ค้นหา

รายการที่พบทั้งหมด 48,823 รายการ

ชื่อเรื่อง                                ปํสุกูลจีวรทานานิสํสกถา (อานิสงส์ผ้าป่า)สพ.บ.                                  114/1กประเภทวัสดุมีเดีย                    คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่                               พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ                           26 หน้า กว้าง 5 ซ.ม. ยาว 58 ซ.ม. หัวเรื่อง                                 กฐินและผ้าป่า  บทคัดย่อ/บันทึก เป็นคัมภีร์ใบลาน อักษรขอม เส้นจาร ฉบับลานดิบ ได้รับบริจาคมาจาก วัดประสพสุข   ต.ทับตีเหล็ก อ.เมือง จ.สุพรรณบุรี


เลขทะเบียน : นพ.บ.99/ค/1ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ :  68 หน้า ; 4.5 x 55.5 ซ.ม. : ทองทึบ ; ไม้ประกับธรรมดา  ชื่อชุด : มัดที่ 58 (154-159) ผูก 1 (2564)หัวเรื่อง : กจฺจายนมูล (พระมุลลกัจจายนนาม-ตัทธิต) --เอกสารโบราณ            คัมภีร์ใบลาน            พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา  สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม


ชื่อผู้แต่ง             มงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว , พระบาทสมเด็จพระ ชื่อเรื่อง              พระบรมราโชวาทในรัชกาลที่ ๕ พระราชทานแด่ พระเจ้าลูกยาเธอ , หลักราชการ , พระพุทธเจ้าตรัสรู้อะไร ครั้งที่พิมพ์           พิมพ์ครั้งที่ยี่สิบหก , พิมพ์ครั้งที่ สี่สิบสาม ,พิมพ์ครั้งที่ยี่สิบสี่ สถานที่พิมพ์         - สำนักพิมพ์           -  ปีที่พิมพ์              ๒๕๑๖ จำนวนหน้า          ๑๐๔  หน้า หมายเหตุ            พิมพ์เป็นอนุสรณ์ในงานฌาปนกิจศพ นางจิตรา ตะวันฉาย ณ เมรุวัดมกุฏกษัตริยาราม กรุงเทพมหานคร วันจันทร์ที่ ๑๒ พฤศจิกายน ๒๕๑๖                        หนังสือพระบรมราโชวาทในรัชกาลที่ ๕ พระราชทานพระเจ้าลูกยาเธอนี้ แบ่งออกเป็นสองภาค ภาคแรกประกอบด้วยพระบรมราโชวาทพระราชทานสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชเจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิด และสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธสยามมกุฎราชกุมาร ส่วนภาคที่สองพระราชทานพระเจ้าลูกยาเธอ ๔ พระองค์ คือ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระจันทบุรีนฤนาถ พระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ พระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหลวงปราจิณกิตบดี และจอมพล พระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหลวงนครไชยศรีสุรเดช                          หนังสือหลักราชการ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชนิพนธ์ขึ้นสำหรับแจกข้าราชการในโอกาสตรุษสงกรานต์ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๗ แต่ถึงแม้กาลเวลาจะได้ล่วงเลยมาขนบัดนี้ นับได้หลายสิบปี หนังสือเรื่องนี้ก็ยังทันสมัย และเหมาะสำหรับข้าราชการจะยึดถือเป็นแนวทางประพฤติปฏิบัติอยู่เสมอ                           เรื่องพระพุทธเจ้าตรัสรู้อะไร พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชนิพนธ์ขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๖ เพื่ออธิบายให้พุทธศาสนิกชนเข้าใจแจ่มแจ้งว่า พระพุทธองค์ได้ตรัสรู้ความจริงอันประเสริฐ ๔ ประการ เรียกว่า อริยสัจสี่  


เลขทะเบียน : นพ.บ.79/7ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ :  90 หน้า ; 5.9 x 56 ซ.ม. : ล่องรัก ; ไม้ประกับธรรมดา  ชื่อชุด : มัดที่ 49 (71-77) ผูก 7 (2564)หัวเรื่อง : สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (พระสังคิณี-พระมหาปัฏฐาน)--เอกสารโบราณ            คัมภีร์ใบลาน            พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา  สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม


สตฺตปฺปกรณาภิธมฺมเทศนา (เทศนาสังคิณี-มหาปัฎฐาน) เลขที่ ชบ.บ.3/1-4 เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)


ชื่อเรื่อง : ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยกับกัมพูชา ชื่อผู้แต่ง : กระทรวงการต่างประเทศ ปีที่พิมพ์ : 2504 สถานที่พิมพ์ : พระนคร สำนักพิมพ์ : โรงพิมพ์สำนักทำเนียบนายกรัฐมนตรี จำนวนหน้า : 88 หน้า สาระสังเขป : นำเสนอข้อเท็จจริงเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยกับประเทศกัมพูชา กล่าวถึงประเด็นประเทศกัมพูชาตัดความสัมพันธ์ทางการทูตกับประเทศไทย 2 ครั้ง โดยครั้งแรกเกิดขึ้นเมื่อ ปี พ.ศ. 2501 ประเทศกัมพูชาให้เหตุผลในการตัดสินใจว่าหนังสือพิมพ์ไทยนำเสนอข่าวโจมตี และในครั้งที่ 2 เกิดขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2504 ประเทศกัมพูชาให้เหตุผลว่าเนื่องจากนายกรัฐมนตรี จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ได้กล่าวหาประเทศกัมพูชาอย่างเปิดเผยต่อหน้าคณะทูตในประเทศไทย ว่าได้อนุญาตให้มีการใช้ดินแดนในประเทศเป็นฐานทัพสำหรับรุกรานประเทศเพื่อนบ้าน




วีดีทัศน์เชิดชูเกียรติศิลปินอาวุโส ชุด "ถึงครูผู้ให้" นำเสนอ “ขุนพลพิทักษ์” : นายลาภ อำไพรัตน์ กลุ่มจิตรกรรม สำนักช่างสิบหมู่ กรมศิลปากร ร่วมเขียนภาพเชิดชูเกียรติศิลปินอาวุโส นายศักย ขุนพลพิทักษ์ เพื่อจัดแสดงในนิทรรศการเชิดชูเกียรติศิลปินอาวุโส ประจำปี ๒๕๖๔ ระหว่างวันที่ ๒๓ เมษายน - ๓๐ มิถุนายน ๒๕๖๔ ณ อาคารนิทรรศการ ๔ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หอศิลป


ติดหราง (ติดคุก)           การตัดสินคดีความในสมัยโบราณนั้นเจ้าเมืองหรือผู้ว่าราชการเมือง เป็นผู้บังคับบัญชาตัดสินคดีความต่างพระเนตรพระกรรณพระมหากษัตริย์ทั้งสิ้น โดยอาศัยตัวบทกฎหมาย พระราชกำหนด พระไอยการต่างๆที่ตราไว้สำหรับแผ่นดินเป็นหลักในการพิจารณาคดี สำหรับการลงโทษนั้นจะหนักเบาสถานใดก็เป็นไปตามโทษานุโทษแห่งคดีของผู้ร้ายรายนั้นๆ ดังนั้นบ้านเมืองต่างๆจึงต้องจัดให้มีสถานที่กักขังหรือควบคุมตัวนักโทษสำหรับเมืองนั้นๆไว้เป็นการเฉพาะ           สถานที่ควบคุมตัวนักโทษหรือผู้ร้ายนั้นตามปกตินิยมเรียกกันว่า “คุก” แต่สำหรับในพื้นที่ภาคใต้นั้นมักนิยมเรียกกันว่า “หราง”(ตะรางคุมขังนักโทษ) ผู้ร้ายที่ถูกควบคุมตัวก็เรียกกันว่า “ติดหราง” ทั้งนี้หรางในภาคใต้ในสมัยโบราณจะถูกสร้างขึ้นในบริเวณจวนเจ้าเมือง หรือบ้านของข้าราชการในตำแหน่งสำคัญที่ได้รับมอบหมายให้มีหน้าที่ตัดสินความ ตามลักษณะของคดีความในสมัยโบราณ ทั้งนี้เจ้าเมืองหรือข้าราชการที่ได้สิทธิในการตั้งหรางคุมขังนักโทษ ก็จะได้สิทธิประโยชน์ในการใช้แรงงานนักโทษตามธรรมเนียมที่กำหนดไว้แต่โบราณ แต่ก็จะต้องรับภาระเลี้ยงดูเจือจานแก่นักโทษทั้งหลายตามสมควรด้วยหรางเมืองสงขลา(บ่อยาง)           เมื่อย้ายเมืองสงขลามาตั้งที่ฝั่งบ่อยางอย่างเป็นทางการเมื่อพ.ศ.๒๓๘๕ นั้น ไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัดว่าได้ตั้ง “หราง” ไว้ ณ ที่ใด แต่ก็สันนิษฐานว่าคงอยู่ภายในบริเวณจวนผู้สำเร็จราชการเมืองสงขลา โดยลักษณะของหรางในสมัยนั้นก็สร้างเป็นอาคารง่ายๆ ไม่มีโรงเลี้ยงแต่อย่างใด ดังปรากฏในรายงานศก ๑๑๖ (พ.ศ.๒๔๔๐) ของพระยาสุขุมนัยวินิต ข้าหลวงเทศาภิบาลมณฑลนครศรีธรรมราช ตอนหนึ่งว่า            “...การเลี้ยงนักโทษเมืองนครศรีธรรมราช กับเมืองพัฒลุงอยู่ในคนหนึ่งวันละ ๔ อัฐ เมืองสงขลาคนหนึ่งวันละ ๕ อัฐ เพราะเมืองสงขลาเข้าสารแลกับเข้าแพงกว่าเมืองนคร แลที่เมืองพัฒลุง แต่การเลี้ยงนักโทษยังไม่เข้าระเบียบดีเพราะเกี่ยวข้องด้วยการปลูกสร้าง โรงเลี้ยงก็ยังไม่มี ได้ทำเปนแต่หลังคาขึ้นพออาไศรยรับประทานเท่านั้น ในศก ๑๑๘ คิดว่าจะขอรับพระราชทานเงินทำคุกหัวเมือง ๒ แห่ง เมืองนครศรีธรรมราชแห่ง ๑ จุคนประมาณ ๔๐๐ คน เมืองสงขลาแห่ง ๑ จุคนประมาณ ๒๐๐ คน...”