ค้นหา
รายการที่พบทั้งหมด 48,825 รายการ
มหามกุฏราชสันตติวงศ์ ๓ มีนาคม ๒๔๒๖ วันประสูติสมเด็จพระอนุชาธิราช เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ
สมเด็จพระอนุชาธิราช เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ เป็นพระราชโอรสพระองค์ที่ ๔๐ ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ กับสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ประสูติเมื่อวันที่ ๓ มีนาคม ๒๔๒๕ (นับแบบปัจจุบันเป็นพุทธศักราช ๒๔๒๖) ทรงมีพระเชษฐภคินี พระเชษฐา พระขนิษฐา และพระอนุชาร่วมพระบรมราชชนนี ๗ พระองค์ คือ
- สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าพาหุรัตมณีมัย กรมพระเทพนารีรัตน์
- พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖
- สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าตรีเพ็ชรุตม์ธำรง
- สมเด็จพระอนุชาธิราช เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ
- สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าศิริราชกกุธภัณฑ์
- สมเด็จพระเชษฐาธิราช เจ้าฟ้าอัษฎางค์เดชาวุธ กรมหลวงนครราชสีมา
- สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจุฑาธุชธราดิลก กรมขุนเพ็ชรบูรณ์อินทราไชย
- พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๗
พุทธศักราช ๒๔๓๕ ทรงได้รับสถาปนาเป็นสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาท นริศรราชมหามกุฏวงษ์ จุฬาลงกรณนรินทร์ สยามพิชิตินทรวรางกูร สมบูรณพิสุทธิชาติ วิมโลภาศอุภัยปักษ์ อรรควรรัตนขัตติยราชกุมาร กรมขุนพิศณุโลกประชานารถ ได้เสด็จไปทรงศึกษาในประเทศอังกฤษ แล้วเสด็จไปประทับอยู่ในราชสำนักสมเด็จพระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ ๒ แห่งประเทศรัสเซีย ทรงศึกษาในโรงเรียนมหาดเล็กหลวง ซึ่งเป็นโรงเรียนนายทหารบกด้วยที่ประเทศรัสเซีย สอบได้ชั้นสูงสุด เป็นราชทูตพิเศษเมื่อประทับอยู่ในยุโรป ได้เสด็จแทนพระองค์ไปในงานพระบรมศพสมเด็จพระเจ้าอุมแบร์โตที่ ๑ แห่งอิตาลี งานพระราชพิธีบรมราชาภิเษกพระเจ้ายอร์ชที่ ๕ และพระราชินีแมรี แห่งประเทศอังกฤษ ครั้นเสด็จกลับมา ทรงรับราชการในรัชกาลที่ ๕ ได้เป็นนายพลตรี ราชองครักษ์ และเป็นเสนาธิการทหารบก
ถึงรัชกาลที่ ๖ โปรดเกล้าฯ ให้ส่งบัญชาการกรมทหารมหาดเล็กแทนพระองค์โปรดเก้าให้เลื่อนเป็นสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาท นริศรราชมหามกุฏวงษ์ จุฬาลงกรณนรินทร์ สยามพิชิตินทรวรางกูร สมบูรณพิสุทธิชาติ วิมโลภาศอุภัยปักษ์ อรรควรรัตนขัตติยราชกุมาร กรมหลวงพิศณุโลกประชานารถ เลื่อนเป็นนายพลโท นายพลเอก และเป็นจอมพลทหารบก ราชองครักษ์ คงตำแหน่งเสนาธิการทหารบก และองคมนตรี และทรงเป็นรัชทายาทจนเสด็จทิวงคต
สมเด็จพระอนุชาธิราช เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ เสด็จทิวงคตในรัชกาลที่ ๖ ที่ประเทศสิงคโปร์ ขณะเสด็จราชการทหาร เมื่อวันที่ ๑๓ มิถุนายน ๒๔๖๓ พระชนมายุ ๓¬๘ ปี ทรงสถาปนาพระเกียรติยศเป็นสมเด็จพระอนุชาธิราช เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถในปีนั้น และพระราชทานเศวตฉัตร ๕ ชั้น เป็นต้นราชสกุล จักรพงศ์
สมเด็จพระอนุชาธิราช เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ นับเป็นพระราชนัดดาในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ ที่สืบสายทั้งจากพระบรมชนกนาถ และพระบรมราชชนนี
ภาพ : จอมพล สมเด็จพระอนุชาธิราช เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ ขณะประทับศึกษาวิชาการทหารในประเทศรัสเซีย (ทรงฉลองพระองค์สำหรับร่วมงานเลี้ยงที่พระราชวังฤดูหนาวของรัสเซียในปี พุทธศักราช ๒๔๔๖)
