยๆจนสามารถพัฒนาเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมของตนโดยเฉพาะด้านภาษาพูด แต่ในช่วงเวลานี้อำนาจของอยุธยายังคงครอบคลุมอยู่เพียงตอนต้นของแม่น้ำมูล ในรัชกาลของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช (พ.ศ. ๒๒๐๐) ได้ทรงส่งช่าวชาวฝรั่งเศสมาออกแบบผังเมืองและสร้างป้อมกำแพงเมืองนครราชสีมาใหม่ ก็ปรากฏชื่อของเมืองพิมายเป็นเมืองหน้าด่านของนครราชสีมาทางด้านตะวันออกเฉียงเหนือ แสดงว่าน่าจะเป็นไปได้ที่ในระยะเวลาก่อนหน้านี้ เมืองพิมายได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของราชอาณาจักรอยุธยาอย่างสมบูรณ์แล้ว โดยมีฐานะเป็นเมืองขึ้นของราชสีมา เมื่อสมเด็จพระเพทราชาปราบดาภิเษกขึ้นครองราชย์ พระยายมราช (สังข์) เจ้าเมืองนครราชสีมา ซึ่งเป็นผู้ที่สมเด็จพระนารายณ์มหาราชไว้วางพระทัยอีกคนหนึ่งไม่ยอมอ่อนน้อมราชสำนักอยุธยาต้องใช้เวลาปราบกบฏกว่า ๓ ปี เมื่อเหตุการณ์สงบลงแล้ว เมืองนครราชสีมาได้ถูกลดบทบาทลง โดยให้หัวเมืองที่ขึ้นกับนครราชสีมาเพิ่มบทบาททางการเมืองของตนให้มากขึ้น เป็นการถ่วงดุลมิให้มีอำนาจเด็ดขาดแต่เพียงเมืองเดียว ทำให้เมืองนครราชสีมาอ่อนแอลง เพราะเกิดกบฏบุญกว้างซึ่งเป็นลาว สามารถยึดนครราชสีมาได้และยกลงมาจนถึงลพบุรี จากนโยบายนี้และการอพยพเข้ามาตั้งหลักแหล่งของชาวกุยในเขตควบคุมของเมืองพิมายในปลายสมัยอยุธยาทำให้ฐานะของเมืองพิมายเกิดการเปลี่ยนแปลงอีกครั้งหนึ่ง ตั้งแต่ราวปี พ.ศ. ๒๒๖๐ ชาวกุยที่มีศูนย์กลางอยู่ที่จำปาศักดิ์แถบเมืองอัดปือแสงปางได้อพยพเข้ามาอยู่ในบริเวณที่เรียกกันว่า เขมรป่าดง (ปัจจุบันคือพื้นที่จังหวัดสุรินทร์ และศรีสะเกษ) เข้ามาตั้งชุมชนกระจัดกระขายอยู่ทั่วไป การเข้ามาของชาวกุยทำให้เมืองพิมายต้องเข้ามาเกี่ยวข้องเพราะดินแดนเขมรป่าดงอยู่ในเขตปกครองเมืองพิมาย ซึ่งครอบคลุมไปถึงเขตแดนต่อกับเมืองจำปาศักดิ์ (บริเวณห้วยขยุงในเขตจังหวัดศรีสะเกษในปัจจุบัน) ดังนั้นเมืองพิมายซึ่งมีฐานะเป็นเพียงเมืองขึ้นของนครราชสีมาจึงเริ่มมีบทบาททางการเมืองมากขึ้นเพื่อควบคุมชาวกุยเหล่านี้ ในช่วง ๑๐ ปี สุดท้ายของอาณาจักรอยุธยา ภายใต้การสนับสนุนของราชสำนัก เมืองพิมายมีอิทธิพลและอำนาจทางการเมืองพอๆกับนครราชสีมา เนื่องจากต้องการให้มีความเข้มแข็งสามารถควบคุมชาวกุยที่อพยพเข้ามาตั้งชุมชนใหม่ๆ ได้ ปี พ.