ตะรางคุมขังนักโทษเมืองสงขลา           ตะรางคุมขังนักโทษแห่งนี้สันนิษฐานว่าได้รับงบประมาณจัดสร้างใน ร.ศ.๑๑๘ (พ.ศ.๒๔๓๒) โดยใช้พื้นที่บริเวณตึกดิน (บริเวณโรงพยาบาลเมืองสงขลาในปัจจุบัน) เป็นที่ตั้ง และพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เสด็จพระราชดำเนินไปทอดพระเนตรตะรางคุมขังนักโทษแห่งนี้ ในวันที่ ๒๗ พฤษภาคม ๒๔๔๓ ในพ.ศ.๒๔๔๕ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ เสด็จไปทอดพระเนตรตะรางคุมขังนักโทษเมืองสงขลา และทรงบันทึกสภาพตะรางคุมขังนักโทษเมืองสงขลาไว้ว่า           “......ห้องขังอยู่ข้างเล็กอัดแอเต็มที น่ากลัวอันตราย ได้แนะนำเขาว่าควรทำใหม่ เขาว่าได้คิดไว้แล้ว จะพาไปดูที่ซึ่งคิดกะว่าจะปลูกในวันอื่น โรงงานมีนิดหนึ่งแต่ไม่ได้ทำการอะไร นักโทษใช้ทำการโยธานอกเรือนจำหมด โรงครัวกินเข้าแลออฟฟิศกับสิ่งจำเปนมีพร้อม รักษาสะอาดพอควร...”ตะรางคุมขังนักโทษแห่งใหม่ : เรือนจำเมืองสงขลา           สันนิษฐานว่าในช่วงเวลาระหว่างพ.ศ.๒๔๔๕-๒๔๕๒ ได้มีการก่อสร้างตะรางคุมขังนักโทษเมืองสงขลาขึ้นใหม่ในพื้นที่ตอนเหนือของจวนผู้สำเร็จราชการเมืองสงขลา ตะรางแห่งใหม่นี้จึงได้อาศัยกำแพงเมืองสงขลาด้านทิศเหนือส่วนหนึ่งเป็นกำแพงของตะรางใหม่ด้วย ทั้งนี้จากการขุดค้นในบริเวณกำแพงเมืองเมื่อปี ๒๕๕๔ ได้พบแผ่นป้ายชื่อประจำตัวนักโทษจำนวนหนึ่งและพบว่ามีการระบุระยะเวลาการพ้นโทษตั้งแต่ร.ศ.๑๒๘- ๑๓๒ (พ.ศ.๒๔๕๒-๒๔๕๖) ซึ่งหมายความว่าอย่างน้อยในช่วงเวลาดังกล่าวได้มีการย้ายสถานที่คุมขังนักโทษจากบริเวณตึกดินมายังสถานที่แห่งใหม่แล้ว จึงพบว่าในร.ศ.๑๒๘ (พ.ศ.๒๔๕๒) ได้มีผู้พ้นโทษและทิ้งป้ายชื่อดังกล่าวเอาไว้ที่บริเวณนี้ ส่วนตะรางเดิมนั้นก็จะต้องถูกรื้อถอนไปทั้งหมดก่อนพ.ศ.๒๔๖๔ เนื่องจากพื้นที่ในบริเวณดังกล่าวได้ถูกเปลี่ยนการใช้ประโยชน์มาเป็นพื้นที่ก่อสร้างโรงพยาบาลเมืองสงขลา (สงขลาพยาบาล)จากเรือนจำสงขลา...สู่เรือนจำกลางสงขลา           ตั้งแต่พ.ศ.๒๔๗๘ จึงปรากฏหลักฐานเกี่ยวกับเรือนจำเมืองสงขลาบริเวณกำแพงเมืองสงขลามากขึ้น โดยระบุว่าในปีนั้นเรียกชื่อว่า “เรือนจำสงขลา” และในพ.ศ.๒๕๐๐ เปลี่ยนชื่อเป็น “เรือนจำเขตสงขลา” ต่อมาในพ.ศ.๒๕๑๕ ได้เปลี่ยนชื่อเป็น “เรือนจำกลางสงขลา” และในปีเดียวกันนี้กรมราชทัณฑ์ได้ดำเนินการก่อสร้างเรือนจำขึ้นใหม่ที่ บ้านสวนตูล ตำบลเขารูปช้าง อำเภอเมือง จังหวัดสงขลา ก่อนที่จะย้ายที่ตั้งเรือนจำกลางสงขลาไปยังบ้านสวนตูลทั้งหมดในวันที่ ๑ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๑๗พะทำมะรง           “พะทำมะรง” เป็นชื่อตำแหน่งเก่าของข้าราชการกรมราชทัณฑ์ มีมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี นัยว่ามีฐานะเป็นหัวหน้าผู้ควบคุมนักโทษ ควบคู่กับตำแหน่งพัศดี คือตำแหน่งผู้ควบคุมนักโทษ ปรากฏหลักฐานอยู่ในกฎหมายตราสามดวง และไอยการลักษณะต่าง ๆ ตำแหน่งพะทำมะรงได้ใช้ติดต่อกันมาตลอด จนได้มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติราชทัณฑ์ พ.ศ. ๒๔๗๙ จึงได้ถูกยกเลิกไป คำว่า “พะทำมะรง” เป็นคำเก่าในบางครั้งอาจเขียนว่า พะธำมะรงค์ หรือ พะทำมรงค์ ได้เช่นกัน           รายชื่อพะทำมะรง เมืองสงขลาท่านก่อนๆตั้งแต่อดีตนั้นไม่มีการบันทึกไว้ มีเพียงหลวงวินิจทัณฑกรรม(บึ้ง ติณสูลานนท์) บิดาของพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ที่ได้รับการบันทึกไว้ว่าเป็นผู้ดำรงตำแหน่งพะทำมะรงท่านสุดท้ายจนถึง พ.ศ.๒๔๗๙ ซึ่งต่อหลังจากนี้มาได้เปลี่ยนชื่อตำแหน่งนี้เป็น “ผู้บัญชาการเรือนจำสงขลา”ผู้บัญชาการเรือนจำสงขลา           เป็นตำแหน่งที่กำหนดขึ้นตามกฎกระทรวงมหาดไทย ออกตามความในมาตรา ๕๘ แห่ง พระราชบัญญัติราชทัณฑ์ พ.