ค้นหา
รายการที่พบทั้งหมด 48,777 รายการ
http://virtualhistoricalpark.finearts.go.th/muangsing
อุทยานประวัติศาสตร์เมืองสิงห์ ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ําแควน้อย ในเขตตําบลเมืองสิงห์ อําเภอไทรโยค จังหวัดกาญจนบุรี มีเนื้อที่ทั้งหมด 641 ไร่ 1 งาน 65 ตารางวา ประกอบด้วยเมืองสิงห์และปราสาทเมืองสิงห์เมืองสิงห์เป็นเมืองโบราณที่ตั้งอยู่บริเวณลุ่มแม่น้ําแควน้อย อันเป็นพื้นที่ที่มีความอุดมสมบูรณ์ จึงทําให้มีมนุษย์เข้ามาอยู่อาศัยตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์และมีพัฒนาการทางด้านวัฒนธรรมต่อเนื่องมาจนถึงสมัยประวัติศาสตร์ ดังปรากฏพบหลักฐานทางด้านโบราณคดีจํานวนมาก ทั้งสมัยก่อนประวัติศาสตร์และสมัยประวัติศาสตร์ ที่สะท้อนให้เห็นอารยธรรมช่วงหนึ่งของมนุษย์ซึ่งเคยมีบทบาทในดินแดนแถบจังหวัดกาญจนบุรีคือ โครงกระดูกมนุษย์และเครื่องมือเครื่องใช้ในสมัย ก่อนประวัติศาสตร์ กําหนดอายุได้ประมาณ 2,000 ปีมาแล้วที่พบบริเวณทางทิศใต้ ของเมืองสิงห์ที่ติดกับแม่น้ําแควน้อยและหลักฐานในสมัยประวัติศาสตร์ อันเป็นช่วงเวลาที่มีการสร้างเมืองสิงห์ เช่น การมีผังเมืองเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส หรือการสร้างศาสนสถานคือ ปราสาทเมืองสิงห์ไว้กลางเมือง หรือการพบประติมากรรมหลายรูปแบบอันเป็นศิลปะแบบขอมสมัยบายน จากคุณค่าและความสําคัญดังกล่าว กรมศิลปากรได้ประกาศขึ้นทะเบียนเมืองสิงห์และปราสาทเมืองสิงห์ให้เป็นโบราณสถานแห่งชาติ ในราชกิจจานุเบกษาเล่มที่ 52 ตอนที่ 75 ลงวันที่ 8 มีนาคม พุทธศักราช 2478 ทั้งนี้ได้ดําเนินการพัฒนาเมืองสิงห์และปราสาทเมืองสิงห์ตั้งแต่ปี พุทธศักราช 2517 - 2519 ต่อมาจึงจัดทําเป็นโครงการพัฒนาโบราณสถานปราสาทเมืองสิงห์และเสนอให้บรรจุในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 4 (พุทธศักราช 2520 - 2524) และในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 5 (พุทธศักราช 2525 - 2529) จึงเปลี่ยนชื่อเป็นโครงการอุทยานประวัติศาสตร์เมืองสิงห์และทําการขุดแต่งและบูรณะจนแล้วเสร็จ พร้อมกับเปิดอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 3 เมษายน พุทธศักราช 2530 โดยสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดําเนินมาเป็นประธานในพิธีเปิด
เว็ปไซต์หอสมุดแห่งชาติจังหวัดสุพรรณบุรี เฉลิมพระเกียรติ: www.finearts.go.th/suphanburilibrary
ประวัติความเป็นมา