ศ. ๒๓๐๒ ในรัชกาลพระเจ้าเอกทัศน์ทรงตั้งผู้นำชาวกุย ๕ คน ให้มีบรรดาศักดิ์เป็นหลวง ทำราชการควบคุมชาวกุยในเขตชุมชนของตนโดยให้ขึ้นกับเมืองพิมาย เป็นการตอบแทนที่ช่วยจับช้างเผือกกลับคืนสู่กรุงศรีอยุธยา เจ้าเมืองพิมายได้เข้ามาควบคุมปกครองชาวกุยอย่างจริงจัง โดยตั้งชาวกุยออกเป็นชุมชน เป็นบ้านต่างๆ จากการปฏิบัติราชการของเจ้าเมืองพิมายยังความพอพระทัยให้กับพระเจ้าเอกทัศน์เป็นอย่างมาก เนื่องจากส่วยของป่าที่มีค่าของชาวกุยได้ถูกลำเลียงไปสู่ราชสำนัก เป็นสินค้าที่มีค่าสูงในระบบการค้าต่างประเทศของอยุธยาอย่างมากมาย เช่น ช้าง แก่นสน ปีกนก นอแรด งาช้าง ต่อมาให้ยกชุมชนชาวกุยจากบ้านขึ้นเป็นเมือง คือเมืองขุขันธ์ เมืองประทายสมันต์ (เมืองสุรินทร์) เมืองสังขะ และเมืองรัตนบุรี เลื่อนบรรดาศักดิ์เจ้าเมืองเหล่านี้จากหลวงขึ้นเป็นพระ โดยให้ขึ้นกับเมืองพิมาย ทำให้เมืองพิมายมีอำนาจและบารมีเพิ่มมากขึ้นจนกระทั่งมีความมั่นใจที่ทำให้เมืองพิมายเป็นศูนย์กลางอำนาจท้องถิ่นแทนเมืองนครราชสีมา และประสบความสำเร็จในช่วง พ.ศ. ๒๓๑๐ – ๒๓๑๑ การที่พม่ามุ่งเข้าโจมตีกรุงศรีอยุธยาทำให้หัวเมืองตะวันออกอยู่นอกเขตการรบ จึงยังคงมีกำลังทรัพย์และกำลังคนที่อุดมสมบูรณ์อยู่ เหมาะกับการที่จะใช้เป็นที่ตั้งฐานกำลังเพื่อขยายอำนาจทางการเมือง กรมหมื่นเทพพิพิธและพรรคพวกจึงยึดครองเมืองนครราชสีมาไว้ แต่ก็ถูกตีโต้จากขุนนางท้องถิ่นของเมืองพิมายจนประสบความพ่ายแพ้ เจ้าเมืองพิมายต้องการให้กรมหมื่นเทพพิพิธประทับอยู่ที่เมืองพิมายจนมีความสนิทสนมกันเป็นอย่างดี เมื่อกรุงศรีอยุธยาเสียแก่ข้าศึกแล้ว จึงได้ทำการยึดอำนาจการปกครองเมืองนครราชสีมา สถาปนากรมหมื่นเทพพิพิธขึ้นเป็นเจ้ารวมทั้งจัดตั้งรัฐอิสระขึ้นในบริเวณลุ่มแม่น้ำมูลโดยมีเขตแดนตั้งแต่หัวเมืองตะวันออกฝั่งดอนไปจรดเขตแดนของหัวเมืองลาว ใช้ชื่อว่าชุมนุมเจ้าพิมายและย้ายศูนย์กลางอำนาจจากนครราชสีมา มาอยู่ ณ เมืองพิมาย คงทิ้งกำลังทหารจำนวนหนึ่งไว้นอกเมืองนครราชสีมาเพื่อรักษาเมืองเท่านั้น พร้อมทั้งสถาปนาขุนนางน้อยใหญ่ตามแบบราชสำนักโดยให้พระพิมายเป็นเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ผู้สำเร็จราชการ ตั้งบุตรพระพิมายเป็นพระยามหามนตรีและพระยาวรวงศาธิราช มีข้าราชการและผู้มีที่หนีมาจากกรุงศรีอยุธยาเข้ามาอยู่ด้วยเป็นจำนวนมาก