ค้นหา
รายการที่พบทั้งหมด 48,783 รายการ
ทับหลังสลักภาพพระนารายณ์ทรงครุฑ ศิลปะลพบุรี (ศิลปะเขมรแบบบาแค็ง) กำหนดอายุ พุทธศตวรรษที่ ๑๕ หรือราว ๑,๑๐๐ ปีมาแล้ว สร้างขึ้นด้วยหินทราย ใช้เทคนิคการจำหลักหรือสลักด้วยเครื่องมือโลหะ ขนาด กว้าง ๘๕.๕ ซม. ยาว ๑๗๕ ซม. หนา ๒๐ ซม. พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สุรินทร์ ได้รับมอบจากอำเภอปราสาท และได้ขึ้นทะเบียนเป็นโบราณวัตถุของชาติ เมื่อปีพุทธศักราช ๒๕๑๗ ทับหลังในสถาปัตยกรรมขอม หมายถึง แท่งหินรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าวางเหนือกรอบประตูสลักลวดลายภาพเล่าเรื่องทางศาสนา วรรณคดีเกี่ยวกับศาสนา ลายพวงมาลัย ลายใบไม้ เป็นต้น ลายที่ปรากฏบนทับหลังนี้สามารถนำมากำหนดอายุสถาปัตยกรรมได้ ทับหลังชิ้นนี้สลักลายเต็มแผ่น องค์ประกอบภาพแบ่งเป็น ๒ ส่วน มีแนวลายกลีบบัวเป็นเส้นแบ่ง ส่วนบนสุดสลักเป็นซ่องซุ้ม ๑๓ ช่อง มีรูปบุคคลประนมมือ ภาพปรากฏเพียงช่วงอก พื้นที่ตรงกลางสลักภาพพระนารายณ์สี่กรประทับนั่งมหาราชสีลาสนะ พระหัตถ์ขวาบนถือสังข์ พระหัตถ์ขวาล่างถือคฑา พระหัตถ์ซ้ายบนถือจักร พระหัตถ์ซ้ายล่างถือภู ทรงสวมชฎามงกุฎ ประทับนั่งบนไหล่ครุฑที่ยืนบนแท่นรูปกลีบบัวมือสองข้างของครุฑยุคหางนาค ๒ ตัวไว้ ลำตัวนาคสลักเป็นลายดอกไม้สี่กลีบทอดโค้งยาวตามแนวทับหลังทั้งสองข้าง นาคมี ๓ เศียรหันหน้าตรง เหนือลำตัวนาคเป็นลายใบไม้เต็มใบ ใต้ลำตัวนาคเป็นลายใบไม้ม้วน ส่วนล่างสุดของทับหลังเป็นลายกลีบบัวมีเกสร ลวดลายที่ปรากฏบนทับหลังมีลักษณะของศิลปะขอมแบบบาแค็ง ได้แก่ ภาพคนโผล่ออกมาจากซุ้ม แนวลายกลีบบัว ครุฑใบหน้าคล้ายมนุษย์แต่มีจะงอยปาก มีปีก มีขาคล้ายขาสิงห์ ลักษณะจะงอยปากเป็นแบบที่ปรากฏมาแต่ศิลปะขอมแบบพะโค พระนารายณ์ หรือพระวิษณุ ถือเป็น ๑ ใน ๓ ของเทพผู้ยิ่งใหญ่(ตรีมูรติ) ในศาสนาฮินดู ประกอบด้วย พระพรหมเป็นเทพผู้สร้าง พระนารายณ์เป็นเทพผู้รักษา และพระอิศวร(พระศิวะ)เป็นเทพผู้ทำลาย พระนารายณ์เป็นเทพเก่าแก่ของอินเดียตั้งแต่ยุคพระเวท เดิมเป็นหนึ่งในเทพแห่งแสงอาทิตย์ เป็นส่วนหนึ่งของแสงอาทิตย์ มีหน้าที่ก้าว ๓ ก้าว หรือที่เรียกว่า ตรีวิกรม คือ เป็นเทพแห่งอาทิตย์ตอนเช้า ตอนเที่ยงและตอนเย็น กลุ่มเทพแห่งแสงอาทิตย์ที่มีอยู่หลายองค์ เช่น สุริยเทพเป็นเทพแห่งแสงอาทิตย์ทั้งปวง