“ หอสมุดแห่งชาติจังหวัดสุพรรณบุรี เฉลิมพระเกียรติ” เป็นชื่อที่ได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาตจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เนื่องในโอกาสฉลองสิริราชสมบัติครบ 50 ปี “ กาญจนาภิเษก ” เมื่อ พ.ศ. 2539 พร้อมให้เชิญตราสัญลักษณ์งานฉลองสิริราชสมบัติครบ 50 ปี ประดิษฐานบนอาคารหอสมุดฯ ตามหนังสือสำนักราชเลขาธิการที่ รล 0003 / 5808 ลงวันที่ 8 เมษายน 2540
หอสมุดแห่งชาติจังหวัดสุพรรณบุรี เฉลิมพระเกียรติ สังกัดสำนักศิลปากรที่ 2 สุพรรณบุรี กรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม จัดตั้งขึ้นเพื่อเป็นศูนย์ให้บริการการศึกษาค้นคว้าวิจัย ของนักเรียน นักศึกษา และประชาชนทั่วไป ทั้งในจังหวัดสุพรรณบุรีและจังหวัดใกล้เคียงโดยได้รับการสนับสนุนจาก ฯพณฯ บรรหาร ศิลปอาชา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดสุพรรณบุรีและนายกรัฐมนตรีคนที่ 21 ของไทย โดยได้จัดสรรงบประมาณตามโครงการพัฒนาจังหวัดของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดสุพรรณบุรี ประจำปี 2538 และ 2540 เพื่อสนับสนุนการก่อสร้างอาคารและปรับปรุงพื้นที่ จำนวน 21,114,000.- บาท (ยี่สิบเอ็ดล้านหนึ่งแสนหนึ่งหมื่นสี่พันบาทถ้วน) สำหรับก่อสร้างอาคารและปรับปรุงภูมิทัศน์โดยรอบ
หอสมุดแห่งชาติจังหวัดสุพรรณบุรี เฉลิมพระเกียรติ เริ่มเปิดให้บริการมาตั้งแต่วันที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2540 และมีพิธีเปิดอย่างเป็นทางการเมื่อวันจันทร์ ที่ 1 กันยายน 2546 โดยได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้เสด็จฯเป็นองค์ประธานในพิธี
ภารกิจหน่วยงาน
1. บริหารจัดการด้านการสำรวจ จัดหา รวบรวม และจัดเก็บทรัพยากรสารนิเทศทุกสาขาวิชา เพื่อเป็นคลังสิ่งพิมพ์ในภูมิภาค
2. ศึกษาค้นคว้า และดำเนินการวิชาการด้านบรรณารักษศาสตร์และสารนิเทศศาสตร์ เพื่อใช้เป็นคู่มือในการให้คำปรึกษา แนะนำการปฏิบัติงานห้องสมุดได้อย่างมีมาตรฐาน
3. พัฒนาระบบการสืบค้นสารนิเทศที่ทันสมัย เพื่อตอบสนองการศึกษาค้นคว้าวิจัยและการเรียนรู้ตลอดชีวิตของประชาชนทุกเพศ และวัย ให้ได้รับความสะดวก รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ
4. ให้บริการสารนิเทศ และส่งเสริมการอ่าน การศึกษาค้นคว้าวิจัยแก่ประชาชนทุกเพศ และวัย เพื่อให้เป็นแหล่งเรียนรู้ตลอดชีวิต และการศึกษาตามอัธยาศัย
5. ประสานงานกับสำนักหอสมุดแห่งชาติในการสำรวจ รวบรวมเอกสารโบราณ หนังสือหายาก และคัมภีร์ใบลาน เพื่อการสงวนรักษามรดกทรัพย์สินภูมิปัญญาของภูมิภาค
6. ประสานงานกับสำนักหอสมุดแห่งชาติในการเผยแพร่ และกำหนดเลขมาตรฐานสากลประจำหนังสือ ( ISBN ) และเลขมาตรฐานสากลประจำวารสาร ( ISSN )
7. ให้คำปรึกษา แนะนำ ฝึกอบรมทางวิชาการด้านบรรณารักษศาสตร์และสารนิเทศศาสตร์ แก่บุคลากรห้องสมุด และหน่วยงานต่าง ๆ ในภูมิภาค
พบเครื่องถ้วยชามลายน้ำทอง มีพระบรมฉายาลักษณ์ ร.5 ที่กาน้ำ และจาน ไม่ทราบว่ามีจริงหรือไม่ เนื่องจากไม่เคยเห็นในหนังสือ รวมทั้งภาพใน Internet ขอทราบรายละเอียดด้วยครับ
เมื่อวันที่ 19 -20 มีนาคม 2561 นายสุพจน์ พรหมมาโนช ผู้อำนวยการสำนักศิลปากรที่ 7 เชียงใหม่ และคณะเจ้าหน้าที่สำนักศิลปากรที่ 7 เชียงใหม่ ลงพื้นที่ติดตามควบคืบหน้างานขุดค้นขุดแต่งโบราณสถานวัดร่องไฮ อำเภอเมือง จังหวัดพะเยา
***บรรณานุกรม***
ปทุมรัตน์ วงศ์ดนตรี กรมศิลปากร
จดหมายเหตุการเดินทาง ของพระสังฆราชแห่งเบริธประมุขมิสชัง สู่อาณาจักรโคจินจีน
กรุงเทพฯ
โรงพิมพ์หัตถศิลป์
2530
กรมศิลปากรชี้แจงประเด็นข่าวกุฏิพระโบราณ ที่วัดสิงห์ จังหวัดปทุมธานี พังทลายเสียหาย สาเหตุจากช่างที่กรมศิลปากรจ้างมาซ่อมแซมบูรณปฏิสังขรณ์
เมื่อวันที่ ๒๕ มิถุนายน ๒๕๕๕ กรมศิลปากรแถลงข่าวชี้แจงประเด็นกุฏิพระโบราณที่วัดสิงห์ จังหวัดปทุมธานี พังทลายเสียหาย โดยนายเอนก สีหามาตย์ รองอธิบดีกรมศิลปากร นายประทีป เพ็งตะโก ผู้อำนวยการสำนักศิลปากรที่ ๒ สุพรรณบุรี นายช่างโยธาและวิศกรควบคุมงาน เป็นผู้แถลงข่าว ณ ห้องประชุมกรมศิลปากร
ตามที่รายการเรื่องเล่าเสาร์ – อาทิตย์ ประจำวันอาทิตย์ที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๕๕๕ รายการ เรื่องเล่าเช้านี้ ประจำวันจันทร์ที่ ๒๕ มิถุนายน ๒๕๕๕ ทางสถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสี ช่อง ๓ และหนังสือพิมพ์ข่าวสด หนังสือพิมพ์มติชน ฉบับวันจันทร์ที่ ๒๕ มิถุนายน ๒๕๕๕ ได้เสนอข่าวเกี่ยวกับกุฏิพระโบราณ ที่วัดสิงห์ ตำบลสามโคก อำเภอสามโคก จังหวัดปทุมธานี พังทลายเสียหายทั้งหมด สาเหตุจากช่างที่กรมศิลปากรจ้างมาซ่อมแซมบูรณปฏิสังขรณ์ นั้น
กรมศิลปากร โดยสำนักศิลปากรที่ ๒ สุพรรณบุรี ขอชี้แจงเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าวดังนี้