ปรากฏมีสถาปัตยกรรมสมัยอยุธยาตอนปลายทีเมืองพิมายหลายแห่ง เช่น เมรุน้อยและโบสถ์เจ้าพิมาย ปัจจุบันถูกรื้อถอนไปแล้ว เมรุพรหมทัตและพระพุทธรูปขนาดใหญ่อีก ๒ องค์ ปัจจุบันอยู่ที่วัดเดิม อำเภอพิมาย เข้าใจว่าน่าจะสร้างขึ้นในช่วงเวลานี้ แต่อำนาจทางการเมืองที่แท้จริงได้ตกอยู่กับเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์และพรรคพวก เมื่อพระเจ้าตากสินมหาราชขับไล่ข้าศึกที่ยึดครองอยู่บริเวณภาคกลางของไทยไปแล้ว จึงเริ่มนโยบายรวมชาติ โดยเข้าโจมตีชุมชนเจ้าพิมายในปี พ.ศ. ๒๓๑๑ ชุมนุมพิมายได้จัดทัพรับแต่ก็พ่ายแพ้อย่างรวดเร็ว ทำให้กลุ่มขุนนางที่เข้าร่วมกับชุมนุมเจ้าพิมายหนีหายไป เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ พระยามหามนตรี และตัวกรมหมื่นเทพพิพิธถูกประหารชีวิต เป็นอันสิ้นสุดสภาพรัฐอิสระของพิมายอย่างเด็ดขาด พระเจ้าตากสินฯ ทรงจัดการปกครองหัวเมืองแถบนี้เสียใหม่ โดยให้นครราชสีมาเป็นเมืองเอกเมืองเดียวในภูมิภาคอีสีสาน แต่ก็ยังทรงทำอะไรไม่ได้มากนัก เนื่องจากยังมีสงครามติดกันอยู่ และราชสำนักเอง ก็ขาดแคลนกำลังคนในการจัดการปกครองในภูมิภาค จึงต้องใช้ขุนนางในพื้นที่ แต่การแต่งตั้งเจ้าเมืองนครราชสีมาและเมืองพิมาย ทรงกระทำด้วยความรอบครอบเพราะต้องการคนที่ไว้วางพระทัย เนื่องจากหัวเมืองแถบนี้มีกำลังคนมากและเคยจัดจั้งชุมนุมเป็นรัฐอิสระมาแล้ว จะด้วยเหตุใดก็ตาม ทรงแต่งตั้งให้ขุนขนะ (ต้นสกุล กาญจนาคม) ขุนนางท้องถิ่นในนครราชสีมา ที่มีความดีความชอบในการจับกรมหมื่นเทพพิพิธ เป็นพระยานครราชสีมา เจ้าเมืองนครราชสีมาผู้นี้ เป็นผู้ที่จงรักภักดีต่อพระเจ้าตากสินฯอีกผู้หนึ่งในช่วงจลาจลในปี พ.ศ. ๒๓๒๕ ส่วนเจ้าเมืองพิมายเมืองขึ้นของนครราชสีมาจะเป็นผู้ใดไม่ปรากฏ แต่มีชื่อของยกกระบัตรเมืองพิมาย (ปิ่น ต้นสกุล ณ ราชสีมา) ผู้ที่ต่อมาได้เป็นเจ้าเมืองพิมายและนครราชสีมาในโอกาสต่อไป-----------------------------------------------------------ข้อมูลและเรียบเรียงนำเสนอ โดย นายกิตติพงษ์ สนเล็ก นักโบราณคดีชำนาญการพิเศษ ผู้อำนวยการกลุ่มโบราณคดี-----------------------------------------------------------บรรณานุกรม ขจีรัตน์ ไอราวัณวัฒน์. ความสำคัญทางการเมืองของเมืองนคราชสีมา : บทบาทของเจ้าเมืองตระกูล ณ ราชสีมา ระหว่าง พ.ศ.