สาวิตรีเทพแห่งแสงอาทิตย์สีทองยามเช้าและยามเย็น อุษาเทวีเทพแห่งรุ่งอรุณ เป็นต้น จนต่อมาในสมัยมหาภารตะและยุคปาณะ ความรุ่งเรืองของพระนารายณ์จึงเจริญขึ้นจนถือเป็นเทพที่ยิ่งใหญ่องค์หนึ่ง ได้นามว่า พระนารายณ์ หมายถึง ผู้เคลื่อนไหวในน้ำ พระนารายณ์เป็นพระโอรสองค์สุดท้ายในบรรดาโอรส ๑๒ พระองค์ของเทวีอทิติกับท้าวกัศปะเทพบิดร แต่บางตำนานในยุคหลังกล่าวว่าอุบัติขึ้นเอง บ้างก็ว่าพระศิวะสร้างขึ้น สถานที่ประทับของพระนารายณ์เรียกว่า ไวกูณฐ์ มีลักษณะเป็นแผ่นทอง มีวิมานประดับด้วยแก้วอยู่กลางเกษียรสมุทรหรือทะเลน้ำนม บัลลังก์คือ พระยาอนันตนาคราช มีพระยาครุฑเป็นพาหนะ พระมเหสีคือ พระลักษมีหรือพระศรีเป็นเทพีแห่งโชคลาภ ความมั่งคั่ง อุดมสมบูรณ์ เกิดจากการกวนเกษียรสมุทร รูปเคารพของพระนารายณ์ จะทำเป็นเทพที่มีเศียรเดียว มี ๔ กร และทรงถืออาวุธหลายอย่าง อาวุธที่เป็นสัญลักษณ์สำคัญของพระนารายณ์ คือ จักร และสังข์ ซึ่งจะต้องถืออยู่เป็นประจำ ส่วนอีก ๒ กร อาจถืออาวุธอย่างอื่นแตกต่างกันไป เช่น คฑา ตรี ดอกบัว บ่วงบาศ ฯลฯ แต่ละอย่างก็มีประวัติความเป็นมาความหมายต่างกัน ดังนี้ - จักร มีชื่อว่า วัชรนาถ หรือจักรสุทรรศน์ เป็นจักรที่พระเพลิงมอบให้เป็นอาวุธ บางตำนานเล่าว่าสร้างขึ้นจากรัศมี และความร้อนแรงขององค์สุริยเทพ เป็นเครื่องหมายของดวงอาทิตย์และแทนวงโคจรของดวงอาทิตย์รอบจักรวาล - สังข์ มีชื่อว่า ปาญจะชันยะ มีประวัติเล่าว่าเดิมเป็นเปลือกหอยสังข์หุ้มกายอสูรชื่อ ปัญจชน ต่อมาได้ถูกพระกฤษณะฆ่าตาย จึงได้นำเปลือกสังข์มาใช้เป็นอาวุธ สังข์เป็นสัญลักษณ์ของน้ำ ชีวิต และความอุดมสมบูรณ์ เป็นอาวุธสำหรับขว้างไปทำลายส่วนที่เป็นหัวใจของศัตรูโดยเฉพาะ นอกจากนั้นยังใช้เป็นเครื่องเป่าเพื่อประกาศการเริ่มต้นของเหตุการณ์อันเป็นมงคล สามารถขับไล่สิ่งชั่วร้ายต่างๆ ได้ - คฑา มีชื่อว่า เกาโมทก หรือนันทา เป็นสิ่งที่พระเพลิงมอบให้พร้อมจักรวัชรนาถ ส่วนความหมายของคฑา หมายถึง ผู้คุ้มครอง สร้างระเบียบและลงโทษผู้ทำความชั่วร้ายโดยเฉพาะอสูรต่างๆ ซึ่งเป็นศัตรูของเทพเจ้า - ดอกบัว เป็นสัญลักษณ์ของโลกและการสร้างโลก อย่างไรก็ตามบางครั้งพระนารายณ์จะถือวัตถุรูปกลมในฝ่ามือแทน คือ ภู หรือแผ่นดิน อันเป็นสัญลักษณ์ของโลกเช่นกัน พระนารายณ์จะทรงฉลองพระองค์อย่างกษัตริย์ สวมมงกุฎ กลางพระอุระจะมีขน พระอุระเป็นเครื่องหมายศรีวัตสะ อันมีกำเนิดจากการกวนเกษียรสมุทรเป็นอิตถีพลังหรือศักติ โดยวิธีรวมตัวเป็นพระนารายณ์อย่างมหัศจรรย์ คือ แทรกตัวผ่านผิวหนังที่อุระข้างขวาเข้าไปสถิตอยู่ในหัวใจของพระนารายณ์ ตรงรอยแทรกเข้าไปนั้นเหลือปรากฏเป็นกลุ่มขนบนรอยปาน ในการสร้างรูปเคารพพระนารายณ์มักแสดงให้เห็นศรีวัตสะในรูปดอกไม้ ๔ กลีบ ทรงขนมเปียกปูน ส่วนผิวกายจะแตกต่างไปตามยุค ซึ่งยุคในเทพนิกายฮินดูได้แบ่งตามคุณงามความดีของมนุษย์ ดังนี้ ๑. กฤดายุค (กฺริดา-) น. เป็นยุคที่มนุษย์ประกอบไปด้วยคุณงามความดี มีธรรมะสูงสุด คือ เต็ม ๔ ใน ๔ ส่วน และมีอายุยืนยาวที่สุด ยุคนี้มีอายุเท่ากับ ๑,๗๒๘,๐๐๐ ปีของโลกมนุษย์ พระนารายณ์ยุคนี้มีผิวกายสีขาว ๒. ไตรดายุค (ไตฺร-) น. เป็นยุคที่ความดีและความซื่อสัตย์ของมนุษย์เสื่อมลงเหลือ ๓ ใน ๔ ส่วนเมื่อเทียบกับในสมัยกฤดายุค พระนารายณ์มีผิวกายเป็นสีแดง ๓. ทวาบรยุค (ทะวาบอระ-) น. เป็นยุคที่ความดีของมนุษย์เหลือเพียงครึ่งเดียว หรือเหลือเพียง ๒ ใน ๔ ส่วน เมื่อเทียบกับในสมัยกฤดายุค พระนารายณ์มีผิวกายเป็นสีเหลือง ๔. กลียุค (กะลี-) น. เชื่อกันว่าเป็นวาระสุดท้ายของโลกเป็นยุคที่ศีลธรรมเสื่อม เป็นยุคที่ความดีของมนุษย์เหลือเพียง ๑ ใน ๔ ส่วน เมื่อเทียบกับในสมัยกฤดายุค และอายุของมนุษย์ก็สั้นลงโดยไม่มีกำหนดเวลาแน่นอน ช่วงเวลาที่มีแต่ความรุนแรงเลวร้ายเกิดขึ้น พระนารายณ์ยุคนี้มีผิวกายสีดำ---------------------------------------------------------------------ผู้เรียบเรียง : นายกรภัทร์ สุขใหญ่ พนักงานประจำพิพิธภัณฑ์ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สุรินทร์ สำนักศิลปากรที่ ๑๐ นครราชสีมา---------------------------------------------------------------------อ้างอิง : ๑. ผาสุข อินทราวุธ, รูปเคารพในศาสนาฮินดู. นครปฐม : มหาวิทยาลัยศิลปากร, ๒๕๒๒. ๒. พีรพน พิสณุพงศ์, “วิวัฒนาการมนุษยชาติกับเรื่องนารายณ์อวตาร” ศิลปากรปีที่ ๓๘ ฉบับที่ ๓ (พฤษภาคม – มิถุนายน ๒๕๓๘) หน้า ๑๐๙. ๓. ศิลปากร, กรม, พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพิมาย : แหล่งรวมมรดกวัฒนธรรมอีสาน. กรุงเทพฯ : บริษัทอมรินทร์พริ้นติ้ง แอนด์ พับลิชชิ่ง จำกัด (มหาชน), พิมพ์ครั้งแรก, ๒๕๓๖. ๔. ศิริพร สุเมธารัตน์, หลักฐานโบราณคดีในเมืองสุรินทร์. อุบลราชธานี : โรงพิมพ์ศิริธรรมออฟเซ็ท, ๒๕๕๐.
