ค้นหา
รายการที่พบทั้งหมด 48,777 รายการ
สมัยรัตนโกสินทร์ พุทธศตวรรษที่ ๒๕
สมบัติเดิมของพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร
ปัจจุบันจัดแสดงใน พระตำหนักแดง
โคมหวด เครื่องตามประทีป ประเภท ตะเกียง มีที่ห่อหุ้มดวงไฟแต่แสงสว่างสามารถลอดออกมาได้ ดวงโคมทำจากแก้วทรงกระบอกก้นมนคล้ายหวดดินเผา ที่ใช้สำหรับนึ่งอาหาร ปากโคมเลี่ยมด้วยโลหะ มีปลอกรัดใต้ขอบปากติดขอแขวนสายโซ่สามเส้น โยงขึ้นไปรวมกันติดห่วงตอนบนใต้ฝาบังไอความร้อนขึ้นไปรมเพดาน ซึ่งอาจทำให้ลุกไหม้เป็นอันตราย ฝามีลักษณะคล้ายฝาละมี โคมหวด ปัจจุบันพบเห็นได้ไม่ยาก มักแขวนในพระอุโบสถ พระวิหาร หรืออาคารโบราณสถาน โคมหวดใบนี้มีความพิเศษ คือ เป็นแก้วสีเขียว และแกะลายเถาดอกไม้ ซึ่งโดยทั่วไปจะเป็นแก้วใสเกลี้ยงๆ
ชื่อเรื่อง อสีติมหาสาวกนิพฺพาน (พระอสีติมหาสาวกนิพพาน)
สพ.บ. 265/2ประเภทวัสดุมีเดีย คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่ พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ 72 หน้า กว้าง 4.5 ซม. ยาว 58 ซม.หัวเรื่อง พุทธสาวก--ชีวประวัติ สงฆ์--ชีวประวัติ
บทคัดย่อ/บันทึก เป็นคัมภีร์ใบลาน อักษรธรรมอีสาน ภาษาบาลี-ไทยอีสาน เส้นจาร ฉบับทองทึบ ได้รับบริจาคมาจากวัดทุ่งอุทุมพร ต.บางปลาม้า อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี
ชื่อผลงาน: ภาพร่างต้นแบบจิตรกรรมฝาผนัง เวสสันดรชาดก วัดราชาธิวาส
ศิลปิน: สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ (พ.ศ. 2406 - 2490) และคาร์โล ริโกลี ศิลปินอิตาลี (พ.ศ. 2426 - 2505)
เทคนิค: จิตรกรรมสีฝุ่นบนแผ่นไม้
ขนาด: กว้าง 100 ซม. สูง 70.5 ซม.
อายุสมัย: รัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ 6
รายละเอียดเพิ่มเติม: หนึ่งในงานศิลปกรรมสำคัญชิ้นประวัติศาสตร์ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการปฏิบัติงานร่วมกันระหว่าง สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ผู้ได้รับการยกยกว่า “สมเด็จครู” และ “นายช่างใหญ่แห่งกรุงสยาม” กับ คาร์โล ริโกลี จิตรกรมีชื่อชาวอิตาลี ซึ่งทางราชสำนักว่าจ้างให้เข้ามาเขียนภาพจิตรกรรมฝาผนัง ในเทคนิคปูนเปียกแบบตะวันตก ประดับภายในพระอุโบสถวัดราชาธิวาส กรุงเทพมหานคร
Title: mural sketch for a fresco in Uposot (ordination hall) of Wat Rachatiwat, depicted a scene from Vessantara Jataka
Artist: HRH Prince Narisara Nuvadtivongs (1863 - 1947) & Carlo Rigoli (1883 - 1962)
Technique: tempera on wooden panel
Size: 100 × 70.5 cm.
Period: Rattanakosin era, first quarter of 20th Century, some years in the reign of King Vijiravudh (Rama VI)
Detail: One of our important pieces of art which is an evidence of a significant collaboration between HRH Prince Narisara Nuvadtivongs whom the public praised as “Nai-Chang Yai” (the great artisan) of Rattanakosin era, and Carlo Rigoli (Italian painter) whom Siamese court commissioned to paint fresco as a decoration in Uposot (ordination hall) of Wat Rachatiwat, Bangkok.
ประเพณียี่เป็ง ตรงกับวันเพ็ญ ๑๕ ค่ำ เดือนยี่ (เดือนสิบสองของภาคกลาง) หนึ่งในประเพณีสิบสองเดือนของล้านนา เป็นวันพระและวันสุดท้ายของการทอดกฐิน หรือครบ ๓๐ วันหลังวันออกพรรษา ประเพณียี่เป็งเป็นประเพณีที่ผสมผสานระหว่างพุทธศาสนาและวิถีชีวิตของชาวล้านนาก่อนถึงวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือนยี่ ชาวล้านนาจะเตรียมอาหารทำบุญ ดอกไม้ธูปเทียน สำหรับไปวัดและทานขันข้าว แขวนโคมประดับประดาบ้านเรือน ทำซุ้มประตูป่า เพื่อเป็นเครื่องสักการะถวายการต้อนรับพระเวสสันดรครั้งเสด็จออกจากป่าเข้าสู่เมืองเมื่อถึงวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือนยี่ ช่วงเช้า ชาวล้านนาจะเข้าวัด ใส่บาตร ฟังเทศน์ ทานขันข้าวบรรพบุรุษที่ล่วงลับ ปล่อยโคมควัน สำหรับในช่วงกลางคืน จะเข้าวัดอีกครั้ง เพื่อนำผางประทีปไปจุดที่วัด แล้วกลับมาจุดผางประทีปบริเวณต่าง ๆ ในบ้าน เพื่อบูชาพระเจ้าห้าพระองค์และรำลึกถึงบุญคุณของสิ่งต่าง ๆ รอบตัว มีการเล่นดอกไม้ไฟบนฝั่งแม่น้ำหรือที่บ้าน และปล่อยโคมไฟ ถือเป็นประเพณีสนุกสนานรื่นเริงของชาวล้านนา ต่อมา ได้มีการนำวัฒนธรรมการลอยกระทงผนวกเข้าไปในประเพณียี่เป็งด้วยในปี พ.ศ. ๒๕๑๒ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย มาจัดตั้งสำนักงานที่จังหวัดเชียงใหม่และสนับสนุนให้ประเพณียี่เป็งเป็นการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม โดยส่งเสริมการลอยกระทงแบบกรุงเทพฯ ที่จังหวัดเชียงใหม่อย่างจริงจังและร่วมกับเทศบาลนครเชียงใหม่ มีการจัดประกวดขบวนกระทงเล็ก ขบวนกระทงใหญ่ รวมทั้งการจัดประกวดขบวนโคมยี่เป็งของสมาคมผู้ประกอบการย่านไนท์บาร์ซาร่วมด้วยอีกหนึ่งวันผู้เรียบเรียง : นางเกษราภรณ์ กุณรักษ์ นักจดหมายเหตุชำนาญการภาพ : สำนักข่าวเห็ดลมอ้างอิง :๑. ปลายอ้อ ทองสวัสดิ์. ๒๕๖๒. “ยี่เป็ง พุทธบูชา.” ใน วงศ์สักก์ ณ เชียงใหม่ (บรรณาธิการ). เชียงใหม่ นครแห่งอมต. เชียงใหม่: วิทอินดีไซน์, ๑๓๓-๑๓๗.๒. ศักดิ์นรินทร์ ชาวงิ้ว. ๒๕๕๗. “ประเพณียี่เป็งเชียงใหม่ จากการสักการะในเดือนยี่ สู่ประเพณีเพื่อการท่องเที่ยว.” เวียงเจ็ดลิน ๔ (๒): ๔-๘.