๒๓๒๕-๒๓๘๘ วิทยานิพนธ์มหาบัณฑิตภาควิชาประวัติศาสตร์มหาวิทยาลัยศิลปากร,๒๕๓๒ คุรุสภา ประชุมพงศาวดาร เล่ม ๓ กรุงเทพฯ:คุรุสภา ,๒๕๐๖ ---------.ประชุมพงศาวดาร เล่ม ๔๐ กรุงเทพฯ:คุรุสภา ,๒๕๒๘ ดำรงราชานุภาพ สมเด็จกรมพระยา .จดหมายเหตุเสด็จตรวจราชการมณฑลนครราชสีมา และ มณฑลอุดรอีสาน ร.ศ. ๑๒๕ พ.ศ.๒๔๔๙ .กรุงเทพฯ:มูลนิธิสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพและ หม่อมเจ้าจงจิตรถนอม ดิศกุล และพะราชธิดา,๒๕๗๘ เติม วิภาคย์พจนกิจ.ประวัติศาสตร์อิสาน.พิมพ์ครั้งที่ ๒ กรุงเทพฯ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์๒๕๓๐ ธิดา สาระยา เมืองประวัติศาสตร์ กรุงเทพฯ:เมืองโบราณ ๒๕๓๘ มานิต วัลลิโภดม นำเที่ยวพิมายและโบราณสถานในจังหวัดนครราชสีมา,พิมพ์เป็นอนุสรณ์ในงาน พระราชทานเพลิงศพขุนคงฤทธิ์,กรุงเทพฯ:คุรุสภา ๒๕๑๓ ศรีศักดิ์ วัลลิโภคมโบราณคดีไทยในทศวรรษที่ผ่านมา.กรุงเทพฯ:เมืองโบราณ ๒๕๒๕ ศิลปากร,กรม พงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา เล่ม ๒ กรุงเทพฯ ชุมชนสหกรณ์แห่งประเทศไทย ๒๕๓๔๐ -----------. พงศาวดารหัวเมืองมณฑลอิสาน พิมพ์เป็นอนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงศพเจ้านางโสฬสนารี ณ จำปาศักดิ์ สาระโสภณ กรุงเทพฯ: วัชรินทร์การพิมพ์,๒๕๓๙ ----------. เรื่องกฎหมายตราสามดวง กรุงเทพฯ:อุดมศึกษา,๒๕๒๐ สุรัตน์ วรางครัตน์ การค้าต่างแดนของอิสานในอดีต ,วารสารเมืองโบราณ ปีที่ ๑๐ เล่มที่ ๒ ๒๕๒๗ สำนักงานจังหวัดนครราชสีมา ประวัติมหาดไทยส่วนภูมิภาคจังหวัดนครราชสีมา,นครราชสีมา :นิวส มบูรณ์การพิมพ์ ,๒๕๒๖ ----------. หมู่พงศาวดารชื่อพงศาวดารเมืองประทายสมันต์ เลขที่ ๐๐๑,๓
-- องค์ความรู้ เรื่อง รวมคำถาม – มีคำตอบ “การทำลายเอกสาร” -- ในช่วงตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา หลายๆ หน่วยงานยังคงคร่ำเคร่งกับการจัดการกับเอกสาร โดยเฉพาะผู้ที่ปฏิบัติส่วนงานบริหารทั่วไปของแต่ละหน่วยงาน เพื่อปฏิบัติตามระเบียบฯ ในการสำรวจเอกสารที่ประสงค์จะทำลาย ระหว่างการปฏิบัติงานตรงนี้ เจ้าหน้าที่อาจจะเกิดคำถามมากมาย ในวันนี้หอจดหมายเหตุแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติฯ พะเยา ซึ่งเป็นส่วนงานที่มีภารกิจหนึ่งคือให้คำแนะนำแก่หน่วยงานต่างๆ จึงขอรวบรวมคำถาม พร้อมคำตอบ ที่แต่ละหน่วยงานสอบถามเข้ามามาก เพื่อประโยชน์แก่หน่วยงานนั้น