ค้นหา
รายการที่พบทั้งหมด 48,759 รายการ
โบราณสถานปราสาทโคกงิ้ว ตั้งอยู่ภายในวัดโคกงิ้ว บ้านโคกงิ้ว ตำบลปะคำ อำเภอปะคำ จังหวัดบุรีรัมย์ ปราสาทโคกงิ้ว เป็นศาสนสถานประจำสถานพยาบาล หรือ อโรคยศาล ที่พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 โปรดให้สร้างขึ้นในดินแดนของพระองค์ ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 18 แผนผังของตัวโบราณสถานประกอบด้วยปราสาทประธานตั้งหันหน้าไปทางทิศตะวันออก ทิศตะวันออกเฉียงใต้ของปราสาทประธานเป็นที่ตั้งของวิหาร หรือบรรณาลัย ล้อมรอบด้วยกำแพงแก้ว มีประตูเข้าออกด้านหน้าเพียงด้านเดียว มีซุ้มประตูทางเข้าหรือโคปุระอยู่ทางด้านทิศตะวันออก นอกกำแพงแก้วทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของปราสาทประธานเป็นสระน้ำประจำศาสนสถาน พ.ศ.2554 สำนักศิลปากรที่ 12 นครราชสีมา ในขณะนั้น ได้ดำเนินโครงการขุดแต่งโบราณสถานแห่งนี้ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ผลจากการดำเนินการขุดแต่งโบราณสถาน พบโบราณวัตถุสำคัญหลายประเภท เช่น ทับหลังสลักภาพคชลักษมี ศิลปะคลัง – บาปวนตอนต้น, เสาประดับกรอบประตู ,ประติมากรรมรูปพระโพธิสัตว์วัชรปาณีทรงครุฑ นอกจากนั้นยังมีเครื่องมือเครื่องใช้ และภาชนะดินเผาอีกจำนวนหนึ่ง ทับหลังหินทรายสลักภาพคชลักษมีชิ้นนี้ พบจากการขุดแต่งบริเวณบรรณาลัย หรือ วิหาร ลักษณะองค์พระลักษมีประทับนั่งขัดสมาธิบนฐานดอกบัว พระหัตถ์ทั้ง 2 ข้างถือดอกบัว ด้านข้างทั้งสองของพระองค์มีช้างยืนสองขาชูงวงเหนือพระเศียร ใต้ฐานพระลักษมีเป็นรูปเกียรติมุขหรือหน้ากาลคายท่อนพวงมาลัย มือของหน้ากาลยึดชายท่อนพวงมาลัยไว้ พวงอุบะเป็นลายใบไม้ม้วน เหนือท่อนพวงมาลัยเป็นลายใบไม้ ขอบด้านข้างทั้งสองด้านของทับหลังมีรูปสิงห์ยืนจับปลายท่อนพวงมาลัยไว้ ลักษณะดังกล่าวเป็นศิลปะขอมแบบคลังหรือแบบบาปวน อายุสมัยประมาณปลายพุทธศตวรรษที่ 16 ซึ่งมีอายุเก่ากว่าปราสาทโคกงิ้ว จึงสันนิษฐานว่าในช่วงเวลาก่อสร้างมีการเคลื่อนย้ายทับหลังจากปราสาทหลังอื่นมาประดับตกแต่ง ณ ปราสาทโคกงิ้ว จากรูปแบบของโบราณสถานที่ปรากฏ ซึ่งเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของศาสนสถานประจำสถานพยาบาลที่สร้างขึ้นในสมัยของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 (พ.ศ.1724 – 1761) แต่ลักษณะทางศิลปกรรมของทับหลังชิ้นนี้แสดงในรูปแบบขอมแบบคลังหรือแบบบาปวน อายุสมัยประมาณปลายพุทธศตวรรษที่ 16 ดังนั้นอาจเป็นไปได้ว่า ทับหลังชิ้นนี้เป็นทับหลังที่ไม่ใช่ของที่นี่โดยตรง อาจนำมาจากปราสาทในวัฒนธรรมเขมรอื่นที่อยู่ใกล้ หรือ อาจนำมาใช้ประดับสถาปัตยกรรมในโบราณสถานแห่งนี้ ปี 2563-2564 สำนักศิลปากรที่ 10 นครราชสีมา กำลังดำเนินงานบูรณะปราสาทโคกงิ้ว ประกอบด้วย บูรณะปราสาทประธาน บรรณาลัยหรือวิหาร กำแพงแก้ว ด้วยวิธีอนัสติโลซิส ----------------------------------------------------------ข้อมูลโดย : นางสาวสุภาวดี อินทรประเสริฐ นักโบราณคดีชำนาญการ สำนักศิลปากรที่ ๑๐ นครราชสีมา----------------------------------------------------------