๑. วัดสิงห์ ตำบลสามโคก อำเภอสามโคก จังหวัดปทุมธานี ตั้งอยู่บนฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยา เป็นวัดเก่าแก่ซึ่งยังปรากฏเจดีย์ โบสถ์ วิหารเก่าแก่ ควรค่าแก่การศึกษาด้านประวัติศาสตร์โบราณคดี พระพุทธรูปสำคัญของวัดคือ หลวงพ่อโต พระพุทธรูปลงรักปิดทอง ปางมารวิชัย สมัยกรุงศรีอยุธยา พระพุทธไสยาสน์ (หลวงพ่อเพชร) นอกจากนี้ยังมีโกศบรรจุอัฐิหลวงพ่อพญากราย ซึ่งเป็นพระมอญธุดงค์มาจำพรรษา ที่วัดสิงห์ บนกุฏิของวัดมีพิพิธภัณฑ์ เก็บรักษาของเก่า ได้แก่ ตุ่มสามโคก แท่นบรรทมของพระบาทสมเด็จ พระพุทธเลิศหล้านภาลัย เมื่อครั้งเสด็จประพาสเมืองสามโคก ใบลานอักษรมอญ ตู้พระธรรม และพระพุทธรูป ด้านหน้าวัดสิงห์มีการขุดค้นพบโบราณสถานเตาโอ่งอ่าง ซึ่งถือ เป็นหลักฐานของการตั้งชุมชนมอญในสมัยแรกในบริเวณนี้นับแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา กรมศิลปากรได้ประกาศขึ้นทะเบียนและกำหนดขอบเขตโบราณสถาน ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ ๑ กันยายน พ.ศ. ๒๕๓๕ เล่มที่ ๑๐๙ ตอนที่ ๑๐๙
๒. กรมศิลปากร สำนักศิลปากรที่ ๒ สุพรรณบุรี ได้รับการจัดสรรงบประมาณโครงการฟื้นฟูบูรณะโบราณสถานที่ประสบอุทกภัย โครงการบูรณะโบราณสถานวัดสิงห์ จำนวน ๑๒,๐๒๐,๐๐๐ บาท โดยแบ่งเป็น ๒ โครงการ
- โครงการงานบูรณะโบราณสถาน จำนวนเงิน ๔,๔๕๐,๐๐๐ บาท
- โครงการงานปรับยกระดับ (ปรับดีด) วงเงินสัญญาจ้าง ๗,๕๓๙,๐๐๐ บาท ดำเนินการว่าจ้างบริษัทกันต์กนิษฐ์ ก่อสร้าง จำกัด เป็นผู้ดำเนินงาน ตามสัญญาจ้างเลขที่ ๑๒/๒๕๕๕ เริ่มสัญญาวันที่ ๑๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ สิ้นสุดวันที่ ๑๕ สิงหาคม ๒๕๕๕ โดยมีนายเฉลิมศักดิ์ ทองมา นายช่างโยธาชำนาญงาน สำนักศิลปากรที่ ๒ สุพรรณบุรี เป็นผู้ควบคุมงาน
๓. เมื่อวันที่ ๒๙ พฤษภาคม ๒๕๕๕ เวลา ๒๑.๓๐ น. นายเฉลิมศักดิ์ ทองมา ได้รับแจ้งจากตัวแทนบริษัทกันต์กนิษฐ์ ก่อสร้าง จำกัด ในเวลาประมาณ ๑๖.๓๐ น. ขณะที่คนงานอยู่ในช่วงพัก ไม่มีใครอยู่ภายในบริเวณอาคารกุฏิโบราณ ได้ยินเสียงพร้อมทั้งปูนฉาบของตัวอาคารกะเทาะหลุดร่วงลงมา แล้วมุมอาคารด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้ เกิดการทรุดตัวลง ทำให้กระเบื้องหลังคาและโครงสร้างหลังคาทั้งหมด ทรุดลงมากองอยู่บริเวณพื้นไม้ชั้นสองของอาคาร ทำให้น้ำหนักบรรทุกของพื้นมากขึ้นกว่าเดิม หลังจากนั้นผนังด้านทิศใต้ ก็ได้พังทลายตามลงมาเนื่องจากรับหนักของหลังคาที่ทรุดลงมาไม่ไหว