และหน่วยงานอื่นๆ ที่จะทำลายเอกสารต่อไป โดยจะพยายามตอบคำถามให้เป็นภาษาที่เข้าใจง่าย หากผู้ปฏิบัติงานหน่วยงานใด ท่านใด ยังมีความสงสัย หรือต้องการคำปรึกษา แนะนำสามารถทักทายในกล่องข้อความ หรือโทรเพื่อสอบถามได้ที่ เบอร์โทร 0-5441-1051 โดยสามารถแจ้งเจ้าหน้าที่ว่า ขอคำปรึกษาเรื่องการทำลายเอกสารราชการ หากหน่วยงานใดประสงค์รับคู่มือแนะนำการทำลายเอกสาร สามารถติดต่อสอบถามได้ตามช่องทางการสื่อสารทั้งสองโดยไม่มีค่าใช้จ่าย หวังเป็นอย่างยิ่งว่า คำตอบเหล่านี้ จะเป็นประโยชน์แก่ผู้ปฏิบัติงานเอกสารที่กำลังคร่ำเคร่งในห้วงเวลานี้ผู้เขียน : นางสาวอรทัย ปานจันทร์ ( นักจดหมายเหตุ หอจดหมายเหตุแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติฯ พะเยา )#จดหมายเหตุ #องค์ความรู้จากจากจดหมายเหตุ #หอจดหมายเหตุแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติฯพะเยา #เอกสารจดหมายเหตุ
ชื่อเรื่อง อานิสงส์เวสสันดร (ฉลองมหาชาด)สพ.บ. 422/1ขประเภทวัสดุ/มีเดีย คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่ พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ 28 หน้า : กว้าง 4.5 ซม. ยาว 55.3 ซม.หัวเรื่อง พุทธศาสน เทศน์มหาชาติ ชาดก บทคัดย่อ/บันทึก เป็นคัมภีร์ใบลาน อักษรธรรมอีสาน ภาษาบาลี-ไทยอีสาน เส้นจาร ฉบับลานดิบ ได้รับบริจาคมาจาก วัดลานคา ต.โคกคราม อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี
50Royalinmemory ๑๓ พฤษภาคม ๒๔๐๗ (๑๕๘ ปีก่อน) - วันประสูติพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้านภาพรประภา กรมหลวงทิพยรัตนกิริฏกุลินี [พระเจ้าบรมวงศ์เธอ ชั้น ๔ พระองค์เจ้าชั้นเอก]
พระราชธิดาในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๔) กับเจ้าคุณจอมมารดาสำลี พระสนมเอก (สกุลเดิม บุนนาค) (พระนามเดิม : พระเจ้าลูกเธอ พระองค์เจ้านภาพรประภา) ดำรงพระอิสริยยศ “พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้านภาพรประภา กรมหลวงทิพยรัตนกิริฏกุลินี” เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๗๐ สิ้นพระชนม์วันที่ ๑๙ กรกฎาคม ๒๔๐๑ พระชนมายุ ๙๔ พรรษา (ดูเพิ่มเติมใน กรมศิลปากร, ราชสกุลวงศ์, พิมพ์ครั้งที่ ๑๔, (กรุงเทพฯ: สำนักวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ กรมศิลปากร, ๒๕๕๔), ๗๖.)