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ไชยา ขอเชิญชมนิทรรศการพิเศษเนื่องในวันพิพิธภัณฑ์ไทย ประจำปี ๒๕๖๔ ในหัวข้อ "อดีต - ปัจจุบัน พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ไชยา" ระหว่างวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๖๔ - ๓๑ ตุลาคม ๒๕๖๔ ณ อาคารจัดแสดง ๒ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี โดยจะมีวิทยากรให้ความรู้เรื่องประวัติความเป็นมาของพิพิธภัณฑ์ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน และผู้เข้าชมจะได้ร่วมสนุกกับกิจกรรมถาม - ตอบ เกี่ยวกับความรู้ที่ได้จากการชมนิทรรศการ เพื่อลุ้นรับของรางวัล (กระเป๋าผ้า สมุดบันทึก และหน้ากากอนามัย) ทั้งนี้ เพื่อปฎิบัติตามมาตรการป้องกันโรคระบาดโควิด ๑๙ อย่างเคร่งครัด ขอความร่วมมือนักท่องเที่ยวสวมหน้ากากอนามัยตลอดการเข้าชม และเว้นระยะห่างทางสังคม เพื่อความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่และผู้เข้าชมทุกท่าน
เวียงแก้ว หมายถึง เวียงของกษัตริย์ หรือเขตพระราชฐานที่ประทับของกษัตริย์ ตั้งอยู่ภายในเขตกำแพงเมือง ภายในประกอบด้วยอาคารหลายหลังมีหน้าที่ใช้สอยแตกต่างกัน เวียงแก้วมีมาตั้งแต่ยุคต้นของเมืองเชียงใหม่ และในยุคฟื้นฟูเมืองเชียงใหม่ พญากาวิละได้สร้างหอคำหรือคุ้มหลวงอยู่ในบริเวณเวียงแก้ว เดิมเรียกว่า “คุ้มเวียงแก้ว” และได้เป็นที่ประทับของกษัตริย์เมืองเชียงใหม่ สืบเนื่องยาวนานมาถึงสมัยเจ้าหลวงอินทวโรรสสุริยวงศ์ เจ้าหลวงเชียงใหม่องค์ที่ ๘ แห่งราชวงศ์ทิพยจักร นับได้ว่าพระองค์ทรงเป็นกษัตริย์เชียงใหม่องค์สุดท้ายที่มีความเกี่ยวข้องกับเวียงแก้ว โดยพระองค์ได้มอบพื้นที่เวียงแก้วให้ทางการสยามนำไปสร้างเป็นเรือนจำ เมื่อปีพุทธศักราช ๒๔๔๖ เรื่อยมาจนกระทั่งกรมราชทัณฑ์ได้ย้ายนักโทษหญิงออกจากทัณฑสถานหญิงเดิมที่สร้างบนพื้นที่เวียงแก้วในพุทธศักราช ๒๕๕๕ ไปตั้งในพื้นที่แห่งใหม่ที่ถนนโชตนา ตำบลช้างเผือก อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ ถึงปัจจุบัน ภายหลังจากที่ทัณฑสถานหญิงเดิมได้ย้ายออกไปตั้งในที่แห่งใหม่แล้ว ประชาชนชาวเชียงใหม่จำนวนมากได้มีการลงประชามติให้มีการปรับปรุงพื้นที่ทัณฑสถานหญิงเดิมให้เป็นพื้นที่สาธารณะ และฟื้นฟูเวียงแก้วซึ่งเป็นพื้นที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ของเมืองเชียงใหม่ เพื่อประโยชน์ในด้านการศึกษาพัฒนาการทางประวัติศาสตร์ล้านนาโดยปัจจุบัน สำนักศิลปากรที่ ๗ เชียงใหม่ ได้ทำการขุดค้นทางโบราณคดี เพื่อศึกษาหลักฐานการตั้งอยู่รวมถึงพัฒนาการของเวียงแก้ว ประกอบกับการศึกษาจากเอกสารทางประวัติศาสตร์ของนักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์ล้านนา ส่งผลให้ปัจจุบันการศึกษาเรื่องราวเกี่ยวกับเวียงแก้วเป็นสิ่งที่ชาวเชียงใหม่หลายคนให้ความสนใจเป็นอย่างยิ่ง ผลการดำเนินงานด้านวิชาการโบราณคดีพบหลักฐานเครื่องถ้วยจำนวนมาก ที่สะท้อนให้เห็นพัฒนาการของเวียงแก้วผ่านเครื่องถ้วยต่างๆ ที่พบจากการขุดค้นทางโบราณคดีที่แหล่งโบราณคดีเวียงแก้ว เพราะเครื่องถ้วยเป็นหนึ่งในหลักฐานสำคัญที่สามารถกำหนดอายุสมัยโดยใช้การเปรียบเทียบ เครื่องถ้วยจีนที่ในแต่ละแหล่งเตาที่จะมีลักษณะแตกต่างกันไปตามแต่ละยุคสมัยของจักรพรรดิพระองค์นั้นๆ หรือเครื่องถ้วยล้านนาจากแหล่งผลิตต่างๆ ก็มีเอกลักษณ์จนสามารถระบุความสัมพันธ์ของเมืองเชียงใหม่กับเมืองที่เป็นแหล่งผลิตเครื่องถ้วยเหล่านั้น จึงเป็นที่น่าสนใจหากจะศึกษาพัฒนาการแต่ละยุคสมัยของเวียงแก้ว รวมถึงศึกษาการติดต่อสัมพันธ์กับบ้านเมืองอื่น ๆ ผ่านหลักฐานประเภทเครื่องถ้วย โดยนำมาเทียบกับหลักฐานเอกสารทางประวัติศาสตร์ ซึ่งจะช่วยให้ผู้เข้าชมสามารถเข้าใจประวัติศาสตร์และพัฒนาการของเวียงแก้วได้มากยิ่งขึ้น การขุดค้นทางโบราณคดีในเวียงแก้ว “เวียงแก้ว” เป็นชื่อเขตพระราชฐานของกษัตริย์ล้านนาที่อยู่ในสำนึกของชาวเชียงใหม่มาช้านานแล้ว โดยเฉพาะในกลุ่มนักวิชาการด้านประวัติศาสตร์ล้านนาต่างให้ความสำคัญกับพื้นที่แห่งนี้เป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่ตั้งอยู่ใกล้ใจกลางเมืองเชียงใหม่ ซึ่งตามความเชื่อของกลุ่มชาติพันธุ์ไทนับได้ว่าเป็นพื้นที่สำคัญอันเป็นเสมือน “หัวใจ” หรือ “หลักเมือง” ภายหลังจากทัณฑสถานหญิงเชียงใหม่ที่เดิมตั้งอยู่ในพื้นที่ของเวียงแก้วได้ย้ายออกไปตั้งยังสถานที่แห่งใหม่บนถนนโชตนา ในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ชาวเชียงใหม่และกลุ่มนักวิชาการด้านประวัติศาสตร์ล้านนาต่างตื่นตัวที่จะเรียกร้องให้มีการรื้อถอนอาคารและสิ่งปลูกสร้างของทัณฑสถานหญิงเชียงใหม่ออกทั้งหมด โดยในปี พ.