พฺรยาสุนนฺทราช (พฺรยาสุนนฺทราช)
ชบ.บ.67/1-1ฌ
เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)
เลขทะเบียน : นพ.บ.188/9ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 52 หน้า ; 4.5 x 55.5 ซ.ม. : ทองทึบ-ล่องชาด-ล่องรัก ; ไม่มีไม้ประกับชื่อชุด : มัดที่ 107 (123-132) ผูก 9 (2565)หัวเรื่อง : มหาวคฺควณฺณนา(ตติยาสมนตปาสาทิกาวันยฎฐกถา(สับมหาวัต)--เอกสารโบราณ คัมภีร์ใบลาน พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม
เลขทะเบียน : นพ.บ.289/2ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 50 หน้า ; 4.5 x 56 ซ.ม. : ทองทึบ-รักทึบ-ล่องรัก-ลานดิบ ; ไม่มีไม้ประกับชื่อชุด : มัดที่ 122 (266-274) ผูก 2 (2565)หัวเรื่อง : อาทิกมฺมวณฺณนา(ปฐม) สมนตผาสาทอตวอนัยฏฐกถา (บาฬีสมันตา) --เอกสารโบราณ คัมภีร์ใบลาน พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม
องค์ความรู้จากพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ขอนแก่น เรื่อง การสลักภาพบนใบเสมาสมัยทวารวดี ที่หาดูได้ยากในภาคอีสานโดย นางสาวพรพิณ ไพธิวัฒน์ ภัณฑารักษ์ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ขอนแก่น
องค์ความรู้สำนักศิลปากรที่ 7 เชียงใหม่เรื่อง : หลักฐานทางโบราณคดีจากแหล่งโบราณคดีหมู่บ้านสันติภาพ 2 จังหวัดน่าน Archaeological remains from Santipharp 2 Archaeological Site, Nan Provinceโดย : นางสาวชญาดา สุวรัชชุพันธุ์เรียบเรียง : นายจตุรพร เทียมทินกฤต-บทนำ-. แหล่งโบราณคดีหมู่บ้านสันติภาพ 2 ตั้งที่ตำบลไชยสถาน อำเภอเมืองน่าน จังหวัดน่าน อยู่ในแอ่งที่ราบระหว่างหุบเขา ที่ปรากฏกระบวนการพัดพา กัดเซาะของแม่น้ำน่านซึ่งพัดพาตะกอนมาสะสมตัวในแอ่งนี้ โดยอยู่ทางด้านทิศตะวันตกของเมืองเก่าน่าน ที่พิกัด UTM WGS 1984 Datum Zone 47 Q 685472.14 m E 2077495.36 m (ใช้เครื่อง GPS Garmin 60 Cs อ้างอิงแผนที่ทางทหาร แผ่นที่ 5146 I L7018 พิมพ์ครั้งที่ 1-RTSD) สภาพพื้นที่เป็นเนิน-ที่ดอนในที่ลาดระดับต่ำจากทิศตะวันตก ไปทางตะวันออก มีความสูงจากระดับน้ำทะเลปานกลางประมาณ 207 เมตร ในบริเวณนั้นเนินดินหลายเนินบนลานตะพักลำน้ำเลียบไปกับพื้นที่ตามทางเดินสายเก่าของแม่น้ำน่านเก่าซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออกของแหล่งโบราณคดี เดิมคงจะเป็นทะเลสาปรูปแอกวัว(Axe Bow Lake) ปัจจุบันได้ตื้นเขิน ถูกใช้ในการเกษตรกรรม และมีลำห้วยเหมืองหลวงไหลผ่านกลางแหล่งโบราณคดี ซึ่งจะไหลไปบรรจบกับห้วยลี่ ก่อนจะถูกชักน้ำไปที่คูเมืองน่านด้านทิศตะวันตก. ในปี พ.ศ. 2557 สำนักศิลปากรที่ 7 น่าน(ในขณะนั้น) ได้รับแจ้งจากนายสันติภาพ อินทรพัฒน์ เจ้าของที่ดินถึงการพบหลักฐานทางโบราณคดีประเภทอิฐและชิ้นส่วนกระเบื้อง เป็นแนวทรงกลมจากการปรับพื้นที่เพื่อทำสนามแบดมินตัน ในหมู่บ้านสันติภาพ 2 ทางกลุ่มโบราณคดี สำนักศิลปากรที่ 7 น่านจึงทำการสำรวจทางโบราณคดีเมื่อ พบเนินดิน 5 เนินที่มีหลักฐานทางโบราณคดีกระจายทั่วบริเวณ เนินด้านทิศใต้สุดของแหล่งโบราณคดีปรากฏแนวอิฐก่อเป็นวงกลมเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 2 เมตร แต่ละเนินพบชิ้นส่วนกระเบื้องดินขอ และชิ้นส่วนภาชนะดินเผาจากแหล่งเตาเมืองน่าน แหล่งเตาเวียงกาหลง และชิ้นส่วนเครื่องถ้วยจีน สมัยราชวงศ์หมิง กระจายทั่วไป จึงจัดทำโครงการขุดค้นทางโบราณคดีเพื่อดำเนินงาน และในปีงบประมาณ 2559 ได้รับงบประมาณ การขุดค้นทางโบราณคดีเริ่มดำเนินการเมื่อวันที่ 1 มีนาคม พ.