องค์ความรู้ เรื่อง พระพุทธรูปทรงเครื่อง
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กำแพงเพชร
พระพุทธรูปทรงเครื่อง ปรากฏหลักฐานการสร้างในศิลปะอินเดีย พุทธศตวรรษที่ ๑๔–๑๗ ในประเทศไทยนิยมสร้างในช่วงสมัยอยุธยาตอนกลางจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์ โดยแรกเริ่มเป็นการสร้างพระพุทธรูปทรงเครื่องน้อย สร้างขึ้นในสมัยอยุธยาตอนกลาง ช่วงพุทธศตวรรษที่ ๒๑–๒๒ ต่อมาในสมัยอยุธยาตอนปลาย พุทธศตวรรษที่ ๒๓ ได้เปลี่ยนจากเครื่องทรงน้อยชิ้นเป็นเครื่องทรงจำนวนมาก หรือที่เรียกกันว่า พระพุทธรูปทรงเครื่องใหญ่
คติการสร้างพระพุทธรูปทรงเครื่องสันนิษฐานว่ามีหลายคติ เช่น พระพุทธเจ้าเคยเป็นเจ้าชายมาก่อน จึงมีศักดิ์ที่สามารถทรงเครื่องอย่างจักรพรรดิราชได้ หรือเชื่อว่าพระพุทธเจ้าเปรียบได้กับพระจักรพรรดิราชาธิราช คือเป็นพระราชาแห่งพระราชาทั้งหลาย นอกจากนี้ยังมีคติเรื่องชมพูบดีสูตร กล่าวคือพระพุทธเจ้าทรงเนรมิตพระองค์ทรงเครื่องอย่างจักรพรรดิเพื่อสั่งสอนพญามหาชมพู รวมทั้งหมายถึงพระศรีอารยเมตไตรย หรือพระอนาคตพุทธเจ้า
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กำแพงเพชร ได้จัดแสดงพระพุทธรูปทรงเครื่องศิลปะอยุธยา ซึ่งนิยมสร้างพระพุทธรูปทรงเครื่องน้อย ประดับตกแต่งด้วยเครื่องอาภรณ์ ได้แก่ เทริดหรือกระบังหน้า กรรเจียก กุณฑล กรองศอ สังวาล ทับทรวง พาหุรัด ในส่วนของพระพักตร์ยังคงเค้าอิทธิพลศิลปะสุโขทัย แต่ส่วนที่เป็นลักษณะเด่นของศิลปะอยุธยา คือ การสร้างพระพุทธรูปทรงเครื่องทรงศิราภรณ์ที่มีกรรเจียกยื่นเป็นครีบออกมาเหนือพระกรรณ กำหนดอายุอยู่ในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๒๒-๒๓
ในสมัยรัตนโกสินทร์ได้จัดแสดงพระพุทธรูปทรงเครื่องใหญ่ในลักษณะปางต่าง ๆ เช่น ปางสมาธิ ปางอุ้มบาตร และปางป่าเลไลยก์ สร้างด้วยโลหะผสมลงรักปิดทอง เป็นงานประติมากรรมขนาดเล็ก มีลักษณะรูปแบบคล้ายคลึงกัน กล่าวคือ เป็นพระพุทธรูปประดับตกแต่งด้วยเครื่องอาภรณ์ ประกอบด้วยมงกุฎ กรรเจียกจร กรองศอ สังวาล ทับทรวง ทองพระกร พาหุรัดตกแต่งด้วยกระหนกเหน็บ เป็นต้น กำหนดอายุอยู่ในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๒๔-๒๕
บรรณานุกรม
- กรมศิลปากร. นำชมพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กำแพงเพชร. กรุงเทพฯ : รุ่งศิลป์การพิมพ์, ๒๕๕๗.
- รุ่งโรจน์ ธรรมรุ่งเรือง. รู้เรื่องพระพุทธรูป. พิมพ์ครั้งที่ ๓. นนทบุรี : มิวเซียมเพรส, ๒๕๖๐.
- ศักดิ์ชัย สายสิงห์. พระพุทธรูปในประเทศไทย : รูปแบบ พัฒนาการ และความเชื่อของคนไทย. กรุงเทพฯ : ภาควิชาประวัติศาสตร์ศิลปะ คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร, ๒๕๕๖.
องค์ความรู้มรดกศิลปวัฒนธรรม ตอนที่ ๒ "จากกัมพุชสู่กัมพูชา ที่มาและความหมายในการรับรู้ของเขมร"
โดย รองศาสตราจารย์ ดร. ศานติ ภักดีคำ
อาจารย์ประจำคณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
และคณะกรรมการชำระประวัติศาสตร์ไทย
ปราสาทพนมวัน ตำบลบ้านโพธิ์ อำเภอเมืองนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมา ซึ่งเป็นศาสนสถานที่ปรากฏการใช้งานมาตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 15 สืบเนื่องถึงปัจจุบัน โดย ประเด็นที่จะหยิบยกมาเล่าในวันนี้ คือ จารึกทั้ง 8 หลัก ที่พบจากปราสาทพนมวัน ซึ่งกำหนดอายุสมัยอยู่ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 15-17 นั่นเอง
จากการดำเนินการบูรณะปราสาทพนมวัน ด้วยวิธีอนัสติโลซิส ซึ่งแล้วเสร็จในปี 2543 นั้น เราได้ค้นพบ #จารึก ที่ปราสาทพนมวัน จำนวน 8 หลัก โดยปัจจุบันเก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติมหาวีรวงศ์ อำเภอเมืองนครราชสีมา 1 หลัก (จารึกหลักที่ 7) และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพิมาย จังหวัดนครราชสีมา 2 หลัก (จารึกหลักที่ 1 และ ส่วนอีก 5 หลัก ปัจจุบันยังอยู่ที่ตำแหน่งกรอบประตูตัวข้างของปราสาทประธาน (ดูแผนผังประกอบ)
ผลการศึกษาวิเคราะห์และการกำหนดอายุจารึกปราสาทพนมวันจารึกปราสาทพนมวัน สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 กลุ่ม ดังนี้
กลุ่มที่1 ได้แก่ จารึกหลักที่ 1 มีอายุอยู่ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 15 ดังปรากฏพระนามของกษัตริย์ 2 พระองค์ คือ พระเจ้าอินทรวรมันที่ 1 (พ.ศ.1420 – พ.ศ.1432) และพระเจ้ายโศวรมันที่ 1 (พ.ศ.1432 – พ.ศ.1443)
กลุ่มที่2 ได้แก่ จารึกหลักที่ 2 และหลักที่ 5 มีอายุอยู่ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 16 ดังปรากฏพระนามของกษัตริย์ 2 พระองค์ คือ พระเจ้าสุริยวรมันที่ 1 (พ.ศ.1545 – พ.ศ.1593) และ พระเจ้าอุทัยทิตยวรมันที่ 2 (พ.ศ.1593 – พ.ศ.1609)
กลุ่มที่3 ได้แก่ จารึกหลักที่ 3 จารึกหลักที่ 4 จารึกหลักที่ 6 จารึกหลักที่ 7 และจารึกหลักที่ 8 มีอายุอยู่ในช่วงต้น – กลางพุทธศตวรรษที่ 17 ดังปรากฏพระนามของกษัตริย์ 2 พระองค์ คือ พระเจ้าราเชนทรวรมัน (พ.ศ.1487 – พ.ศ.1511) พระเจ้าชัยวรมันที่ 6 (พ.ศ.1623 – พ.ศ.1650)
ทั้งนี้ เพื่อป้องกันการสับสนระหว่างภาพจารึกและข้อความ จึงขออนุญาตนำข้อมูลรายละเอียดจารึกทั้ง 8 หลัก แยกใส่ไว้ในรายละเอียดภาพของแต่ละภาพเลย
จารึกปราสาทพนมวัน 1 จารึกด้วยอักษรขอมโบราณ ภาษาเขมร ระบุ ศักราชตรงกับพุทธศักราช 1433 ปรากฏตัวอักษรบนจารึกจำนวน 1 ด้าน มี 6 บรรทัด บนส่วนของ ทับหลังกรอบประตูรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ขนาดกว้าง 109 เซนติเมตร สูง 25 เซนติเมตร ศิลาจารึกหลักนี้ พบเมื่อกรมศิลปากรบูรณะขุดแต่งโบราณสถานปราสาทหินพนมวัน เมื่อปีพุทธศักราช 2513 พบอยู่ท่ามกลางซากปรักหักพังรวมกับหินอื่น ๆ บริเวณด้านทิศใต้นอกปราสาท ปัจจุบันเก็บรักษาอยู่ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพิมาย จังหวัดนครราชสีมา สรุปเนื้อหาในคำแปลจารึก กล่าวว่า
“มหาศักราช 812 (พ.ศ.1433) ขึ้น 10 ค่ำ เดือน 3 มีพระราชโองการของพระกัมรเตงอัญยโศวรมัน สั่งให้โขลญพนม วาบโค โขลญพิษ และวาบศรีประติปรัตยะ จัดการฉลองปะรำพระเพลิงและ พระตำหนัก ขอให้ปฏิบัติตามพระราชโองการของพระกัมรเตงอัญอินทรวรมันและพระกมรเตงอัญยโศวรมัน