ศ. ๒๕๕๖ ชาวเชียงใหม่ได้ทำประชาพิจารณ์ให้มีการปรับปรุงพื้นที่ทัณฑสถานเดิมนี้ให้กลายเป็นสวนสาธารณะ โดยมีจังหวัดเชียงใหม่เป็นผู้ควบคุมดูแลงบประมาณและการก่อสร้าง ภายใต้ชื่อ “โครงการพัฒนาข่วงหลวงเวียงแก้ว” ซึ่งได้รับการจัดสรรงบประมาณ จำนวน ๙๕ ล้านบาท โดยมีกำหนดเริ่มต้นดำเนินโครงการเมื่อวันที่ ๑๕ กรกฎาคม ๒๕๖๓ - ๒๕ กรกฎาคม ๒๕๖๕ อย่างไรก็ตาม การจะสร้างสิ่งก่อสร้างใหม่บนสถานที่ที่คาดว่ามีความสำคัญทางประวัติศาสตร์มาก่อนนั้นยังไม่สามารถทำได้โดยทันที เพราะต้องมีการศึกษาทางประวัติศาสตร์และโบราณคดีเสียก่อน เพื่อยืนยันถึงการมีอยู่จริงของเวียงแก้ว และป้องกันมิให้เกิดการทำลายหลักฐานที่อาจมีคุณค่าทางประวัติศาสตร์อย่างมาก การดำเนินงานด้านโบราณคดีในเวียงแก้ว เป็นส่วนหนึ่งของแผนการพัฒนาโครงการข่วงหลวงเวียงแก้วของจังหวัดเชียงใหม่ โดยกลุ่มโบราณคดี สำนักศิลปากรที่ ๗ เชียงใหม่ เป็นผู้รับผิดชอบควบคุมการขุดค้น การดำเนินงานทางโบราณคดี แบ่งออกเป็น ๒ ระยะ ดังนี้ ระยะที่ ๑ เริ่มตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๕๙ - ๒๕๖๐ ทำการขุดค้นและขุดแต่งในพื้นที่ทัณฑสถานหญิงเดิม พื้นที่บางส่วนของสำนักงานยาสูบ (เดิมเป็นคุ้มเจ้าบุรีรัตน์ แก้วมุงเมือง) และพื้นที่บ้านพักผู้บัญชาการเรือนจำเดิม ซึ่งบริเวณเหล่านี้เมื่อนำมาเทียบกับแผนที่เมืองเชียงใหม่ที่จัดทำขึ้นในปี พ.ศ. ๒๔๓๖ ก็พบว่าตรงกับพื้นที่สี่เหลี่ยมด้านทิศใต้ของเวียงแก้ว ระยะที่ ๒ เริ่มช่วงเดือนกันยายน ๒๕๖๓ - เดือนมีนาคม ๒๕๖๔ เป็นการดำเนินงานต่อเนื่องภายหลังจากการรื้อถอนอาคารของทัณฑสถานหญิงเดิมรุ่นหลังบางอาคารที่ทับกับหลักฐานแนวอิฐที่พบจากการขุดค้นในระยะที่ ๑ จากการดำเนินงานตลอดปี พ.ศ. ๒๕๕๙ - เดือนมีนาคม ๒๕๖๔ พบหลักฐานสำคัญที่บ่งบอกถึงพัฒนาการของเวียงแก้ว ได้แก่ แนวอิฐที่ก่อเป็นกำแพงและฐานรากอาคาร ที่บ่งบอกถึงลำดับการก่อสร้างภายในเวียงแก้วมาตั้งแต่สมัยล้านนา (ราวพุทธศตวรรษที่ ๒๑ - ๒๒) โดยสันนิษฐานว่า การสร้างเวียงแก้วน่าจะเริ่มจากบริเวณพื้นที่สี่เหลี่ยมด้านทิศตะวันออกก่อน แล้วจึงปรับเปลี่ยน ขยับขยายพื้นที่เรื่อยมาหลายยุคสมัยจนกระทั่งมีลักษณะดังเช่นปัจจุบัน นอกเหนือจากหลักฐานสำคัญอย่างแนวกำแพงและฐานรากอาคารแล้ว หลักฐานโบราณวัตถุที่พบจากการขุดค้นและขุดแต่งทางโบราณคดีในเวียงแก้วก็มีความสำคัญเช่นกัน โดยโบราณวัตถุที่พบนั้นมีจำนวนนับหมื่นชิ้น ส่วนใหญ่เป็นโบราณวัตถุประเภทเครื่องปั้นดินเผาแบบเนื้อดิน อาทิ ครก สาก หินบดยา เครื่องปั้นดินเผาเนื้อแกร่งจากแหล่งเตาในล้านนาและท้องถิ่น รวมไปถึงเครื่องถ้วยจากต่างประเทศ ทั้งเครื่องถ้วยจีนสมัยราชวงศ์หยวน หมิง และชิง แม้กระทั่งเครื่องถ้วยจากประเทศญี่ปุ่นและเวียดนามก็พบในแหล่งโบราณคดีแห่งนี้เช่นกัน การดำเนินงานขณะนี้ยังคงอยู่ในระหว่างการวิเคราะห์โบราณวัตถุ หากมีการวิเคราะห์เสร็จสิ้นแล้วก็จะช่วยให้มองเห็นภาพพัฒนาการของเวียงแก้วได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น การดำเนินงานขุดค้นและขุดแต่งทางโบราณคดีได้เสร็จสิ้นลงแล้ว เมื่อเดือนมีนาคม ๒๕๖๔ ที่ผ่านมา โดยทางสำนักศิลปากรที่ ๗ เชียงใหม่ ได้ทำการขุดค้น ขุดแต่งจนถึงชั้นดินพื้นที่ใช้งานเดิมสมัยล้านนา และทำการรื้อถอนอาคารทัณฑสถานเดิมออกบางส่วน เหลือเพียงอาคารที่ยังคงมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ด้านการศาลไว้ ๓ หลัง คือ อาคารบัญชาการ เรือนเพ็ญ และอาคารแว่นแก้ว