ศ.2559 โดยการทำผังคลุมทั้งบริเวณของแหล่งโบราณคดีตามแนวแกนทิศเหนือ-ใต้ และแบ่งพื้นที่ออกเป็นช่องๆ ช่องละ 4x4 เมตร โดยทำการขุดค้นทั้งสิ้น 4 พื้นที่ คือ เนินด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้ของแหล่งโบราณคดี 3 พื้นที่ และเนินด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือ 1 พื้นที่ การขุดค้นเริ่มขุดบริเวณที่ปรากฏแนวอิฐ โดยปรากฏแนวอิฐต่อเนื่องลงไป และขยายพื้นที่ไปทางทิศเหนือ ตามร่องรอยหลักฐานทางโบราณคดี วิธีการขุดค้นใช้การขุดลอกชั้นสมมติทีละ 5-10 เซนติเมตร-ชั้นทับถมทางโบราณคดี-. จากการดำเนินการขุดค้นทางโบราณพบชั้นทับถมทางโบราณคดีในหลุมขุดค้นทั้ง 4 หลุม จากผนังแสดงชั้นดิน 3 ชั้นหลัก ดังนี้ 1. ชั้นผิวดิน หนาประมาณ 0-30 เซนติเมตร เป็นชั้นดินธรรมชาติที่เกิดหลังจากการใช้กิจกรรมในสมัยโบราณ พบหลักฐานที่เกิดจากการกระทำของมนุษย์สมัยปัจจุบัน 2. ชั้นทับถมทางวัฒนธรรม 2.1 ชั้นทับถมทางวัฒนธรรมชั้นบน อยู่ใต้ชั้นผิวดิน หนาประมาณ 20-60 เซนติเมตร เป็นดินเหนียวผสมทรายแป้ง ปรากฏหลักฐานทางโบราณคดีที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมการใช้เตาเผา ซึ่งจำแนกเป็นเตาเผาหมายเลข 1, 2, 3 และ 4 2.2 ชั้นทับถมทางวัฒนธรรมชั้นล่าง เป็นดินเหนียวผสมเม็ดหินปูน ปรากฏหลักฐานทางโบราณคดีที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมการฝังศพ ซึ่งจำแนกเป็นโครงกระดูกหมายเลข 1 และ 2-หลักฐานทางโบราณคดีที่พบในชั้นทับถมทางวัฒนธรรม- 1. หลักฐานทางโบราณคดีที่พบในชั้นทับถมทางวัฒนธรรมชั้นบน เป็นการใช้พื้นที่สมัยที่ 2 โดยพบหลักฐานเกี่ยวกับการทำกิจกรรมการใช้เตาเผา ซึ่งน่าผลผลิตจะเป็นการเผากระเบื้องดินขอ เป็นหลัก โดยพบหลักฐานทางโบราณคดีหลายประเภท ดังนี้ 1.1 โบราณวัตถุประดิษฐ์ เบื้องต้นแบ่งออกได้ ดังนี้ ชิ้นส่วนกระเบื้องดินขอ, ชิ้นส่วนอิฐ, ชิ้นส่วนภาชนะดินเผา และตะปูโลหะ 1.2 ร่องรอยกิจกรรมมนุษย์โบราณ พบเตาเผาระบายความร้อนในแนวดิ่ง 4 เตา ซึ่งมีลักษณะและองค์ประกอบย่อยแตกต่างกันออกไป - เตาเผาหมายเลข 1 (S5E6 & S5E7) มีลักษณะเป็นเตาตะกรับ ตัวเตา ø 2 ม. สูง 70 ซม. ช่องใส่เชื้อเพลิงขนาด 50x80 เซนติเมตร อยู่ทางด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้ของตัวเตา โดยมีความลาดเอียงเล็กน้อยลงไปทางทางด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้ จากการขุดตรวจภายในเตาพบชิ้นส่วนดินเผาอยู่สูงกว่าพื้นเตาประมาณ 30 ซม. มีลักษณะเป็นดังรังผึ้ง จึงสันนิษฐานว่า คือ ส่วนตะกรับ ใต้ชั้นตะกรับนี้พบว่ามีอิฐวางเรียงกันน่าจะเป็นส่วนฐานเตาเพื่อการรองรับโครงสร้างเตาเผา - เตาเผาหมายเลข 2 (S4E7&S3E7&S3E8) เป็นรูปเกือบสี่เหลี่ยมผืนผ้า ขนาด 2.05x3.00 ม. สูง 40-50 เซนติเมตร ด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือเป็นช่องใส่เชื้อเพลิง 2 ช่อง ที่ทำจากดินดิบทำส่วนบนของเตาโค้งรับกัน กว้างช่องละ 60 เซนติเมตร พบชิ้นส่วนระบายความร้อนที่มีร่องรอยการโดนอุณหภูมิสูงภายในช่องใส่เชื้อเพลิงนี้ และบริเวณถัดไปทางด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้พบชิ้นส่วนกระเบื้องดินขอ และชิ้นส่วนภาชนะดินเผากระจายตัวอยู่ ซึ่งพบเช่นเดียวกันกับบริเวณหน้าช่องใส่เชื้อเพลิงของเตาหมายเลข 1 - เตาเผาหมายเลข 3 (S3E10&S3E11&S2E10&S2E11) เป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า 4.3x3.0 เมตร มีช่องใส่เชื้อเพลิงวางตัวตามด้านกว้างของเตาทั้งหมด 6 ช่อง แต่ละช่องกว้างประมาณ 20 