Cigarette Cards ชุดเจ้านายไทย (๑ สำรับ ประกอบด้วย พระบรมฉายาสาทิสลักษณ์ พระฉายาสาทิสลักษณ์ และรูปเขียนคล้ายพระรูปพระบรมวงศานุวงศ์บนแผ่นกระดาษ จำนวน ๕๐ รูป) ลำดับที่ ๓๖ โดยบริษัท ยาสูบซำมุ้ย จำกัด (SUMMUYE & CO) ผลิตราวปี พ.ศ. ๒๔๗๗ (หมายเลขทะเบียน ๒/๒๕๑๖/๑) มีประวัติระบุว่า คุณหลวงฉมาชำนิเขต มอบให้เมื่อวันที่ ๙ มกราคม ๒๕๑๖
(เผยแพร่โดย ศรัญ กลิ่นสุคนธ์ ภัณฑารักษ์ / เทคนิคภาพ อริย์ธัช นกงาม ภัณฑารักษ์ปฏิบัติการ กลุ่มทะเบียน คลังพิพิธภัณฑ์และสารสนเทศ สำนักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กรมศิลปากร)
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สวรรควรนายก จัดนิทรรศการพิเศษเนื่องในวันพิพิธภัณฑ์ไทย ประจำปี ๒๕๖๕ เรื่อง “โครงกระดูกมนุษย์จากวัดชมชื่น หลักฐานของคนก่อนสุโขทัย” เปิดให้ชมระหว่างวันที่ ๒๑ กันยายน - ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๕
นิทรรศการในครั้งนี้จัดขึ้นเพื่อน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวที่ทรงมีต่อกิจการพิพิธภัณฑ์ไทย และเพื่อให้เด็ก เยาวชน และประชาชนทั่วไปได้รับความรู้ทางด้านประวัติศาสตร์โบราณคดี อันจะนำไปสู่การสร้างจิตสำนึกรักและหวงแหนในการดูแลรักษามรดกศิลปวัฒนธรรมของท้องถิ่นให้คงอยู่เป็นมรดกของชาติสืบไป เนื้อหานิทรรศการบอกเล่าเรื่องราวของผู้คนในสมัยก่อนประวัติศาสตร์ที่ได้จากการขุดค้นทางโบราณคดีที่วัดชมชื่น อุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัย อันเป็นหลักฐานบ่งบอกถึงการตั้งถิ่นฐานในช่วงแรกก่อนการขยายตัวและพัฒนาเป็นเมืองศรีสัชนาลัยในสมัยสุโขทัย
ขอเชิญชมนิทรรศการ “โครงกระดูกมนุษย์จากวัดชมชื่น หลักฐานของคนก่อนสุโขทัย” ได้ ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สวรรควรนายก จังหวัดสุโขทัย เปิดทุกวันพุธ - อาทิตย์ เวลา ๐๙.๐๐ น. - ๑๖.๐๐ น. ปิดวันจันทร์ - อังคาร และวันหยุดนักขัตฤกษ์
#มหามกุฎราชวงศานุประพัทธ์ ๑๘ มิถุนายน ๒๓๙๓ วันประสูติพระเจ้าราชวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวงจันทร์.พระเจ้าราชวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวงจันทร์ เป็นพระราชธิดาพระองค์ที่ ๓๐ ในพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ประสูติแต่เจ้าคุณจอมมารดาเอม ประสูติเมื่อวันที่ ๑๘ มิถุนายน ๒๓๙๓.เมื่อพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จมาประทับยังพระบวรราชวัง พระองค์ทรงสร้างพระราชมณเฑียรแห่งใหม่ขึ้น โดยมีลักษณะเป็นเก๋งจีน เมื่อพระองค์เสด็จเข้าไปประทับ ณ พระราชมณเฑียรแห่งใหม่นั้น พระองค์เกิดพระอาการประชวรติดต่อเป็นเวลานาน เมื่อซินแสเข้ามาดูจึงกราบทูลว่า เนื่องจากพระที่นั่งเก๋งจีนองค์นี้ สร้างในที่ฮวงจุ้ยที่เป็นอัปมงคล ดังนั้น พระองค์จึงโปรดให้รื้อพระที่นั่งเก๋งจีนลง ไปปลูกไว้ที่นอกวังหลังจากนั้น พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดฯ ให้สร้างพระที่นั่งองค์ใหม่บริเวณที่สร้างพระที่นั่งเก๋งจีนองค์เดิม แต่ได้เลื่อนตำแหน่งที่ตั้งไปทางทิศตะวันออก ลักษณะเป็นตึกฝรั่ง เรียกพระที่นั่งองค์นี้ว่า "พระที่นั่งวงจันทร์" ตามพระนามของ พระเจ้าราชวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวงจันทร์ภายหลังพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวสวรรคต พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานนามพระที่นั่งใหม่ว่า "พระที่นั่งอิศเรศราชานุสรณ์".