รวมไปถึงป้อมปราการด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้และกำแพงเรือนจำบางส่วนเท่านั้น ขณะที่แนวอิฐที่เป็นกำแพงเวียงแก้วและฐานรากอาคารต่างๆ ที่ขุดค้นพบ จะทำการถมกลับไว้ เพื่อป้องกันการถูกทำลายจากปัจจัยต่างๆ และจะทำการขุดเปิดอีกครั้งเมื่อมีแผนการปรับปรุงพื้นที่ตามโครงการพัฒนาข่วงหลวงเวียงแก้วของจังหวัดเชียงใหม่ในอนาคต เครื่องถ้วยที่จัดแสดงในนิทรรศการ ๑. เครื่องถ้วยจีน ได้แก่ - สมัยราชวงศ์หยวน ได้แก่ กลุ่มเครื่องถ้วยลายคราม เขียนสีนํ้าเงินใต้เคลือบ และกลุ่มเครื่องเคลือบสีเขียวภาพ : เครื่องถ้วยจีนจากราชวงศ์หยวน (ซ้ายมือ) และราชวงศ์ชิง (ขวามือ) - สมัยราชวงศ์หมิง ได้แก่ กลุ่มเครื่องถ้วยเคลือบสีนํ้าเงิน จากแหล่งเตาเต๋อฮั่ว มณฑลฝูเจี้ยน กลุ่มเครื่องถ้วยลายคราม เขียนสีนํ้าเงินใต้เคลือบ จากแหล่งเตาจิ่งเต๋อเจิ้น มณฑลเจียงซี และเตาในมณฑลฝูเจี้ยน ชิ้นส่วนเครื่องถ้วยเคลือบสีเขียว จากแหล่งเตาฉือเส้า มณฑลฝูเจี้ยน เครื่องถ้วยเขียนสีบนเคลือบ จากแหล่งเตาจิ่งเต๋อเจิ้น มณฑลเจียงซีภาพ : เครื่องถ้วยจีนราชวงศ์หมิง - สมัยราชวงศ์ชิง ได้แก่ เครื่องถ้วยลายคราม เขียนสีนํ้าเงินใต้เคลือบ สมัยราชวงศ์ชิง แหล่งเตาเต๋อฮั้ว มณฑลฝูเจี้ยน และแหล่งเตาจิ่งเจ๋อเจิ้น มณฑลเจียงซี - สมัยสาธารณรัฐจีน ได้แก่ กระปุกเคลือบสีนํ้าตาล แหล่งเตาจิโจว และเศษเครื่องถ้วยเขียนสีบนเคลือบ หรือที่รู้จักกันดีในนาม “ชามตราไก่” จากแหล่งเตาต้าปู้ มณฑลกว่างตง และเครื่องถ้วยเขียนสีนํ้าเงินใต้เคลือบภาพ ; เครื่องถ้วยจีนสมัยสาธารณรัฐ (ซ้าย) และเครื่องถ้วยจากเวียดนามและญี่ปุ่น (ขวา) ๒. กลุ่มเครื่องถ้วยแหล่งเตาล้านนา/ท้องถิ่น อาทิ เบี้ยขุดลายจากแหล่งเตาพะเยา (เวียงบัว) ก้นภาชนะเขียนลายสีดำบนพื้นขาวจากแหล่งเตาสุโขทัย เครื่องถ้วยเคลือบสีเขียวขุดลายจากแหล่งเตาศรีสัชนาลัย เครื่องถ้วยเคลือบสีขาว และเขียนสีดำบนพื้นขาวใต้เคลือบจากแหล่งเตาเวียงกาหลง จังหวัดเชียงราย เครื่องถ้วยเคลือบสีเขียวจากแหล่งเตาสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่ ตุ๊กตาดินเผาเคลือบสีเขียว ชิ้นส่วนพระพุทธรูปดินเผา รวมถึงภาชนะดินเผาเนื้อดินที่ผลิตในแหล่งเตาท้องถิ่น เช่น กุณฑี (คนโท) ตะคันดินเผา หม้อปากผายออกขนาดเล็ก และครกดินเผา ครกหิน และสาก ที่ได้จากการขุดค้นในแหล่งโบราณคดีเวียงแก้วด้วยภาพ : เครื่องถ้วยจากแหล่งเตาในล้านนาและภาคเหนือภาพ : กุณฑี (คนโท) และภาชนะดินเผาเนื้อดินชนิดอื่นๆ ที่พบในแหล่งโบราณคดีเวียงแก้วภาพ : ครกดินเผา ครกหิน และสาก ๓. กลุ่มเครื่องถ้วยจากประเทศเวียดนาม และญี่ปุ่น ได้แก่ เครื่องถ้วยเคลือบสีเขียว และเขียนสีนํ้าเงินใต้เคลือบจากประเทศเวียดนาม ชิ้นส่วนเครื่องถ้วยเขียนสีแดงลายโชกุน สมัยเอโดะ ชิ้นส่วนเครื่องถ้วยพิมพ์ลายสีนํ้าเงินใต้เคลือบ สมัยเมจิ - ไทโช และแจกันเขียนลายสีนํ้าเงินและทอง ราวสมัยเมจิ จากประเทศญี่ปุ่น นิทรรศการเครื่องถ้วยเวียงแก้วครั้งนี้ ได้นำเอาเครื่องถ้วยที่ได้จากการขุดค้นพบในแหล่งโบราณคดีเวียงแก้ว มาจัดลำดับตามอายุสมัยของเครื่องถ้วย เทียบกับเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับเวียงแก้วจากหลักฐานเอกสารทางประวัติศาสตร์ โดยนำเสนอในรูปแบบของไทม์ไลน์ เพื่อให้ผู้เข้าชมสามารถเข้าใจบริบทของเครื่องถ้วยที่พบในเวียงแก้วได้มากยิ่งขึ้น นิทรรศการพิเศษ เรื่อง "เครื่องถ้วยเวียงแก้ว จากวัตถุสู่พัฒนาการวังหลวงแห่งเวียงเชียงใหม่" จัดแสดงระหว่างวันที่ ๑ กันยายน - ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๔ ณ อาคารจัดแสดงชั้น ๒ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เชียงใหม่ เปิดให้บริการทุกวันพุธ – วันอาทิตย์ เวลา ๐๙.๐๐ – ๑๖.๐๐ น. (ปิดวันจันทร์ อังคาร และวันหยุดนักขัตฤกษ์) สอบถามเพิ่มเติม โทร. ๐ ๕๓๒๒ ๑๓๐๘
ชื่อผลงาน: จิตรกรรมประกอบโคลงพระราชพงศาวดาร
ศิลปิน: ไม่ปรากฏนาม
เทคนิค: จิตรกรรมสีฝุ่นบนแผ่นไม้
ขนาด: กว้าง 70 ซม. สูง 48 ซม.