ศ. ๒๔๗๙ ลงวันที่ ๒๑ เมษายน ๒๔๘๐ กำหนดให้ทุกเรือนจำมีผู้บัญชาการเรือนจำควบคุมอยู่ ให้มีอำนาจและหน้าที่รับผิดชอบบังคับบัญชากิจการเรือนจำโดยทั่วไป และมีอำนาจบังคับบัญชาเหนือเจ้าพนักงานตลอดจนผู้ต้องขังทั้งปวงที่สังกัดกิจการเรือนจำนั้น ผู้บัญชาการเรือนจำสงขลาระหว่างพ.ศ.๒๔๘๐-๒๕๐๐ มีทั้งสิ้น ๙ ท่าน ดังนี้ ๑.หลวงวินิจทัณฑกรรม ๒๔๘๐ – ๒๔๘๑ ๒.ขุนอนุรักษ์ทัณฑกรรม ๒๔๘๑ – ๒๔๘๓ ๓.ขุนสฤษดิอักษรศาสตร์ ๒๔๘๓ – ๒๔๘๔ ๔.ขุนประเสริฐราชกิจ ๒๔๘๔ – ๒๔๘๕ ๕.ร.ต.สุข ลาดประเสริฐราชกิจ ๒๕ มิถุนายน ๒๔๘๕ – ๗ กันยายน ๒๔๘๖ ๖.นายชม ญาณหาญ ๘ กันยายน ๒๔๘๖ – ๒๖ มิถุนายน ๒๔๙๔ ๗.นายทอง สุดออมสิน ๒๗ มิถุนายน ๒๔๙๔ – ๓๐ มิถุนายน ๒๔๙๕ ๘.นายบุญรวม ถนัดบัญชี ๑ กรกฎาคม ๒๔๙๕ – ๓๑ ธันวาคม ๒๔๙๙ ๙.นายสะอาด แย้มกลิ่น ๑ มกราคม ๒๕๐๐ – ๑ กรกฎาคม ๒๕๐๐ผู้บัญชาการเรือนจำเขตสงขลา           ในพ.ศ.๒๕๐๐ เรือนจำสงขลาเปลี่ยนชื่อเป็น “เรือนจำเขตสงขลา” จึงกำหนดตำแหน่งผู้บัญชาการสูงสุดของเรือนจำไว้ในตำแหน่ง “ ผู้บัญชาการเรือนจำเขตสงขลา” โดยมีผู้ดำรงตำแหน่งนี้จนถึงพ.ศ.๒๕๑๕ รวม ๔ ท่าน คือ ๑.นายสะอาด แย้มกลิ่น ๒ กรกฎาคม ๒๕๐๐ – ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๐๐ ๒.นายเชาว์ เจริญพงศ์ ๑ ธันวาคม ๒๕๐๐ – ๓๑ ธันวาคม ๒๕๐๓ ๓.ร.ท.ปัญจะ มัธยมจันทร์ ๑ มกราคม ๒๕๐๔ – ๓๐ กันยายน ๒๕๐๖ ๔.นายสุพันธ์ สุทัศน์ ณ อยุธยา ๑ ตุลาคม ๒๕๐๖ – ๑ ตุลาคม ๒๕๑๕ผู้บัญชาการเรือนจำกลางสงขลา           ในพ.ศ.๒๕๑๕ เรือนจำเขตสงขลาเปลี่ยนชื่อเป็น “เรือนจำกลางสงขลา” จึงกำหนดตำแหน่งผู้บัญชาการสูงสุดของเรือนจำไว้ในตำแหน่ง “ ผู้บัญชาการเรือนจำกลางสงขลา” โดยมีผู้ดำรงตำแหน่งนี้จนถึง ปัจจุบัน รวม ๑๘ ท่าน คือ ๑.นายสุพันธ์ สุทัศน์ ณ อยุธยา ๒ ตุลาคม ๒๕๑๕ – ๓๐ กันยายน ๒๕๑๙ ๒.นายจรัญ เดชะปัญญา ๑ ตุลาคม ๒๕๑๙ – ๓๐ กันยายน ๒๕๒๑ ๓.นายสมบูรณ์ ศิริลักษณ์ ๑ ตุลาคม ๒๕๒๑ – ๓๐ กันยายน ๒๕๒๕ ๔.นายประมวล งามไตรไร ๑ ตุลาคม ๒๕๒๕ – ๑ พฤษภาคม ๒๕๓๕ ๕.นายสนิทวงศ์ มณีสว่างวงศ์ ๒ พฤษภาคม ๒๕๓๕ – ๑๘ ตุลาคม ๒๕๓๘ ๖.นายรักษ์ ศิกษมัต ๑๙ ตุลาคม ๒๕๓๘ – ๒๒ ตุลาคม ๒๕๔๑ ๗.นายขจัดภัย บัวกระจาย ๒๓ ตุลาคม ๒๕๔๑ – ๓๐ กันยายน ๒๕๔๓ ๘.นายชลิต ประจงกิจ ๑ ตุลาคม ๒๕๔๓ – ๑๕ มิถุนายน ๒๕๔๖ ๙.นายชุตินันท์ เพ็ชรเจริญ ๑๖ มิถุนายน ๒๕๔๖ – ๑๒ ตุลาคม ๒๕๔๘ ๑๐.นายอภิชาติ ขุนเทพ ๑๓ ตุลาคม ๒๕๔๘ – ๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๔๙ ๑๑.นายณรงค์ ยงณรงค์เดชกุล ๑๒ มีนาคม ๒๕๕๐ – ๑๖ กรกฎาคม ๒๕๕๓ ๑๒.นายอุดม คุ่ยณรา ๒๐ กรกฎาคม ๒๕๕๓ – ๓๐ กันยายน ๒๕๕๕ ๑๓.นายสุชิน ดำกระเด็น ๘ ตุลาคม ๒๕๕๕ – ๒๐ มีนาคม ๒๕๕๘ ๑๔.นายอำนาจ ปรัชญาพันธ์ ๒๓ มีนาคม ๒๕๕๘ – ๘ ตุลาคม ๒๕๕๘ ๑๕.พ.ต.ท.วรชัย อารักษ์รัฐ ๘ ตุลาคม ๒๕๕๘ – ๘ กรกฎาคม ๒๕๕๙ ๑๖.นายวีรชัย เพชรรัตน์ ๑๑ กรกฎาคม ๒๕๕๙ – ๘ ตุลาคม ๒๕๕๙ ๑๗.นายทวีรัตน์ นาคเนียม ๑๐ ตุลาคม ๒๕๕๙ – ๓๑ ตุลาคม ๒๕๕๙ ๑๘.พ.ต.ท.วรชัย อารักษ์รัฐ ๓๑ ตุลาคม ๒๕๕๙ – ๘ ตุลาคม ๒๕๖๐ ๑๙.นางนิภา งามไตรไร ๘ ตุลาคม ๒๕๖๐ – ปัจจุบันแผนผังเรือนจำสงขลา ๒๔๙๕           ในช่วงเวลานี้พื้นที่ใช้สอยภายในเรือนจำสงขลาแบ่งออกเป็น ๒ ส่วนคือ แดนนอก เป็นที่ตั้งของสำนักงานพัศดี เรือนพยาบาล ห้องเยี่ยมนักโทษ ห้องขังนักโทษหญิง โรงช่างไม้ โรงย่อยหิน โรงจักสาน ห้องเก็บโซ่ตรวน ห้องตีตรวน โรงตัดผม และสวนดอกไม้ แดนใน เป็นที่ตั้งของห้องขัง ๑-๓ โรงย่อยหิน ศาลาที่พักเจ้าหน้าที่ บ่อน้ำสำหรับนักโทษ และลานซักล้างแผนผังเรือนจำสงขลา ๒๕๑๗           ในช่วงเวลานี้พื้นที่ใช้สอยภายในเรือนจำสงขลายังคงแบ่งออกเป็น ๒ ส่วนแต่มีการปรับเปลี่ยนลักษณะการใช้งานในบางพื้นที่คือ           แดนนอก มีการเปลี่ยนโรงตัดผมเป็นศาลาที่พักเจ้าหน้าที่ มีการย้ายเรือนพยาบาลสลับกับที่ปลูกต้นไม้ มีการย้ายโรงจักสานจากที่ตั้งอยู่ทางทิศใต้ให้ไปอยู่ทางทิศเหนือ และย้ายโรงช่างไม้จากทิศเหนือให้ไปอยู่ทางทิศใต้ ย้ายโรงเก็บเครื่องมือและโซ่ตรวนไปไว้ชิดกำแพงแดนใน และมีการเพิ่มขึ้นด้วยได้แก่ การเพิ่มพื้นที่สำนักงานฝ่ายควบคุม และโรงโลหะ ขึ้นในพื้นที่ส่วนนี้           แดนในมีการเพิ่มโรงเรียนในบริเวณชิดกับกับโรงเลี้ยงเดิม มีการเพิ่มบริเวณปลูกผักใกล้กับศาลาที่พักเจ้าหน้าที่ด้านทิศตะวันตก และพื้นที่ลานเอนกประสงค์ในบริเวณใกล้กำแพงฝั่งทิศใต้ร่องรอยของเรือนจำสงขลา           เมื่อมีการรื้อถอนเรือนจำกลางสงขลาในพ.