พระเจ้าราชวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวงจันทร์ สิ้นพระชนม์ในรัชกาลที่ ๖ เมื่อวันที่ ๒๙ เมษายน ๒๔๕๙ สิริพระชันษา ๖๗ ปี.พระเจ้าราชวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวงจันทร์ นับเป็นพระราชภาติยะในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระสยามเทวมหามกุฏวิทยมหาราช รัชกาลที่ ๔.ภาพ : พระเจ้าราชวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวงจันทร์
วันลอยกระทง ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 ของทุกปี ในปีนี้ตรงกับวันอังคารที่ 8 พฤศจิกายน 2565
หลายจังหวัดมีการจัดงานอย่างสนุกสนานหลังจากว่างเว้นกันมาจากการระบาดของโรคไวรัสโควิด-19
ลอยกระทง หมายถึง ชื่อพิธีอย่างหนึ่ง ทำตรงกับคืนวันเพ็ญ เดือน 12 มีการจุดธูปเทียนปักลงบนสิ่งที่ไม่จมน้ำที่ประดิษฐ์เป็นรูปร่างต่างๆ เช่น กระทง เรือ แพ ดอกบัว ฯลฯ แล้วนำไปลอยตามลำน้ำ
ประเพณีลอยกระทงมีมานานตั้งแต่ครั้งกรุงสุโขทัยเป็นราชธานี ประมาณ พ.ศ. 1800 นางนพมาศหรือท้าวศรีจุฬาลักษณ์สนมเอกของพระร่วง ได้คิดประดิษฐ์ดัดแปลงรูปกระทงดอกบัวแทนการลอยโคม เมื่อสมเด็จพระร่วงเจ้าได้เสด็จฯทางชลมารค ทอดพระเนตรกระทงของนางนพมาศก็ทรงพอพระราชหฤทัย จึงมีพระราชโองการให้จัดพิธีลอยกระทงเป็นประจำทุกปี ในคืนวันเพ็ญเดือน 12 พระราชพิธีนี้จึงได้ถือปฏิบัติกันมาจนกระทั่งทุกวันนี้
การลอยกระทงหรือลอยโคมในสมัยสุโขทัย กระทำเพื่อเป็นการสักการะรอยพระพุทธบาทที่แม่น้ำนัมมทานที ซึ่งเป็นแม่น้ำสายหนึ่งอยู่ในแคว้นทักขิณาบถของประเทศอินเดีย ปัจจุบันเรียกว่าแม่น้ำเนรพุทท อันที่จริงลอยกระทงเป็นประเพณีขอขมาธรรมชาติมาแต่ดึกดำบรรพ์ เพราะชาวบ้านทั่วไปรู้จากประสบการณ์ว่า ถึงเดือนสิบเอ็ด (หรือราวเดือนตุลาคม) น้ำจะขึ้นนองหลากพอถึงเดือนสิบสอง (หรือราวเดือนพฤศจิกายน) น้ำจะทรงตัวคือไม่ขึ้นไม่ลง ครั้นเดือนอ้าย (หรือราวเดือนธันวาคม) ต่อเดือนยี่ (หรือราวเดือนมกราคม) น้ำจะลดลง
การลอยกระทงไม่มีพิธีรีตอง เพียงแต่ขอให้มีกระทงจะทำด้วยอะไรก็ได้ แต่ควรเป็นวัสดุที่ย่อยสลายได้ง่าย เช่น ใบตอง กาบกล้วย กาบพลับพลึง เปลือกมะพร้าว กระดาษ ประดับด้วยดอกไม้ จุดธูปเทียนปักที่กระทง แล้วอธิษฐานตามที่ตนปรารถนา เสร็จแล้วจึงลอยไปในแม่น้ำลำคลอง ตามคุ้มวัดหรือสถานที่จัดงานหลายแห่ง มีการประกวดกระทง ประกวดนางนพมาศ และมีมหรสพสมโภชในตอนกลางคืน การละเล่นพื้นเมือง เช่น รำวงเพลงเรือ เพื่อสืบสานวัฒนธรรมไทย นอกจากนั้นยังมีการจุดดอกไม้ไฟ พลุ ตะไล ซึ่งในการเล่นต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