อายุสมัย: รัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ 5 พุทธศักราช 2430
รายละเอียดเพิ่มเติม: พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) ทรงโปรดเกล้าฯ ให้มีการประกวดแต่งโคลงประกอบพระราชพงศาวดาร และเขียนภาพจิตรกรรมเล่าเรื่องประวัติศาสตร์ประกอบโคลง ในงานพระเมรุสมเด็จพระเจ้าลูกเธอฯ พุทธศักราช 2430 งานจิตรกรรมชิ้นนี้ เป็นหนึ่งในผลงานชิ้นเด่นของภาพชุดโคลงพงศาวดาร ซึ่งถ่ายทอดเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ ตอน เพลิงไหม้พระที่นั่งอมรินทราภิเษกมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง เนื่องจากเหตุฟ้าผ่า ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช (รัชกาลที่ 1) เมื่อพุทธศักราช 2332
Title: illustrated chronicle painting with poetry
Artist: anonymous
Technique: tempera on wooden panel
Size: 70 × 48 cm.
Period: Rattanakosin era, 1887 in the reign of King Chulalongkorn (Rama V)
Detail: His Majesty King Chulalongkorn (Rama V) ordered to ran a painting competition as illustrations for the royal Thai chronicle, in a memorable event upon the royal cremation ceremony for His Majesty’s child in 1887. One of these paintings which considered a remarkable piece, depicted a historical event of a fire incident at Amarindara Bishek Throne Hall in The Royal Grand Palace complex as an effect of a lightning strike, occurred in 1789 in the reign of Somdej Phra Puttha Yodfah (King Rama I).
เขตพระราชฐานชั้นใน หรือที่บางคนเรียกว่า “ฝ่ายใน” นั้น เป็นคําที่ใช้เรียกพื้นที่ส่วนหนึ่ง ในพระบรมมหาราชวัง มีบริเวณอยู่ทางทิศใต้ของพระบรมมหาราชวัง อันเป็นที่ประทับสําหรับ พระมเหสี พระราชเทวี พระชายา พระราชธิดาและเป็นที่อยู่ของเจ้าจอมมารดา เจ้าจอม เหล่าข้าราชบริพารและข้าราชการฝ่ายใน ซึ่งเป็นเขตพื้นที่สาหรับผู้หญิงล้วนและห้ามผู้ชายที่มีอายุเกิน ๑๓ ปีเข้าไป เว้นแต่พระมหากษัตริย์เท่านั้นที่จะประทับในเขตพระราชฐานชั้นในได้ หากผู้ชายมีความจําเป็นจะต้องเข้าไปทําธุระในเขตพระราชฐานชั้นใน จะต้องมีโขลนคอยกํากับ ควบคุมและดูแลโดยตลอด การพระราชพิธีต่าง ๆ นับแต่โบราณ เป็นที่ทราบแน่ชัดว่าจะต้องมีวงดนตรีต่าง ๆ เข้าไปประโคมเพื่อประกอบพระอิสริยยศอยู่ด้วย โดยงานพระราชพิธีที่จัดขึ้นนั้นมีทั้งงานที่จัดขึ้นนอกพระบรมมหาราชวังและงานที่จัดขึ้นในพระบรมมหาราชวัง ถ้าหากงานพระราชพิธีนั้นจัดขึ้นในเขตพระราชฐานชั้นนอก เขตพระราชฐานชั้นกลาง ของพระบรมมหาราชวังหรือจัดขึ้น นอกพระบรมมหาราชวัง นักดนตรีที่บรรเลงในงานพระราชพิธีนั้นโดยมากจะนิยมใช้ผู้ชาย แต่ถ้าหากงานพระราชพิธีนั้นจัดขึ้นในเขตพระราชฐานชั้นใน อันเป็นเขตพื้นที่หวงห้ามสาหรับบุรุษเพศแล้ว ย่อมเป็นที่แน่นอนว่านักดนตรีที่บรรเลงในงานพระราชพิธีดังกล่าวนั้นจะต้องเป็นผู้หญิง ดังที่ นายมนตรี ตราโมท ศิลปินแห่งชาติ ได้กล่าวถึง การประโคมดุริยางคดนตรีในพระราชพิธีที่จัดขึ้น ในเขตพระราชฐานชั้นใน ไว้ในหนังสือการบรรเลงปี่พาทย์ในงานพระราชพิธี ความว่า “..อนึ่ง งานที่ประกอบขึ้น ณ พระราชฐานชั้นใน อันมีแต่ข้าราชการ และเจ้านายฝ่ายในนั้น การประโคมใช้วงปี่พาทย์ผู้หญิง ซึ่งแต่ก่อนมีประจําอยู่วงหนึ่ง ผู้บรรเลงเป็นสตรีล้วน...” (มนตรี ตราโมท, ๒๕๐๑: ๔) จากข้อมูลข้างต้นแสดงให้เห็นว่า นักดนตรีที่ทําหน้าที่ประโคมดุริยางคดนตรีในงานพระราชพิธีที่จัดขึ้นในเขตพระราชฐานชั้นในแต่โบราณนั้นเป็นนักดนตรีที่เป็นผู้หญิงล้วน ซึ่งข้อมูลสําคัญ อีกประการที่แสดงให้เห็นว่างานพระราชพิธีที่จัดขึ้นในเขตพระราชฐานชั้นใน มีการใช้วงดนตรีที่มีผู้บรรเลงเป็นผู้หญิงล้วนในการประโคมก็คือ ข้อมูลที่ปรากฏอยู่ในหนังสือสาส์นสมเด็จ ที่สมเด็จ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดํารงราชานุภาพ ได้กราบทูลสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้า กรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ถึงเรื่อง “การประโคมเมื่อเจ้านายประสูติ” ซึ่งเป็นการประโคมดุริยางคดนตรีที่จัดขึ้นในเขตพระราชฐานชั้นใน ไว้ว่า “...