๔. เมื่อวันที่ ๓๐ พฤษภาคม ๒๕๕๕ เวลา ๙.๐๐ น.ผู้อำนวยการสำนักศิลปากรที่ ๒ สุพรรณบุรี (นายประทีป เพ็งตะโก) นายกิตติพันธ์ พานสุวรรณ วิศวกรชำนาญการพิเศษ นายจมร ปรปักษ์ประลัย สถาปนิกชำนาญการ นายเฉลิมศักดิ์ ทองมา นายกองค์การบริหารส่วนตำบลสามโคก และคณะกรรมการวัดสิงห์ ได้ร่วมกันลงพื้นที่ตรวจสอบความเสียหายและหาสาเหตุของการพังทลาย ได้ข้อสรุปดังนี้
๔.๑ การที่อาคารเกิดการทรุดตัว เนื่องจากพื้นดินรับฐานรากอาคารอยู่ในที่ต่ำชุ่มน้ำตลอดทั้งปี ทำให้อ่อนตัวรับน้ำหนักอาคารไม่ไหวทำให้ผนังอาคารทรุดตัวลงมาประมาณ ๑ ใน ๔ ส่วน
๔.๒ ผนังอาคารมีร่องรอยแตกร้าวจำนวนมาก พบร่องรอยนี้จากการสำรวจเพื่อจัดทำรูปแบบรายการการอนุรักษ์ ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๕๐ - ๒๕๕๔
๔.๓ ปูนสอเสื่อมสภาพจากการถูกน้ำแช่ขังและใช้งานอาคารมาเป็นเวลานาน ทำให้การยึดตัวของอิฐและปูนสอไม่ดี เป็นสาเหตุให้ตัวอาคารทรุดลงมา
๔.๔ สภาพอาคารที่ปูนฉาบผนังนอกหลุดร่อน ทำให้น้ำซึมผ่านเข้าไปในผนังทำให้ ปูนสอชุ่มน้ำ ทำให้แรงยึดเกาะระหว่างอิฐต่ำ
๔.๕ ขณะที่อาคารทรุดตัวอยู่ระหว่างการขุดเพื่อตรวจสอบฐานของอาคารส่วนที่ จมดินเพื่อเตรียมการกำหนดระยะที่ทำการตัดผนังเพื่อเสริมคานถ่ายแรง ยังไม่ได้ทำการตัดผนัง จึงยังมิได้มีการรบกวนโครงสร้างของอาคารโบราณ แต่ตัวอาคารก็เกิดการทรุดตัวลงมาเสียก่อน
หลังจากทำการตรวจสอบพื้นที่แล้ว สำนักศิลปากรที่ ๒ สุพรรณบุรี ได้สั่งการให้บริษัทผู้รับจ้างทำการค้ำยันผนังส่วนที่เหลือโดยให้ดำเนินการตามคำแนะนำของวิศวกร และทำการจัดเก็บวัสดุส่วนที่สามารถนำมาก่อสร้างเพื่อคืนสภาพอาคารไปจัดเก็บในที่ให้เรียบร้อย รวมทั้งได้เร่งรัดให้ผู้รับจ้างดำเนินการบูรณะกุฏิให้คืนสภาพโดยเร็ว โดยให้บริษัทผู้รับจ้างร่วมกับสถาปนิก วิศวกร และผู้เกี่ยวข้อง ปรับปรุงรูปแบบรายการ และวิธีปรับดีดให้สอดคล้องเหมาะสมกับสภาพปัจจุบันของกุฏิ และให้ดำเนินการบูรณะกุฏิให้กลับคืนสภาพเดิม โดยให้เป็นไปตามรูปแบบรายการบูรณะที่ได้รับอนุญาต
หอสมุดแห่งชาตินครศรีธรรมราช จัดโครงการค่ายเยาวชนรักการอ่าน
ในวันที่ 29 กรกฎาคม 2554 ณ หอสมุดแห่งชาตินครศรีธรรมราช
โดยมีกิจกรรมนำชมโบราณสถานวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหารและกำแพงเมืองนครศรีธรรมราช
โดยคุณสารัท ชลอสันติสกุล นักโบราณคดี จากสำนักศิลปากรที่ 14 นครศรีธรรมราช กรมศิลปากร เป็นวิทยากร
และทดสอบความรู้เกี่ยวกับโบราณสถานทั้ง 2 แหล่ง