เซนติเมตร อิฐของเตานี้มีขนาดและเนื้อดินต่างไปจากทุกเตา คือ มีขนาด 15x7x4 เซนติเมตร - เตาเผาหมายเลข 4 พบในเนินดินด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือของแหล่งโบราณคดีใกล้กับลำห้วยมุ่น มีลักษณะคล้ายเตาเผาหมายเลข 2 แต่มีขนาดเล็กกว่ามาก 2. หลักฐานทางโบราณคดีพบในชั้นทับถมทางวัฒนธรรมชั้นล่าง เป็นการใช้พื้นที่สมัยแรก หลักฐานทางโบราณคดีที่พบเกี่ยวข้องกับกิจกรรมการฝังศพ มีรายละเอียด ดังนี้ 2.1 โบราณวัตถุประดิษฐ์ ได้แก่ ภาชนะดินเผา, เครื่องมือหินขัด, ขวานสำริด และลูกปัดเปลือกหอย? 2.2 โบราณนิเวศวัตถุ ได้แก่ หอยเบี้ย 2.3 ร่องรอยกิจกรรมมนุษย์โบราณ - โครงกระดูกมนุษย์หมายเลข 1 พบที่ระดับความลึกผิวดินประมาณ 10 เซนติเมตร ผลจากการวิเคราะห์โดยคุณประพิศ พงศ์มาศ นักโบราณคดีผู้เชี่ยวชาญทางด้านมานุษยวิทยากายภาพ ระบุว่า โครงกระดูกไม่สมบูรณ์ แตกหัก แต่ยังคงวางอยู่ในสภาพเดิมของร่างกาย เป็นเพศชายพิจารณาจาก Greater Sciatic notch ที่มีลักษณะเป็นรูปตัว V เป็นมุมแหลม เล็กแคบ อายุเมื่อตาย มากกว่า 35 ปี มีพิธีกรรมการปลงศพ โดยโครงกระดูกหันศีรษะไปทางทิศเหนือ นอนหงาย แขนขวาวางอยู่บนหน้าท้อง แขนซ้ายวางเฉียงอยู่บนหน้าท้อง มือวางเกยอยู่บนมือขวา ขาเหยียดยาว บริเวณข้อเท้าคล้ายถูกมัด ลักษณะทั่วไปของโครงกระดูกสันนิษฐานว่า น่าจะมีการห่อและมัดศพก่อนนำมาฝัง โบราณวัตถุที่พบ ได้แก่กลุ่มภาชนะดินเผาลายเชือกทาบ วางอยู่ด้านล่างไหล่ด้านซ้าย และสะโพกด้านซ้าย, ลูกปัดเปลือกหอยทรงกระบอก ø 3-4 มิลลิเมตร หนา 1-3 มิลลิเมตร พบบริเวณข้อมือทั้งสองข้างและกระดูกสะโพก, ขวานสำริดมีบ้องสภาพชำรุด วางอยู่บริเวณระหว่างกลางของกระดูกหน้าแข้ง และชิ้นส่วนเปลือกหอยทะเล? วางอยู่บริเวณปลายเท้า - โครงกระดูกมนุษย์หมายเลข 2 พบใต้โครงกระดูกหมายเลข 1 โดยอยู่ลึกจากโครงกระดูกมนุษย์หมายเลข 1 ตั้งแต่ประมาณ 2 – 20 เซนติเมตร สภาพทั่วไปของกระดูก โครงกระดูกไม่สมบูรณ์ แต่ยังคงวางอยู่ในสภาพเดิมของร่างกาย ไม่สามารถระบุเพศได้ เป็นผู้ใหญ่ มีพิธีกรรมการปลงศพ โครงกระดูกหันศีรษะไปทางทิศตะวันออก นอนหงาย แขนขวาเหยียดยาว ไม่มีร่องรอยของการมัดหรือห่อศพ พบโบราณวัตถุที่อุทิศให้แก่ผู้ตาย ประกอบด้วย เครื่องมือหินขัด 2 ชิ้น ลักษณะคล้ายสิ่ววางอยู่ข้างศีรษะทางด้านซ้าย, ลูกปัดเปลือกหอยทะเลลักษณะเป็นแว่น พบบริเวณลำตัวช่วงบนตั้งแต่คอถึงหน้าท้อง, เครื่องมือหินขัดมีบ่า วางอยู่ระหว่างกระดูกหน้าแข้ง, กลุ่มภาชนะดินเผา ถูกทุบและวางไว้บริเวณใกล้กับมือข้างซ้าย และกลุ่มภาชนะดินเผาอย่างน้อย 5 ใบ พบว่ามีการทุบภาชนะดินเผาให้แตกปูรองพื้นและคลุมทับส่วนล่างของโครงกระดูกตั้งแต่ต้นขาลงไป 2.4 ชิ้นส่วนจากร่างกายมนุษย์สมัยโบราณ ได้แก่ ชิ้นส่วนกระดูกต้นขา, ชิ้นส่วนของกระดูกขากรรไกรล่าง และชิ้นส่วนฟันมนุษย์-การลำดับอายุชั้นวัฒนธรรม-. สำนักศิลปากรที่ 7 น่าน(เดิม) ได้ดำเนินการส่งตัวอย่างหลักฐานทางโบราณคดีทั้งสองชั้นทับถมทางวัฒนธรรม โดยมีรายละเอียด ดังนี้ 1. ชั้นทับถมทางวัฒนธรรมชั้นบน มีอายุประมาณ 1,023-606 ปีมาแล้ว โดยค่าอายุได้จากการหาค่าอายุด้วยวิธีการเรืองแสงความร้อน (Thermoluminescence, TL) โดยภาควิชาวิทยาศาสตร์พื้นพิภพ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (บางเขน) จำนวน 6 ตัวอย่าง รายละเอียด ดังนี้ - เตาเผาหมายเลข 1: Kiln1 (131 cm.dt.) Brick 896+/-40 และ Kiln1 (143-174 cm.dt.) Soil 916+/-46 - เตาเผาหมายเลข 2: Kiln2 (103 cm.dt.) Brick 669+/-30 และ Kiln2 (92 cm.dt) Brick 641+/-35 - เตาเผาหมายเลข 4: Kiln4 (Soil) 648+/-36 และ Kiln4 (155 cm.dt.) Brick 984 +/-39 2. ชั้นทับถมทางวัฒนธรรมชั้นล่าง เบื้องต้นกำหนดอายุโดยการศึกษาเปรียบเทียบโดยพิจารณาจากหลักฐานทางโบราณคดีประเภทต่างๆ ดังนี้ - เครื่องมือหินขัด สันนิษฐานว่าผลิตจากหินโคลนกึ่งแปร (Metamorphosed Mudstone)งน่าจะมีแหล่งวัตถุดิบจากดอยหินแก้ว ที่อยู่ทิศตะวันตกเฉียงใต้ประมาณ 3 กม. ซึ่งกำหนดอายุราว 700-4,000 ปีมาแล้ว ร่วมสมัยกับแหล่งโบราณคดีภูซาง - ขวานสำริดมีบ้อง รูปแบบมีความคล้ายคลึงกับขออุทิศที่พบในหลุมฝังศพหมายเลข 3 และ 4 จากหลุมขุดค้นหมายเลข 4 แหล่งโบราณคดีบ้านโป่งตะขบ ตำบลวังม่วง อำเภอวังม่วง จังหวัดสระบุรี ซึ่งมีการกำหนดอายุด้วยวิธี AMS (Accelerator Mass Spectrometry) ไว้ราว 3,100 ปีมาแล้ว อย่าไรก็ตาม ได้ส่งตัวอย่างเพื่อตรวจหาค่าอายุทางวิทยาศาสตร์ด้วยวิธี AMS (Accelerator Mass Spectrometry) จำนวน 4 ตัวอย่าง เพื่อวิเคราะห์ ณ ห้องปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์ Beta Analytic 4985 S.W. 74th Court Miami FL 12429 สหรัฐอเมริกา ผลที่ได้ดังนี้ 1. ชิ้นส่วนเครื่องประดับทำจากเปลือกหอย จากโครงกระดูกมนุษย์หมายเลข 2 ค่าอายุ 3,820-3,435 ปีมาแล้ว 2. ชิ้นส่วนเปลือกหอย จากโครงกระดูกมนุษย์หมายเลข 1 ค่าอายุ 4,890-4,520 ปีมาแล้ว 3. ชิ้นส่วนฟัน จากระดับชั้นดินสมมติ 130-140 cm.dt. (เป็นชั้นดินที่มีร่องรอยการรบกวน) ค่าอายุ 480-300 ปีมาแล้ว 4. ตัวอย่างถ่าน จากเตาเผาหมายเลข 2 1,695-1,655 ปีมาแล้ว และ 1,630-1,535 ปีมาแล้ว จากการขุดค้นทางโบราณคดีแสดงให้เห็นว่า พื้นที่บริเวณหมู่บ้านสันติภาพ 2 มีการเข้าใช้พื้นที่ 2 ช่วงก่อนถึงสมัยปัจจุบัน สมัยแรกสุดที่พบร่องรอยกิจกรรมมนุษย์ ในช่วงเวลาประมาณ 3,800-3,000 ปีมาแล้ว ถูกใช้ในหน้าที่เป็นแหล่งฝังศพ (Burial Site) ในช่วงสมัยต่อมา ประมาณ 600-900 ปีมาแล้ว ซึ่งร่วมสมัยที่ตั้งเมืองน่านใน ปี พ.ศ. 1911 ตามพงศาวดารเมืองน่าน พื้นที่ถูกใช้ในหน้าที่ผลิตกระเบื้องดินขอ อิฐเป็นต้น(Industrial Site) อาจด้วยจากบริเวณนั้นเป็นแม่น้ำเก่ามีดินเนื้อละเอียดที่เหมาะสมในการใช้งาน *มีบางท่านเสนอว่า เตาที่พบจากลักษณะน่าเป็นเตาเผาปูน แต่ในการดำเนินการขุดค้นทางโบราณคดี ไม่พบเศษปูนเลย ข้อสันนิษฐานนี้จึงละไว้--------------------------------อ้างอิง-จตุรพร เทียมทินกฤต. “การศึกษากระบวนการผลิตเครื่องมือหิน กรณีศึกษาหลุมขุดค้น N – Hill ปี พ.ศ.2548 แหล่งโบราณคดีภูซาง ตำบลนาซาว อำเภอเมือง จังหวัดน่าน.” วิทยานิพนธ์ปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาโบราณคดีสมัยก่อนประวัติศาสตร์ ภาควิชาโบราณคดี บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร, 2552.ชวนันท์ จันทร์ประเสริฐ. “การศึกษาแหล่งหินและชนิดหินของแหล่งผลิตเครื่องมือหินดอยภูซาง ตำบลนาซาว อำเภอเมือง จังหวัดน่าน.” เอกสารการศึกษาเฉพาะบุคคลปริญญาศิลปศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาโบราณคดี บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร, 2550.ทิพย์วรรณ วงศ์อัสสไพบูลย์. “ข้อมูล สารสนเทศ และความรู้เพิ่มใหม่จากจากการขุดค้นแหล่งโบราณคดีบ้านโป่งตะขบ ตำบลวังม่วง อำเภอวังม่วง จังหวัดสระบุรี พ.ศ.2557.” ใน ข้อมูล สารสนเทศ และความรู้เพิ่มใหม่จากงานวิจัยโบราณคดีลุ่มแม่น้ำป่าสัก, สุรพล นาถะพินธุ, บรรณาธิการ, กรุงเทพมหานคร: บริษัท จรัญสนิทวงศ์การพิมพ์ จำกัด, 2558.