ส่วนผู้ที่ไม่ปฏิบัติตามพระราชโองการจะต้องได้รับความไม่ดีที่ตนทำไว้ สำหรับผู้ปฏิบัติตามพระราชโองการ จะต้องได้รับความดีความชอบหลายอย่าง ตามที่สร้างตะกรุดไว้ในลิงคบุรีและเมื่อสร้างตะกรุดถวายพระกัมรเตงอัญเสร็จแล้ว จึงเอาตะกรุดนั้นซัดเข้าไปในพระเพลิงอีกโดยแยกตีเอาไปเก็บไว้ข้างบนเพื่อให้รวมอยู่กับเครื่องกระยา”
จารึกปราสาทพนมวัน 2 จารึกด้วยอักษรขอมโบราณ ภาษาเขมรและสันสกฤต ระบุศักราชตรงกับพุทธศักราช 1598 ปรากฏตัวอักษรบนจารึกจำนวน 1 ด้าน มี 45 บรรทัด พบที่กรอบประตูห้องมุขด้านตะวันออกของปราสาทประธาน บนส่วนของกรอบประตูตัวข้างด้านใต้ สรุปเนื้อหาสำคัญในคำแปลจารึก กล่าวว่า
“ขอความนอบน้อม จงมีแก่พระศิวะผู้มีรัศมีอันรุ่งโรจน์ ผู้ประเสริฐ ผู้อันพราหมณ์ เป็นต้นบูชา•••••ศรีสูรยวรมัน ผู้มีพระบาทบงกชเหนือเศียรเกล้าแห่งพระราชาทั้งหลายที่มานอบน้อม•••••ทรงประกอบด้วยธรรมอันสมบูรณ์ ทรงสืบเชื้อสายมาจาก ศรวรสกุล (ทรงบัญชาให้) พระราชาที่เป็นศัตรู กระทำตามพระราชโองการของพระองค์โดยไม่ผิดพลาด•••••บุรุษผู้มีความดีนั้น ผู้บริสุทธิ์ ผู้เต็มไปด้วยความภักดีต่อ พระเจ้าศรีสูรยวรมัน ซึ่งมีนามว่า วีรวรมัน เป็นนักรบด้วยความภักดี•••••พระราชาผู้เป็นใหญ่ในแผ่นดิน ได้โปรดเกล้าฯ ให้พระราชทานโภคะต่าง ๆ เสลี่ยงยูงทองและงาเป็นอันมากแก่เขา เพราะความภักดีต่อเจ้านาย ท่านจึงได้รับนามว่า กฤตัชญวัลลภ และได้สร้างเทวรูปไว้ในเมืองสุขาลัย อันน่ารื่นรมย์•••••ได้ถวายทาสชายหญิง 200 คน แก่เทวรูปองค์นี้ ได้ถวายที่ดิน ปศุสัตว์ อันประกอบด้วยกระบือตัวผู้และตัวเมียเป็นต้น ได้ทำเขตของอาศรมนั้นไว้ทั้ง 8 ทิศ พร้อมด้วยชาวบ้านและญาติทั้งหลายในทิศตะวันออก ทิศตะวันออกเฉียงใต้ ทางทิศใต้ และทิศตะวันตกเฉียงใต้ สตุกกทัมพกะ ทิศตะวันตกพนมพระ ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ทิศเหนือชื่ออังเวง ทิศตะวันออกเฉียงเหนือชื่อณทาหกะ ตั้งแต่หมู่บ้าน สวาทเยา มาจำนวน 23 หมู่บ้าน ได้รับการซ่อมแซมใหม่ ให้สวยงาม น่าชมเป็นอย่างยิ่ง•••••ต่อจากนั้น ก็เป็นสมัยของพระเจ้าศรีอุทยาทิตยวรมัน ซึ่งทั้งนักประพันธ์และ ผู้มีชื่อเสียงเกียรติยศ ยังมีความภักดีสืบต่อกันมา พิธีเกี่ยวกับดินแดนแห่งสวาทเยา ซึ่งมีมาแล้วตั้งแต่รัชกาลของพระเจ้าพรหมโลก (หรรษวรมันที่ 2) และการก่อตั้งดินแดนแห่งอำเวง เพื่อจะให้ข้าราชบริพารของพระเจ้าสูรยวรมันอยู่ที่นั่น”
จารึกปราสาทพนมวัน 3 จารึกด้วยอักษรขอมโบราณ ภาษาเขมร ระบุศักราชตรงกับพุทธศักราช 1625 ปรากฏตัวอักษรบนจารึกจำนวน 1 ด้าน มี 42 บรรทัด บนส่วนของกรอบประตูตัวข้างด้านตะวันตกของประตูห้องครรภคฤหะด้านใต้ปราสาทประธาน สรุปเนื้อหาสำคัญ ในคำแปลจารึก เป็นเรื่องราวของการจารึกขึ้นในปีพุทธศักราช 1625 พระเจ้าชัยวรมันที่ 6 หรือพระบาทบรมไกรวัลยบท (พ.ศ.1623 – 1650) ทรงมีพระราชโองการให้บรรดาพระกมรเตงอัญ คนอื่น ๆ ช่วยกันดูแลอาศรมและให้ถวายสิ่งของแก่กมรเตงชคตเป็นประจำ นอกจากนี้ยังทรงถวายทาสและสิ่งของอื่นๆ อีกเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะพวกทาสนั้น ทรงมีพระบรมราชโองการห้ามอยู่ใต้การบังคับบัญชาของผู้ใดและทรงห้ามพวกทาสเหล่านี้ทำพิธีกรรมอื่น ๆ อีกด้วย
จากภาพเป็นจารึกหลักที่ 3 ส่วนบน