ศ.๒๕๑๗ ได้มีการรื้อสิ่งปลูกสร้างทั้งหมดออกจากพื้นที่ คงเหลือไว้แต่แนวกำแพงฝั่งทิศใต้ ซึ่งเป็นกำแพงก่อด้วยหินลักษณะเดียวกันกับกำแพงเมืองสงขลาไว้แนวหนึ่ง กำแพงหินแนวนี้สันนิษฐานว่าแต่เดิมคงเป็นส่วนหนึ่งของกำแพงสิ่งปลูกสร้างภายในจวนผู้สำเร็จราชการเมืองสงขลา และเมื่อใช้พื้นที่ทางตอนเหนือของจวนเดิมเป็นเรือนจำแล้ว แนวกำแพงนี้ก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของแนวกำแพงเรือนจำไปด้วย           ปัจจุบันแนวกำแพงส่วนที่เหลืออยู่นี้ ปรากฏอยู่เป็นแนวสั้นๆแทรกตัวอยู่หลังอาคารพาณิชย์ภายในตลาดสดสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์สงขลาร่องรอยของนักโทษเมืองสงขลา           การขุดค้นทางโบราณคดีในช่วงพ.ศ.๒๕๕๓-๒๕๕๔ บริเวณกำแพงเมืองสงขลาถนนจะนะ ซึ่งได้ถูกใช้เป็นส่วนหนึ่งของเรือนจำกลางส่วนขลานั้น ได้พบป้ายประจำตัวนักโทษ พบจำนวน ๒๑ ชิ้น ป้ายเหล่านี้ทำด้วยหินชนวน มีลักษณะเป็นแผ่นสี่เหลี่ยมหรือคล้ายสี่เหลี่ยม บางชิ้นมีการเจาะรูด้านบน ๑ รู แต่ละชิ้นมีขนาดไม่แน่นอน พบมีจารึกเป็นตัวหนังทั้งสองด้าน ด้านละสามบรรทัด โดยด้านหนึ่งจะ มีจารึกเป็นชื่อนักโทษ เลขประจำตัวนักโทษ และข้อหาที่ถูกลงโทษอย่างละบรรทัด ส่วนอีกด้านหนึ่งเป็นวันที่ถูกจองจำ ระยะเวลาที่ถูกจองจำ และวันที่พ้นโทษอย่างละบรรทัดเช่นกัน ---------------------------------------------------------//เรียบเรียงโดย I นายสารัท ชลอสันติสกุล นักโบราณคดีชำนาญการ I กลุ่มโบราณคดี สำนักศิลปากรที่ ๑๑ สงขลา---------------------------------------------------------


-- องค์ความรู้เรื่อง.. -- "คืนชีพเตาถลุงเหล็กโบราณ 2 พันปี ด้วยงานโบราณคดีทดลอง" ข้อสันนิษฐานใหม่เกี่ยวกับผลผลิตจากแหล่งถลุงเหล็กโบราณบ้านแม่ลาน อำเภอลี้ จังหวัดลำพูน #ExperimentalArchaeology #Archaeometallurgy #Workshop . -- เมื่อปี พ.ศ. 2562 กลุ่มโบราณคดี โดยนายยอดดนัย สุขเกษม นักโบราณคดีปฏิบัติการ และนางสาววรรณพร ปินตาปลูก ผู้ช่วยนักโบราณคดี ได้ดำเนินการขุดค้นทางโบราณคดีแหล่งถลุงเหล็กโบราณในพื้นที่บ้านแม่ลาน อำเภอลี้ จังหวัดลำพูน มีการค้นพบเตาถลุงเหล็กโบราณสภาพสมบูรณ์ที่ยังอยู่ในบริบทติดที่ดั้งเดิม (In Situ) เส้นผ่าศูนย์กลาง 90 เซนติเมตร  . .. -- จากการศึกษาวิเคราะห์ พบว่า เตาถลุงเหล็กบ้านแม่ลานนี้มีอายุการผลิตอยู่ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 3 จัดเป็นเตาถลุงเหล็กที่มีความเก่าแก่ที่สุดในดินแดนล้านนา อยู่ในช่วงต้นยุคเหล็กของดินแดนประเทศไทย โดยเตาที่ค้นพบครั้งนี้เป็นเตาที่ใช้ในการถลุงเหล็กตามกระบวนการทางตรง (Direct Iron Smelting Process) รูปแบบทรงกระบอกตรงมีผนังสูง (Shaft Furnace) หากสมบูรณ์จะมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 70 – 90 เซนติเมตร และสูงประมาณ 150 – 180 เซนติเมตร ทำจากวัสดุดินเหนียวปั้นโดยไม่ใช้โครงสร้างอิฐ . .. -- จากการวิเคราะห์รูปทรงของเตาถลุงเหล็กโบราณบ้านแม่ลานอย่างละเอียดทำให้พบร่องรอยภูมิปัญญาโบราณที่สำคัญ คือ การทำช่องเติมอากาศรูปทรงกรวยให้ทแยงมุมกับผนังเตาประมาณ 30 องศา เรียงรายรอบตัวเตา โดยเว้นระยะห่างประมาณ 10 เซนติเมตร การจงใจทำช่องเติมอากาศให้ถี่และทแยงไปในทิศทางเดียวกัน ทางผู้ศึกษาได้วิเคราะห์และตั้งข้อสันนิษฐานไว้ว่าน่าจะก่อให้เกิดสภาวะลมหมุนวนเป็นเกลียวขึ้นภายในตัวเตาอย่างทั่วถึง ซึ่งนำมาสู่ประเด็นคำถามต่อมา