ชื่อผลงาน: หม่อมราชวงศ์ถนอมศักดิ์ กฤดากร (พ.ศ. 2458 - 2547)
ศิลปิน: เฟื้อ หริพิทักษ์ (พ.ศ. 2453 - 2536)
เทคนิค: ประติมากรรมสำริด
ขนาด: สูง 36 ซม.
ปีที่สร้างสรรค์: พ.ศ. 2480
รายละเอียดเพิ่มเติม: เฟื้อ หริพิทักษ์ ศิลปินหัวก้าวหน้า ผู้มากด้วยทักษะฝีมือในทางศิลปะ ลูกศิษย์รุ่นแรกๆ ของศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี นอกจากความสามารถชั้นยอดในทางจิตรกรรมแล้ว เฟื้อ ยังได้สร้างสรรค์ผลงานประติมากรรมไว้ด้วยจำนวนหนึ่ง ประติมากรรมรูปเหมือนหม่อมราชวงศ์ถนอมศักดิ์ กฤดากร (ภรรยาคู่ทุกข์คู่ยากของศิลปิน) เป็นหนึ่งในผลงานศิลปกรรมชิ้นเด่นในชีวิตของเฟื้อ ซึ่งนำเสนอในรูปแบบสัจจนิยมผ่านภาพใบหน้าของสตรีสูงศักดิ์สวมผ้าคลุมผม
Title: M.R. Thanomsak Kridakorn (1915 - 2004)
Artist: Fua Haripitak (1910 - 1993)
Technique: sculpture (bronze casting)
Size: 36 cm. (H.)
Year: 1937
Detail: Fua Haripitak, a remarkable artist and early pupil of Silpa Bhirasri, apart from his marvelous skill on painting, Fua also sculpted some good pieces of sculpture. A portrait of M.R. Thanomsak Kridakorn (artist’s wife) is regarded as one of his finest piece, sculpted in realist manner, represented through the face of high-class lady which her hair neatly covered by head kerchief.
ชื่อเรื่อง ศัพท์สวดมนต์น้อย (สับสุดมนต์น้อย)
สพ.บ. 274/1ประเภทวัสดุมีเดีย คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่ พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ 50 หน้า กว้าง 5 ซม. ยาว 58 ซม.หัวเรื่อง บทสวดมนต์
บทคัดย่อ/บันทึก เป็นคัมภีร์ใบลาน อักษรธรรมอีสาน ภาษาบาลี-ไทยอีสาน เส้นจาร ฉบับลานดิบ ได้รับบริจาคมาจากวัดบ้านหมี่ ต.บางปลาม้า อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี
องค์ความรู้จากพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพาณิชย์นาวี จันทบุรี เรื่อง "ฆ้องสำริด พบในแหล่งเรือจมรางเกวียน จังหวัดชลบุรี"
ปกหลก ปกกะหลก หรือ เกราะราง ใช้สำหรับแขวนคอวัวหรือควาย เพื่อบอกเสียงสัญญาณของสัตว์เลี้ยงว่าเดินไปหากินทิศทางใด การเรียกชื่ออาจเรียกตามเสียงที่ได้ยิน “ปก-หลก” ส่วนภาคอีสานได้ยินเสียงเป็น “โปง - โปง” คือ ไม้โปง หรือไม้ขอ ปกหลกทำด้วยการหาไม้ไผ่ป่า หรือไม้ไผ่สีสุกที่แก่จัด เนื้อแน่นและหนา ยาวขนาดหนึ่งลำปล้อง ตัดเหลือหัวท้าย ปอกผิวไม้ไผ่ออก คว้านกระบอกด้านหนึ่งเป็นรางยาว แล้วใช้ไม้ตีเพื่อลองเสียงอยู่เสมอ หากเสียงดังไม่พอจะคว้านรูกระบอกให้ขยายขึ้น การลองเสียงปกหลก ชาวบ้านมักใช้ปล้องไม้ไผ่แช่น้ำให้เปียกแล้วตีเพื่อลองเสียง เรียกว่า “การสินน้ำ” เนื่องจากวัวควายชอบลงน้ำปกหลกจึงเปียกอยู่เสมอ ตอนกลางคืนเจ้าของมักใส่เศษหญ้าอัดในปากปกหลก เพื่อไม่ให้เกิดเสียงดังสร้างความรำคาญให้แก่ผู้คนที่นอนอยู่บนเรือนภาพ : พิพิธภัณฑ์ชุมชนวัดเกตการามอ้างอิง : สนม ครุฑเมือง.๒๕๓๔.สารานุกรมของใช้พื้นบ้านไทยในอดีต.กรุงเทพฯ : บริษัท ต้นอ้อ จำกัด.
ชื่อเรื่อง โคลงภาพพระราชพงศาวดารผู้แต่ง กรมศิลปากรประเภทวัสดุ/มีเดีย หนังสือหายากหมวดหมู่ วรรณกรรมเลขหมู่ 895.9113 ศ528คสถานที่พิมพ์ กรุงเทพฯ สำนักพิมพ์ โรงพิมพ์ท่าพระจันทร์ปีที่พิมพ์ 2513ลักษณะวัสดุ 138 หน้าหัวเรื่อง พระราชพงศาวดารภาษา ไทยบทคัดย่อ/บันทึก เรื่องโคลงภาพพระราชพงศาวดารนี้ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ได้ทรงพระนิพนธ์ตำนานอธิบายไว้เมื่อพิมพ์ครั้งแรกในปี 2465 ว่า "หนังสือโคลงภาพพระราชพงศาวดารนี้ เกิดขึ้นโดยกระแสพระราชดำริพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเลือกสรรเรื่องในพระราชพงศาวดาร ให้ช่างเขียนที่มีฝีมือเขียนรูปภาพ แลโปรดฯ ให้กรมหลวงสรรพศาสตรศุภกิจ เมื่อยังไม่ได้รับกรม ทรงคิดแบบทำกรอบกระจกสำหรับรูปภาพทั้งปวงนั้น ให้มีโคลงบอกเรื่องพระราชพงศาวดารตรงที่เขียนรูปภาพเขียนติดไว้ประจำทุกกรอบ..."
ติโลกนยวินิจฺฉย (ไตรโลกนยฺยวินิจฺฉย)
ชบ.บ.95ข/1-16
เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)
เลขทะเบียน : นพ.บ.304/1ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 46 หน้า ; 5.5 x 58.5 ซ.ม. : ทองทึบ-ลานดิบ ; ไม่มีไม้ประกับชื่อชุด : มัดที่ 123 (275-286) ผูก 1 (2565)หัวเรื่อง : กธินขนฺธ์(กรถิณขัน)--เอกสารโบราณ คัมภีร์ใบลาน พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม
ชื่อเรื่อง วัดพระศรีสรรเพชญ์ผู้แต่ง เสนอ นิลเดชประเภทวัสดุ/มีเดีย หนังสือท้องถิ่นISBN/ISSN 974-91877-9-2หมวดหมู่ ศาสนาเลขหมู่ 294.31872 ส899วสถานที่พิมพ์ กรุงเทพฯ สำนักพิมพ์ โรงพิมพ์ปราชาชนปีที่พิมพ์ 2546ลักษณะวัสดุ 156 หน้า ; : ภาพประกอบ, แผนผัง ; 29 ซม.หัวเรื่อง วัดพระศรีสรรเพชญ์ สถาปัตยกรรมพุทธศาสนา ศิลปกรรมพุทธศาสนาภาษา ไทยบทคัดย่อ/บันทึก วัดพระศรีสรรเพชญ์มีส่วนสำคัญยิ่งต่อการพระพุทธศาสนาและการปกครองของบ้านเมืองมาแต่อดีต เป็นสถานที่ประกอบพระราชพิธีถือน้ำพิพัฒนสัตยาและพระราชพิธีบำเพ็ญพระราชกุศลต่างๆ ของพระมหากษัตริย์หลายยุคสืบมา