ปี่พาทย์ประโคมเมื่อพระเจ้าลูกเธอประสูตินั้น ผู้หญิงทําทั้งปี่พาทย์และแตรสังข์...” (สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดํารงราชานุภาพ, ๒๕๕๒: ๒๔๐) ถึงแม้ว่าปี่พาทย์พิธีและแตรสังข์ที่ใช้ประโคมในเขตพระราชฐานชั้นในจะใช้ผู้หญิงล้วนในการบรรเลงเครื่องดนตรี แต่สาหรับ “ฆ้องชัย” ซึ่งเป็นเครื่องดนตรีชนิดหนึ่งที่อยู่ในแตรสังข์ของงานเครื่องสูงนั้น ยังคงใช้ผู้ชายเข้าไปทําหน้าที่อยู่ โดยจะใช้พนักงานผู้ชายคุมเข้าไปคอยอยู่กับปี่พาทย์พิธี ที่บรรเลงด้วยผู้หญิงล้วนเพื่อทาหน้าที่ลั่นฆ้องชัย สาหรับสาเหตุที่ฆ้องชัยไม่ใช้ผู้หญิงลั่นนั้น สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ได้กราบทูลสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดํารงราชานุภาพ ไว้ในหนังสือสาสน์สมเด็จ ความว่า “...ในการที่เอาผู้ชายไปตีฆ้องชัยนั้น สันนิษฐานว่าจะต้องเป็นเช่นนั้น เพราะสิ่งศักดิ์สิทธิ์แล้วผู้หญิงจับไม่ได้ ที่ปี่พาทย์ผู้หญิงไม่มีฆ้องชัยก็เพราะถ้ามี ก็ไม่เป็นชัย ไปได้ ด้วยผู้หญิงถูกต้องฆ้องนั้น...” (สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยา นริศรานุวัดติวงศ์, ๒๕๕๒: ๒๔๑) นอกจากนี้นางเจริญใจ สุนทรวาทิน ศิลปินแห่งชาติ บุตรีพระยาเสนาะดุริยางค์ (แช่ม สุนทรวาทิน) ผู้เคยถวายตัวเป็นข้าหลวงในสมเด็จพระนางเจ้ารําไพพรรณี พระบรมราชินี ในรัชกาลที่ ๗ และได้อยู่งานฉลองพระเดชพระคุณเป็นนักร้องประจําวงมโหรีของพระราชสํานัก ยังได้บรรยายถึงบรรยากาศการฝึกซ้อมดนตรีและการบรรเลงดนตรีในงานพระราชพิธีต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวไว้อย่างน่าสนใจ ความว่า “...ข้าพเจ้าจะเล่าถึงงานหลวงที่ได้ปฏิบัติมาตลอดรัชกาลที่ ๗ งานเฉลิม พระชนมพรรษา วันฉัตรมงคล วงมโหรีหลวงต้องเข้าไปบรรเลงในพระราชวังชั้นในซึ่งไม่มีผู้ชายเข้าได้ ข้าพเจ้าเป็นคนระนาดทอง วันเฉลิมพระชนมพรรษามีพระราชพิธี ๓ วัน เช้า – เย็น มโหรีต้องทํารับพระ – ส่งพระ งานฉัตรมงคลก็เช่นเดียวกัน และตอนเย็นของวันสุดท้าย จะมีงานราชอุทยานสโมสร ที่สวนศิวาลัย หลังพระที่นั่งบรมพิมาน จะมีพระบรมวงศานุวงศ์ชั้นสูงและคณะทูตานุทูตประเทศต่าง ๆ มาถวายพระพร มีมโหรีพวกเราบรรเลงทุกปีที่เสด็จอยู่...งานหลวงในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว มีอยู่ตลอด การทํางานของเราก็คล้ายกรมศิลปากรเดี๋ยวนี้ แต่เล็กกว่า แสดงแต่เฉพาะของพระเจ้าอยู่หัวและแล้วแต่จะทรงพระกรุณา โปรดเกล้า ฯ ส่งไปช่วย...” (เจริญใจ สุนทรวาทิน, ๒๕๕๕: ๑๓๒-๑๓๓) จากข้อมูลของนางเจริญใจ สุนทรวาทิน ศิลปินแห่งชาติ จะเห็นได้ว่า ในอดีตงานพระราชพิธี ที่จัดขึ้นในเขตพระราชฐานชั้นในนั้น นอกจากจะมีการใช้วงปี่พาทย์ผู้หญิงดังที่ได้กล่าวมาแล้ว ในข้างต้น การประโคมดุริยางคดนตรีในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวยังมีการใช้วงมโหรีผู้หญิงล้วนสําหรับบรรเลงในงานพระราชพิธีสําคัญต่าง ๆ ที่จัดขึ้นในเขตพระราชฐานชั้นในอีกด้วย หลังจากเกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครองในพุทธศักราช ๒๔๗๕ ชีวิตนักดนตรีผู้หญิง ในพระราชสํานักก็เปลี่ยนไป บางท่านย้ายกลับภูมิลําเนาเดิมของตนเอง บางท่านย้ายสังกัดมาขึ้นตรงกับกรมศิลปากร ที่แผนกดุริยางค์ไทย ซึ่งปัจจุบันคือกลุ่มดุริยางค์ไทย สํานักการสังคีต กรมศิลปากร ปัจจุบันถึงแม้ว่าจะไม่มีวงดนตรีที่บรรเลงด้วยผู้หญิงล้วนเข้าไปประโคมฉลองพระเดชพระคุณในงานพระราชพิธีต่าง ๆ ที่จัดขึ้นในเขตพระราชฐานชั้นในเช่นแต่ก่อน แต่ทว่าหากมีงานพระราชพิธี ที่จัดขึ้นในเขตพระราชชั้นในครั้งใด อย่างไรเสียก็ยังคงต้องมีวงดนตรีเข้าไปทําหน้าที่ประโคมดังเดิม เช่น พระราชพิธีสรงมูรธาภิเษกพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในรัชกาลปัจจุบัน ที่จัดขึ้น ณ พระที่นั่งไพศาลทักษิณ ในพระบรมมหาราชวัง พระราชพิธีเฉลิมพระราชมณเฑียร พระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัวในรัชกาลปัจจุบัน ที่จัดขึ้น ณ พระที่นั่งจักรพรรดิพิมาน ในพระบรมมหาราชวัง และพระราชพิธีบวงสรวงพระสยามเทวาธิราช ที่จัดขึ้น ณ พระที่นั่งไพศาลทักษิณ ในพระบรมมหาราชวัง เป็นประจําทุกปี ฯลฯ ซึ่งพระราชพิธีต่าง ๆ ที่กล่าวมานั้น ล้วนแล้วแต่เป็น พระราชพิธีที่จัดขึ้นในเขตพระราชฐานชั้นในทั้งสิ้นและในการพระราชพิธีดังกล่าวยังคงมีปี่พาทย์พิธี ซึ่งบรรเลงโดยดุริยางคศิลปิน จากกลุ่มดุริยางค์ไทย สํานักการสังคีต กรมศิลปากร เข้าไปประโคม อยู่ด้วยทุกครั้ง ทั้งนี้ข้อกาหนดเรื่องเพศของผู้บรรเลงนั้นไม่ได้เคร่งครัดเช่นแต่ก่อน มีการใช้ผู้บรรเลงทั้งชายและหญิงเข้าไปฉลองพระเดชพระคุณในงานพระราชพิธีต่าง ๆ ที่จัดขึ้นในเขตพระราชฐานชั้นในทุกครั้ง------------------------------------------------------------------ผู้เขียน : นายธำมรงค์ บุญราช นักวิชาการละครและดนตรีปฏิบัติการ กลุ่มวิจัยและพัฒนาการสังคีต สํานักการสังคีต กรมศิลปากร------------------------------------------------------------------รายการอ้างอิง เจริญใจ สุนทรวาทิน, ข้าพเจ้าภูมิใจที่เกิดเป็นนักดนตรีไทย. ใน จารุวรรณ ชลประเสริฐ และ พรทิพย์ จันทิวโรทัย, บรรณานุสรณ์ เจริญใจ สุนทรวาทิน, หน้า ๑๓๒-๑๓๓. กรุงเทพมหานคร: อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง จากัด (มหาชน), ๒๕๕๕. ดํารงราชานุภาพ, สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยา และนริศรานุวัดติวงศ์, สมเด็จพระเจ้า บรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยา. ประโคมเจ้านายประสูติ. ใน พูนพิศ อมาตยกุล, เพลง ดนตรี และนาฏศิลป์ จากสาส์นสมเด็จ, หน้า ๒๔๐-๒๔๑. กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์เรือนแก้ว การพิมพ์, ๒๕๕๒. มนตรี ตราโมท, การบรรเลงปี่พาทย์ในงานพระราชพิธี. พิมพ์เป็นที่ระลึกในงานพระราชทานเพลิงศพ หลวงบํารุงจิตรเจริญ และนางศุภลักษณ์ ภัทรนาวิก ณ วัดมกุฏกษัตริยาราม วันที่ ๕ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๐๑. ม.ป.ท., ๒๕๐๑.
ระบบชลประทานและเหมืองฝายของชาวล้านนาภาคเหนือของประเทศไทยมีลักษณะภูมิประเทศเป็นพื้นที่ภูเขาสลับที่ราบมีแม่น้ำไหลผ่าน ผู้คนมักอาศัยบริเวณพื้นที่ราบสองริมฝั่งน้ำเพื่อทำการเกษตรและสร้างบ้านเมือง ในหน้าแล้ง น้ำในแม่น้ำจะลดระดับต่ำลง ทำให้เกิดการคิดค้นวิธีกักเก็บน้ำและแบ่งสรรปันน้ำโดยสร้างระบบชลประทานแบบภูมิปัญญาชาวบ้านขึ้น คือการสร้างฝายและต่อมาจึงได้คิดค้นเครื่องกั้นลำน้ำสู่พื้นที่ไร่นา เพื่อแบ่งปันน้ำ กักเก็บน้ำ และระบายน้ำออก โดยมี "แก่ฝาย" เป็นผู้ควบคุมและจัดการน้ำฝาย หรือเหมืองฝาย เกิดจากการสังเกตระดับน้ำที่ขึ้นลงตามฤดูต่างๆ เช่น ฤดูฝน ระดับน้ำขึ้นสูงท่วมตลิ่ง ส่วนหน้าแล้งระดับน้ำลดลงมากจนไม่สามารถใช้น้ำเลี้ยงพืชผลไร่นาได้ ชาวบ้านจึงร่วมกันใช้ไม้ไผ่จำนวนมากตอกเรียงซ้อนเหลื่อมขวางกั้นลำน้ำ เรียกว่า "หลักฝาย" แต คือทำนบกั้นน้ำในลำเหมืองใหญ่ เพื่อแบ่งน้ำเข้าสู่ลำเหมืองเล็ก และอีกส่วนจะล้นท่วมสู่ลำเหมืองใหญ่ แตสร้างขึ้นโดยคนกลุ่มขนาดเล็ก และใช้ชื่อคนที่ได้น้ำเข้าถึงที่นาก่อนเป็นชื่อเรียก เช่น แตปู่หมื่น คือ มีนายหมื่นเป็นหัวหน้าในการสร้าง และปันน้ำไปถึงคนอื่นๆ ๔ - ๕ คนในพื้นที่บริเวณใกล้เคียงปุม คือคันทดน้ำในลำเหมืองขนาดเล็กมาก เป็นคันดินที่มีช่องให้น้ำไหลผ่านได้เพียงส่วนหนึ่ง อีกส่วนเข้าสู่ไร่ คนที่สร้างปุม จะสร้างกับพื้นที่ที่ใกล้ชิดกันและใช้น้ำร่วมปุมเดียวกันเท่านั้นเมื่อน้ำเข้าสู่แปลงนาแล้ว ชาวนาจะใช้น้ำอยู่ประมาณ ๑๐ - ๑๕ วัน เพื่อทำการปลูกข้าว จากนั้นจึงจะระบายน้ำออก โดยมีวิธีการ ๓ ลักษณะดังนี้ ๑. ข่าง คือการเปิดน้ำให้ผ่านสู่ต๊าง (ช่องทางน้ำผ่านคันนา) เข้านาให้น้ำไหลผ่านเต็มที่ ชาวล้านนาเรียกว่า การข่างน้ำนา หมายถึง การระบายน้ำ๒. ยอย คือการระบายน้ำทีละน้อยๆ หรือก็คือการทยอยแบ่งน้ำให้มีระดับที่เท่าๆกัน๓. ลดน้ำ คือ การเปิดให้น้ำที่ใช้แล้ว หรือน้ำที่เหลือกลับสู่ลำเหมืองการจัดการระบบน้ำมีความสำคัญต่อวิธีการดำรงชีวิตของชาวบ้าน จนเกิดการสร้างหอผีฝายและพิธีเลี้ยงผีฝาย เป็นพิธีกรรมเพื่อให้ชาวบ้านช่วยกันดูแลรักษาฝาย ซึ่งพิธีมักจัดขึ้นช่วงวันแรม ๙ ค่ำ เดือน ๙ ทุกปี บริเวณลำน้ำปิง เหมืองฝายพญาคำ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นฝายดั้งเดิมครอบคลุมพื้นที่ในจังหวัดเชียงใหม่ - ลำพูน นอกจากนั้น ยังมีฝายในพื้นที่อื่นๆ เช่น ฝายวังไฮ ที่อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นฝายที่ใช้หล่อเลี้ยงเกษตรกรรมใน ๓ หมู่บ้านคือ บ้านม่วงฆ้อง บ้านดง และบ้านทุ่งหลุก ผู้เรียบเรียง : นางสาวอริสรา คงประเสริฐ นักจดหมายเหตุภาพ :๑. หอจดหมายเหตุแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เชียงใหม่๒. หนังสือ เรื่องบ่าเก่าเล่าล้านนา เหมืองฝาย แม่ญิงขี่รถถีบกางจ้องอ้างอิง : ๑. นิคม พรหมมาเทพย์. มปป. เรื่องบ่าเก่าเล่าล้านนา เหมืองฝาย แม่ญิงขี่รถถีบกางจ้อง. มปท.๒. ชัชวาล ทองดีเลิศ. ๒๕๖๒. เหมืองฝาย มรดกภูมิปัญญาจัดการน้ำของคนเหนือ (Online). https://thecitizen.plus/node/๒๖๔๗๐, สืบค้นเมื่อวันที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๖๔.๓. องศาเหนือ. ๒๕๖๓. เสวนานวัตกรรมการจัดการเหมืองฝายพญาคำ : จากอดีตสู่ปัจจุบัน (Online). https://thecitizen.plus/node/๓๒๓๖๓, สืบค้นเมื่อวันที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๖๔.