ชื่อผู้แต่ง สำนักราชเลขาธิการ
ชื่อเรื่อง ประมวลพระราชดำรัสและพระบรมราโชวาทที่พระราชทานในโอกาสต่างๆ ต้นเดือนธันวาคม ๒๕๑๑ – จนถึงเดือนพฤศจิกายน ๒๕๑๒
ครั้งที่พิมพ์ -
สถานที่พิมพ์ พระนคร
สำนักพิมพ์ โรงพิมพ์กรมแผนที่ทหาร
ปีที่พิมพ์ 2513
จำนวนหน้า 259 หน้า
รายละเอียด หนังสือที่รวบรวมพระราชดำรัสและพระบรมราโชวาทของร.๙ ซึ่งพระราชทานในโอกาสต่างๆ ตั้งแต่เดือน ธ.ค. ๒๕๑๑ ถึง เดือน พ.ย. ๒๕๑๒
ชื่อผู้แต่ง -
ชื่อเรื่อง ประวัติ วัด มหาพฤฒาราม
ครั้งที่พิมพ์ -
สถานที่พิมพ์ พระนคร
สำนักพิมพ์ ประชุมช่าง
ปีที่พิมพ์ ๒๕๑๑
จำนวนหน้า ๙๔ หน้า
หมายเหตุ พิมพ์โดยเสด็จพระราชกุศล พระกฐินเสด็จพระราชดำเนินพระราชทานที่วัด มหาพฤฒาราม ๑๒ ตุลาคม ๒๕๑๑
วัดมหพฤฒาราม เป็นพระอารามหลวงที่สมเด็จพระบรมบพิตรฯ รัชกาลที่ ๔ ทรงสถาปนาสร้างขึ้น ตำบลที่ตั้งของวัด ปัจจุบัน ตั้งอยู่ริมถนนมหาพฤฒาราม และคลองผดุงกรุงเกษม ฝั่งตะวันออกใกล้จะบรรจบถึงถนนเจริญกรุง โดยมีเลขที่ ๕๑๗ เป็นเลขประจำวัด ในเขตตำบลมหาพฤฒาราม อำเภอบางรัก จังหวัดพระนคร มีทางเข้าออก ๔ ทาง คือ ก. ทิศตะวันตก ข. ทิศใต้ ค. ทิศตะวันออก ง. ทิศเหนือ วัดมหาพฤฒารามนี้ เดิมมีชื่อว่าท่าเกวียน เป็นวัดราษฎร์ และเป็นวัดโบราณ จึงไม่ปรากฎนามผู้สร้าง และจะสร้างในสมัยกรุงศรีอยุธยา หรือกรุงรัตนโกสินทร์สมัยใดไม่อาจทราบได้
การรดน้ำดำหัวหรือในวัฒนธรรมล้านนาเรียกว่า การสระเกล้าดำหัว นั้น มีความหมายโดยนัย คือ การขจัดสิ่งชั่วร้าย อัปมงคล ออกไปในช่วงเทศกาลปีใหม่ หรือการขอขมาอภัยต่อญาติผู้ใหญ่ พระเถระ บิดา มารดา ปู่ ย่า ตา ยาย ซึ่งเป็นการแสดงออกถึงความกตัญญู ความเคารพนับถือ รวมไปถึงเป็นการถือโอกาสเยี่ยมเยือน ถามไถ่สารทุกข์สุขดิบญาติผู้ใหญ่ที่อาจไม่ได้พบปะกันมาทั้งปีอีกด้วยที่มาภาพ: ไทยโพสต์. สงกรานต์ วิถีน้ำ วิถีไทย ชุ่มฉ่ำ 4 ภาค. เผยแพร่ลงเว็บไซต์เมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2562.
การสระเกล้าดำหัว แบ่งวิธีปฏิบัติเป็น ๓ อย่าง คือ การดำหัว (สระผม) ตนเอง คือ การนำน้ำขมิ้นส้มป่อย (น้ำที่มีส่วนผสมของขมิ้นผงและส้มป่อยตากแห้ง ซึ่งคนล้านนามีความเชื่อว่าสามารถชำระล้างสิ่งอัปมงคลได้ ปัจจุบันไม่นิยมใช้ผงขมิ้นผสมน้ำแล้ว แต่ใช้ดอกไม้หอม เช่น ดอกคำฝอย ดอกสารภี หรือดอกพะยอมแทน) ลูบศีรษะของตนเอง หรือใช้ชำระล้างร่างกายเพื่อขจัดเสนียดจัญไรออกไปจากตัว อย่างที่สอง คือ การดำหัวผู้น้อยหรือผู้อ่อนวัยกว่า เช่น ลูก หลาน ภรรยา โดยผู้ที่มีวัยวุฒิสูงกว่าจะนำน้ำขมิ้นส้มป่อยมาประพรมหรือลูบศีรษะผู้น้อย หลังจากลูบศีรษะตนเองแล้ว และอย่างที่สาม คือ การดำหัวผู้ใหญ่ ซึ่งจะต้องมีการตระเตรียมข้าวของ ดอกไม้ ธูปเทียน เพื่อที่จะนำไปขอขมาอภัยด้วยที่มาภาพ: www.openrice.co.th บทความ Food Tips หัวข้อ ส้มป่อยใช้ทำอาหารและตามความเชื่อ เผยแพร่เมื่อวันที่ 7 เมษายน 2560
ของไหว้สำหรับการดำหัวของคนล้านนาแบบโบราณ จะมีการเตรียมสลุง (ขัน) ใส่น้ำขมิ้นส้มป่อย พร้อมเครื่องสักการะ เช่น ต้นผึ้ง (พุ่มขี้ผึ้ง) ต้นเทียน (พุ่มเทียน) ด้นดอก (พุ่มดอกไม้นานาชนิด) หมากสุ่ม (พุ่มหมากแห้งผ่าซีก) หมากเบ็ง (พุ่มหมากดิบ) และพลูสุ่ม (พุ่มใบพลู) แต่ปัจจุบันมีการปรับเปลี่ยนของไหว้ขอขมาให้เป็นข้าวของเครื่องใช้ที่ผู้รับสามารถใช้ในชีวิตประจำวันได้มากขึ้น เช่น ผ้าขาวม้า เสื้อ ผ้าถุง ผ้าเช็ดตัว และพืชผักผลไม้ตามฤดูกาลต่าง ๆ เช่น หอมแดง กระเทียม มะม่วง มะปราง หรือถั่วต่าง ๆ โดยขอขมาพร้อมสวย (กรวย) ใส่ข้าวตอกดอกไม้ต่าง ๆ ที่มีความหมายเป็นสิริมงคล เช่น ดอกเก็ดถะวา (ดอกพุดซ้อน) ดอกโชค และใบโกศลหรือใบกุศล เป็นต้นธรรมเนียมการรดน้ำดำหัวแบบคนล้านนานั้นจะแตกต่างออกไปจากธรรมเนียมของคนภาคกลาง ที่นิยมนำน้ำมารดที่มือของผู้อาวุโส ซึ่งคนล้านนามองกว่าการรดน้ำที่มือนั้นเหมือนเป็นการรดน้ำศพ ดูอัปมงคลยิ่ง ธรรมเนียมคนล้านนา เมื่อผู้น้อยนำข้าวของสักการะพร้อมข้าวตอกดอกไม้มามอบให้แล้ว ผู้ใหญ่จะให้พร และนำน้ำขมิ้นส้มป่อยมาลูบศีรษะตนเอง แล้วค่อยพรมน้ำขมิ้นส้มป่อยด้วยช่อใบโกศลแก่ลูกหลานที่มาขอขมา ก็เป็นอันเสร็จพิธี...ที่มาภาพ: เชียงใหม่นิวส์. เครื่องดำหัวปี๋ใหม่เมือง. เผยแพร่ลงเว็บไซต์เมื่อวันที่ 5 เมษายน 2561
เรียนรู้นอกตำรา กับหอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ ร.๙ นครราชสีมา ตอน ตามรอยพระจอมภูวดลราชดำเนินโคราช ยลชุดพระราชอาสน์ศรีสง่าราชสีมานคร: พระราชอาสน์ซึ่งเคยได้ทอดถวายเป็นที่ประทับถึง ๓ รัชกาล ปัจจุบันจัดแสดงอยู่ที่ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ มหาวีรวงศ์https://www.youtube.com/watch?v=yPI0iIkrcWY
ชุดพระราชอาสน์พร้อมโต๊ะเคียงชุดนี้ สร้างสำหรับทอดถวายเป็นที่ประทับเป็นการเฉพาะในโอกาสเสด็จพระราชดำเนินมายังเมืองนครราชสีมา และเป็นชุดพระราชอาสน์หนึ่งเดียวในประเทศที่ได้เก็บรักษาไว้ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติในภูมิภาค นอกเขตพระราชฐานที่ประทับ เป็นอีกหนึ่งโบราณวัตถุชิ้นเยี่ยมของกรมศิลปากร อันเป็นชุดพระราชอาสน์ที่ปรากฏศิลปกรรมในการจัดสร้างแบบศิลปะยุโรป ทั้งยังคงความเป็นไทยด้วยสัญลักษณ์แห่งพระมหากษัตริย์ไทย (ตราพระครุฑพ่าห์)
นับเป็นความภาคภูมิใจของชาวนครราชสีมา ซึ่งเคยได้ทอดถวายเป็นที่ประทับในโอกาสที่พระมหากษัตริย์ และพระบรมราชวงศ์ชั้นสูงเสด็จพระราชดำเนินเยือนเมืองนครราชสีมาถึง ๓ รัชกาล
หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ ร.๙ นครราชสีมา ยังมีหนังสือดี ๆ แนะนำที่ท้ายวิดิทัศน์ รอให้บริการกับประชาชนทุกท่านอีกเช่นเคยนะคะ ^^
วิทยากรโดย
๑. นายทศพร ศรีสมาน ผู้อำนวยการสำนักศิลปากรที่ ๑๐ นครราชสีมา
๒. นางชูศรี เปรมสระน้อย หัวหน้าพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ มหาวีรวงศ์
๓. นายชินาทร กายสันเทียะ ผู้อนุรักษ์มรดกไทยดีเด่น พุทธศักราช ๒๕๖๐
เสียงบรรยาย
นางรสสุคนธ์ ตั้งนภากร
บรรณารักษ์ชำนาญการ
หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ ร.๙ นครราชสีมา
บรรณาธิการ
นางพัชมณ ศรีสัตย์รสนา บรรณารักษ์ชำนาญการ
หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ ร.๙ นครราชสีมา
กระเบื้องเชิงชายหรือที่เรียกว่ากระเบื้องหน้าอุด คือกระเบื้องมุงหลังคาแถวล่างสุดของหลังคาแต่ละตับ ส่วนใหญ่ทำเป็นทรงสามเหลี่ยมหน้าจั่ว หรือสามเหลี่ยมด้านเท่า ทำหน้าที่กันฝน และสัตว์เข้าไปตามแนวกระเบื้อง เทพนม ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตสถานพุทธศักราช ๒๕๕๔ หมายถึง ชื่อภาพเทวดาครึ่งตัวประนมมือ ซึ่งลายเทพนมบนกระเบื้องเชิงชายนั้นมักพบในลักษณะโครงสร้างรูปสามเหลี่ยม หันพระพักตร์ตรง ประนมพระหัตถ์เสมอพระอุระ นอกจากนี้ยังพบลายเทพนมในงานศิลปกรรมอื่น เช่น - งานจิตรกรรม ทำลายเทพนมในพุ่มข้าวบิณฑ์บริเวณหน้าต่างอุโบสถ วัดดวงแข กรุงเทพฯ - งานประดับสถาปัตยกรรม พบบริเวณหน้าบัน บันแถลง ประตู หน้าต่างของโบราณสถาน เช่น ลายปูนปั้นรูปเทพนมประดับปรางค์วัดจุฬามณี