การประเมินคุณค่าเอกสารเป็นขั้นตอนที่สำคัญ ของการดำเนินงานจดหมายเหตุ เพื่อพิจารณาคุณค่าเอกสารที่รับมอบมานั้น สมควรเก็บรักษาไว้ตลอดไปในหอจดหมายเหตุแห่งชาติหรือไม่เอกสารที่รับมอบมาเมื่อนำมาจัดเก็บไว้ในระยะเวลาหนึ่งจะนำออกมาประเมินคุณค่าอีกครั้งตามขั้นตอนและวิธีการของหอจดหมายเหตุแห่งชาติ เนื่องจากว่าเอกสารที่รับมอบจากหน่วยงานรัฐเป็นเอกสารที่ขอสงวนมาจากการพิจารณาจากบัญชีรายชื่อ ดังนั้นขั้นตอนนี้นักจดหมายเหตุจะต้องทำการประเมินคุณค่าเอกสารจากเอกสารจริง เพื่อพิจารณาตัดสินใจคัดเลือกว่าเอกสารเหล่านั้นมีคุณค่าเป็นเอกสารจดหมายเหตุขั้นตอนการประเมินคุณค่าเอกสารขั้นสุดท้าย1. สำรวจและรวบรวมเอกสารชุดที่จะทำการประเมินคุณค่าเอกสารให้ครบถ้วน โดยรวบรวมจากทะเบียนที่นักจดหมายเหตุได้บันทึกไว้ โดยมีหลักเกณฑ์การพิจารณาเลือกชุดดังนี้- อายุของเอกสาร- ปริมาณเอกสาร- ลักษณะทางกายภาพของเอกสาร หากมีการชำรุดมาก ควรได้รับคัดเลือกให้มาประเมินคุณค่าก่อน- ความจำเป็นและต้องการของผู้ใช้เอกสาร- เป็นเอกสารชุดที่หอจดหมายเหตุยังไม่เคยมีให้บริการ- นโยบายของกรมศิลปากร สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ ว่าต้องการให้มีการประเมินคุณค่าชุดเอกสารใดก่อน2. จัดทำคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการประเมินคุณค่าเอกสาร นอกจากนักจดหมายเหตุแล้ว ยังประกอบไปด้วยผู้แทนหน่วยงานเจ้าของเอกสาร นักวิชาการผู้ค้นคว้าใช้บริการข้อมูล โดยคณะกรรมการมีหน้าที่ร่วมกันวิเคราะห์ กลั่นกรอง พิจารณา ประเมินคุณค่าเอกสารให้เป็นไปตามหลักวิชาการจดหมายเหตุ ตามที่ผู้ปฏิบัติงานได้ดำเนินการ ศึกษา วิเคราะห์โครงสร้าง แผนภูมิการแบ่งส่วนราชการ ภารกิจความรับผิดชอบของหน่วยงานที่เป็นเจ้าของเอกสาร คัดแยกกลุ่มเอกสารออกตามการแบ่งโครงสร้าง อำนาจหน้าที่ของหน่วยงานเจ้าของเอกสาร เช่นการคัดแยกออกเป็นกรม กองต่างๆ จากนั้นคัดแยกเอกสารออกเป็นหัวเรื่อง ซึ่งอาจแบ่งตามประเภทเอกสารตามเรื่อง เช่น การประชุมคณะกรรมการ โครงการ แผนงาน กิจกรรม ฯลฯ ดำเนินการวิเคราะห์ ประเมินคุณค่าเอกสาร ทำสรุปสาระสังเขปแต่ละกลุ่มงาน และจัดทำบันทึกการวิเคราะห์การประเมินคุณค่า จัดการประชุมคณะกรรมการ ส่งมอบเอกสารที่ผ่านการประเมินคุณค่าแล้วเพื่อรอการจัดหมวดหมู่และทำเครื่องมือช่วยค้นเอกสารต่อไปอ้างอิง: การประเมินคุณค่าเอกสารจดหมายเหตุ, คู่มือวิชาการพื้นฐานการบริหารและจัดการงานจดหมายเหตุ สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ กรมศิลปากร, 2559