จารึกปราสาทพนมวัน 4 จารึกด้วยอักษรขอมโบราณ ภาษาเขมร ระบุศักราชตรงกับพุทธศักราช 1625 ปรากฏตัวอักษรบนจารึกจำนวน 1 ด้าน มี 3 บรรทัด พบที่กรอบประตูห้องครรภคฤหะด้านใต้ของปราสาทประธาน บนส่วนของกรอบประตูตัวข้างด้านตะวันออก จารึกมีข้อความสืบเนื่องจากปราสาทหินพนมวัน 3 แต่เส้นอักษรลบเลือนมาก อ่านจับใจความได้เพียงเล็กน้อยว่า
“ข้าวสาร 1 ภาชนะ•••••ม้าตัวผู้หนึ่งตัว อีกตัวหนึ่งสีขาว 2 ถลวส•••••
จารึกปราสาทพนมวัน 5 จารึกด้วยอักษรขอมโบราณ ภาษาเขมร ระบุศักราชตรงกับพุทธศตวรรษที่ 17 ปรากฏตัวอักษรบนจารึกจำนวน 1 ด้าน มี 19 บรรทัด พบที่กรอบประตูห้องมุขด้านตะวันออกของปราสาทประธาน บนส่วนของกรอบประตูตัวข้างด้านเหนือ สรุปเนื้อหาสำคัญในคำแปลจารึกได้ดังนี้
บรรทัดที่ 1-7 มีบุคคลอาจเป็นกฤตัชยวัลลภ กล่าวถึงตนเอง แต่อาจจะกล่าวถึงผลประโยชน์ต่างๆ ที่ตนได้รับและแสดงความปรารถนาบางประการเกี่ยวกับสกุลของตน
บรรทัดที่ 7-14 กล่าวถึงหมู่บ้าน 23 แห่ง และจบลงด้วยข้อความที่ห้ามแก่หัวหน้าหมู่บ้าน โดยมีอยู่ ข้อหนึ่งให้ทำบางสิ่งบางอย่างอยู่ ซึ่งแสดงโดยข้อความที่ไม่อาจเข้าใจได้
บรรทัดที่ 14-17 สัญญาที่แสดงความยินดีในชีวิตเบื้องหน้า แก่ผู้ที่ประพฤติดีและแก่ครอบครัวของเขา ที่จะงดเว้นไม่แสดงความรังเกียจแก่เทวาลัย และทำให้เจริญ แก่ครอบครัวของผู้สร้างซึ่งได้อาศัยอยู่ที่นั่น
บรรทัดที่ 17-19 คำขู่ถึงนรก 32 ขุม โดยไม่มีการละเว้น แก่คนวิกลจริต คนโลภและครอบครัวของเขาที่ทำลายเทวาลัยแห่งนี้
จารึกปราสาทพนมวัน 6 จารึกด้วยอักษรขอมโบราณ ภาษาเขมร ระบุศักราชตรงกับพุทธศตวรรษที่ 17 ปรากฏตัวอักษรบนจารึกจำนวน 1 ด้าน มี 2 บรรทัด พบที่กรอบประตูห้องมุขด้านใต้ของปราสาทประธาน บนส่วนของกรอบประตูตัวข้างด้านตะวันตก จารึกนี้มีสภาพชำรุดมาก ปรากฏรูปอักษรให้เห็นเพียง 2 บรรทัด อ่านและแปลได้ว่า
“•••••วันเสาร์เดือนอ้ายสงกรานต์•••••กมรเตงชคต”
จารึกปราสาทพนมวัน 7 จารึกด้วยอักษรขอมโบราณ ภาษาเขมรและสันสกฤต ระบุศักราชตรงกับพุทธศตวรรษที่ 17 ปรากฏตัวอักษรบนจารึกจำนวน 2 ด้าน ด้านที่ 1 มี 6 บรรทัด ด้านที่ 2 มี 6 บรรทัด เป็นแผ่นรูปส่วนหนึ่งของใบเสมา พบจากการขุดแต่งบริเวณปราสาทหินพนมวัน พร้อมกับจารึกปราสาทหินพนมวัน 1 ปัจจุบันเก็บรักษาอยู่ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติมหาวีรวงศ์ จังหวัดนครราชสีมา ขนาดของจารึกมีขนาดกว้าง 12 เซนติเมตร สูง 18 เซนติเมตร หนา 7 เซนติเมตร ข้อความในจารึกมีข้อความไม่ต่อเนื่อง ด้านที่ 1 จารึกเป็นภาษาสันสกฤต ได้กล่าวว่า พระอาทิตย์บนท้องฟ้าแห่งนี้ เป็นต้นวงศ์ของศรีกัมพุช ส่วนด้านที่ 2 จารึกเป็นภาษาเขมร ได้บอกพระนามของพระเจ้าราเชนทรวรมันหรือพระบาทศิวโลก
หลักฐานจารึกปราสาทพนมวัน 8 เป็นจารึกฐานเทวรูป พบจากการขุดตรวจพื้นภายในห้องมุขตะวันออกของมณฑปปราสาทประธาน ปัจจุบันเก็บรักษาอยู่ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพิมาย จังหวัดนครราชสีมา ได้รับการอ่านแปลโดยนายชะเอม แก้วคล้าย เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2543 เป็นภาษาเขมร อายุประมาณพุทธศตวรรษที่ 16 – 17 กล่าวถึงการถวายสิ่งของบูชาเทวรูปในอาศรมและพระศิวะ
--------------------------------------------------------
ข้อมูลโดย : นายนภสินธุ์ บุญล้อม นักโบราณคดีชำนาญการ กลุ่มโบราณคดี สำนักศิลปากรที่ ๑๐ นครราชสีมา--------------------------------------------------------
แหล่งอ้างอิงข้อมูล
พงศ์ธันว์ บรรทม. ปราสาทพนมวัน. กรุงเทพฯ: สำนักงานโบราณคดีและพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติที่ 9 นครราชสีมา. 2544.
สมัยรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๖ พ.ศ. ๒๔๕๓
ผ้าแพร กว้าง ๖๙ เซนติเมตร ยาว ๑๑๔ เซนติเมตร
ผ้าแพรพื้นเหลือง พิมม์สีแดงตราเพชรลูกเปล่งรัศมีภายใต้เศวตฉัตร ๕ ชั้น ภายใต้มีข้อความ “มหาสมณุตมาภิเษก พ,ศ,๒๔๕๓” ปรากฏตามลายพระหัตถ์สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ทูลพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงสรรพศาสตรศุภกิจ ลงวันที่ ๑๕ พฤศจิกายน ร.ศ. ๑๒๙ (พ.ศ. ๒๔๕๓) ความตอนหนึ่งว่า
“...ผ้ากราบนั้น ถ้าโปรดพิมพ์ประทานเสร็จด้วยทีเดียวก็ยิ่งดี ใช้พิมพ์สีแดง ส่วนผ้านั้น ถ้าทรงหาทีเดียว ก็เบากังวลด้านนี้ แต่จะรับประทาน ๕๑ ผืน ขนาดเท่ากับผ้ากราบเมื่องานบรมราชาภิเษก ถ้าได้ผ้าชนิดนั้นเป็นดี จะใช้ไตรแพรเหมือนกัน ฯ...”
ผ้ากราบ ในที่นี้หมายถึง ผ้าที่พระภิกษุสามเณรใช้รองในเวลากราบพระซึ่งกลายมาจากผ้าสันถัต (ผ้ารองนั่ง) แต่ในปัจจุบัน ผ้ากราบ จะหมายถึง ผ้าแพรสีเหลืองขนาดกว้าง ๑ คืบ ยาว ๒ คืบ ที่พระภิกษุใช้รับประเคนของจากสตรี
ธรรมเนียมการใช้ผ้ากราบมิได้มีแต่ในหมู่พระภิกษุสงฆ์ ข้าราชการในสมัยโบราณก็มีการคาดผ้ากราบเวลาเข้าเฝ้าในท้องพระโรงสำหรับปูก่อนถวายบังคม สำหรับฆราวาสเวลาเข้าไปในปูชนียสถาน ก็จะปลดผ้าที่เกี้ยวเอวไว้แล้วเฉวียงบ่า เมือจะกราบพระพุทธรูป หรือพระสงฆ์ ก็จะปลดชายลงให้ลาดไปเบื้องหน้าสำหรับรองก่อนกราบด้วย
หลักฐานการใช้ผ้ากราบเช่น จารึกวัดช้างล้อม ซึ่งระบุพ.ศ. ๑๙๒๗ ในสมัยสุโขทัย กล่าวถึงการถวายสิ่งของแก่พระสงฆ์ โดยมี “ผ้านบพระ” หรือผ้ากราบอยู่ในรายการสิ่งของเหล่านั้น ถึงในสมัยรัตนโกสินทร์ มีการถวายผ้ากราบรวมกับไตรจีวร โดยมีการปักตราหรือพิมพ์ลายอย่างประณีต แก่พระสงฆ์ที่มาเจริญพระพุทธมนต์ในการพระราชพิธีต่างๆ จึงเกิดธรรมเนียมพระสงฆ์พาดผ้ากราบบนบ่าซ้ายเหนือสังฆาฎิหรือจีวรเมื่อไปในพิธีสำคัญ จนถึงในรัชกาลที่ ๖ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส จึงทรงให้พระภิกษุทั้งฝ่ายธรรมยุตและฝ่ายมหานิกายเลิกใช้ผ้ากราบพาดบ่าทั้งหมด ธรรมเนียมพระสงฆ์พาดผ้ากราบจึงยกเลิกไปจากสังคมไทย
มีข้อชวนสังเกตเกี่ยวกับผ้ากราบสองประการ ประการแรก ผ้ากราบในสมัยโบราณจะใหญ่การใช้งานต้องพับทบตามแนวยาว ซึ่งสะท้อนว่า หากใช้ปูพื้นรองก่อนกราบพระก็สามารถจะใช้ได้จริง และประการที่สอง ผ้ากราบในสมัยรัชกาลที่ ๕ จะมีการแบ่งระดับชั้น แม้จะเป็นของถวายในการพระราชพิธีเดียวกัน เท่าที่พบชั้นเอก-ปักไหมล้วน ชั้นโท-พิมพ์ลายและปักไหมเดินเส้นลายบางส่วน ชั้นตรี-พิมพ์ลายเพียงอย่างเดียว
ที่มาข้อมูล
เด่นดาว ศิลปานนท์. ผ้ากราบ. พิมพ์ครั้งที่ ๒. กรุงเทพฯ: กรมศิลปากร, ๒๕๕๓ (กรมศิลปากรจัดพิมพ์ถวายพระภิกษุ สามเณร ที่เข้าชมพิพิธภัฑสถานแห่งชาติ พระนคร เนื่องในเทศกาลเข้าพรรษา ๒๕๕๓)