จารึกเจดีย์น้อย วัดมหาธาตุเมืองสุโขทัย พบการจากขุดแต่งเจดีย์น้อย ด้านหน้าเจดีย์ 5 ยอด ทางด้านทิศใต้ของวัดมหาธาตุ เมื่อราวปี พ.ศ.2497 สภาพเมื่อแรกพบชำรุดแตกหักออกเป็น 2 ชิ้น ต่อมาในปีเดียวกันนั้น นายบุญธรรม พูนสวัสดิ์ ได้มอบชิ้นส่วนจารึกให้กรมศิลปากรเพิ่มอีกจำนวน 1 ชิ้น . ศิลาจารึกเจดีย์น้อย จารึกด้วยอักษรไทยสุโขทัย ภาษาไทย 54 บรรทัด คือ จารึกด้านที่ 1 บรรทัด 1 ถึง 29 และจารึกด้านที่ 2 บรรทัด 1 ถึง 25 ส่วนด้านที่ 2 ตั้งแต่บรรทัดที่ 26 ถึง 28 จารึกด้วยอักษรขอมสุโขทัย ภาษาสันสกฤต สันนิษฐานว่าจารึกเมื่อประมาณพุทธศตวรรษที่ 20-21 . --- ศาสตราจารย์ ฉ่ำ ทองคำวรรณ ได้อ่านและอธิบายคำจารึกด้านที่ 1 ซึ่งได้นำลงตีพิมพ์ใน วารสารศิลปากร ปีที่ 8 ฉบับที่ 6 เดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2497 เป็นครั้งแรก ต่อมาได้นำลงตีพิมพ์ในหนังสือ ประชุมศิลาจารึก ภาคที่ 1 ฉบับพิมพ์ พ.ศ. 2500, 2515 และ ประชุมศิลาจารึก ภาคที่ 3 ฉบับพิมพ์ พ.ศ. 2503 ต่อมาในเดือนสิงหาคม 2510 นายประสาร บุญประคอง เจ้าหน้าที่ผู้อ่านจารึก พบว่าแผ่นศิลาจารึกเจดีย์น้อย ด้านที่ 2 มีจารึกอักษรอยู่อีกหลายบรรทัดแต่มีคราบปูนเกาะอยู่แน่น จึงใช้กรรมวิธีตามหลักวิทยาศาสตร์ ล้างคราบปูนที่เกาะอยู่ออกได้หมด แล้วถ่ายถอด อ่าน แปล และอธิบายเพิ่มเติมขึ้น นำลงตีพิมพ์ในหนังสือ ประชุมศิลาจารึก ภาคที่ 4 ฉบับพิมพ์ พ.ศ. 2513 ให้ชื่อว่า “หลักที่ 40 พิเศษ” เนื้อหาของจารึกเกี่ยวกับการถวายคำสัตย์ระหว่างน้าพระยากับหลานพระยา ซึ่งศาสตราจารย์ ดร.ประเสริฐ ณ นคร ได้ตีความว่า ฝ่ายหลานพระยานั้นคงจะหมายถึงสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถซึ่งในขณะนั้นดำรงตำแหน่งพระราเมศวรและเป็นหลานตาของพระมหาธรรมราชาที่ 2 จารึกหลักนี้จึงเป็นหลักฐานสำคัญที่แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ทางด้านเครือญาติระหว่างสุโขทัยและอยุธยาภาพที่ 1 ภาพเก่าการพบจารึกเจดีย์น้อย จากการขุดแต่งเจดีย์น้อย ด้านหน้าเจดีย์ 5 ยอด ทางด้านทิศใต้ของวัดมหาธาตุ เมื่อราวปี พ.ศ.2497 ภาพที่ 2 ภาพแสดงตำแหน่งที่พบจารึกเจดีย์น้อย ภาพที่ 3 จารึกด้านที่ 1 ภาพที่ 4 จารึกด้านที่ 2 ที่มาของข้อมูล : อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย--- อ้างอิง --- 1. จตุพร ศิริสัมพันธ์และคณะ, ประชุมประชุมจารึก ภาคที่ 8 จารึกสุโขทัย. (กรุงเทพฯ : กรมศิลปากร, 2548) หน้า 435-444 2. ประเสริฐ ณ นคร. “รายงานการค้นคว้าจารึกสุโขทัย” ในสารนิพันธ์ ประเสริฐ ณ นคร. หน้า 324 3. https://db.sac.or.th/inscriptions/inscribe/detail/180