จังหวัดพิษณุโลก - เสมาหินชนวนสลักลายพันธุ์พฤกษาและเทพนม พบที่วัดพระนอน จังหวัดกำแพงเพชร - ลายเทพนมบนเครื่องถ้วยเบญจรงค์ การนำกระเบื้องเชิงชายลายเทพนมมาประดับหลังคาเหนือที่ประดิษฐานรูปพระพุทธเจ้านั้น สันนิษฐานว่าเป็นการแสดงการสักการะพระพุทธเจ้าของเหล่าเทพ หรือเป็นการสื่อถึงเทพประทับในวิมาน โดยแผ่นกระเบื้องเชิงชายเปรียบเสมือนซุ้มวิมานขององค์เทพ หรืออาจเป็นความหมายทางบุคลาธิษฐานในการเปรียบเทียบมนุษย์กับบัวสี่เหล่าของพระพุทธองค์ อันเป็นการแทนภาพของผู้ที่บรรลุโพธิญาณขั้นต้นที่หลุดพ้นจากโคลนตมใต้พื้นน้ำ จากการศึกษากระเบื้องเชิงชายสมัยอยุธยาประเภทลายเทพนม ของ นายประทีป เพ็งตะโก สันนิษฐานว่า กระเบื้องเชิงชายลายเทพนมนั้นปรากฏตั้งแต่สมัยอยุธยาตอนต้นตลอดจนถึงอยุธยาตอนปลาย ลักษณะสำคัญคือ เทพนมอยู่เหนือดอกบัวในลักษณะผุด หรือถือกำเนิดจากดอกบัว ในระยะแรกสันนิษฐานว่ามีการทำรูปดอกบัวใต้รูปเทพนมมีก้านมารองรับ จากการพบลวดลายปูนปั้นลักษณะคล้ายคลึงกันประดับปรางค์วัดจุฬามณี จังหวัดพิษณุโลก ส่วนรูปดอกบัวรองรับรูปเทพนมลักษณะแบบไม่มีก้านนั้น เริ่มจากดอกตูม แล้วคลี่คลายมาเป็นดอกบาน รวมถึงมงกุฎแบบมีปุ่มแหลมเหนือกรอบกระบังหน้านิยมทำร่วมกันในสมัยอยุธยาตอนต้น ส่วนกลีบบัวที่กลายเป็นลายพันธุ์พฤกษาอยู่ในราวสมัยอยุธยาตอนกลางและปรับเปลี่ยนเป็นลายกระหนกในราวปลายพุทธศตวรรษที่ ๒๒ โดยลายกระหนกใต้เทพนมนั้นมักทำเป็นกระหนกสามตัวสะบัดพลิ้ว หรือทำลายอย่างอื่นแทนที่รูปดอกบัว ส่วนลักษณะมงกุฎแบบทรงเครื่องใหญ่มีอายุราวพุทธศตวรรษที่ ๒๓ การกำหนดอายุโดยวิธีการเปรียบเทียบ (Relative Dating) สันนิษฐานว่าลวดลายในกระเบื้องเชิงชายที่พบจากการขุดแต่งวัดช้างรอบ เมืองกำแพงเพชรนั้นมีลักษณะคล้ายคลึงกับกระเบื้องเชิงชายที่พบในโบราณสถานของเมืองพระนครศรีอยุธยา โดยอ้างอิงภาพเปรียบเทียบลายกระเบื้องเชิงชายจากการศึกษาของ นายประทีป เพ็งตะโก ได้แก่ กระเบื้องเชิงชายลายเทพนม (ราวปลายพุทธศตวรรษที่ ๒๑ - ปลายพุทธศตวรรษที่ ๒๒) ลักษณะทรงสามเหลี่ยมมีหยักที่ขอบนอก ปรากฏรูปเทพนมอยู่เหนือดอกบัว ทำเส้นนูนล้อกับทรงกระเบื้องล้อมรอบเทพนมจำนวนสองเส้น มงกุฎมีการซ้อนชั้นอย่างเรียบ ปลายแหลมสูง สวมกระบังหน้า ดอกบัวรองรับเทพนมไม่มีก้าน กลีบดอกบัวมีลักษณะเรียว และเริ่มมีลักษณะเปลี่ยนเป็นลายกนกบริเวณส่วนปลายกลีบ จากการขุดแต่งวัดช้างรอบ พบกระเบื้องเชิงชายลายเทพนมลักษณะคล้ายกับที่พบจากการขุดแต่งวัดธรรมมิกราช วัดพลับพลาชัย และวัดสุวรรณาวาส จังหวัดพระนครศรีอยุธยา_________________________________________________ที่มาของข้อมูล : อุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชร ---------------------------------------------------เอกสารอ้างอิงคณะกรรมการดำเนินงานจัดทำศัพทานุกรมด้านโบราณคดีและพิพิธภัณฑ์. ศัพทานุกรมโบราณคดี. กรุงเทพฯ : บริษัท รุ่งศิลป์การพิมพ์ (๑๙๗๗) จำกัด, ๒๕๕๐. ประทีป เพ็งตะโก. กระเบื้องเชิงชายสมัยอยุธยา. วิทยานิพนธ์ปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร, ๒๕๔๐. ปริวรรต ธรรมาปรีชากร และคณะ. ศิลปะเครื่องถ้วยในประเทศไทย. พิมพ์ครั้งที่ ๒. กรุงเทพฯ : บริษัท โอสถสภาจำกัด, ๒๕๓๙. วิบูลย์ ลี้สุวรรณ. พจนานุกรมศัพท์ศิลปกรรมไทย. นนทบุรี : เมืองโบราณ, ๒๕๕๙. สำนักงานราชบัณฑิตยสภา. พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานพุทธศักราช ๒๕๕๔. กรุงเทพฯ : สำนักงานราชบัณฑิตยสภา, ๒๕๕๔.