“พัดมหาสมณุตมาภิเษก ๒๔๕๓” เล่าเรื่อง..วัดบวรฯ (ออนไลน์)
วัดจักรวาฬภูมิพินิจ (วัดจักรวาลภูมิพินิจ) ตั้งอยู่ที่ บ้านหนองหมื่นถ่าน หมู่ที่ ๕ ตำบลหนองหมื่นถ่าน อำเภออาจสามารถ จังหวัดร้อยเอ็ด ตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๐ โดยนายสิงห์ สิงห์เสนา (ปู่เมืองปาก) มีถิ่นเดิมอยู่บ้านหนองแล้ง แขวงสุวรรณภูมิ ได้พาครอบครัวและญาติมาตั้งบ้านใหม่ คือ บ้านหนองหมื่นถ่าน ต่อมาได้ชักชวนชาวบ้านสร้างวัดจักรวาฬขึ้น และได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา เมื่อวันที่ ๑๙ พฤษภาคม ๒๔๕๑ มีโบราณสถานที่สำคัญ คือ สิม (อุโบสถ) หลังเก่า สิม (อุโบสถ) หลังเก่า ลักษณะเป็นสิมทึบ ก่ออิฐถือปูน ตั้งบนฐานเอวขัน หันหน้าไปทางทิศตะวันออก ขนาด ๓ ห้อง รวมห้องมุขด้านหน้า มีประตูทางเข้าด้านทิศตะวันออกเชื่อมต่อกับบันได โครงสร้างอาคาร ใช้เสาและผนังรับโครงสร้างหลังคาทรงจั่ว มุงกระเบื้องไม้ (แป้นเกล็ด) หน้าบันตีไม้เป็นลายตะวัน ประดับกระจกเงา มุมทั้งสามของหน้าบันประดับดอกลอยขนาดใหญ่ แผงรวงผึ้งไม่มีเสาด้านในคู่หน้า ทำให้รวงผึ้งหย่อนเกือบถึงระดับเดียวกับระเบียงห้องมุข ประดับไม้แกะสลักลายกนกเครือ และลายดอกลอยด้านล่างบริเวณโค้งรวงผึ้ง คันทวยเป็นไม้แกะสลัก ผนังภายนอกด้านหน้ามีฮูปแต้ม (ภาพจิตรกรรม) เป็นภาพ พุทธประวัติตอนพระพุทธเจ้าออกผนวช ภาพมารผจญ และภาพขุมนรก ด้านในอุโบสถเป็นภาพวรรณคดี เรื่องสังข์สินไซ (สังข์ศิลป์ชัย) สิม (อุโบสถ) หลังเก่า วัดจักรวาลภูมิพินิจ ได้รับการประกาศขึ้นทะเบียนโบราณสถานใน ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๑๘ ตอนพิเศษ ๑๒๔ ง หน้า ๘ วันที่ ๑๗ ธันวาคม ๒๕๔๔ และระวางแนวเขตพื้นที่ประมาณ ๑ ไร่ ๒ งาน ๓๔ ตารางวา-------------------------------------------------------------เรียบเรียงข้อมูลโดย นางสาวศุภภัสสร หิรัญเตียรณกุล นักโบราณคดีชำนาญการ สำนักศิลปากรที่ ๙ อุบลราชธานี -------------------------------------------------------------อ้างอิงจาก กรมศิลปากร. (๒๕๕๖). ทำเนียบโบราณสถานขึ้นทะเบียนสำนักศิลปากรที่ ๑๐ ร้อยเอ็ด (พ.ศ. ๒๔๗๘ – ๒๕๔๕). ขอนแก่น : บริษัทเพ็ญพรินติ้งจำกัด. ปิยนันท์ ชอบศิลประกอบ. (๒๕๕๒).รายงานการสำรวจข้อมูลโบราณสถานวัดจักรวาลภูมิพินิจ หมู่ ๕ และหมู่ ๑๓ บ้านหนองหมื่นถ่าน ตำบลหนองหมื่นถ่าน อำเภออาจสามารถ จังหวัดร้อยเอ็ด. กลุ่มโบราณคดี สำนักศิลปากรที่ ๑๐ ร้อยเอ็ด. (เอกสารพิมพ์คอมพิวเตอร์) สำนักศิลปากรที่ ๙ อุบลราชธานี. (๒๕๖๓). โบราณสถานที่ขึ้นทะเบียนแล้วในพื้นที่สำนักศิลปากรที่ ๙ อุบลราชธานี (เล่ม ๒ : จังหวัดกาฬสินธุ์ จังหวัดนครพนม จังหวัดร้อยเอ็ด). อุบลราชธานี : ห้างหุ้นส่วนจำกัด อุบลกิจออฟเซทการพิมพ์.