คือ ความตั้งใจในการก่อให้เกิดสภาวะอากาศหมุนวนเป็นเกลียวในเตาถลุง จะเป็นปัจจัยให้เกิดผลลัพธ์อย่างไรในกระบวนการถลุงเหล็ก . .. -- ข้อสันนิษฐานและประเด็นคำถามข้างต้นนำมาสู่ความพยายามในการไขปริศนาภูมิปัญญาโบราณด้วยกระบวนการโบราณคดีทดลอง (Experimental Archaeology) ซึ่งผู้ศึกษาพยายามจำลองรูปแบบเตาถลุงเหล็ก และควบคุมปัจจัยต่าง ๆ ให้เหมือนโบราณมากที่สุดเท่าที่องค์ความรู้และวัสดุอุปกรณ์จะเอื้ออำนวย ซึ่งมีขั้นตอนดำเนินการ ดังนี้ . .. -- 1. ขั้นตอนเตรียมการ ผู้ศึกษาได้เลือกใช้วัตถุดิบให้มีความใกล้เคียงกับที่พบในแหล่งโบราณคดีมากที่สุด ประกอบด้วย 1.1) แร่เหล็ก การถลุงครั้งนี้ใช้แร่เหล็กในกลุ่มแมกนีไทต์ (Magnetite) ซึ่งนำมาจากสายแร่ที่พบในพื้นที่ใกล้เคียงแหล่งโบราณคดี และนำมาย่อยให้มีขนาด 2 – 4 เซนติเมตร เหมือนกับที่พบในแหล่งโบราณคดี 1.2) ถ่าน เนื่องด้วยข้อจำกัดด้านวัตถุดิบ ผู้ศึกษาจึงมีความจำเป็นต้องใช้ถ่านจากไม้ที่มีความหลากหลาย เช่น ไม้ยูคาลิปตัส ไม้ลำไย และไม้มะขาม 1.3) ดิน ผู้ศึกษาได้นำดินมาจากบริเวณที่พบแหล่งถลุงเหล็กโบราณในพื้นที่อำเภอลี้ (สิบดร) จังหวัดลำพูน ซึ่งมีลักษณะเป็นดินเหนียวปนทราย นำมาหมักแช่น้ำไว้ 3 วัน หลังจากนั้นจึงทำการนวดดิน เติมทรายและแกลบข้าวลงไปจนดินมีความหนืด . .. -- 2. ขั้นตอนปั้นเตาถลุง การศึกษาครั้งนี้ได้พยายามสร้างให้มีขนาดและรูปทรงใกล้เคียงกับแบบสันนิษฐานของโบราณถลุงเหล็กโบราณมากที่สุด โดยทำการปั้นเตาถลุงที่มีโครงสร้างเป็นดินเหนียวล้วน ๆ ขนาดความกว้างของฐานเตา 100 เซนติเมตร ความสูง 140 เซนติเมตร ปากเตากว้าง 80 เซนติเมตร ความหนาของผนังเตา 20 เซนติเมตร บริเวณฐานเตาเจาช่องระบายตะกรันรูป 4 เหลี่ยม ทั้ง 4 ด้าน ขุดหลุมดักตะกรันไว้ภายนอกตัวเตา ส่วนช่องเติมอากาศรูปทรงกรวย เจาะไว้ทั้งสิ้น 16 ช่อง ทำมุมทแยงกับผนังเตา 30 องศา ตัวช่องอยู่สูงขึ้นมาจากฐานเตา 20 เซนติเมตร หลังจากปั้นเตาเสร็จทำการสุมไฟด้วยไม้ฟืนภายในเตาเพื่อให้ดินแห้ง และทิ้งไว้ 18 ชั่วโมง . .. -- 3. ขั้นตอนถลุงเหล็ก ดำเนินการถลุงเหล็กตามกระบวนการทางตรง (Direct Iron Smelting Process) ตัวเตาเติมอากาศโดยใช้เครื่องเป่าลม (Blower) ขนาด 4 นิ้ว จำนวน 2 เครื่อง แบ่งช่องเติมอากาศเข้าเตาถลุงผ่านทางท่อขนาด 1 นิ้ว เครื่องละ 8 ช่อง รวมเป็น 16 ช่อง จนก่อให้เกิดสภาวะหมุนวนเป็นเกลียวของอากาศขึ้นภายในตัวเตา ในส่วนกระบวนการเติมเชื้อเพลิงและแร่ ทำการเติมสลับกันระหว่างแร่เหล็กและถ่าน ความถี่ของเวลาอยู่ระหว่าง 5 – 10 นาที โดยสังเกตอัตราการยุบตัวของถ่านเป็นหลัก ส่วนการระบายตะกรันใช้วิธีสังเกตปริมาณตะกรันภายในห้องไฟผ่านทางช่องเติมอากาศ และเจาะระบายออกมาทางช่องระบายตะกรันทั้ง 4 ทิศทาง สรุปกระบวนการถลุงเหล็กใช้เวลาตั้งแต่การอุ่นเตาจนถึงการทุบเตาเพื่อนำผลผลิตออกจากตัวเตา ทั้งสิ้น 4 ชั่วโมง 30 นาที ใช้แร่เหล็กในการถลุง 100 กิโลกรัม และใช้ถ่านเป็นเชื้อเพลิงทั้งสิ้น 380 กิโลกรัม ข้อสังเกตจากการถลุงครั้งนี้ คือ มีปริมาณตะกรัน (Slag) จากการถลุงออกมาน้อยมาก น้ำหนักรวมทั้งสิ้นเพียงแค่ 5 กิโลกรัม  . .. -- 4. ผลผลิตที่ได้จากกระบวนการถลุงเหล็ก ผลผลิตที่ได้จากการถลุงในครั้งนี้ คือ ก้อนโลหะเหล็ก (Iron Bloom) มีลักษณะพิเศษในแบบวงแหวน (Ring shape) มีน้ำหนัก 47 กิโลกรัม ซึ่งหากรวมกับก้อนเหล็กอื่น ๆ ที่แยกตัวออกมา ผลผลิตที่ได้จากการถลุงครั้งนี้จะมีน้ำหนักมากถึง 50 กิโลกรัม . .. -- สรุปและอภิปรายผล ประเด็นการใช้ทรัพยากรและผลผลิต การทดลองถลุงครั้งนี้พบว่าใช้แร่เหล็ก 100 กิโลกรัม และถ่านเชื้อเพลิง 380 กิโลกรัม หากคิดเป็นสัดส่วนของเหล็กและถ่านจะอยู่ที่ประมาณ 1 : 4 ซึ่งยังอยู่ในระดับมาตรฐานของการถลุงเหล็กที่มีคุณภาพโดยทั่วไป ในส่วนของความสัมพันธ์ระหว่างวัตถุดิบและผลผลิตที่ได้ การถลุงครั้งนี้ใช้แร่เหล็กกลุ่มแมกนีไทต์ (Magnetite) น้ำหนัก 100 กิโลกรัม    ได้ผลผลิตออกมาเป็นก้อนโลหะเหล็ก (Iron Bloom) น้ำหนัก 50 กิโลกรัม หากคิดเป็นสัดส่วนระหว่างผลิตที่ได้กับแร่ต้นทุนจะอยู่ที่ 1 : 2 หรือครึ่งต่อครึ่ง ซึ่งถือว่าสูงมากกว่าเตาถลุงเหล็กแบบโบราณโดยทั่วไป ที่มักมีสัดส่วนระหว่างผลผลิตกับแร่ต้นทุนอยู่ที่ 1 : 3 ปรากฏการณ์ดังกล่าวสามารถบ่งชี้เบื้องต้นให้เห็นว่า เตาถลุงเหล็กที่ผู้ศึกษาพยายามจำลองรูปแบบและเทคนิคจากเตาถลุงเหล็กโบราณนั้นมีประสิทธิภาพสูงในการสร้างสภาวะที่เหมาะสมต่อการถลุงเหล็ก ส่งผลให้ได้ผลผลิตในปริมาณที่สูงกว่ามาตรฐานทั่วไป เป็น  นัยยะที่สะท้อนให้เห็นถึงความรู้และความเชี่ยวชาญของช่างถลุงเมื่อกว่า 2,000 ปีที่แล้ว ได้เป็นอย่างดี . .. -- สรุปและอภิปรายผล ประเด็นรูปทรงของผลผลิต กระบวนการเติมอากาศผ่านช่องทแยงมุม 30 องศา จำนวน 16 ช่อง ก่อให้เกิดสภาวะหมุนวนของอากาศเป็นเกลียวภายในตัวเตา ส่งผลให้เกิดความร้อนสูงบริเวณใกล้ปากช่องเติมอากาศรอบ ๆ ด้านในตัวเตา แต่ความร้อนเหล่านี้กลับไปไม่ถึงแกนกลางของเตา ปรากฏการณ์ดังกล่าวส่งผลให้เหล็กมาจับตัวเป็นก้อนบริเวณที่มีอุณหภูมิสูงจนเกิดเป็นก้อนโลหะเหล็ก (Iron Bloom) ที่มีลักษณะเป็นรูปทรงวงแหวน (Ring shape) ซึ่งถือเป็นผลผลิตที่มีลักษณะพิเศษและเป็นจุดเด่นของเตาถลุงที่ใช้เทคนิคนี้ ต่างกับผลผลิตจากเตาถลุงเหล็กรูปแบบทั่วไป ที่มักได้ผลผลิต (Iron Bloom) เป็นก้อน หรือ ทรงก้นถ้วยตามรูปร่างของก้นเตา จากลักษณะที่ปรากฏจึงตั้งข้อสันนิษฐานทางโบราณคดีเบื้องต้นได้ว่าผลผลิต (Iron Bloom) จากแหล่งเตาถลุงเหล็กโบราณในพื้นที่อำเภอลี้ จังหวัดลำพูน อาจมีลักษณะเฉพาะเป็นรูปทรงแบบวงแหวน หรือปรากฏลักษณะเป็นแท่งที่มีความโค้งตามลักษณะพื้นผิวด้านในของเตาถลุง . .. -- ข้อเสนอแนะต่อแนวทางการศึกษาครั้งต่อไป การศึกษาโบราณคดีทดลองครั้งนี้ เป็นการศึกษาที่ดำเนินการภายใต้ปัจจัยข้อจำกัดหลายประการ โดยเฉพาะด้านวัสดุอุปกรณ์ทางวิทยาศาสตร์ จึงทำให้ผลการศึกษาที่นำเสนอมุ่งเน้นไปที่ข้อสังเกตซึ่งเป็นผลในเชิงประจักษ์เป็นหลัก ขณะนี้อยู่ในระหว่างส่งตัวอย่างที่ได้จากการถลุงไปวิเคราะห์ในห้องปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์เพิ่มเติม ผู้ศึกษาหวังเป็นอย่างยิ่งว่าการศึกษาในครั้งนี้จะเป็นแรงบันดาลใจให้มีการศึกษาด้านโบราณโลหะวิทยาผ่านกระบวนการโบราณคดีทดลองต่อไปในอนาคต ทั้งนี้หากมีการศึกษาครั้งต่อไป ผู้สนใจศึกษาควรเตรียมอุปกรณ์ทางวิทยาศาสตร์และอุปกรณ์อ่านค่าต่าง ๆ ให้มีความพร้อม ซึ่งจะเป็นข้อมูลสำคัญที่สามารถวิเคราะห์องค์ความรู้จากกระบวนการถลุงให้มีความชัดเจนยิ่งขึ้น นอกจากนี้ข้อมูลผลผลิตที่ได้จากการศึกษาครั้งนี้ ยังสามารถนำไปใช้เป็นข้อมูลประกอบทางโบราณคดีเพื่อศึกษา วิเคราะห์ปลายทางของผลผลิตจากแหล่งถลุงเหล็กโบราณในพื้นที่อำเภอลี้ ได้ต่อไปในอนาคต . =========================================== -- บทความเรียบเรียงโดย นายยอดดนัย สุขเกษม      นักโบราณคดีปฏิบัติการ      กลุ่มโบราณคดี สำนักศิลปากรที่ 7 เชียงใหม่ . .. -- กิตติกรรมประกาศ ขอขอบคุณกรมศิลปากร ที่สนับสนุนงบประมาณในการดำเนินการศึกษาวิจัยครั้งนี้ ขอขอบคุณ รศ. สุรพล นาถะพินธุ ดร. ภีร์ เวณุนันทน์ และ คุณประพจน์ เรืองรัมย์ ที่กรุณาให้ความรู้ คำแนะนำ เกี่ยวกับด้านโบราณโลหะวิทยาและกระบวนการถลุงเหล็ก ท้ายที่สุดขอขอบคุณ นายวิวัฒน์ จันทร์โอภาส นายอำเภอลี้ นายเจริญทิพย์ อร่ามรุ่งโรจน์ ปลัดอำเภอลี้ นายเสน่ห์ จินาจันทร์ ประธานสภาวัฒนธรรมอำเภอลี้ นายครรชิต สายชู กำนันตำบลแม่ลาน ทีมงานชมรมกำนันผู้ใหญ่บ้านตำบลแม่ลาน คุณพรชัย  ตุ้ยดง ตลอดจนคณะอาจารย์และนักศึกษา หลักสูตรวัฒนธรรมศึกษา คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ ที่สนับสนุนกิจกรรมตั้งแต่เริ่มต้นจนงานสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี




         มหามกุฏราชสันตติวงศ์ ๓ มีนาคม ๒๔๒๖ วันประสูติสมเด็จพระอนุชาธิราช เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ           สมเด็จพระอนุชาธิราช เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ เป็นพระราชโอรสพระองค์ที่ ๔๐ ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ กับสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ประสูติเมื่อวันที่ ๓ มีนาคม ๒๔๒๕ (นับแบบปัจจุบันเป็นพุทธศักราช ๒๔๒๖) ทรงมีพระเชษฐภคินี พระเชษฐา พระขนิษฐา และพระอนุชาร่วมพระบรมราชชนนี ๗ พระองค์ คือ                 - สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าพาหุรัตมณีมัย กรมพระเทพนารีรัตน์                  - พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖                 - สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าตรีเพ็ชรุตม์ธำรง                  - สมเด็จพระอนุชาธิราช เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ                 - สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าศิริราชกกุธภัณฑ์                  - สมเด็จพระเชษฐาธิราช เจ้าฟ้าอัษฎางค์เดชาวุธ กรมหลวงนครราชสีมา                  - สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจุฑาธุชธราดิลก กรมขุนเพ็ชรบูรณ์อินทราไชย                  - พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๗          พุทธศักราช ๒๔๓๕ ทรงได้รับสถาปนาเป็นสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาท นริศรราชมหามกุฏวงษ์ จุฬาลงกรณนรินทร์ สยามพิชิตินทรวรางกูร สมบูรณพิสุทธิชาติ วิมโลภาศอุภัยปักษ์ อรรควรรัตนขัตติยราชกุมาร กรมขุนพิศณุโลกประชานารถ ได้เสด็จไปทรงศึกษาในประเทศอังกฤษ แล้วเสด็จไปประทับอยู่ในราชสำนักสมเด็จพระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ ๒ แห่งประเทศรัสเซีย ทรงศึกษาในโรงเรียนมหาดเล็กหลวง ซึ่งเป็นโรงเรียนนายทหารบกด้วยที่ประเทศรัสเซีย สอบได้ชั้นสูงสุด เป็นราชทูตพิเศษเมื่อประทับอยู่ในยุโรป ได้เสด็จแทนพระองค์ไปในงานพระบรมศพสมเด็จพระเจ้าอุมแบร์โตที่ ๑ แห่งอิตาลี งานพระราชพิธีบรมราชาภิเษกพระเจ้ายอร์ชที่ ๕ และพระราชินีแมรี แห่งประเทศอังกฤษ ครั้นเสด็จกลับมา ทรงรับราชการในรัชกาลที่ ๕ ได้เป็นนายพลตรี ราชองครักษ์ และเป็นเสนาธิการทหารบก          ถึงรัชกาลที่ ๖ โปรดเกล้าฯ ให้ส่งบัญชาการกรมทหารมหาดเล็กแทนพระองค์โปรดเก้าให้เลื่อนเป็นสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาท นริศรราชมหามกุฏวงษ์ จุฬาลงกรณนรินทร์ สยามพิชิตินทรวรางกูร สมบูรณพิสุทธิชาติ วิมโลภาศอุภัยปักษ์ อรรควรรัตนขัตติยราชกุมาร กรมหลวงพิศณุโลกประชานารถ เลื่อนเป็นนายพลโท นายพลเอก และเป็นจอมพลทหารบก ราชองครักษ์ คงตำแหน่งเสนาธิการทหารบก และองคมนตรี และทรงเป็นรัชทายาทจนเสด็จทิวงคต          สมเด็จพระอนุชาธิราช เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ เสด็จทิวงคตในรัชกาลที่ ๖ ที่ประเทศสิงคโปร์ ขณะเสด็จราชการทหาร เมื่อวันที่ ๑๓ มิถุนายน ๒๔๖๓ พระชนมายุ ๓¬๘ ปี ทรงสถาปนาพระเกียรติยศเป็นสมเด็จพระอนุชาธิราช เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถในปีนั้น และพระราชทานเศวตฉัตร ๕ ชั้น เป็นต้นราชสกุล จักรพงศ์         สมเด็จพระอนุชาธิราช เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ นับเป็นพระราชนัดดาในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ ที่สืบสายทั้งจากพระบรมชนกนาถ และพระบรมราชชนนี   ภาพ : จอมพล สมเด็จพระอนุชาธิราช เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ ขณะประทับศึกษาวิชาการทหารในประเทศรัสเซีย (ทรงฉลองพระองค์สำหรับร่วมงานเลี้ยงที่พระราชวังฤดูหนาวของรัสเซียในปี พุทธศักราช ๒๔๔๖)



black ribbon.