นิพฺพานสุตฺต (นิพฺพานสูตร)
ชบ.บ.75/1-1ฆ
เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)
ติโลกนยวินิจฺฉย (ไตรโลกนยฺยวินิจฺฉย)
ชบ.บ.95ข/1-15
เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)
เลขทะเบียน : นพ.บ.305/1ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 18 หน้า ; 4 x 54.5 ซ.ม. : ทองทึบ-ชาดทึบ ; ไม้ประกับธรรมดาชื่อชุด : มัดที่ 124 (287-301) ผูก 1 (2565)หัวเรื่อง : สตฺตปฺปกรณาภิรมฺม (อภิธัมมสังคิณี-พระมาหาปัฏฐาน)--เอกสารโบราณ คัมภีร์ใบลาน พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม
กู่บ้านหัวสระ ตำบลหัวทะเล อำเภอบำเหน็จณรงค์ จังหวัดชัยภูมิ
นอกจาก กู่บ้านกุดยาง แล้ว ในเขตพื้นที่ อำเภอบำเหน็จณรงค์ ยังพบร่องรอยหลักฐานการมีอยู่ของปราสาทในวัฒนธรรมเขมรอีกหลายแห่ง อาทิ โบราณสถานปรางค์บ้านตาล โบราณสถานสบน้ำมัน ซึ่งตั้งอยู่ทางด้านทิศเหนือของกู่บ้านหัวสระ ห่างไปประมาณ 4 กิโลเมตร และ 10 กิโลเมตร
ร่องรอยของ #กู่บ้านกุดยาง ปรากฏให้เห็นเฉพาะส่วนฐานของสิ่งก่อสร้าง จากหลักฐานพบว่า กู่บ้านหัวสระ มีปราสาทประธานหลังเดียว หันด้านหน้าไปทางตะวันออก ก่อสร้างด้วยศิลาแลงและหินทราย ส่วนฐานชั้นล่างสุดถูกฝังจมอยู่ใต้ดินทั้งหมด ไม่เห็นรูปทรงที่ชัดเจนและไม่สามารถตรวจสอบขนาดความกว้าง – ความยาวได้ บนผิวดินพบร่องรอยของหินทรายสีแดงที่วางเรียงเป็นกรอบส่วนฐานของชั้นเรือนธาตุของปราสาท แผนผังรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสเพิ่มมุม ขนาดกว้าง – ยาว ด้านละประมาณ 4.30 เมตร ทางด้านตะวันออกที่ตำแหน่งประตูทางเข้า พบร่องรอยของหินกรอบประตูและเสาประดับกรอบประตู ทั้ง 2 ข้าง นอกจากนี้ที่ทางด้านตะวันออก ยังพบหลักฐานหินทรายสีแดงวางเรียงเป็นกรอบฐานของห้องมุข ขนาดกว้าง 2.50 เมตร ยื่นออกมากจากฐานของปราสาท ระยะ 1.50 เมตร เหนือจากส่วนฐานขึ้นไปซึ่งตามรูปแบบแล้วจะเป็นส่วนเรือนธาตุและชั้นยอดของปราสาท พังทลายลงหมดแล้ว
ด้านทิศตะวันออกของกู่บ้านหัวสระ ระยะทางประมาณ 140 เมตร ปรากฏ #บารายรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ขนาดกว้าง 150 เมตร ยาว 220 เมตร ปัจจุบันได้รับการขุดลอกและปรับปรุงแล้ว มีการใช้ประโยชน์ในการเก็บกักน้ำ
จากรูปแบบทางสถาปัตยกรรมที่พบและวัสดุที่นำมาใช้สร้างปราสาท จึงสันนิษฐานว่ากู่บ้านหัวสระมีอายุอยู่ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 16-18
นอกจาก กู่บ้านกุดยาง แล้ว ในเขตพื้นที่ อำเภอบำเหน็จณรงค์ ยังพบร่องรอยหลักฐานการมีอยู่ของปราสาทในวัฒนธรรมเขมรอีกหลายแห่ง อาทิ โบราณสถานปรางค์บ้านตาล โบราณสถานสบน้ำมัน ซึ่งตั้งอยู่ทางด้านทิศเหนือของกู่บ้านหัวสระ ห่างไปประมาณ ๔ กิโลเมตร และ ๑๐ กิโลเมตร
ข้อมูลโดย นายนภสินธุ์ บุญล้อม นักโบราณคดีชำนาญการ