#เครื่องมือเครื่องใช้ในภาคเหนือ จ้อง ภาษาล้านนาใช้เรียก ร่ม เป็นเครื่องมือเครื่องใช้สำหรับกันแดดกันฝน จ้องในภาคเหนือมักทำจากกระดาษสาแล้วทาด้วยน้ำมันมะพอก ซึ่งมีคุณสมบัติเพื่อกันไม่ให้น้ำเกาะค้างบนกระดาษสา ส่วนตัวคันร่มทำจากไม้ไผ่รวก แหล่งที่ทำร่มหรือจ้องที่มีชื่อเสียงคือ ร่มบ่อสร้าง เนื่องจากในอดีตร่มบ่อสร้างนั้นมีการนำร่มจากบ้านสันต้นแหนมาลงสีสันให้สวยงาม ผู้คนจึงสะดุดตาและจดจำว่าร่มหรือจ้องต้องจากบ่อสร้าง อำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่ภาพ : หอจดหมายเหตุแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เชียงใหม่. ภาพชุด การประกวดภาพเก่าเกี่ยวกับจังหวัดลำพูน (เจ้าของภาพ น.ส. บัวเขียว เพชรรัตน์)อ้างอิง :๑. มณี พยอมยงค์. ๒๕๔๖. สารพจนานุกรมล้านนา. เชียงใหม่: ดาวคอมพิวกราฟิก.๒. ธันวดี สุขประเสริฐ.๒๕๖๔.ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) (Online). https://www.sac.or.th/.../trad.../th/equipment-detail.php.... สืบค้นเมื่อวันที่ ๘ กันยายน ๒๕๖๔.
ฮ้านน้ำ ฮ้านน้ำ ตามความหมายในสารพจนานุกรมคือ ร้านน้ำ ที่ไว้หม้อน้ำ มักตั้งอยู่หน้าบ้าน มี “ส้อหล้อ” ที่มีลักษณะเป็นชั้นวาง หลังคาทรงจั่วด้านบน สำหรับวางหม้อน้ำหรือ “น้ำต้น” ซึ่งน้ำต้นนั้นถือเป็นเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างหนึ่งของชาวไทยล้านนา ใช้เรียกภาชนะดินเผาที่ปั้นรูปทรงคล้ายหม้อหรือคนโทวางตั้งไว้ แล้วใส่น้ำสะอาด พร้อมกระบวยหรือแก้วสำหรับตักน้ำดื่ม ภายในหม้อน้ำจะมีความเย็นสดชื่นกว่าปกติเนื่องจากภาชนะเป็นดินเผา การตั้งฮ้านน้ำมีความเชื่อกันว่า ทานจากการตั้งน้ำดื่มแก่ผู้ที่สัญจรไปมาหรือแขกมาเยือนบ้านเป็นกุศลมหาศาล ตรงกันข้ามกับการหวงน้ำ เมื่อตายไปจะตกนรกหมกไหม้ อดอยากหิวโหยไม่มีน้ำดื่ม คนเฒ่าคนแก่จึงเชื่อถือเรื่องนี้มากว่าควรตั้งฮ้านน้ำและเปลี่ยนหรือทำความสะอาดหม้อน้ำทุกวัน หากใครมาแวะเยี่ยมเยือนต้องต้อนรับขับสู้ มีน้ำมีท่าให้แขกเหรื่อ จึงจะเป็นเจ้าบ้านที่ดี นอกจากภาคเหนือของไทยมีฮ้านน้ำแล้ว แหล่งอื่น ๆ ก็มีวัฒนธรรมดังกล่าว เช่น ภาคอีสานและชาวลาว เรียกร้านน้ำริมทางเช่นนี้ว่า “แอ่งดิน” และภาคใต้ เรียกว่า “เพล้ง” ในเขมรเรียกว่า “ตน็อล” โดยในเขมรพบว่าธรรมเนียมตั้งฮ้านน้ำเริ่มมีมาไม่นาน เนื่องจากผู้มาเยือนมักปฏิเสธเพราะระมัดระวังเรื่องไสยศาสตร์ ส่วนที่พม่า เรียกว่า “เยโออะหลู่” หรือ “หม้อน้ำทาน”ภาพ: ร้าน white connection กาดฝรั่งอ้างอิง ๑. มณี พยอมยงค์. สารพจนานุกรมล้านนา. เชียงใหม่: ดาวคอมพิวกราฟิก.๒. องค์ บรรจุน. ๒๕๕๙. "ธรรมเนียมร้านน้ำ" ของชาวเมียนมา." ศิลปวัฒนธรรม (Online)
ติโลกนยวินิจฺฉย (ไตรโลกนยฺยวินิจฺฉย)
ชบ.บ.95ก/1-12
เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)
เลขทะเบียน : นพ.บ.298/1กห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 32 หน้า ; 4.5 x 59 ซ.ม. : ทองทึบ-ลานดิบ ; ไม่มีไม้ประกับชื่อชุด : มัดที่ 123 (275-286) ผูก 1ก (2565)หัวเรื่อง : จิรธารกถา เทศนาแทนน้ำนมแม่--เอกสารโบราณ คัมภีร์ใบลาน พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม